หนังสือจิบกาแฟ ท่องเน็ต เล่นหุ้น...ก็รวยได้
-
- Verified User
- โพสต์: 40089
- ผู้ติดตาม: 1
หนังสือจิบกาแฟ ท่องเน็ต เล่นหุ้น...ก็รวยได้
โพสต์ที่ 1
จิบกาแฟ ท่องเน็ต เล่นหุ้น...ก็รวยได้
โดย... บุญธรรม รจิตภิญโญเลิศ
Publisher:อมรินทร์
ราคา 120.00 บาท
108.00 บาท
Overview
หากคุณเป็นคนหนึ่งที่อยากลงทุนแต่มีงานประจำที่ต้องทำทั้งวัน ไม่มีเวลาติดตามหรือเฝ้าหน้าจอหุ้นหรือทองคำตลอดเวลา หรือหากมีเวลาบ้างก็พอได้แค่อ่านข่าวคราวเศรษฐกิจแบบผ่านๆ แต่คุณยังอยากลงทุนเพื่อให้เงินทำงาน สไตล์การลงทุนในหนังสือเล่มนี้เหมาะกับคุณ
Macro Investor หรือชื่อย่อที่รู้จักกันดีว่า MI คือผู้ที่ติดตามข่าวสารแบบรายวัน ทั้งข่าวเศรษฐกิจ สังคม การเงิน และการเมือง หลังจากทำงานประจำวันเสร็จก็จะนำข่าวคราวเหล่านั้นมาวิเคราะห์ เพื่อจะสร้างโอกาสในการลงทุนให้กับตนเอง โดยมีจุดเด่นหรือข้อดีคือคุณไม่ต้องเสียทั้งเวลาและเงินทองในการเสาะหาข้อมูลอินไซด์ เพียงข่าวสารรอบตัวคุณก็นำมาหาเงินใส่กระเป๋าได้อย่างสบายๆ ว่าแล้วขอเชิญคุณมารวยหุ้นอย่าง (มือ) โปรด้วยการเป็นชาว MI ด้วยกันเถอะ!
http://naiin.com/product/detail/82144/% ... 4%E0%B9%89
โดย... บุญธรรม รจิตภิญโญเลิศ
Publisher:อมรินทร์
ราคา 120.00 บาท
108.00 บาท
Overview
หากคุณเป็นคนหนึ่งที่อยากลงทุนแต่มีงานประจำที่ต้องทำทั้งวัน ไม่มีเวลาติดตามหรือเฝ้าหน้าจอหุ้นหรือทองคำตลอดเวลา หรือหากมีเวลาบ้างก็พอได้แค่อ่านข่าวคราวเศรษฐกิจแบบผ่านๆ แต่คุณยังอยากลงทุนเพื่อให้เงินทำงาน สไตล์การลงทุนในหนังสือเล่มนี้เหมาะกับคุณ
Macro Investor หรือชื่อย่อที่รู้จักกันดีว่า MI คือผู้ที่ติดตามข่าวสารแบบรายวัน ทั้งข่าวเศรษฐกิจ สังคม การเงิน และการเมือง หลังจากทำงานประจำวันเสร็จก็จะนำข่าวคราวเหล่านั้นมาวิเคราะห์ เพื่อจะสร้างโอกาสในการลงทุนให้กับตนเอง โดยมีจุดเด่นหรือข้อดีคือคุณไม่ต้องเสียทั้งเวลาและเงินทองในการเสาะหาข้อมูลอินไซด์ เพียงข่าวสารรอบตัวคุณก็นำมาหาเงินใส่กระเป๋าได้อย่างสบายๆ ว่าแล้วขอเชิญคุณมารวยหุ้นอย่าง (มือ) โปรด้วยการเป็นชาว MI ด้วยกันเถอะ!
http://naiin.com/product/detail/82144/% ... 4%E0%B9%89
-
- Verified User
- โพสต์: 2595
- ผู้ติดตาม: 0
Re: หนังสือจิบกาแฟ ท่องเน็ต เล่นหุ้น...ก็รวยได้
โพสต์ที่ 2
ผมยังไม่ได้ลองอ่านหนังสือเล่มนี้นะครับ เเค่อ่านIntroductionก็ฮาเเล้ว
ถ้าเล่นข่าวรายวัน...เเบบนี้ สมมุตินะครับสมมุติ
วันที่26/7/55 ตลาดหุ้นไทยภาคบ่ายเเย่หนัก กังวลยุโรป...กรีซอาจต้องออกจากยูโรโซน
เเย่เเล้ว เเย่เเล้ว
บ่ายนี้ตัดสินใจล้างPort...
ค่ำๆ chill chill ไปดูหนังดีกว่า รัก7ปีเข้าวันเเรก พรุ่งนี้หุ้นตกชัวร์ รอช้อน ช้อน ช้อน
....หนังจบราวเที่ยงคืน กลับมาลองกดyahoofinanceดู"ดาว"ซะหน่อย...
กดไป...บร๊ะเจ้า!!! Dow +126จุด ยุโรปก็บวกนรก เกิดไรขึ้น หาข่าว หาข่าว
เข้าที่นี่เลยthaivi.org, joklongjan.com
เวงกรรม...อีตา"ซุปเปอร์มาริโอ" มาริโอ ดรากิ ประธานธนาคารยุโรปดันเจือกออกมาประกาศว่าจะอุ้มยูโรโซน
พรุ่งนี้setอาจวิ่ง
เเล้ว เเล้ว ที่ล้างportไปหละ
555
เป็นตัวอย่างนะครับ
ผมจะสื่อว่า เราไม่สามารถคาดการข่าวรายวันได้หรอกครับ ผมเชื่อว่าน้อยคนที่จะรู้ว่านายดรากิ หรือนายเบอร์นันเก้ จะออกมาพูดอะไร พอมาพูดดีหน่อย...บรรยากาศลงทุนเปลี่ยน"ทั้งโลก" ทั้งๆที่กรีซ ต่อด้วยสเปนยังเเย่อยู่
นี่เเหละหนาตลาดหุ้น...เพื่อนผมมักจะบอกเสมอว่า"ไม่มีเหตุผล"
ถ้าเล่นข่าวรายวัน...เเบบนี้ สมมุตินะครับสมมุติ
วันที่26/7/55 ตลาดหุ้นไทยภาคบ่ายเเย่หนัก กังวลยุโรป...กรีซอาจต้องออกจากยูโรโซน
เเย่เเล้ว เเย่เเล้ว
บ่ายนี้ตัดสินใจล้างPort...
ค่ำๆ chill chill ไปดูหนังดีกว่า รัก7ปีเข้าวันเเรก พรุ่งนี้หุ้นตกชัวร์ รอช้อน ช้อน ช้อน
....หนังจบราวเที่ยงคืน กลับมาลองกดyahoofinanceดู"ดาว"ซะหน่อย...
กดไป...บร๊ะเจ้า!!! Dow +126จุด ยุโรปก็บวกนรก เกิดไรขึ้น หาข่าว หาข่าว
เข้าที่นี่เลยthaivi.org, joklongjan.com
เวงกรรม...อีตา"ซุปเปอร์มาริโอ" มาริโอ ดรากิ ประธานธนาคารยุโรปดันเจือกออกมาประกาศว่าจะอุ้มยูโรโซน
พรุ่งนี้setอาจวิ่ง
เเล้ว เเล้ว ที่ล้างportไปหละ
555
เป็นตัวอย่างนะครับ
ผมจะสื่อว่า เราไม่สามารถคาดการข่าวรายวันได้หรอกครับ ผมเชื่อว่าน้อยคนที่จะรู้ว่านายดรากิ หรือนายเบอร์นันเก้ จะออกมาพูดอะไร พอมาพูดดีหน่อย...บรรยากาศลงทุนเปลี่ยน"ทั้งโลก" ทั้งๆที่กรีซ ต่อด้วยสเปนยังเเย่อยู่
นี่เเหละหนาตลาดหุ้น...เพื่อนผมมักจะบอกเสมอว่า"ไม่มีเหตุผล"
คนเราจะมีความสุข มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่ามีเท่าไร เเต่ขึ้นกับว่า เราพอเมื่อไร
~หลวงพ่อชา สุภัทโท~
o
~หลวงพ่อชา สุภัทโท~
o
-
- Verified User
- โพสต์: 390
- ผู้ติดตาม: 0
Re: หนังสือจิบกาแฟ ท่องเน็ต เล่นหุ้น...ก็รวยได้
โพสต์ที่ 6
ข่าวมักจะตามหลัง ราคาหุ้น เสมอครับ
พูดอีกอย่างก็คือ ข่าวต่าง ๆ ที่ออกมาให้เราอ่านกันนั้น ออกมาเพื่อหาเหตุผลรองรับให้กับ ราคาหุ้นที่ขึ้นหรือลงไปแล้วทั้งสิ้น
ก็เหมือนกับที่คนทั่วไปชอบพูดติดตลกว่า คนเล่นหวย จะเก็งเลขได้แม่น ก็หลังจากที่ หวย ได้ออกไปแล้ว
พูดอีกอย่างก็คือ ข่าวต่าง ๆ ที่ออกมาให้เราอ่านกันนั้น ออกมาเพื่อหาเหตุผลรองรับให้กับ ราคาหุ้นที่ขึ้นหรือลงไปแล้วทั้งสิ้น
ก็เหมือนกับที่คนทั่วไปชอบพูดติดตลกว่า คนเล่นหวย จะเก็งเลขได้แม่น ก็หลังจากที่ หวย ได้ออกไปแล้ว
- Ii'8N
- Verified User
- โพสต์: 3682
- ผู้ติดตาม: 0
Re: หนังสือจิบกาแฟ ท่องเน็ต เล่นหุ้น...ก็รวยได้
โพสต์ที่ 7
ดูชื่อคนแต่งคุ้นๆ
กลับไปดู.... อ้อ..สอนเศรษฐศาสตร์ที่เกษตรนี่เอง เห็นให้สัมภาษณ์กรุงเทพธุรกิจบ่อย
View my feeds
You've successfully subscribed to this feed!
The Krungthepturakij - Radio
You are viewing a feed that contains frequently updated content. When you subscribe to a feed, it is added to the Common Feed List. Updated information from the feed is automatically downloaded to your computer and can be viewed in Internet Explorer and other programs. Learn more about feeds.
Subscribe to this feed
The Krungthepturakij - Radio
บทเรียนจาก Uro Zone ถึง AEC ตอนที่ 2
Monday, July 23, 2012, 1:30:00 PM
ดร.บุญธรรม รจิตภิญโญเลิศ อ.ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์radio_audio_2465.mp3
วิเคราะห์วิกฤติเศรษฐกิจ Ero บทเรียนสำหรับประเทศ AEC
Monday, July 09, 2012, 1:21:00 PM
ดร.บุญธรรม รจิตภิญโญเลิศ อ.ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์radio_audio_2445.mp3
สถานการณ์วิกฤตยุโรป และแนวโน้มเศรษฐกิจไทย
Monday, June 25, 2012, 1:30:00 PM
วิทยากร ดร.บุญธรรม รจิตภิญโญเลิศ อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ คอลัมน์นิสต์ นสพ.คม ชัด ลึกradio_audio_2424.mp3
เศรษฐกิจยุโรป และ ทิศทางการส่งออกของไทย
Monday, May 28, 2012, 1:40:00 PM
วิทยากร ดร.บุญธรรม รจิตภิญโญเลิศ อาจารย์ประจำ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัย เกษตรศาสตร์, คอลัมน์นิสต์ หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจradio_audio_2399.mp3
วิกฤตการเมืองและเศรษฐกิจ ใน กรีซ ที่กระทบต่อ ยูโรโซน
Monday, May 14, 2012, 5:16:00 PM
วิทยากร ดร.บุญธรรม รจิตภิญโญเลิศ อาจารย์ ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์radio_audio_2385.mp3
ทิศทางเศรษฐกิจ จีน ปี 2555
Monday, April 30, 2012, 6:24:00 PM
วิทยากร ..ดร.บุญธรรม รจิตภิญโญเลิศ อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์radio_audio_2371.mp3
ภาวะเศรษฐกิจยุโรปที่มีอิทธิพลต่อสถานการณ์เศรษฐกิจไทยในปัจจุบัน
Monday, April 02, 2012, 3:02:00 PM
ลับคมธุรกิจ : สัมภาษณ์ ดร.บุญธรรม รจิตภิญโญเลิศ อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์radio_audio_2343.mp3
กลับไปดู.... อ้อ..สอนเศรษฐศาสตร์ที่เกษตรนี่เอง เห็นให้สัมภาษณ์กรุงเทพธุรกิจบ่อย
View my feeds
You've successfully subscribed to this feed!
The Krungthepturakij - Radio
You are viewing a feed that contains frequently updated content. When you subscribe to a feed, it is added to the Common Feed List. Updated information from the feed is automatically downloaded to your computer and can be viewed in Internet Explorer and other programs. Learn more about feeds.
Subscribe to this feed
The Krungthepturakij - Radio
บทเรียนจาก Uro Zone ถึง AEC ตอนที่ 2
Monday, July 23, 2012, 1:30:00 PM
ดร.บุญธรรม รจิตภิญโญเลิศ อ.ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์radio_audio_2465.mp3
วิเคราะห์วิกฤติเศรษฐกิจ Ero บทเรียนสำหรับประเทศ AEC
Monday, July 09, 2012, 1:21:00 PM
ดร.บุญธรรม รจิตภิญโญเลิศ อ.ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์radio_audio_2445.mp3
สถานการณ์วิกฤตยุโรป และแนวโน้มเศรษฐกิจไทย
Monday, June 25, 2012, 1:30:00 PM
วิทยากร ดร.บุญธรรม รจิตภิญโญเลิศ อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ คอลัมน์นิสต์ นสพ.คม ชัด ลึกradio_audio_2424.mp3
เศรษฐกิจยุโรป และ ทิศทางการส่งออกของไทย
Monday, May 28, 2012, 1:40:00 PM
วิทยากร ดร.บุญธรรม รจิตภิญโญเลิศ อาจารย์ประจำ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัย เกษตรศาสตร์, คอลัมน์นิสต์ หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจradio_audio_2399.mp3
วิกฤตการเมืองและเศรษฐกิจ ใน กรีซ ที่กระทบต่อ ยูโรโซน
Monday, May 14, 2012, 5:16:00 PM
วิทยากร ดร.บุญธรรม รจิตภิญโญเลิศ อาจารย์ ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์radio_audio_2385.mp3
ทิศทางเศรษฐกิจ จีน ปี 2555
Monday, April 30, 2012, 6:24:00 PM
วิทยากร ..ดร.บุญธรรม รจิตภิญโญเลิศ อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์radio_audio_2371.mp3
ภาวะเศรษฐกิจยุโรปที่มีอิทธิพลต่อสถานการณ์เศรษฐกิจไทยในปัจจุบัน
Monday, April 02, 2012, 3:02:00 PM
ลับคมธุรกิจ : สัมภาษณ์ ดร.บุญธรรม รจิตภิญโญเลิศ อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์radio_audio_2343.mp3
- chukieat30
- Verified User
- โพสต์: 3531
- ผู้ติดตาม: 0
Re: หนังสือจิบกาแฟ ท่องเน็ต เล่นหุ้น...ก็รวยได้
โพสต์ที่ 8
Macro Investor หรือชื่อย่อที่รู้จักกันดีว่า MI คือผู้ที่ติดตามข่าวสารแบบรายวัน ทั้งข่าวเศรษฐกิจ สังคม การเงิน และการเมือง หลังจากทำงานประจำวันเสร็จก็จะนำข่าวคราวเหล่านั้นมาวิเคราะห์ เพื่อจะสร้างโอกาสในการลงทุนให้กับตนเอง โดยมีจุดเด่นหรือข้อดีคือคุณไม่ต้องเสียทั้งเวลาและเงินทองในการเสาะหาข้อมูลอินไซด์ เพียงข่าวสารรอบตัวคุณก็นำมาหาเงินใส่กระเป๋าได้อย่างสบายๆ ว่าแล้วขอเชิญคุณมารวยหุ้นอย่าง (มือ) โปรด้วยการเป็นชาว MI ด้วยกันเถอะ!
ผมมองว่าเค้าแค่หยิบ หลักของ VI มาใช้ การลงทุนแบบ KISS
ขอยกบทความตอนหนึ่งของท่านอาจารย์ ดร นิเวศน์ มาครับ
การลงทุนนั้นก็เหมือนกับการทำอะไรอีกหลาย ๆ อย่างที่ วิธีหรือกระบวนการที่ง่ายกลับให้ผลที่ดีกว่าวิธีที่ยากและซับซ้อน ในภาษาอังกฤษจึงมีคำพูดที่นิยมกันมากว่า “Keep It Simple And Stupid” หรือใช้คำย่อว่า “KISS” แปลเป็นไทยว่า ต้องทำให้มันง่ายและโง่ที่สุด
การลงทุนแบบ KISS นั้นควรจะเป็นอย่างไร? และมันดีจริงหรือ? เพื่อที่จะตอบคำถามนี้ ผมขอยกหลักการของโปรเฟสเซอร์ Charles D. Ellis นักวิชาการและนักเขียนเรื่องเกี่ยวกับการลงทุนชื่อดังมาอธิบาย เขาเสนอว่า KISS ในการลงทุนนั้น มีหลักการและวิธีการ 5 ขั้นดังต่อไปนี้
ข้อแรก เก็บออมเงินสม่ำเสมอและเริ่มตั้งแต่อายุน้อย หลักการนี้เป็นพื้นฐานที่สำคัญมาก เพราะการเริ่มต้นเร็วนั้น นอกจากจะเพาะนิสัยในการเก็บออมแล้ว การลงทุนจะเริ่มได้เร็วและมีระยะเวลาลงทุนนานกว่าที่เราจะเกษียณอายุ ด้วยพลังของการ “ทบต้น” ของผลตอบแทนที่ได้จะทำให้เม็ดเงินเติบโตเร็วมาก วิธีที่จะคำนวณว่าเม็ดเงินจะเติบโตไปถึงแค่ไหนนั้น เราสามารถใช้ “สูตร 72” คำนวณได้ สูตรนี้จะบอกว่าเงินเราจะเพิ่มเป็นเท่าตัวต้องใช้เวลากี่ปี ตัวอย่างเช่น ถ้าเราลงทุนในกองทุนหุ้นซึ่งจะให้ผลตอบแทนเฉลี่ยปีละ 10% ก็ให้เอา 72 ตั้งหารด้วย 10 ได้ค่าเท่ากับ 7.2 ก็จะได้ว่าเงินของเรา 1 ล้านบาทจะโตเป็น 2 ล้านบาทจะใช้เวลาประมาณ 7.2 ปี ดังนั้น ถ้าเรามีเวลาลงทุน 14 ปีเงินก็จะโตไปอีกเท่าตัวเป็น 4 ล้านบาท และถ้าลงทุน 21 ปี จะกลายเป็น 8 ล้านบาท ถ้าลงทุน 28 ปี ก็จะกลายเป็น 16 ล้านบาท แบบนี้ไปเรื่อย ๆ ดังนั้น ระยะเวลาในการลงทุนจึงเป็นปัจจัยที่สำคัญอย่างยิ่งยวดที่จะทำให้เรารวย
ข้อสอง ใช้ประโยชน์จากการลดหย่อนภาษีของรัฐบาลในโครงการเพื่อการลงทุนระยะยาวและการเกษียณอายุ ในเมืองไทยก็คือ การลงทุนในกองทุน RMF หรือกองทุนเพื่อการเกษียณอายุ และ LTF หรือกองทุนหุ้นระยะยาว ทั้งสองกองทุนนั้นเราสามารถนำเงินที่ลงทุนไปลดหย่อนภาษีรายได้ประจำปีของเรา ซึ่งเท่ากับว่ารัฐบาลช่วยสนับสนุนหรือเพิ่มเม็ดเงินที่เราออมตามอัตราภาษีที่เราจ่ายประจำปี เช่น ถ้าเราต้องจ่ายภาษีขั้นสุดท้ายที่ 20% เงินที่เราลงทุนใน RMF และ LTF ก็จะได้ภาษีคืนเท่ากับ 20% นี่เท่ากับว่ารัฐบาลช่วยเพิ่มเงินออมให้เราเท่ากับ 20% ในส่วนนี้เมื่อคิดว่ามันจะให้ผลตอบแทนทบต้นเข้าไปเรื่อย ๆ ในระยะยาว เม็ดเงินที่เราจะได้ก็มหาศาลโดยไม่มีความเสี่ยง
ข้อสาม เงินออมทั้งหมดเราจะต้องเอาไปลงทุน โดยการลงทุนของเรานั้นเราจะต้อง “กระจายความเสี่ยง” ให้อยู่ในตราสารการเงินหลาย ๆ ประเภทที่เหมาะสมกับเรา เช่นต้องมีเงินฝากจำนวนหนึ่ง มีกองทุนพันธบัตร และมีกองทุนหุ้น เป็นต้น โดยสัดส่วนการกระจายนั้น เราอาจจะกำหนดเป็นสูตรที่เราคิดว่าเหมาะสมกับการกล้ารับความเสี่ยงของเรา เช่น ถ้าเรารับความเสี่ยงได้มาก เราอาจจะลงทุนในกองทุนหุ้น 70% กองทุนพันธบัตรหรือตราสารหนี้ 20% และเป็นเงินฝาก 10% เป็นต้น ถ้ารับความเสี่ยงได้น้อย อาจจะลงในหุ้นเพียง 40% อีก 50% เป็นพันธบัตร ที่เหลืออีก 10% เป็นเงินสดในธนาคารเป็นต้น ในส่วนของการเลือกกองทุนนั้น เราควรลงทุนในกองทุนที่อิงดัชนีที่คิดค่าจัดการกองทุนในอัตราที่ต่ำเป็นหลัก อย่าไปลงทุนในกองทุนที่พยายามสร้างผลตอบแทนที่เหนือตลาด เพราะสถิติบอกว่ากองทุนเหล่านี้ส่วนใหญ่แล้วให้ผลตอบแทนแย่กว่ากองทุนที่อิงดัชนีและคิดค่าบริหารกองทุนต่ำ
ข้อสี่ เมื่อจัดพอร์ตลงทุนตามสัดส่วนการกระจายการลงทุนแล้ว ทุกสิ้นปีสัดส่วนเงินลงทุนในพอร์ตก็มักจะเปลี่ยนไปเพราะตราสารบางกลุ่มจะให้ผลตอบแทนดีกว่าทำให้เม็ดเงินมากเกินสัดส่วน ดังนั้น เราจะต้องจัดการ Rebalance หรือจัดสัดส่วนการลงทุนใหม่โดยการขายหน่วยลงทุนส่วนที่มีผลตอบแทนมากและสัดส่วนเกินที่กำหนดในตอนต้นปี ไปซื้อหน่วยลงทุนที่มีสัดส่วนน้อยลงแทนเพื่อทำให้สัดส่วนการลงทุนในแต่ละกลุ่มกลับมาอยู่ที่เดิมที่เราตั้งไว้ อย่าเปลี่ยนสัดส่วนเพราะคิดว่ากองทุนแบบหนึ่งกำลังทำผลงานดีหรือแย่กว่าที่คาด
ข้อห้า ยึดมั่นกับหลักการและวิธีการตั้งแต่ข้อหนึ่งถึงข้อสี่โดยไม่ต้องสนใจภาวะตลาดการเงินที่ผันผวน เช่นเวลาที่ตลาดหุ้นตกหนักอย่าขายหน่วยลงทุนในกองทุนหุ้น เพราะเราไม่รู้ว่าพรุ่งนี้มันจะยังตกหรือเปล่า เช่นเดียวกัน ในช่วงที่หุ้นขึ้นก็อย่าไปซื้อเพิ่ม เพราะไม่รู้ว่าพรุ่งนี้มันอาจจะตกก็ได้ การพยายามคาดการณ์ทิศทางตลาดหุ้นนั้นส่วนใหญ่แล้วไม่เป็นประโยชน์ ควรเน้นการลงทุนระยะยาวซึ่งสถิติบอกว่าหุ้นนั้นในที่สุดก็จะกลับมาให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าการลงทุนประเภทอื่น
หลักการทั้งห้าข้อนี้ ดร. เอลลิส บอกว่าเป็นแผนการเงินเพื่อการเกษียณที่ทำแล้วสบายใจและแทบ “ไม่ต้องดูแล” ที่สำคัญมันง่ายมาก แต่สิ่งที่ต้องระวังที่สุดก็คือ มันต้องการ “วินัย” ที่เข้มงวด และ “อารมณ์” ที่มั่นคง สุดท้าย อาจารย์เอลลิส บอกว่า แผนการเงินนี้ควรที่จะต้องเป็นแผนร่วมของทั้งสามีและภรรยา ทั้งคู่จะต้องเข้าใจและตัดสินใจร่วมกันจึงจะทำให้เกิดผลสำเร็จ และดังนั้น คำว่า KISS จึงถูกแปลใหม่ว่า Keep It Simple, Sweetheart. แผนการเงินที่ง่าย นะจ๊ะ ที่รัก
ความคิดของผมเองคิดว่า หลักการและวิธีการของโปรเฟสเซอร์ เอลลิส นั้น เป็นวิธีการที่เหมาะสมและถูกต้องของพนักงานลูกจ้างที่กินเงินเดือนส่วนใหญ่ที่ไม่มีเวลาหรือความรู้มากพอที่จะศึกษาและลงทุนเอง วิธีนี้เมื่อกำหนดกลยุทธใหญ่โดยเฉพาะในเรื่องของการจัดสรรสัดส่วนเงินลงทุนในตราสารการเงินเรียบร้อยแล้วก็แทบไม่ต้องทำอะไรอีกยกเว้นการปรับพอร์ตในแต่ละปี แต่ผลการลงทุนและเม็ดเงินที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเวลาผ่านไปนั้น จะช่วยสร้างความมั่นใจว่าหลักการนี้ดีจริงและความมั่นใจที่จะยึดกับหลักการนี้จะเพิ่มขึ้น และเมื่อถึงวันที่เราเกษียณจริง ๆ ผมคิดว่าอย่างน้อยเราน่าจะอยู่ได้อย่างสุขสบาย และสำหรับบางคนก็อาจจะ รวยไปเลย
การจะนำหลักใดๆของ VIไปใช้ ควรให้เกียรติแก่ผู้เผยแพร่ และให้เกียรติแก่ ผู้บุกเบิกครับ
ถ้าเป็นผม จะไม่ใช้ชื่อ MI เพราะหลักแนวคิดแบบนี้ มาจาก VI
ผมมองว่าเค้าแค่หยิบ หลักของ VI มาใช้ การลงทุนแบบ KISS
ขอยกบทความตอนหนึ่งของท่านอาจารย์ ดร นิเวศน์ มาครับ
การลงทุนนั้นก็เหมือนกับการทำอะไรอีกหลาย ๆ อย่างที่ วิธีหรือกระบวนการที่ง่ายกลับให้ผลที่ดีกว่าวิธีที่ยากและซับซ้อน ในภาษาอังกฤษจึงมีคำพูดที่นิยมกันมากว่า “Keep It Simple And Stupid” หรือใช้คำย่อว่า “KISS” แปลเป็นไทยว่า ต้องทำให้มันง่ายและโง่ที่สุด
การลงทุนแบบ KISS นั้นควรจะเป็นอย่างไร? และมันดีจริงหรือ? เพื่อที่จะตอบคำถามนี้ ผมขอยกหลักการของโปรเฟสเซอร์ Charles D. Ellis นักวิชาการและนักเขียนเรื่องเกี่ยวกับการลงทุนชื่อดังมาอธิบาย เขาเสนอว่า KISS ในการลงทุนนั้น มีหลักการและวิธีการ 5 ขั้นดังต่อไปนี้
ข้อแรก เก็บออมเงินสม่ำเสมอและเริ่มตั้งแต่อายุน้อย หลักการนี้เป็นพื้นฐานที่สำคัญมาก เพราะการเริ่มต้นเร็วนั้น นอกจากจะเพาะนิสัยในการเก็บออมแล้ว การลงทุนจะเริ่มได้เร็วและมีระยะเวลาลงทุนนานกว่าที่เราจะเกษียณอายุ ด้วยพลังของการ “ทบต้น” ของผลตอบแทนที่ได้จะทำให้เม็ดเงินเติบโตเร็วมาก วิธีที่จะคำนวณว่าเม็ดเงินจะเติบโตไปถึงแค่ไหนนั้น เราสามารถใช้ “สูตร 72” คำนวณได้ สูตรนี้จะบอกว่าเงินเราจะเพิ่มเป็นเท่าตัวต้องใช้เวลากี่ปี ตัวอย่างเช่น ถ้าเราลงทุนในกองทุนหุ้นซึ่งจะให้ผลตอบแทนเฉลี่ยปีละ 10% ก็ให้เอา 72 ตั้งหารด้วย 10 ได้ค่าเท่ากับ 7.2 ก็จะได้ว่าเงินของเรา 1 ล้านบาทจะโตเป็น 2 ล้านบาทจะใช้เวลาประมาณ 7.2 ปี ดังนั้น ถ้าเรามีเวลาลงทุน 14 ปีเงินก็จะโตไปอีกเท่าตัวเป็น 4 ล้านบาท และถ้าลงทุน 21 ปี จะกลายเป็น 8 ล้านบาท ถ้าลงทุน 28 ปี ก็จะกลายเป็น 16 ล้านบาท แบบนี้ไปเรื่อย ๆ ดังนั้น ระยะเวลาในการลงทุนจึงเป็นปัจจัยที่สำคัญอย่างยิ่งยวดที่จะทำให้เรารวย
ข้อสอง ใช้ประโยชน์จากการลดหย่อนภาษีของรัฐบาลในโครงการเพื่อการลงทุนระยะยาวและการเกษียณอายุ ในเมืองไทยก็คือ การลงทุนในกองทุน RMF หรือกองทุนเพื่อการเกษียณอายุ และ LTF หรือกองทุนหุ้นระยะยาว ทั้งสองกองทุนนั้นเราสามารถนำเงินที่ลงทุนไปลดหย่อนภาษีรายได้ประจำปีของเรา ซึ่งเท่ากับว่ารัฐบาลช่วยสนับสนุนหรือเพิ่มเม็ดเงินที่เราออมตามอัตราภาษีที่เราจ่ายประจำปี เช่น ถ้าเราต้องจ่ายภาษีขั้นสุดท้ายที่ 20% เงินที่เราลงทุนใน RMF และ LTF ก็จะได้ภาษีคืนเท่ากับ 20% นี่เท่ากับว่ารัฐบาลช่วยเพิ่มเงินออมให้เราเท่ากับ 20% ในส่วนนี้เมื่อคิดว่ามันจะให้ผลตอบแทนทบต้นเข้าไปเรื่อย ๆ ในระยะยาว เม็ดเงินที่เราจะได้ก็มหาศาลโดยไม่มีความเสี่ยง
ข้อสาม เงินออมทั้งหมดเราจะต้องเอาไปลงทุน โดยการลงทุนของเรานั้นเราจะต้อง “กระจายความเสี่ยง” ให้อยู่ในตราสารการเงินหลาย ๆ ประเภทที่เหมาะสมกับเรา เช่นต้องมีเงินฝากจำนวนหนึ่ง มีกองทุนพันธบัตร และมีกองทุนหุ้น เป็นต้น โดยสัดส่วนการกระจายนั้น เราอาจจะกำหนดเป็นสูตรที่เราคิดว่าเหมาะสมกับการกล้ารับความเสี่ยงของเรา เช่น ถ้าเรารับความเสี่ยงได้มาก เราอาจจะลงทุนในกองทุนหุ้น 70% กองทุนพันธบัตรหรือตราสารหนี้ 20% และเป็นเงินฝาก 10% เป็นต้น ถ้ารับความเสี่ยงได้น้อย อาจจะลงในหุ้นเพียง 40% อีก 50% เป็นพันธบัตร ที่เหลืออีก 10% เป็นเงินสดในธนาคารเป็นต้น ในส่วนของการเลือกกองทุนนั้น เราควรลงทุนในกองทุนที่อิงดัชนีที่คิดค่าจัดการกองทุนในอัตราที่ต่ำเป็นหลัก อย่าไปลงทุนในกองทุนที่พยายามสร้างผลตอบแทนที่เหนือตลาด เพราะสถิติบอกว่ากองทุนเหล่านี้ส่วนใหญ่แล้วให้ผลตอบแทนแย่กว่ากองทุนที่อิงดัชนีและคิดค่าบริหารกองทุนต่ำ
ข้อสี่ เมื่อจัดพอร์ตลงทุนตามสัดส่วนการกระจายการลงทุนแล้ว ทุกสิ้นปีสัดส่วนเงินลงทุนในพอร์ตก็มักจะเปลี่ยนไปเพราะตราสารบางกลุ่มจะให้ผลตอบแทนดีกว่าทำให้เม็ดเงินมากเกินสัดส่วน ดังนั้น เราจะต้องจัดการ Rebalance หรือจัดสัดส่วนการลงทุนใหม่โดยการขายหน่วยลงทุนส่วนที่มีผลตอบแทนมากและสัดส่วนเกินที่กำหนดในตอนต้นปี ไปซื้อหน่วยลงทุนที่มีสัดส่วนน้อยลงแทนเพื่อทำให้สัดส่วนการลงทุนในแต่ละกลุ่มกลับมาอยู่ที่เดิมที่เราตั้งไว้ อย่าเปลี่ยนสัดส่วนเพราะคิดว่ากองทุนแบบหนึ่งกำลังทำผลงานดีหรือแย่กว่าที่คาด
ข้อห้า ยึดมั่นกับหลักการและวิธีการตั้งแต่ข้อหนึ่งถึงข้อสี่โดยไม่ต้องสนใจภาวะตลาดการเงินที่ผันผวน เช่นเวลาที่ตลาดหุ้นตกหนักอย่าขายหน่วยลงทุนในกองทุนหุ้น เพราะเราไม่รู้ว่าพรุ่งนี้มันจะยังตกหรือเปล่า เช่นเดียวกัน ในช่วงที่หุ้นขึ้นก็อย่าไปซื้อเพิ่ม เพราะไม่รู้ว่าพรุ่งนี้มันอาจจะตกก็ได้ การพยายามคาดการณ์ทิศทางตลาดหุ้นนั้นส่วนใหญ่แล้วไม่เป็นประโยชน์ ควรเน้นการลงทุนระยะยาวซึ่งสถิติบอกว่าหุ้นนั้นในที่สุดก็จะกลับมาให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าการลงทุนประเภทอื่น
หลักการทั้งห้าข้อนี้ ดร. เอลลิส บอกว่าเป็นแผนการเงินเพื่อการเกษียณที่ทำแล้วสบายใจและแทบ “ไม่ต้องดูแล” ที่สำคัญมันง่ายมาก แต่สิ่งที่ต้องระวังที่สุดก็คือ มันต้องการ “วินัย” ที่เข้มงวด และ “อารมณ์” ที่มั่นคง สุดท้าย อาจารย์เอลลิส บอกว่า แผนการเงินนี้ควรที่จะต้องเป็นแผนร่วมของทั้งสามีและภรรยา ทั้งคู่จะต้องเข้าใจและตัดสินใจร่วมกันจึงจะทำให้เกิดผลสำเร็จ และดังนั้น คำว่า KISS จึงถูกแปลใหม่ว่า Keep It Simple, Sweetheart. แผนการเงินที่ง่าย นะจ๊ะ ที่รัก
ความคิดของผมเองคิดว่า หลักการและวิธีการของโปรเฟสเซอร์ เอลลิส นั้น เป็นวิธีการที่เหมาะสมและถูกต้องของพนักงานลูกจ้างที่กินเงินเดือนส่วนใหญ่ที่ไม่มีเวลาหรือความรู้มากพอที่จะศึกษาและลงทุนเอง วิธีนี้เมื่อกำหนดกลยุทธใหญ่โดยเฉพาะในเรื่องของการจัดสรรสัดส่วนเงินลงทุนในตราสารการเงินเรียบร้อยแล้วก็แทบไม่ต้องทำอะไรอีกยกเว้นการปรับพอร์ตในแต่ละปี แต่ผลการลงทุนและเม็ดเงินที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเวลาผ่านไปนั้น จะช่วยสร้างความมั่นใจว่าหลักการนี้ดีจริงและความมั่นใจที่จะยึดกับหลักการนี้จะเพิ่มขึ้น และเมื่อถึงวันที่เราเกษียณจริง ๆ ผมคิดว่าอย่างน้อยเราน่าจะอยู่ได้อย่างสุขสบาย และสำหรับบางคนก็อาจจะ รวยไปเลย
การจะนำหลักใดๆของ VIไปใช้ ควรให้เกียรติแก่ผู้เผยแพร่ และให้เกียรติแก่ ผู้บุกเบิกครับ
ถ้าเป็นผม จะไม่ใช้ชื่อ MI เพราะหลักแนวคิดแบบนี้ มาจาก VI
ถ้าคุณตีลูกตามไทเกอร์ คุณก้ไม่มีทางจะเหนือกว่า ไทเกอร์ จงนำวงสวิงของไทเกอร์มาปรับใช้ให้เหมาะกับคุณ
หวิ่งชุนหวอซาน หวิ่งชุนยิปมันจีทคุดโด้ พื้นฐานก้มาจากหวิ่งชุน แม้ชื่อจะต่าง
แต่หวิ่งชุนก้คือ หวิ่งชุน
ทำวันนี้ให้ดี ทำพรุ่งนี้ให้ดีกว่า และทำวันข้างหน้าให้ดีที่สุด
หวิ่งชุนหวอซาน หวิ่งชุนยิปมันจีทคุดโด้ พื้นฐานก้มาจากหวิ่งชุน แม้ชื่อจะต่าง
แต่หวิ่งชุนก้คือ หวิ่งชุน
ทำวันนี้ให้ดี ทำพรุ่งนี้ให้ดีกว่า และทำวันข้างหน้าให้ดีที่สุด
- picklife
- Verified User
- โพสต์: 2565
- ผู้ติดตาม: 0
Re: หนังสือจิบกาแฟ ท่องเน็ต เล่นหุ้น...ก็รวยได้
โพสต์ที่ 10
ผมว่าใช้เวลาไม่น้อยนะครับ^^pakapong_u เขียน:จิบกาแฟ ท่องเน็ต เล่นหุ้น...ก็รวยได้
หากคุณเป็นคนหนึ่งที่อยากลงทุนแต่มีงานประจำที่ต้องทำทั้งวัน ไม่มีเวลาติดตามหรือเฝ้าหน้าจอหุ้นหรือทองคำตลอดเวลา หรือหากมีเวลาบ้างก็พอได้แค่อ่านข่าวคราวเศรษฐกิจแบบผ่านๆ แต่คุณยังอยากลงทุนเพื่อให้เงินทำงาน สไตล์การลงทุนในหนังสือเล่มนี้เหมาะกับคุณ
Macro Investor หรือชื่อย่อที่รู้จักกันดีว่า MI คือผู้ที่ติดตามข่าวสารแบบรายวัน ทั้งข่าวเศรษฐกิจ สังคม การเงิน และการเมือง หลังจากทำงานประจำวันเสร็จก็จะนำข่าวคราวเหล่านั้นมาวิเคราะห์ เพื่อจะสร้างโอกาสในการลงทุนให้กับตนเอง โดยมีจุดเด่นหรือข้อดีคือคุณไม่ต้องเสียทั้งเวลาและเงินทองในการเสาะหาข้อมูลอินไซด์ เพียงข่าวสารรอบตัวคุณก็นำมาหาเงินใส่กระเป๋าได้อย่างสบายๆ ว่าแล้วขอเชิญคุณมารวยหุ้นอย่าง (มือ) โปรด้วยการเป็นชาว MI ด้วยกันเถอะ!
เม่าน้อยคลำทางหาแสงไฟ
-
- Verified User
- โพสต์: 170
- ผู้ติดตาม: 0
Re: หนังสือจิบกาแฟ ท่องเน็ต เล่นหุ้น...ก็รวยได้
โพสต์ที่ 11
นักลงทุนแนวเศรษฐศาสตร์มหภาค จะใส่ใจต่อปัจจัยทางเศรษฐกิจ ซึ่งส่งผลต่อหลักทรัพย์ทั้งหมด หรือหลักทรัพย์กลุ่มใหญ่ ปัจจัยดังกล่าวรวมไปถึง อัตราเงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ย อัตราแลกเปลี่ยน อัตราการว่างงาน และอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจทั้งระดับประเทศและระดับโลก
พวกเขาจะใช้ข้อมูลเพื่อทำนายแนวโน้มเศรษฐกิจ และนำการการคาดการณ์มาพิจารณาดูว่าหลักทรัพย์หรือหุ้นตัวไหนได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงที่เขาทำนายมากที่สุด
บ่อยครั้งการลงทุนแนวนี้ถูกเรียกว่า การลงทุนจากบนลงล่าง (Top down)
และนักลงทุนแบบดูภาพรวมที่ประสบความสำเร็จก็มีอยู่จริง (ไม่ได้บอก)
Ref:Bruce C. N. Greenwald, Judd Kahn, Paul D. Salkin and Michael van Biema “Value investing From Graham to Buffett and Beyond”
พวกเขาจะใช้ข้อมูลเพื่อทำนายแนวโน้มเศรษฐกิจ และนำการการคาดการณ์มาพิจารณาดูว่าหลักทรัพย์หรือหุ้นตัวไหนได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงที่เขาทำนายมากที่สุด
บ่อยครั้งการลงทุนแนวนี้ถูกเรียกว่า การลงทุนจากบนลงล่าง (Top down)
และนักลงทุนแบบดูภาพรวมที่ประสบความสำเร็จก็มีอยู่จริง (ไม่ได้บอก)
Ref:Bruce C. N. Greenwald, Judd Kahn, Paul D. Salkin and Michael van Biema “Value investing From Graham to Buffett and Beyond”
-
- Verified User
- โพสต์: 63
- ผู้ติดตาม: 0
Re: หนังสือจิบกาแฟ ท่องเน็ต เล่นหุ้น...ก็รวยได้
โพสต์ที่ 14
ดูจาก overview เหมือนจะเป็นการวิเคราะห์แบบ TOP DOWN
แต่การอ่านข่าวสารแบบรายวันหลังจากเสร็จงานประจำ ทั้งข่าวเศรษฐกิจ สังคม การเงิน และการเมือง แถมยังต้องวิเคราะห์ข้อมูลจากข่าวอีก ใช้เวลาเยอะอยู่ จะไหวเหรอ
แต่การอ่านข่าวสารแบบรายวันหลังจากเสร็จงานประจำ ทั้งข่าวเศรษฐกิจ สังคม การเงิน และการเมือง แถมยังต้องวิเคราะห์ข้อมูลจากข่าวอีก ใช้เวลาเยอะอยู่ จะไหวเหรอ
-
- Verified User
- โพสต์: 2595
- ผู้ติดตาม: 0
Re: หนังสือจิบกาแฟ ท่องเน็ต เล่นหุ้น...ก็รวยได้
โพสต์ที่ 15
ส่วนตัวคิดว่าคงไปอ่านเเน่นอนครับ เเต่จะซื้อหรือไม่ขอดูก่อน...ไม่ได้ตัดสินจากปกนะ
คนเราจะมีความสุข มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่ามีเท่าไร เเต่ขึ้นกับว่า เราพอเมื่อไร
~หลวงพ่อชา สุภัทโท~
o
~หลวงพ่อชา สุภัทโท~
o
- ดาวหางสีแดง
- Verified User
- โพสต์: 635
- ผู้ติดตาม: 0
Re: หนังสือจิบกาแฟ ท่องเน็ต เล่นหุ้น...ก็รวยได้
โพสต์ที่ 16
[quote="harikung"]คำถามคือผู้เขียนมีผลงานการลงทุนเป็นอย่างไร ผลตอบแทนทบต้นต่อปีเท่าไหร่ ผลงานจะช่วยตอบคำถามเองว่าควรจะซื้ออ่านมั้ย
You are what you eat
Garbage in garbage out[/quote]
เห็นด้วยอย่างยิ่งครับ
ความยุติธรรมอย่างนึงของตลาดหุ้นคือ ถ้าคุณเก่ง คุณจะประสบความสำเร็จ
ซึ่งเรื่องนี้จะต่างออกไปจากแวดวงอื่น ในที่ทำงานบริษัทหรือแวดวงราชการ
บางครั้งเราจะเห็นคนไม่เก่ง ก้าวหน้ากว่าคนเก่ง
ถ้าจะดูว่าคนไหนเก่งเรื่องการลงทุน ผมว่าให้ดูที่ผลตอบแทนระยะยาวของเขา
You are what you eat
Garbage in garbage out[/quote]
เห็นด้วยอย่างยิ่งครับ
ความยุติธรรมอย่างนึงของตลาดหุ้นคือ ถ้าคุณเก่ง คุณจะประสบความสำเร็จ
ซึ่งเรื่องนี้จะต่างออกไปจากแวดวงอื่น ในที่ทำงานบริษัทหรือแวดวงราชการ
บางครั้งเราจะเห็นคนไม่เก่ง ก้าวหน้ากว่าคนเก่ง
ถ้าจะดูว่าคนไหนเก่งเรื่องการลงทุน ผมว่าให้ดูที่ผลตอบแทนระยะยาวของเขา
- generalman
- Verified User
- โพสต์: 81
- ผู้ติดตาม: 0
Re: หนังสือจิบกาแฟ ท่องเน็ต เล่นหุ้น...ก็รวยได้
โพสต์ที่ 17
คงจะลองไปอ่านเล่นดูเหมือนกันครับ บางครั้งอาจได้แนวคิดที่แปลกๆ แต่ยังไงก็ตามยังยึดมั่นอยู่กับ VI เหมือนเดิมครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 94
- ผู้ติดตาม: 0
Re: หนังสือจิบกาแฟ ท่องเน็ต เล่นหุ้น...ก็รวยได้
โพสต์ที่ 19
ก่อนที่จะวิจารณ์แนวทางของคนอื่น ได้อ่านเนื้อหาของเขาแล้วเหรอครับ ผมว่าการลงทุนแนวไหนก็ได้ขอให้ได้เงินมาเป็นใช้ได้ครับ แนวเทคนิคก็มีคนรวยเป็นร้อยล้านพันล้านก็มีครับ ขอให้ได้อ่านก่อนแล้วค่อยมาวิจารณ์ดีกว่าครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 2595
- ผู้ติดตาม: 0
Re: หนังสือจิบกาแฟ ท่องเน็ต เล่นหุ้น...ก็รวยได้
โพสต์ที่ 20
[quote="torpongpak"]ผมยังไม่ได้ลองอ่านหนังสือเล่มนี้นะครับ เเค่อ่านIntroductionก็ฮาเเล้ว[/quote]
ขอเน้นนะครับว่าที่วิจารณ์ก่อนหน้านั้นเป็นวิจารณ์"introduction"อย่างเดียว ซึ่งผมก็มองว่ามีสิทธิ์ที่จะวิจารณ์introductionนั้น...วันนี้ผมคงขอใช้สิทธิ์อีกครั้งในการวิจารณ์"เนื้อหา"นะครับเพราะอ่านหนังสือเล่มนี้จบเเล้ว
อ่านเเล้วได้นึกถึงเพลงเก่าๆหลายเพลง ที่เอามาเทียบกับการลงทุน...555 ผู้เขียนดูเป็นคนอารมณ์ดี อ่านเเล้วสนุกครับ
หลักๆคือสอนให้เราใช้ประโยชน์จากข่าว"Macro economic" โดยเสนอเป็นมุมมองเเละข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นหลังข่าวต่างๆออก หุ้นจะมีเเนวโน้มขึ้นหรือลง เเละมีเรื่องเกี่ยวกับจิตวิทยาเจือปนเล็กน้อย โดยผู้เขียนเเบ่งชัดว่าในภาวะวิกฤติต้องตามข่าว"Macro economic"อะไร ภาวะปกติควรตามข่าวอะไร นอกจากนี้ผู้เขียนได้สอนการเลือกลงทุนตาม"economic cycle"
สรุปง่ายๆในมุมมองผมคือหนังสือเล่มนี้เป็นเหมือนอาหารเสริมให้เรามองภาพMacro economicออก เเต่ไม่ใช่"หลัก"ในการลงทุน ผมมองว่าการเป็นMIไม่สามารถเอาตัวรอดได้ในตลาดหุ้นครับ เพราะมันขึ้นอยู่กับการ"คาดการณ์"มากมายเช่น ต้องคาดการณ์ว่าตอนนี้เศรฐกิจกำลังเป็นขาขึ้น หรือเริ่มเป็นขาลง อยู่ใน"economic cycle"ไหน...ไม่ง่ายนะครับ คุณลองถามตัวเองดูซึครับ ณ วันนี้เศรฐกิจของประเทศไทยอยู่ในช่วงใด?
ปล. เนื้อหาข้างในน่าอ่านกว่าintroductionพอสมควร เพราะintroเนี่ยอ่านเเล้วได้อารมณ์daytradeมากๆ คาดเดาตลาดจากข่าวล้วนๆ, ราคาหนังสือ120บาทกับเนื้อหาเเล้วผมว่าไม่เเพงเกิน...
ขอเน้นนะครับว่าที่วิจารณ์ก่อนหน้านั้นเป็นวิจารณ์"introduction"อย่างเดียว ซึ่งผมก็มองว่ามีสิทธิ์ที่จะวิจารณ์introductionนั้น...วันนี้ผมคงขอใช้สิทธิ์อีกครั้งในการวิจารณ์"เนื้อหา"นะครับเพราะอ่านหนังสือเล่มนี้จบเเล้ว
อ่านเเล้วได้นึกถึงเพลงเก่าๆหลายเพลง ที่เอามาเทียบกับการลงทุน...555 ผู้เขียนดูเป็นคนอารมณ์ดี อ่านเเล้วสนุกครับ
หลักๆคือสอนให้เราใช้ประโยชน์จากข่าว"Macro economic" โดยเสนอเป็นมุมมองเเละข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นหลังข่าวต่างๆออก หุ้นจะมีเเนวโน้มขึ้นหรือลง เเละมีเรื่องเกี่ยวกับจิตวิทยาเจือปนเล็กน้อย โดยผู้เขียนเเบ่งชัดว่าในภาวะวิกฤติต้องตามข่าว"Macro economic"อะไร ภาวะปกติควรตามข่าวอะไร นอกจากนี้ผู้เขียนได้สอนการเลือกลงทุนตาม"economic cycle"
สรุปง่ายๆในมุมมองผมคือหนังสือเล่มนี้เป็นเหมือนอาหารเสริมให้เรามองภาพMacro economicออก เเต่ไม่ใช่"หลัก"ในการลงทุน ผมมองว่าการเป็นMIไม่สามารถเอาตัวรอดได้ในตลาดหุ้นครับ เพราะมันขึ้นอยู่กับการ"คาดการณ์"มากมายเช่น ต้องคาดการณ์ว่าตอนนี้เศรฐกิจกำลังเป็นขาขึ้น หรือเริ่มเป็นขาลง อยู่ใน"economic cycle"ไหน...ไม่ง่ายนะครับ คุณลองถามตัวเองดูซึครับ ณ วันนี้เศรฐกิจของประเทศไทยอยู่ในช่วงใด?
ปล. เนื้อหาข้างในน่าอ่านกว่าintroductionพอสมควร เพราะintroเนี่ยอ่านเเล้วได้อารมณ์daytradeมากๆ คาดเดาตลาดจากข่าวล้วนๆ, ราคาหนังสือ120บาทกับเนื้อหาเเล้วผมว่าไม่เเพงเกิน...
- ไซเคิลทาร์ม
- Verified User
- โพสต์: 63
- ผู้ติดตาม: 0
Re: หนังสือจิบกาแฟ ท่องเน็ต เล่นหุ้น...ก็รวยได้
โพสต์ที่ 21
ในความคิดของผมนะ ...ขึ้นชื่อว่าหนังสือมีดีทุกเล่ม อยู่ที่เราจะเลือกเสพ สิ่งไหนมากกว่า สิ่งที่ดีหรือไม่ดี อยู่ที่คนอ่านนี้ล่ะครับ ว่าคุณ จะแปลงสาร จากผู้แต่ง แล้วก็เลือกเสพ เอาสิ่งไหน มองโลกให้ลึก ให้กว้าง ....อย่างน้อยที่สุด คุณ ก็ได้ฝึกอ่าน....ขอย้ำ หนังสือมีดีทุกเล่ม
-
- Verified User
- โพสต์: 34
- ผู้ติดตาม: 0
Re: หนังสือจิบกาแฟ ท่องเน็ต เล่นหุ้น...ก็รวยได้
โพสต์ที่ 22
ไม่เข้าใจสูตร 72 ครับ เห็นหลายที่หลายครั้งแล้ว
ที่บอกว่าเอาผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีไปเป็นตัวหารของ 72 จะได้จำนวนปีที่เงินเพิ่มเท่าตัว (เพิ่มเป็น 2 เท่า) เช่น ทำผลตอบแทนได้เฉลี่ยปีละ 10% ก็เป็น 72/10 = 7.2 ปี จึงจะเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า
ทีนี้ผมสมมติว่าทำผลตอบแทนได้เฉลี่ย 100% ต่อปี ซึ่งหมายความว่าจะใช้เวลา 1 ปีในการเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า แต่พอเอาเข้าสูตรแล้วจะได้ 72/100 = 0.72 ปี
งง ครับ ทำไมไม่ออกมาเป็น 1 ปีแต่ออกมาเป็นแค่ 0.72 ปี
ใครรู้ช่วยอธิบายเป็นวิทยาทานหน่อยนะครับ หรือสูตรมันใช้ได้เฉพาะช่วง % ต่ำๆ เท่านั้น หรือผมคำนวณผิด มืดมนมานานปีช่วยชี้ทางสว่างให้ด้วยครับ ขอบคุณครับ
ที่บอกว่าเอาผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีไปเป็นตัวหารของ 72 จะได้จำนวนปีที่เงินเพิ่มเท่าตัว (เพิ่มเป็น 2 เท่า) เช่น ทำผลตอบแทนได้เฉลี่ยปีละ 10% ก็เป็น 72/10 = 7.2 ปี จึงจะเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า
ทีนี้ผมสมมติว่าทำผลตอบแทนได้เฉลี่ย 100% ต่อปี ซึ่งหมายความว่าจะใช้เวลา 1 ปีในการเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า แต่พอเอาเข้าสูตรแล้วจะได้ 72/100 = 0.72 ปี
งง ครับ ทำไมไม่ออกมาเป็น 1 ปีแต่ออกมาเป็นแค่ 0.72 ปี
ใครรู้ช่วยอธิบายเป็นวิทยาทานหน่อยนะครับ หรือสูตรมันใช้ได้เฉพาะช่วง % ต่ำๆ เท่านั้น หรือผมคำนวณผิด มืดมนมานานปีช่วยชี้ทางสว่างให้ด้วยครับ ขอบคุณครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 2595
- ผู้ติดตาม: 0
Re: หนังสือจิบกาแฟ ท่องเน็ต เล่นหุ้น...ก็รวยได้
โพสต์ที่ 23
ตามนี้เลยครับ...บทความที่มีคนกดบวกถึง 135 ครั้งกับการpostเเรกของคุณtaratantara
[quote="taratantara"][color=#0000FF][b]กฎของ 72 คุณไม่จำเป็นต้องเป็นที่ 1 ก็ได้[/b][/color]
วันนี้ผมมานั่งคิดๆ ดูถึงกฎ 72 กฎข้อนี้บอกว่า ถ้าเราเอาเงินก้อนหนึ่งไปลงทุนให้ได้ผลตอบแทนเป็น x% ต่อปีทบต้น เราจะใช้เวลาทั้งหมดเท่ากับ 72/x ปี ในการที่จะทำให้เงินที่เราลงไปนั้นโตเป็นสองเท่า เช่น
ถ้าเราเอาเงินไปฝากธนาคารได้ดอกเบี้ยทบต้น 2% ต่อปี (ประมาณจากดอกเบี้ยเงินฝากประจำตอนนี้) เงินทุนเราจะเป็นสองเท่าก็หลังจากที่เวลาผ่านไปเท่ากับ 72/2 = 36 ปี
แต่สมมติเราเอาเงินไปลงทุนอย่างอื่นที่ให้ผลตอบแทนทบต้นเฉลี่ย 6% ต่อปี เงินลงทุนของเราจะเป็นสองเท่าเมื่อเวลาผ่านไปเท่ากับ 72/6 = 12 ปี
จากตัวอย่างนี้ จะเห็นได้ว่าแค่เราเพิ่มผลตอบแทนให้ได้จาก 2% เป็น 6% (หรือเพิ่มขึ้น 4%) ต่อปี เราก็สามารถย่นระยะเวลาในการทำให้เงินลงทุนโตขึ้นสองเท่าได้ถึง 24 ปี (36 – 12 = 24 ปี) ซึ่งถ้าคิดว่าคนเราแก่ตายที่อายุสัก 72 ปี เวลา 24 ปีที่ได้มานั้นมันเท่ากับช่วงเวลา 1 ใน 3 ของชีวิตเลยทีเดียว
กฎนี้ไม่ธรรมดาแฮะ... ผมจึงลองพร็อตกราฟ y = 72/x เมื่อ y เป็นจำนวนปีที่ใช้ในการทำให้เงินลงทุนโตเป็นสองเท่า และ x เป็นเปอร์เซ็นต์ของอัตราผลตอบแทนทบต้นที่เราทำได้ มาลองดูกัน
[attachment=0]Rule of 72 01 cut.JPG[/attachment]
(หลายคนอาจสงสัยว่ากฎ 72 นี้ใช้คำนวณได้แม่นยำจริงๆ หรือเปล่า ใช่ครับ กฎ 72 นื้เป็นเพียงการประมาณค่า ใช้เพื่อความสะดวกในการคำนวณให้ง่ายขึ้น แต่เมื่อผมลองตรวจสอบดูด้วยการพร็อตกราฟของ y = (log(2)) / (log(1+x/100)) ซึ่งเป็นสูตรที่แท้จริงของการคำนวณ ก็ปรากฎว่ากราฟทั้งสองนั้นใกล้เคียงกันมากจนเราสามารถใช้แทนกันได้)
จากกราฟเส้นสีน้ำเงินจะเห็นว่ายิ่งตัวเปอร์เซ็นต์ของอัตราผลตอบแทนทบต้น (แกนนอน) มากขึ้นเท่าไหร่ ระยะเวลาที่ใช้เพื่อทำให้เงินลงทุนเป็นสองเท่า (แกนตั้ง) ก็จะลดน้อยลงเท่านั้น คือยิ่งเปอร์เซ็นต์เยอะก็ยิ่งเร่งผลตอบแทนได้เร็วขึ้น ซึ่งนี่เป็นเรื่องที่ใครๆ ก็รู้กันอยู่แล้ว แต่เมื่อสังเกตให้ดีๆ จะพบว่าเส้นกราฟนี้มันตกดิ่งลงมาอย่างรุนแรงเฉพาะในช่วงแรก แต่ในตอนท้ายๆ มันจะตกลงในอัตราที่ช้าลงเรื่อยๆ จนแถวๆ ที่อัตราผลตอบแทนประมาณ 20-30% เส้นกราฟนี้ก็เกือบจะเป็นแนวนอนอยู่แล้ว
ทีนี้มาลองดูเส้นประสีแดงกับเจ้าแท่งสีชมพูกันบ้าง (ดูกราฟไปด้วยนะครับ) ตัวเลขที่เขียนในแท่งสีชมพูนั้นหมายถึงจำนวนปีที่เราสามารถเร่งผลตอบแทนในการทำให้เงินเราโตเป็นสองเท่าได้ในแต่ละช่วงของเปอร์เซ็นต์ผลตอบแทน โดยเริ่มจากที่อัตราผลตอบแทน 2% เพิ่มไปทุกๆ 4% เป็นที่ 6%, 10%, 14%, 18%, และ 22% ซึ่งสรุปได้ดังนี้ครับ
เมื่อเราเพิ่มอัตราผลตอบแทนจาก 2% ไปเป็น 6% เราสามารถลดเวลาในการทำเงินเป็นสองเท่าได้ 24 ปี
จาก 6% ไป 10% ลดได้ 5 ปี
จาก 10% ไป 14% ลดได้ 2 ปี
จาก 14% ไป 18% ลดได้ 1 ปี
และสุดท้ายจาก 18% ไป 22% ลดได้ 0.7 ปี
ถามว่าทำไมถึงหยุดที่ 22% ครับ ก็เพราะว่าค่านี้เป็นสถิติโลกนั่นเอง ซึ่งคนที่สามารถสร้างผลตอบแทนเฉลี่ยทบต้นได้ขนาดนี้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจาก วอร์เรน บัฟเฟตต์ นั่นเอง
ทีนี้มันหมายความว่ายังไง ? มันแสดงให้เห็นว่า การเพิ่มอัตราผลตอบแทนในช่วงเปอร์เซ็นต์ต่ำๆ (ที่เราสามารถทำได้ง่าย) จะเร่งผลตอบแทนหรือลดระยะเวลาได้มาก ในขณะที่การฝืนเพิ่มอัตราผลตอบแทนในช่วงเปอร์เซ็นต์สูงๆ (ซึ่งเราทำได้ยาก) จะไม่ค่อยมีผลต่อการเร่งผลตอบแทนในรูปของการลดระยะเวลาได้อีกสักเท่าไหร่
ยกตัวอย่างนะครับ คนที่เคยฝากประจำอย่างเดียวที่เคยได้ 2% อยู่แล้วสามารถทำให้ผลตอบแทนตัวเองเพิ่มเป็น 6% ได้ไม่ยากและไม่เสี่ยงมาก เช่นเอาไปซื้อทอง ซื้อหุ้นกู้ แล้วทำให้ลดเวลาในการเร่งผลตอบแทนได้ถึง 24 ปี ในขณะที่คนที่เคยเล่นหุ้นได้อยู่ 18% ต่อปี จะเป็นเรื่องที่ยากและเสี่ยงขึ้นอย่างมากถ้าเขาพยายามจะทำให้มันเป็น 22% เพียงเพื่อที่จะเร่งผลตอบแทนให้เร็วขึ้นได้อีกแค่ 0.7 ปี
สังเกตตัวเลข 24 ปี (2% ไป 6%), 5 ปี (6% ไป 10%), 2 ปี (10% ไป 14%), 1 ปี (14% ไป 18%), และ 0.7 ปี (18% ไป 22%) สมมติเราพอใจตัดเอาที่ 10% ต่อปี จะเห็นว่าเราสามารถลดเวลาที่เงินเราจะโตเป็นสองเท่าได้ (มากกว่าการฝากประจำเฉยๆ ที่ 2%) เท่ากับ 24 + 5 = 29 ปี ในขณะที่ถ้าเราจะเอาให้เท่าสถิติโลกหรือที่ 22% เราจะลดเวลาได้เท่ากับ 24 + 5 + 2 + 1 + 0.7 = 32.7 ปี ซึ่ง 32.7 ปี กับ 29 ปี นั้นต่างกันไม่ถึง 4 ปี หรือคิดเป็นเปอร์เซ็นต์แล้ว เราก็ห่างจากสถิติโลกแค่สิบกว่าเปอร์เซ็นต์เท่านั้นเอง
ผมถึงบางอ้อก็ตรงนี้ครับ เมื่อก่อนเคยคิดว่าการเล่นหุ้นทำไม่เราไม่ตั้งไว้สัก 40-50% ต่อปี นั่นบ้าไปแล้วครับ มันเหมือนกับการที่เราไปท้า ยูเซน โบลต์ (Usain Bolt – เจ้าของสถิติโลกวิ่ง 100 เมตร ที่ 9.58 วินาที) ให้มาวิ่งแข่งกับเรา แล้วบอกเขาว่า “โบลต์... ผมว่าผมวิ่งเร็วกว่าคุณ 5 วิ ไม่เชื่อมาพนันกันมั้ย!”
ไอน์สไตน์เคยกล่าวไว้ว่า “แรงที่มีกำลังมากที่สุดในโลก คือ ดอกเบี้ยทบต้น” (Compound interest is the most powerful force on Earth.) คำกล่าวนี้เป็นความจริงไม่เกินเลย แต่มันก็แฝงไปด้วยหลักธรรม...
ตัวเลข 2% ของการไม่ทำอะไรนอกจากการฝากเงินไว้เฉยๆ กับตัวเลข 22% ของนักลงทุนอันดับหนึ่งของโลกนั้น ค่าตรงกลางของมันก็อยู่แถวๆ 10% กว่าๆ นี่เอง ซึ่งการที่เราพอใจที่ 10% นั้นแม้ว่าเราจะแพ้ที่หนึ่งอยู่ 4 ปี แต่มันก็ทำให้เราชนะที่สุดท้ายได้ถึง 29 ปี คนที่ยังได้ 2% อยู่จึงควรพยายามทำให้ได้ 10% (หรือสัก 6% ก่อนก็ยังดี) ส่วนคนที่ได้เกิน 10% ไปแล้ว แค่รักษาผลตอบแทนขนาดนั้นเอาไว้อย่างสม่ำเสมอก็ถือว่าเยี่ยมยอดแล้ว การพยายามวิ่งไล่ 22% นอกจากจะเป็นเรื่องที่ยากและเสี่ยงแล้ว ผลลัพธ์ที่ได้รับกลับมาอาจไม่คุ้มค่าแรงนัก
หลักธรรมที่ว่านั้นคืออะไรครับ... ใช่แล้ว! มันคือ “ทางสายกลาง” นั่นเอง ระหว่างการที่เราไม่ทำอะไรเลยกับการที่เราดิ้นรนมันเต็มที่ ของที่ดีและเหมาะสมที่สุดกลับมาอยู่ตรงกลาง ข้อคิดนี้ทำให้ผมรู้ว่า เราไม่จำเป็นต้องวิ่งให้เร็วเท่า ยูเซน โบลต์ ก็ได้ เพราะตราบใดที่เราตื่นเช้าสักหน่อย เราก็ไปทำงานทัน (อิอิ...เกี่ยวกันมั้ยเนี่ย) กฎของ 72 บอกผมอยู่อย่างหนึ่งว่า “ในชีวิตจริงคุณไม่จำเป็นต้องเป็นที่ 1 ก็ได้”
http://achikochi1234.blogspot.com/2011/09/72-1.html[/quote]
http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=1&t=49480
[quote="taratantara"][color=#0000FF][b]กฎของ 72 คุณไม่จำเป็นต้องเป็นที่ 1 ก็ได้[/b][/color]
วันนี้ผมมานั่งคิดๆ ดูถึงกฎ 72 กฎข้อนี้บอกว่า ถ้าเราเอาเงินก้อนหนึ่งไปลงทุนให้ได้ผลตอบแทนเป็น x% ต่อปีทบต้น เราจะใช้เวลาทั้งหมดเท่ากับ 72/x ปี ในการที่จะทำให้เงินที่เราลงไปนั้นโตเป็นสองเท่า เช่น
ถ้าเราเอาเงินไปฝากธนาคารได้ดอกเบี้ยทบต้น 2% ต่อปี (ประมาณจากดอกเบี้ยเงินฝากประจำตอนนี้) เงินทุนเราจะเป็นสองเท่าก็หลังจากที่เวลาผ่านไปเท่ากับ 72/2 = 36 ปี
แต่สมมติเราเอาเงินไปลงทุนอย่างอื่นที่ให้ผลตอบแทนทบต้นเฉลี่ย 6% ต่อปี เงินลงทุนของเราจะเป็นสองเท่าเมื่อเวลาผ่านไปเท่ากับ 72/6 = 12 ปี
จากตัวอย่างนี้ จะเห็นได้ว่าแค่เราเพิ่มผลตอบแทนให้ได้จาก 2% เป็น 6% (หรือเพิ่มขึ้น 4%) ต่อปี เราก็สามารถย่นระยะเวลาในการทำให้เงินลงทุนโตขึ้นสองเท่าได้ถึง 24 ปี (36 – 12 = 24 ปี) ซึ่งถ้าคิดว่าคนเราแก่ตายที่อายุสัก 72 ปี เวลา 24 ปีที่ได้มานั้นมันเท่ากับช่วงเวลา 1 ใน 3 ของชีวิตเลยทีเดียว
กฎนี้ไม่ธรรมดาแฮะ... ผมจึงลองพร็อตกราฟ y = 72/x เมื่อ y เป็นจำนวนปีที่ใช้ในการทำให้เงินลงทุนโตเป็นสองเท่า และ x เป็นเปอร์เซ็นต์ของอัตราผลตอบแทนทบต้นที่เราทำได้ มาลองดูกัน
[attachment=0]Rule of 72 01 cut.JPG[/attachment]
(หลายคนอาจสงสัยว่ากฎ 72 นี้ใช้คำนวณได้แม่นยำจริงๆ หรือเปล่า ใช่ครับ กฎ 72 นื้เป็นเพียงการประมาณค่า ใช้เพื่อความสะดวกในการคำนวณให้ง่ายขึ้น แต่เมื่อผมลองตรวจสอบดูด้วยการพร็อตกราฟของ y = (log(2)) / (log(1+x/100)) ซึ่งเป็นสูตรที่แท้จริงของการคำนวณ ก็ปรากฎว่ากราฟทั้งสองนั้นใกล้เคียงกันมากจนเราสามารถใช้แทนกันได้)
จากกราฟเส้นสีน้ำเงินจะเห็นว่ายิ่งตัวเปอร์เซ็นต์ของอัตราผลตอบแทนทบต้น (แกนนอน) มากขึ้นเท่าไหร่ ระยะเวลาที่ใช้เพื่อทำให้เงินลงทุนเป็นสองเท่า (แกนตั้ง) ก็จะลดน้อยลงเท่านั้น คือยิ่งเปอร์เซ็นต์เยอะก็ยิ่งเร่งผลตอบแทนได้เร็วขึ้น ซึ่งนี่เป็นเรื่องที่ใครๆ ก็รู้กันอยู่แล้ว แต่เมื่อสังเกตให้ดีๆ จะพบว่าเส้นกราฟนี้มันตกดิ่งลงมาอย่างรุนแรงเฉพาะในช่วงแรก แต่ในตอนท้ายๆ มันจะตกลงในอัตราที่ช้าลงเรื่อยๆ จนแถวๆ ที่อัตราผลตอบแทนประมาณ 20-30% เส้นกราฟนี้ก็เกือบจะเป็นแนวนอนอยู่แล้ว
ทีนี้มาลองดูเส้นประสีแดงกับเจ้าแท่งสีชมพูกันบ้าง (ดูกราฟไปด้วยนะครับ) ตัวเลขที่เขียนในแท่งสีชมพูนั้นหมายถึงจำนวนปีที่เราสามารถเร่งผลตอบแทนในการทำให้เงินเราโตเป็นสองเท่าได้ในแต่ละช่วงของเปอร์เซ็นต์ผลตอบแทน โดยเริ่มจากที่อัตราผลตอบแทน 2% เพิ่มไปทุกๆ 4% เป็นที่ 6%, 10%, 14%, 18%, และ 22% ซึ่งสรุปได้ดังนี้ครับ
เมื่อเราเพิ่มอัตราผลตอบแทนจาก 2% ไปเป็น 6% เราสามารถลดเวลาในการทำเงินเป็นสองเท่าได้ 24 ปี
จาก 6% ไป 10% ลดได้ 5 ปี
จาก 10% ไป 14% ลดได้ 2 ปี
จาก 14% ไป 18% ลดได้ 1 ปี
และสุดท้ายจาก 18% ไป 22% ลดได้ 0.7 ปี
ถามว่าทำไมถึงหยุดที่ 22% ครับ ก็เพราะว่าค่านี้เป็นสถิติโลกนั่นเอง ซึ่งคนที่สามารถสร้างผลตอบแทนเฉลี่ยทบต้นได้ขนาดนี้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหนนอกจาก วอร์เรน บัฟเฟตต์ นั่นเอง
ทีนี้มันหมายความว่ายังไง ? มันแสดงให้เห็นว่า การเพิ่มอัตราผลตอบแทนในช่วงเปอร์เซ็นต์ต่ำๆ (ที่เราสามารถทำได้ง่าย) จะเร่งผลตอบแทนหรือลดระยะเวลาได้มาก ในขณะที่การฝืนเพิ่มอัตราผลตอบแทนในช่วงเปอร์เซ็นต์สูงๆ (ซึ่งเราทำได้ยาก) จะไม่ค่อยมีผลต่อการเร่งผลตอบแทนในรูปของการลดระยะเวลาได้อีกสักเท่าไหร่
ยกตัวอย่างนะครับ คนที่เคยฝากประจำอย่างเดียวที่เคยได้ 2% อยู่แล้วสามารถทำให้ผลตอบแทนตัวเองเพิ่มเป็น 6% ได้ไม่ยากและไม่เสี่ยงมาก เช่นเอาไปซื้อทอง ซื้อหุ้นกู้ แล้วทำให้ลดเวลาในการเร่งผลตอบแทนได้ถึง 24 ปี ในขณะที่คนที่เคยเล่นหุ้นได้อยู่ 18% ต่อปี จะเป็นเรื่องที่ยากและเสี่ยงขึ้นอย่างมากถ้าเขาพยายามจะทำให้มันเป็น 22% เพียงเพื่อที่จะเร่งผลตอบแทนให้เร็วขึ้นได้อีกแค่ 0.7 ปี
สังเกตตัวเลข 24 ปี (2% ไป 6%), 5 ปี (6% ไป 10%), 2 ปี (10% ไป 14%), 1 ปี (14% ไป 18%), และ 0.7 ปี (18% ไป 22%) สมมติเราพอใจตัดเอาที่ 10% ต่อปี จะเห็นว่าเราสามารถลดเวลาที่เงินเราจะโตเป็นสองเท่าได้ (มากกว่าการฝากประจำเฉยๆ ที่ 2%) เท่ากับ 24 + 5 = 29 ปี ในขณะที่ถ้าเราจะเอาให้เท่าสถิติโลกหรือที่ 22% เราจะลดเวลาได้เท่ากับ 24 + 5 + 2 + 1 + 0.7 = 32.7 ปี ซึ่ง 32.7 ปี กับ 29 ปี นั้นต่างกันไม่ถึง 4 ปี หรือคิดเป็นเปอร์เซ็นต์แล้ว เราก็ห่างจากสถิติโลกแค่สิบกว่าเปอร์เซ็นต์เท่านั้นเอง
ผมถึงบางอ้อก็ตรงนี้ครับ เมื่อก่อนเคยคิดว่าการเล่นหุ้นทำไม่เราไม่ตั้งไว้สัก 40-50% ต่อปี นั่นบ้าไปแล้วครับ มันเหมือนกับการที่เราไปท้า ยูเซน โบลต์ (Usain Bolt – เจ้าของสถิติโลกวิ่ง 100 เมตร ที่ 9.58 วินาที) ให้มาวิ่งแข่งกับเรา แล้วบอกเขาว่า “โบลต์... ผมว่าผมวิ่งเร็วกว่าคุณ 5 วิ ไม่เชื่อมาพนันกันมั้ย!”
ไอน์สไตน์เคยกล่าวไว้ว่า “แรงที่มีกำลังมากที่สุดในโลก คือ ดอกเบี้ยทบต้น” (Compound interest is the most powerful force on Earth.) คำกล่าวนี้เป็นความจริงไม่เกินเลย แต่มันก็แฝงไปด้วยหลักธรรม...
ตัวเลข 2% ของการไม่ทำอะไรนอกจากการฝากเงินไว้เฉยๆ กับตัวเลข 22% ของนักลงทุนอันดับหนึ่งของโลกนั้น ค่าตรงกลางของมันก็อยู่แถวๆ 10% กว่าๆ นี่เอง ซึ่งการที่เราพอใจที่ 10% นั้นแม้ว่าเราจะแพ้ที่หนึ่งอยู่ 4 ปี แต่มันก็ทำให้เราชนะที่สุดท้ายได้ถึง 29 ปี คนที่ยังได้ 2% อยู่จึงควรพยายามทำให้ได้ 10% (หรือสัก 6% ก่อนก็ยังดี) ส่วนคนที่ได้เกิน 10% ไปแล้ว แค่รักษาผลตอบแทนขนาดนั้นเอาไว้อย่างสม่ำเสมอก็ถือว่าเยี่ยมยอดแล้ว การพยายามวิ่งไล่ 22% นอกจากจะเป็นเรื่องที่ยากและเสี่ยงแล้ว ผลลัพธ์ที่ได้รับกลับมาอาจไม่คุ้มค่าแรงนัก
หลักธรรมที่ว่านั้นคืออะไรครับ... ใช่แล้ว! มันคือ “ทางสายกลาง” นั่นเอง ระหว่างการที่เราไม่ทำอะไรเลยกับการที่เราดิ้นรนมันเต็มที่ ของที่ดีและเหมาะสมที่สุดกลับมาอยู่ตรงกลาง ข้อคิดนี้ทำให้ผมรู้ว่า เราไม่จำเป็นต้องวิ่งให้เร็วเท่า ยูเซน โบลต์ ก็ได้ เพราะตราบใดที่เราตื่นเช้าสักหน่อย เราก็ไปทำงานทัน (อิอิ...เกี่ยวกันมั้ยเนี่ย) กฎของ 72 บอกผมอยู่อย่างหนึ่งว่า “ในชีวิตจริงคุณไม่จำเป็นต้องเป็นที่ 1 ก็ได้”
http://achikochi1234.blogspot.com/2011/09/72-1.html[/quote]
http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=1&t=49480
-
- Verified User
- โพสต์: 21
- ผู้ติดตาม: 0
Re: หนังสือจิบกาแฟ ท่องเน็ต เล่นหุ้น...ก็รวยได้
โพสต์ที่ 29
อ่านไปขำไป 555555