Knight Kiplinger Magazine
8 keys to financial security
พอดีผมได้อ่านพบบทความหนึ่งพูดถึงหลัก 8 ประการของความมั่นคงทางการเงินส่วนบุคคล ของคุณ Knight Kiplinger เจ้าของและบรรณาธิการนิตยสารชื่อ Kiplinger’s Personal Finance ว่าทำอย่างไร เงินในกระเป๋าเราจึงจะสามารถอยู่รอดปลอดภัย และเพิ่มพูนได้เหมือนกับอมีบาที่สืบเผ่าพันธุ์ด้วยการแบ่งแยกตัวเองจาก 1 เป็น 2 เป็น 4 และ 8, 16, 32 ไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีวันสะดุด จะว่าไป ก็เป็นหลักการที่คนส่วนมากรู้กันอยู่แล้ว เพียงแต่น้อยคนที่จะนึกถึงและพยายามยึดมั่นปฏิบัติในหลักการนั้น ๆ ก็เลยนำมาฝากเพื่อเตือนใจกันอีกสักครั้ง ว่ากันว่าอะไรที่เห็นบ่อยๆ ได้ยินอยู่เรื่อยๆ จะฝังลึกลงไปเป็นส่วนหนึ่งในดีเอ็นเอของเราได้ในเวลาไม่นานนัก
1) Invest in Yourself
ข้อแรกสุด คือการลงทุนกับตัวเองก่อน เครื่องปั๊มเงินที่แท้จริงของคนทุกคนไม่ใช่เครื่องจักรกลอะไรที่ไหน แต่มันสิงสถิตอยู่ในตัวแต่ละคนนั่นแหละครับ อันได้แก่ความรู้ ความสามารถ ตลอดจนความชำนาญที่สั่งสมกันมาเป็นนานเป็นนม และไม่มีใครสามารถแย่งชิงไปจากเราได้ เพราะฉะนั้น หน้าที่ของพวกเรา คือ การเพิ่มประสิทธิภาพเครื่องปั๊มเงินที่ว่า ด้วยการขวนขวายทบทวนความรู้เก่า และสรรหาความรู้ใหม่ๆ เพิ่มเติมอยู่เสมอ ทั้งในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับอาชีพการงานปัจจุบันโดยตรง หรืออาจจะเป็นอย่างอื่นๆ ที่เคยนึกอยากรู้อยากเรียนมาตลอด รวมไปถึงการเข้าอบรมความรู้ของสถาบันต่างๆ ที่มีอยู่มากมาย และหลายๆ ครั้งก็ไม่มีค่าใช้จ่ายอีกต่างหาก นอกจากนั้น น้องกุ๊ก (เกิล) ก็ดูเหมือนพร้อมตลอดเวลาที่จะตอบคำถามในสิ่งที่เราอยากรู้ ไม่ว่าจะยากเย็นแสนเข็ญขนาดไหน ทั้งบทความให้อ่านหรือฟุตเทจให้ดูสารพัด
2) Protect Yourself and Your Loved Ones
ปกป้องตัวเองและคนs (หลายคน) ที่คุณรัก ในปัจจุบัน คนส่วนใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนหนุ่มสาวที่ยังมีกำลังวังชา มักจะละเลยหรือมองข้ามการซื้อประกันต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น การประกันชีวิต ทั้งในเรื่องของอุบัติเหตุ และสุขภาพ ตลอดไปจนถึงการประกันรถยนต์ เพราะชีวิตคนต้องเผชิญกับความเสี่ยงอยู่เสมอ ทั้งจากเรื่องของโรคภัยไข้เจ็บ ความพิการ หรือกระทั่งการจากไปก่อนวัยอันสมควร ถ้าไม่มีผู้อยู่ในอุปการะทิ้งไว้เบื้องหลังก็แล้วไป แต่ในหลายๆ กรณี คนข้างหลังนอกจากจะต้องเศร้าโศกเสียใจแล้ว ยังต้องกระเสือกกระสนดิ้นรนเลี้ยงปากเลี้ยงท้องให้รอดชีวิตต่อไปได้ โดยเฉพาะถ้าคนที่จากไปนั้น เป็นเสาหลักของครอบครัว
ดังนั้น จึงต้องเรียนรู้ให้เข้าใจในเรื่องการจัดการกับความเสี่ยงที่มีหลากหลายชนิด ถ้าเป็นแบบที่โอกาสเกิดสูงและเมื่อเกิดแล้ว ความเสียหายก็สูง แบบนี้บริษัทประกันจะไม่รับประกัน จึงต้องพยายามหลีกเลี่ยงหรือถ้าเลี่ยงไม่ได้จริงๆ ก็พยายามหาทางควบคุมความเสียหายที่จะเกิดขึ้น
แบบที่ 2 ถ้าเป็นความเสี่ยงประเภทโอกาสเกิดก็ต่ำ และผลกระทบก็ไม่รุนแรงมากนัก การทำประกันก็จะไม่คุ้มเบี้ยที่ต้องจ่าย ก็ต้องรับความเสี่ยงไว้เอง
อีกแบบที่เขาเรียกกันว่า Black Swan Events คือเป็นเหตุการณ์ที่มีโอกาสเกิดไม่มากนัก แต่ถ้าเกิดแล้วผลกระทบและความเสียหายรุนแรงสูง ถ้าเป็นแบบนี้ก็สามารถใช้หลักการโอนความเสี่ยงด้วยการทำประกัน เป็นต้น เรื่องนี้สำคัญแค่ไหน ต้องลองถามเปรียบเทียบคนที่น้ำท่วมบ้านปีที่แล้ว ระหว่างคนที่มีประกันกับคนที่ไม่มีประกันดู จะพบว่าเบี้ยประกันที่เหมือนกับจะเสียเปล่านั้น คุ้มนักคุ้มหนา
3) Borrow Sparingly
เป็นหนี้ให้น้อยที่สุด เป็นหนี้เฉพาะสิ่งของใหญ่ๆ และคงทน เช่นบ้าน (หลังแรก) หรือรถยนต์ (คันแรก) หรือเป็นการลงทุนเพื่อตนเองตามข้อ 1) นอกนั้น ให้จ่ายเป็นเงินสดทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า อาหารการกิน การเดินทาง และ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สิ่งอำนวยความสะดวกทั้งหลายทั้งแหล่ที่มักจะซื้อเพราะอยากได้ (want) แต่ไม่จำเป็น (need) แต่โลกยุคนี้ มีใครสักกี่คนที่จะไม่ใช้บัตรเครดิต ที่มีลูกล่อลูกชน ลด แลก แจก แถม กันมากมาย ผู้รู้บ้านเราหลายๆ ท่านจึงออกมาให้คำแนะนำว่า จงใช้บัตรเครดิตให้เหมือนเงินสด กล่าวคือ ทุกๆ ครั้งที่จะรูดปรึ๊ด เราต้องมีเงินสดพร้อมที่จะซื้อสิ่งนั้นๆ ได้อยู่แล้ว เมื่อรูดแล้ว ก็เอาเงินสด นั้น เก็บใส่กล่องต่างหากไว้ (เอ๊ะ ไม่ดี เดี๋ยวสมาคมนักวางแผนการเงินจะมาว่าเอาได้) เอาไปซื้อหน่วยลงทุนที่เป็น money market fund ที่มีความเสี่ยงน้อยที่สุด พอถึงเวลาใบแจ้งยอดบัญชีมาในแต่ละเดือน เราก็ขายหน่วยลงทุนคืน เอาเงินมาชำระยอดหนี้นั้น เห็นไหมครับ นอกจากได้สะสมแต้มตามความประสงค์แล้ว ถึงเดือนก็มีเงินมาจ่ายหนี้ แล้วยังได้ดอกผลจากกองทุนรวมอีกด้วย 3 in 1 เชียวนะคุณ
4) Pay Yourself First
จ่ายให้ตัวเองก่อน แม้แต่การแผ่เมตตา ยังต้องเริ่มด้วยการแผ่ให้ตนเองก่อนที่จะแผ่ให้ สัพเพ สัตตา สรรพสัตว์ ทั้งหลาย เพราะถ้าตัวเราเองไม่มีความสุขแล้ว เราจะเอาความสุขที่ไหนไปเผื่อแผ่ผู้อื่นได้ ชิมิ ชิมิ
การจ่ายให้ตนเองก่อนนั้น มีง่ายๆ อยู่วิธีเดียว คือการ “ออมก่อนใช้” ที่ผ่านๆ มา เวลาเราได้เงินเดือนมา เราก็จะมีความคิดว่า “เดือนนี้ เราจะใช้ให้น้อยลงหน่อย เพื่อที่ว่าปลายเดือนจะได้เหลือเก็บ” แต่จนแล้วจนรอดผมเชื่อว่ามีไม่ถึง 10% ที่สามารถทำได้อย่างหมาย อีกประมาณ 90% กว่าๆ มักจะจบลงด้วยการอดใจไม่ไหวที่จะซื้อของที่อยากได้ แล้วก็ปลอบใจตัวเองไปเดือนๆ ว่าเดือนหน้าค่อยออมแล้วกัน แล้วมันก็เป็นเดือนหน้าไปเรื่อยๆ ไม่ถึงเดือนนี้ที่รอคอยสักที
ดังนั้น จงตั้งใจบอกตัวเองไปเลยว่า ต่อไปนี้ทุกๆ เดือน เมื่อเงินเดือนออก จะต้องหักอย่างน้อย 10 - 15% ก่อน โดยตั้งปณิธานไว้เลยว่า จะไม่ไปแตะต้องเงินก้อนนี้อีกจนเกษียณ จะไปไว้ที่ไหนก็ได้ (ยกเว้นใส่ตุ่มฝังดิน) ที่ๆ มีผลประโยชน์งอกเงยเหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่แต่ละคนจะรับได้ ประมาณว่าให้เงินทำงานแทนเราแบบกองทุนบัวหลวงธนทวี
ใหม่ๆ คงยังหวังพึ่งอะไรกับเงินจำนวนน้อยนี้ไม่ได้ แต่มันจะค่อยโตวันโตคืน และเมื่อวันหนึ่งที่เราอาจจะทำงานไม่ไหว (หรือยังไหว แต่ไม่อยากทำ) เงินก้อนนี้แหละ ที่จะเติบโตเป็นไม้ใหญ่ที่สามารถให้ร่มเงาแก่เรา ทั้งยังมีดอกผลให้เก็บกินได้ด้วย เรียกว่าให้เงินทำงานมาเลี้ยงเราต่อไป กองทุนรวมของ บลจ.บัวหลวง ก็มีบริการหักบัญชีอัตโนมัติเพื่อซื้อกองทุนเป็นรายเดือน ลองเลือกๆกันดูนะครับ
5) Don’t Go for the Homerun
ในสนามเบสบอล ผู้เล่นที่หวดลูกอย่างเต็มแรงก็สามารถตีได้โฮมรันบ้าง นานๆ ครั้ง แต่ที่ตีเสียมักจะมากกว่า และทำให้พลิกโผแพ้กันไปเยอะ พวกที่ชนะคือ พวกที่ค่อยๆ ตั้งใจเก็บคะแนนทีละเบสไปเรื่อยๆ
การลงทุนก็ไม่ต่างอะไรกับเบสบอลนัก เราต้องพยายามหลีกเลี่ยงอะไรที่เสี่ยงมากๆ เช่น การลงทุนในหุ้นเป็นรายตัว โดยเฉพาะหุ้นที่มีราคาผันผวนขึ้นๆ ลงๆ ไปตามกระแสข่าวลือและอารมณ์ ความคาดหวังของตลาด โดยไม่ได้มีปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแรง ซึ่งต่างจากหุ้นคุณค่าที่แท้จริง เป็นบริษัทที่มีการบริหารจัดการที่ดี สามารถคาดการณ์กำไรและเงินปันผลได้ ที่แม้ว่าอาจจะมีราคาผันผวนบ้างตามสภาวะตลาดโดยรวม แต่ในระยะยาว ราคาของหุ้นนั้นๆ จะสะท้อนให้เห็นถึงมูลค่าที่แท้จริงของตัวเอง เปรียบเหมือนเพชรเนื้อดี ที่มัวหมองได้บ้างถ้าตกไปในตมเลน แต่เมื่อเอามาขัดถูให้ดี ก็จะส่องประกายแวววับได้เหมือนเดิม
ที่สำคัญอีกอย่าง คือ อย่าพยายามจับจังหวะตลาดตลอดเวลา เพราะแม้แต่ผู้จัดการกองทุนที่เก่งๆ ยังไม่สามารถทำได้ถูกต้องทุกครั้ง แค่ 7 ใน 10 ครั้ง ก็ถือว่าสุดยอดแล้วครับ การใช้วิธีถัวเฉลี่ยต้นทุน หรือ Dollar Cost Averaging ไปเรื่อยๆ เป็นระยะเวลานานๆ ถือว่าเป็นสิ่งที่ควรทำที่สุด เพราะเวลาตลาดไม่ดี ก็เท่ากับเราได้ซื้อของถูก และในเวลาตลาดดี portfolio โดยรวมของเรา ก็จะมีมูลค่าที่สูงขึ้น
ผมขออนุญาตฝากกราฟเส้นแสดงต้นทุนถัวเฉลี่ยของกองทุนเปิดบัวแก้วย้อนหลัง 10 ปี (2002 – 2011) มาให้ดูเล่นกันหน่อยนะครับ เส้นหยึกหยักขึ้นลงคือ NAV ต่อหน่วยของบัวแก้วที่ผันผวนขึ้นลงไปตามภาวะตลาด เทียบกับเส้น DCA ที่แสดงให้เห็นถึงต้นทุนต่อหน่วยในการซื้อแบบถัวเฉลี่ยทุกเดือนเป็นเวลา 120 เดือน จะเห็นได้ชัดว่าแม้ในยามวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ที่ NAV ร่วงเอาร่วงเอาขนาดนั้น port ยังไม่ขาดทุนเลยครับ หรือตอนที่ NAV เริ่มทะยานขึ้นหลังผ่านช่วงวิกฤตมาได้ด้วยฤทธิ์ยา QE ของลุงเบน ต้นทุนถัวก็ไม่ได้กระฉูดตามไปด้วย จากการคำนวณ ถ้าลงทุนในบัวแก้ว เดือนละ 10,000 บาท มา 10 ปี รวมต้นทุน 1,200,000 บาท มูลค่า ณ สิ้นปี 2011 จะเท่ากับ 2,900,000 บาทกว่าๆ กำไรนิดหน่อยพอค่าขนม 1,700,000 เท่านั้นครับ
6) Diversify, diversify, diversify
กระจายความเสี่ยงให้มากถึงมั๊กที่สุด ในยุคที่ตลาดบูมสุดขีด เช่นปี 2003 นักลงทุนส่วนใหญ่จะหันหลังให้กับตราสารหนี้ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น พันธบัตรรัฐบาล หรือหุ้นกู้เอกชน แล้วหลงระเริงกับราคาหุ้นที่สูงขึ้นเรื่อยๆ โดยลืมนึกถึงสัจธรรมที่ว่า ทุกอย่างมีขึ้น ก็มีลง และเมื่อลงสุดแล้ว ก็สามารถขึ้นได้ใหม่ นักโต้คลื่นที่เก่งๆ จะต้องทำได้ดีทั้งเมื่ออยู่บนยอดคลื่น และสามารถประคองตัวไม่ให้ถูกคลื่นกลบเมื่อต้องอยู่ใต้ท้องคลื่น
จริงๆ แล้ว ภาษิตไทยโบราณก็ได้กล่าวไว้อย่างแหลมคมว่า “ชั่วเจ็ดที ดีเจ็ดหน” ดังนั้น การจัดสรรเงินลงทุนของเราให้อยู่ในทรัพย์สินต่างๆ ที่มีวงจรขึ้นลงแตกต่างกันไป และไม่ขึ้นแก่กัน จึงเป็นสิ่งที่ควรทำอย่างยิ่ง อาจารย์ผมเคยสอนไว้ว่า ให้เหมือนการจัดทัพทีมฟุตบอล ที่ต้องมีทั้งกองหน้า(เสี่ยงมากแบบหุ้น) ที่จะทำประตูได้เมื่อมีโอกาส (เช่นปี 2003 ที่ตลาดหุ้นบวกไปถึง 116%) ต้องมีกองกลาง (เสี่ยงปานกลางแบบตราสารหนี้) ที่สามารถขึ้นไปช่วยกองหน้าทำประตูก็ได้ หรือลงมาช่วยกองหลังเวลาถูกบุกมากๆก็ได้ ต้องมีกองหลัง (เสี่ยงน้อยแบบตราสารการเงิน) ที่เน้นป้องกันแนวบ้านตัวเอง ทั้งนี้ อย่าลืมผู้รักษาประตูด้วยนะครับ (เสี่ยงน้อยสุดๆแบบเงินฝาก) ที่ต้องคอยรองรับเอาไว้
7) Live simply today for a more comfortable tomorrow
ใช้ชีวิตที่เรียบง่ายในวันนี้ เพื่อวันข้างหน้าที่สุขสบาย ผมใช้คำว่า “เรียบง่าย” นะครับ ไม่ใช่ “เขม็ดแขม่” ประเภทที่ไม่กินอะไรเลย นอกจากคัพนูดเดิล ใช้ชีวิตแบบสบายๆ ไม่ลำบากตน ไม่ลำบากท่าน ไม่ต้องหรูเริดวิลิศมาหลามากนัก อาจกินข้าวนอกบ้าน ดูหนังกับครอบครัวบ้าง กับเพื่อนบ้าง เพื่อสร้างความสัมพันธ์และความทรงจำที่ดี เปลี่ยนบรรยากาศบ้าง เพราะชีวิตไม่ใช่อะไรที่ต้องมุ่งไปแต่ข้างหน้า เหมือนม้าลากรถที่มีบังตาไม่ให้มองเห็นข้างๆ ทาง เพราะข้างทางมักมีดอกไม้สวยๆ ให้ชื่นชมโดยไม่ต้องเด็ด (บางทีอาจมีกระต่ายให้ยิงด้วย)
เพียงแค่สอดส่ายสายตาดูวิถีการใช้ชีวิตของเราบ้างเป็นครั้งคราว เผื่อเจออะไรที่มันเกินความจำเป็นไปมากๆ ก็งดเว้นเสีย นึกซะว่าเก็บตังค์ไว้สร้างความฝันเล็กๆ ให้เป็นจริงได้ เข้าทำนองภาษิตไทย (อีกแล้ว) ว่า “อดเปรี้ยวไว้กินหวาน”
8) Give generously to create a better world
เชื่อไหมว่าความมั่นคงทางการเงินของเรา ไม่ได้เป็นของเราเพียงคนเดียว เพราะมันหมายถึงความมั่นคงทั้งทางด้านการเงิน ตลอดจนทางด้านกายภาพและจิตวิญญาณของสังคมของประเทศ ไปจนถึงของโลก และจักรวาลทีเดียว ช่วยกันบริจาคคนละนิดละหน่อยนะครับ ให้กับใครก็ได้ที่เราอยากให้ จะเป็นเพื่อการศึกษา ศาสนา สวัสดิการสังคม หรือ ศิลปวัฒนธรรม ก็ตาม
ทุกครั้ง ด้วยการบริจาคหรือทำบุญเล็กๆ น้อยๆ ไม่ว่าจะเป็นเงิน ทรัพย์สินสิ่งของ หรือกำลังกาย (รวมทั้งกำลังใจด้วย) นอกจากจะเป็น Longer-term investment (คือ long กว่า long-term ธรรมดา เพราะมันข้ามภพข้ามชาติได้) การเสียสละนั้น นอกจากจะเป็นการช่วยให้เศรษฐกิจของประเทศมีความเข้มแข็งขึ้น ยังช่วยทำให้โลกนี้น่าอยู่ ไม่แห้งแล้งจนเกินไป เป็นโลกที่มีความปลอดภัยในการดำรงชีวิตมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นชีวิตของเราเอง หรือของลูกหลานในอนาคต
Happy Investing นะครับ