อาบเหงื่อต่างน้ำ/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
- little wing
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 187
- ผู้ติดตาม: 0
อาบเหงื่อต่างน้ำ/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 1
โลกในมุมมองของ Value Investor 1 กรกฎาคม 55
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
อาบเหงื่อต่างน้ำ
หุ้นของบริษัทที่อยู่ในอุตสาหกรรมหรือธุรกิจบางอย่างนั้น ถ้าเราลงทุนซื้อไว้ก็จะพบว่า ราคาหุ้นไม่ไปไหนและอาจจะตกต่ำอยู่นานมาก หุ้นบางตัวก็อาจจะให้ปันผลอยู่บ้างแต่ปันผลนั้นก็มักจะไม่ปรับตัวขึ้น หุ้นหลายตัวมีปันผลแต่ก็กระท่อนกระแท่นเพราะกำไรของบริษัทมีบ้างไม่มีบ้าง หุ้นหลายตัวแทบจะไม่มีปันผลเลยมีแต่ข่าวว่ายอดขายจะดีขึ้นและความหวังว่ากำไรจะมาแล้ว อนาคตกำลังจะ “สดใส” และหุ้นบางตัวหรือบางกลุ่มนั้น ในบางช่วงบางตอนอาจจะเป็น 2-3 ไตรมาศหรือ 2-3 ปี ก็แสดง “อภินิหาร” วิ่งขึ้นไปเป็นเท่า ๆ ตัวพร้อม ๆ กับปริมาณการซื้อขายที่คึกคักเต็มที่และผู้คนกล่าวขวัญกันมาก แต่หลังจากนั้น เมื่อภาวะทางอุตสาหกรรมกลับมาเป็นปกติ หุ้นก็ตกกลับลงมาและหงอยเหงาไปอีกนาน หุ้นต่าง ๆ เหล่านี้ ถ้าเราถือไว้ลงทุนระยะยาวหวังผลตอบแทนที่ดีแล้วละก็ ผมก็อยากจะเปรียบเทียบเหมือนกับคนที่ต้องทำงานหาเงินว่า เป็นงานที่ “อาบเหงื่อต่างน้ำ” หากินยากเหลือเกิน ลองมาดูกันว่ามีหุ้นกลุ่มไหนบ้าง
หุ้นกลุ่มแรกก็คือ หุ้นเหล็ก หรือหุ้นที่อยู่ในอุตสาหกรรมเหล็ก นี่คือหุ้นกลุ่มที่ “หนัก” ที่สุดในสายตาของผม เพราะตั้งแต่ผมเริ่มเข้าตลาดหุ้น หุ้นกลุ่มนี้เป็นหุ้นที่มี “เวลาดี ๆ” คือช่วงที่หุ้นขึ้นน้อยเหลือเกิน เมื่อมันขึ้นไป คนที่เข้าไปเล่นนั้น บางทียังตั้งหลักไม่ทันมันก็ลงมาซะแล้ว ทำให้คนเล่นขาดทุนกันมากมายและก็เลิกเล่นไปอีกนานจนลืมบทเรียนที่เจ็บปวดเพื่อที่จะกลับมาเล่นอีกเมื่อมันมีข่าวว่าราคาเหล็ก “กำลังขึ้น” และกำไรของบริษัทจะ “มโหฬาร” เป็นวัฏจักรกันแบบนี้มาช้านาน
ปัญหาของอุตสาหกรรมเหล็กก็คือ มันเป็นโภคภัณฑ์ที่มี Supply หรือมีวัตถุดิบและโรงงานเหลือเฟือในโลก ซึ่งทำให้มีการตัดราคากันอย่างสมบูรณ์ทำให้กำไรของผู้ผลิตมีน้อยมาก นาน ๆ ครั้งก็จะมีการขาดแคลนบ้างเนื่องจากความต้องการใช้เติบโตขึ้นมากระทันหันทำให้ราคาปรับตัวเพิ่มขึ้น ประกอบกับยอดขายที่ค่อนข้างมากและสต็อกสินค้าที่มักจะสูง นี่ทำให้เกิด “กำไรจากสต็อก” สินค้ามากแต่บริษัทไม่ได้มีเงินสดจากกำไรนั้นที่จะเอาแบ่งปันกันมากมาย ผลก็คือ นักลงทุนที่เล่นหุ้นก็อาจจะเข้ามาซื้อเก็งกำไรทำให้ราคาหุ้นกระโดดขึ้น อย่างไรก็ตาม ราคาเหล็กนั้นมักจะสูงอยู่ได้ไม่นาน เพราะเมื่อราคาเหล็กปรับตัวขึ้น ผู้ผลิตทั่วโลกต่างก็จะเร่งผลิตเหล็กออกมาขายทำให้ราคาปรับตัวลงมา ซึ่งก็ทำให้บริษัทเหล็กขาดทุนจากสต็อกที่มีอยู่ นักลงทุนที่รู้ก่อนก็จะขายหุ้น ทำให้หุ้นตกลงมา วงจรของหุ้นเหล็กก็คือ หุ้นมักจะมีช่วงเวลาที่ดีสั้นมาก แต่มีเวลาที่ “เลวร้าย” ยาวมาก
ใกล้เคียงกับหุ้นเหล็กก็คือ หุ้นเรือ เพราะหุ้นขนส่งทางเรือนั้น มีลักษณะที่เป็น “โภคภัณฑ์” ที่มีการแข่งขันกันทั่วโลกเหมือนกัน เพียงแต่ว่าเรือนั้น มี Supply จำกัดมากกว่าเหล็ก ในยามที่โลกขาดแคลนเรือ ราคาค่าขนส่งก็วิ่งขึ้นไปมากทำให้กำไรของบริษัทเรือเติบโตขึ้น “มโหฬาร” แต่การต่อเรือใหม่นั้นใช้เวลามากกว่าการผลิตเหล็กเพิ่ม ดังนั้น หุ้นเรือจึงมีเวลาที่ดียาวนานกว่าหุ้นเหล็ก ในขณะที่หุ้นเหล็กอาจจะดีได้เพียง 2- 3 ไตรมาศ หุ้นเรืออาจจะดีได้ถึง 2-3 ปี เพราะเรือนั้นกว่าจะต่อเสร็จแต่ละลำต้องใช้เวลาเป็นปี ๆ อย่างไรก็ตาม เวลาที่ “เลวร้าย” ของหุ้นเรือนั้น ก็มักจะยาวกว่า “เวลาที่ดี” มาก ถ้าจะถามว่าอะไรเป็นเครื่องสังเกตว่าเวลาที่เลวร้ายกำลังจะผ่านไป คำตอบของผมก็คือ คงต้องรอจนกว่าบริษัทจะ “ขาดทุน” เพราะตราบใดที่บริษัทยังกำไร ผมก็คิดว่านั่นยังไม่ใช่เวลาที่เลวร้ายที่สุด
ต่อจากธุรกิจเรือแล้ว ผมคิดว่าธุรกิจการบินเองก็มีคุณสมบัติคล้าย ๆ กันในแง่ที่ว่ามันมีการแข่งขันกันดุเดือดและแข่งกัน “ทั่วโลก” เหมือนกันเพราะเครื่องบินนั้น “บินได้” ดังนั้น Supply จึงมีมากมายซึ่งทำให้การทำมาหากินนั้นยากลำบาก ต้อง “อาบเหงื่อต่างน้ำ” ว่าที่จริง บัฟเฟตต์เองก็เคยขาดทุนจากการลงทุนในหุ้นสายการบินมาแล้วและบอกว่ามันเป็นธุรกิจที่ยากลำบากจริง ๆ โดยเฉพาะในอเมริกาที่การบินนั้นมีการแข่งกันอย่างสมบูรณ์
อีกธุรกิจหนึ่งในตลาดหุ้นไทยที่ผมติดตามดูแล้วรู้สึกว่าคนที่ลงทุนคงจะ “เหนื่อย” เหลือเกินก็คืองานรับเหมาก่อสร้างงานอิฐ หิน ปูน ทราย หรือที่เรียกว่างาน Civil เช่น การก่อสร้างอาคาร ถนนหนทาง สะพาน ทางด่วน และสาธารณูปโภคอื่น ๆ อีกมาก นี่คืองานที่บริษัทต้องประมูลแข่งที่ราคาต่ำที่สุดเพื่อที่จะได้งาน นอกจากนั้น ผู้จ้างยังมักจะเป็นหน่วยงานราชการที่มีกฎระเบียบมากมาย การที่จะได้งานและส่งมอบงานมักจะต้องมี “ต้นทุน” ต่าง ๆ มากมายที่เราไม่รู้ ดังนั้น แม้ว่าจะมีงานในมือมหาศาล แต่กำไรของบริษัทรับเหมาก่อสร้างก็มักจะ “กระท่อนกระแท่น” ซึ่งทำให้ราคาหุ้น “กระท่อนกระแท่น” ตาม นาน ๆ ครั้งก็จะมี “ข่าวดี” ที่บริษัทอาจจะได้รับงานใหญ่และทำให้หุ้นวิ่งขึ้นไป แต่อยู่ได้ไม่นานเมื่อผลประกอบการปรากฏ หุ้นก็ตกลงไปที่เก่าและก็จะหงอยเหงาต่อไปอีกนาน การซื้อหุ้นรับเหมาสำหรับหลาย ๆ คนก็เป็นการ “อาบเหงื่อต่างน้ำ” อีกกลุ่มหนึ่ง
หุ้นสิ่งทอ หุ้นการเกษตร และหุ้นที่อยู่ในภาวะอุตสาหกรรม “ตะวันตกดิน” บางอย่างนั้น การลงทุนแม้ว่าบางบริษัทยังจ่ายปันผลค่อนข้างดี แต่หุ้นก็มักจะไม่ไปไหน ลงทุนไปแล้วก็ “เหนื่อย” หรือ “เบื่อ” บางบริษัทก็อาจจะต้อง “อาบเหงื่อต่างน้ำ” เหมือนกัน
หุ้นอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งอาจจะไม่ได้อยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกันแต่มีคุณลักษณะคล้ายกันก็คือ หุ้นที่ต้องอิงกับคนที่มีทักษะเฉพาะและมีเงินเดือนสูงและเป็นงานที่ต้องแข่งขันทางด้านราคาอาจจะโดยการประมูล ตัวอย่างเช่น หุ้น บริษัทที่ปรึกษาและรับงานทำระบบไอที หุ้นบริษัทโฆษณา หุ้นรับจัดงานอีเว้นท์ หุ้นของกิจการเหล่านี้มักจะเดินหน้าไปไม่ไกลแม้ว่าบริษัทจะมีกำไรพอใช้ได้และจ่ายปันผลพอสมควร เหตุผลก็เพราะว่าการขยายงานน่าจะโตไปได้ไม่มาก อาจจะเนื่องจากข้อจำกัดทางด้านบุคลากรและด้านของความต้องการของลูกค้าเอง การที่งานต้องพึ่งพิงคนที่มีความสามารถเฉพาะตัวมากทำให้การรักษาบุคลากรอาจจะทำได้ยาก เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ ลูกจ้างที่เก่งมาก ๆ อาจจะสามารถออกไปตั้งกิจการเองได้ไม่ยากเนื่องจากธุรกิจไม่จำเป็นต้องใช้เงินทุนมาก ดังนั้น การลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้จึงหวังที่จะรวยยากแม้ว่าจะไม่ถึงกับเหนื่อยหนักเท่ากับธุรกิจอื่น ๆ ที่กล่าวข้างต้น
ที่เขียนมาทั้งหมดนั้น ก็มิได้หมายความว่าเราไม่ควรลงทุนซื้อหุ้นเหล่านั้นเลย เพราะในบางครั้งบางช่วงเวลา หุ้นเหล่านั้นก็ให้ผลตอบแทนที่โดดเด่นมาก เพียงแต่ว่าเราจำเป็นต้องรู้ว่าเวลานั้นคือเวลาไหน เช่นเดียวกัน เราต้องรู้ด้วยว่า หุ้นเหล่านั้นอาจจะมี “เวลาที่ดี” จำกัด ในขณะเดียวกัน เวลาที่ “แย่” หรือเวลาที่ “เลวร้าย” นั้นกลับยาวกว่ามาก อย่าให้สถานการณ์ช่วงสั้น ๆ ทำให้เราไขว้เขวกับธรรมชาติของธุรกิจ เพราะนั่นจะทำให้เราพลาดและเจ็บหนัก อย่าลืมว่านี่คือ ธุรกิจที่ต้อง “อาบเหงื่อต่างน้ำ” ไม่ใช่ธุรกิจที่ “หากินง่าย” อย่างหลาย ๆ ธุรกิจที่ไตรมาสแล้ว ไตรมาสเล่า ปีแล้ว ปีเล่า ผลการดำเนินงานก็เติบโตไปเรื่อย ๆ พร้อม ๆ กับราคาหุ้นที่จะตามกันไปต่อเนื่องยาวนาน
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
อาบเหงื่อต่างน้ำ
หุ้นของบริษัทที่อยู่ในอุตสาหกรรมหรือธุรกิจบางอย่างนั้น ถ้าเราลงทุนซื้อไว้ก็จะพบว่า ราคาหุ้นไม่ไปไหนและอาจจะตกต่ำอยู่นานมาก หุ้นบางตัวก็อาจจะให้ปันผลอยู่บ้างแต่ปันผลนั้นก็มักจะไม่ปรับตัวขึ้น หุ้นหลายตัวมีปันผลแต่ก็กระท่อนกระแท่นเพราะกำไรของบริษัทมีบ้างไม่มีบ้าง หุ้นหลายตัวแทบจะไม่มีปันผลเลยมีแต่ข่าวว่ายอดขายจะดีขึ้นและความหวังว่ากำไรจะมาแล้ว อนาคตกำลังจะ “สดใส” และหุ้นบางตัวหรือบางกลุ่มนั้น ในบางช่วงบางตอนอาจจะเป็น 2-3 ไตรมาศหรือ 2-3 ปี ก็แสดง “อภินิหาร” วิ่งขึ้นไปเป็นเท่า ๆ ตัวพร้อม ๆ กับปริมาณการซื้อขายที่คึกคักเต็มที่และผู้คนกล่าวขวัญกันมาก แต่หลังจากนั้น เมื่อภาวะทางอุตสาหกรรมกลับมาเป็นปกติ หุ้นก็ตกกลับลงมาและหงอยเหงาไปอีกนาน หุ้นต่าง ๆ เหล่านี้ ถ้าเราถือไว้ลงทุนระยะยาวหวังผลตอบแทนที่ดีแล้วละก็ ผมก็อยากจะเปรียบเทียบเหมือนกับคนที่ต้องทำงานหาเงินว่า เป็นงานที่ “อาบเหงื่อต่างน้ำ” หากินยากเหลือเกิน ลองมาดูกันว่ามีหุ้นกลุ่มไหนบ้าง
หุ้นกลุ่มแรกก็คือ หุ้นเหล็ก หรือหุ้นที่อยู่ในอุตสาหกรรมเหล็ก นี่คือหุ้นกลุ่มที่ “หนัก” ที่สุดในสายตาของผม เพราะตั้งแต่ผมเริ่มเข้าตลาดหุ้น หุ้นกลุ่มนี้เป็นหุ้นที่มี “เวลาดี ๆ” คือช่วงที่หุ้นขึ้นน้อยเหลือเกิน เมื่อมันขึ้นไป คนที่เข้าไปเล่นนั้น บางทียังตั้งหลักไม่ทันมันก็ลงมาซะแล้ว ทำให้คนเล่นขาดทุนกันมากมายและก็เลิกเล่นไปอีกนานจนลืมบทเรียนที่เจ็บปวดเพื่อที่จะกลับมาเล่นอีกเมื่อมันมีข่าวว่าราคาเหล็ก “กำลังขึ้น” และกำไรของบริษัทจะ “มโหฬาร” เป็นวัฏจักรกันแบบนี้มาช้านาน
ปัญหาของอุตสาหกรรมเหล็กก็คือ มันเป็นโภคภัณฑ์ที่มี Supply หรือมีวัตถุดิบและโรงงานเหลือเฟือในโลก ซึ่งทำให้มีการตัดราคากันอย่างสมบูรณ์ทำให้กำไรของผู้ผลิตมีน้อยมาก นาน ๆ ครั้งก็จะมีการขาดแคลนบ้างเนื่องจากความต้องการใช้เติบโตขึ้นมากระทันหันทำให้ราคาปรับตัวเพิ่มขึ้น ประกอบกับยอดขายที่ค่อนข้างมากและสต็อกสินค้าที่มักจะสูง นี่ทำให้เกิด “กำไรจากสต็อก” สินค้ามากแต่บริษัทไม่ได้มีเงินสดจากกำไรนั้นที่จะเอาแบ่งปันกันมากมาย ผลก็คือ นักลงทุนที่เล่นหุ้นก็อาจจะเข้ามาซื้อเก็งกำไรทำให้ราคาหุ้นกระโดดขึ้น อย่างไรก็ตาม ราคาเหล็กนั้นมักจะสูงอยู่ได้ไม่นาน เพราะเมื่อราคาเหล็กปรับตัวขึ้น ผู้ผลิตทั่วโลกต่างก็จะเร่งผลิตเหล็กออกมาขายทำให้ราคาปรับตัวลงมา ซึ่งก็ทำให้บริษัทเหล็กขาดทุนจากสต็อกที่มีอยู่ นักลงทุนที่รู้ก่อนก็จะขายหุ้น ทำให้หุ้นตกลงมา วงจรของหุ้นเหล็กก็คือ หุ้นมักจะมีช่วงเวลาที่ดีสั้นมาก แต่มีเวลาที่ “เลวร้าย” ยาวมาก
ใกล้เคียงกับหุ้นเหล็กก็คือ หุ้นเรือ เพราะหุ้นขนส่งทางเรือนั้น มีลักษณะที่เป็น “โภคภัณฑ์” ที่มีการแข่งขันกันทั่วโลกเหมือนกัน เพียงแต่ว่าเรือนั้น มี Supply จำกัดมากกว่าเหล็ก ในยามที่โลกขาดแคลนเรือ ราคาค่าขนส่งก็วิ่งขึ้นไปมากทำให้กำไรของบริษัทเรือเติบโตขึ้น “มโหฬาร” แต่การต่อเรือใหม่นั้นใช้เวลามากกว่าการผลิตเหล็กเพิ่ม ดังนั้น หุ้นเรือจึงมีเวลาที่ดียาวนานกว่าหุ้นเหล็ก ในขณะที่หุ้นเหล็กอาจจะดีได้เพียง 2- 3 ไตรมาศ หุ้นเรืออาจจะดีได้ถึง 2-3 ปี เพราะเรือนั้นกว่าจะต่อเสร็จแต่ละลำต้องใช้เวลาเป็นปี ๆ อย่างไรก็ตาม เวลาที่ “เลวร้าย” ของหุ้นเรือนั้น ก็มักจะยาวกว่า “เวลาที่ดี” มาก ถ้าจะถามว่าอะไรเป็นเครื่องสังเกตว่าเวลาที่เลวร้ายกำลังจะผ่านไป คำตอบของผมก็คือ คงต้องรอจนกว่าบริษัทจะ “ขาดทุน” เพราะตราบใดที่บริษัทยังกำไร ผมก็คิดว่านั่นยังไม่ใช่เวลาที่เลวร้ายที่สุด
ต่อจากธุรกิจเรือแล้ว ผมคิดว่าธุรกิจการบินเองก็มีคุณสมบัติคล้าย ๆ กันในแง่ที่ว่ามันมีการแข่งขันกันดุเดือดและแข่งกัน “ทั่วโลก” เหมือนกันเพราะเครื่องบินนั้น “บินได้” ดังนั้น Supply จึงมีมากมายซึ่งทำให้การทำมาหากินนั้นยากลำบาก ต้อง “อาบเหงื่อต่างน้ำ” ว่าที่จริง บัฟเฟตต์เองก็เคยขาดทุนจากการลงทุนในหุ้นสายการบินมาแล้วและบอกว่ามันเป็นธุรกิจที่ยากลำบากจริง ๆ โดยเฉพาะในอเมริกาที่การบินนั้นมีการแข่งกันอย่างสมบูรณ์
อีกธุรกิจหนึ่งในตลาดหุ้นไทยที่ผมติดตามดูแล้วรู้สึกว่าคนที่ลงทุนคงจะ “เหนื่อย” เหลือเกินก็คืองานรับเหมาก่อสร้างงานอิฐ หิน ปูน ทราย หรือที่เรียกว่างาน Civil เช่น การก่อสร้างอาคาร ถนนหนทาง สะพาน ทางด่วน และสาธารณูปโภคอื่น ๆ อีกมาก นี่คืองานที่บริษัทต้องประมูลแข่งที่ราคาต่ำที่สุดเพื่อที่จะได้งาน นอกจากนั้น ผู้จ้างยังมักจะเป็นหน่วยงานราชการที่มีกฎระเบียบมากมาย การที่จะได้งานและส่งมอบงานมักจะต้องมี “ต้นทุน” ต่าง ๆ มากมายที่เราไม่รู้ ดังนั้น แม้ว่าจะมีงานในมือมหาศาล แต่กำไรของบริษัทรับเหมาก่อสร้างก็มักจะ “กระท่อนกระแท่น” ซึ่งทำให้ราคาหุ้น “กระท่อนกระแท่น” ตาม นาน ๆ ครั้งก็จะมี “ข่าวดี” ที่บริษัทอาจจะได้รับงานใหญ่และทำให้หุ้นวิ่งขึ้นไป แต่อยู่ได้ไม่นานเมื่อผลประกอบการปรากฏ หุ้นก็ตกลงไปที่เก่าและก็จะหงอยเหงาต่อไปอีกนาน การซื้อหุ้นรับเหมาสำหรับหลาย ๆ คนก็เป็นการ “อาบเหงื่อต่างน้ำ” อีกกลุ่มหนึ่ง
หุ้นสิ่งทอ หุ้นการเกษตร และหุ้นที่อยู่ในภาวะอุตสาหกรรม “ตะวันตกดิน” บางอย่างนั้น การลงทุนแม้ว่าบางบริษัทยังจ่ายปันผลค่อนข้างดี แต่หุ้นก็มักจะไม่ไปไหน ลงทุนไปแล้วก็ “เหนื่อย” หรือ “เบื่อ” บางบริษัทก็อาจจะต้อง “อาบเหงื่อต่างน้ำ” เหมือนกัน
หุ้นอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งอาจจะไม่ได้อยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกันแต่มีคุณลักษณะคล้ายกันก็คือ หุ้นที่ต้องอิงกับคนที่มีทักษะเฉพาะและมีเงินเดือนสูงและเป็นงานที่ต้องแข่งขันทางด้านราคาอาจจะโดยการประมูล ตัวอย่างเช่น หุ้น บริษัทที่ปรึกษาและรับงานทำระบบไอที หุ้นบริษัทโฆษณา หุ้นรับจัดงานอีเว้นท์ หุ้นของกิจการเหล่านี้มักจะเดินหน้าไปไม่ไกลแม้ว่าบริษัทจะมีกำไรพอใช้ได้และจ่ายปันผลพอสมควร เหตุผลก็เพราะว่าการขยายงานน่าจะโตไปได้ไม่มาก อาจจะเนื่องจากข้อจำกัดทางด้านบุคลากรและด้านของความต้องการของลูกค้าเอง การที่งานต้องพึ่งพิงคนที่มีความสามารถเฉพาะตัวมากทำให้การรักษาบุคลากรอาจจะทำได้ยาก เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ ลูกจ้างที่เก่งมาก ๆ อาจจะสามารถออกไปตั้งกิจการเองได้ไม่ยากเนื่องจากธุรกิจไม่จำเป็นต้องใช้เงินทุนมาก ดังนั้น การลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้จึงหวังที่จะรวยยากแม้ว่าจะไม่ถึงกับเหนื่อยหนักเท่ากับธุรกิจอื่น ๆ ที่กล่าวข้างต้น
ที่เขียนมาทั้งหมดนั้น ก็มิได้หมายความว่าเราไม่ควรลงทุนซื้อหุ้นเหล่านั้นเลย เพราะในบางครั้งบางช่วงเวลา หุ้นเหล่านั้นก็ให้ผลตอบแทนที่โดดเด่นมาก เพียงแต่ว่าเราจำเป็นต้องรู้ว่าเวลานั้นคือเวลาไหน เช่นเดียวกัน เราต้องรู้ด้วยว่า หุ้นเหล่านั้นอาจจะมี “เวลาที่ดี” จำกัด ในขณะเดียวกัน เวลาที่ “แย่” หรือเวลาที่ “เลวร้าย” นั้นกลับยาวกว่ามาก อย่าให้สถานการณ์ช่วงสั้น ๆ ทำให้เราไขว้เขวกับธรรมชาติของธุรกิจ เพราะนั่นจะทำให้เราพลาดและเจ็บหนัก อย่าลืมว่านี่คือ ธุรกิจที่ต้อง “อาบเหงื่อต่างน้ำ” ไม่ใช่ธุรกิจที่ “หากินง่าย” อย่างหลาย ๆ ธุรกิจที่ไตรมาสแล้ว ไตรมาสเล่า ปีแล้ว ปีเล่า ผลการดำเนินงานก็เติบโตไปเรื่อย ๆ พร้อม ๆ กับราคาหุ้นที่จะตามกันไปต่อเนื่องยาวนาน
- chukieat30
- Verified User
- โพสต์: 3531
- ผู้ติดตาม: 0
Re: อาบเหงื่อต่างน้ำ/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 4
ขอบคุณบทความดีๆของท่านอาจารย์ครับ
ถ้าคุณตีลูกตามไทเกอร์ คุณก้ไม่มีทางจะเหนือกว่า ไทเกอร์ จงนำวงสวิงของไทเกอร์มาปรับใช้ให้เหมาะกับคุณ
หวิ่งชุนหวอซาน หวิ่งชุนยิปมันจีทคุดโด้ พื้นฐานก้มาจากหวิ่งชุน แม้ชื่อจะต่าง
แต่หวิ่งชุนก้คือ หวิ่งชุน
ทำวันนี้ให้ดี ทำพรุ่งนี้ให้ดีกว่า และทำวันข้างหน้าให้ดีที่สุด
หวิ่งชุนหวอซาน หวิ่งชุนยิปมันจีทคุดโด้ พื้นฐานก้มาจากหวิ่งชุน แม้ชื่อจะต่าง
แต่หวิ่งชุนก้คือ หวิ่งชุน
ทำวันนี้ให้ดี ทำพรุ่งนี้ให้ดีกว่า และทำวันข้างหน้าให้ดีที่สุด
-
- Verified User
- โพสต์: 4241
- ผู้ติดตาม: 0
Re: อาบเหงื่อต่างน้ำ/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 5
ขอบคุณครับ....
และเห็นด้วยอย่างยิ่ง ในฐานะทีี่เคยอยู่ในธุรกิจเหล็กที่เกี่ยวข้องกับการก่อสร้าง
สิบกว่าปี. บอกเลยว่า ยิ่งกว่า. อาบเหงื่อต่างน้ำอีกครับ.
และเห็นด้วยอย่างยิ่ง ในฐานะทีี่เคยอยู่ในธุรกิจเหล็กที่เกี่ยวข้องกับการก่อสร้าง
สิบกว่าปี. บอกเลยว่า ยิ่งกว่า. อาบเหงื่อต่างน้ำอีกครับ.
// Stay Hungry, Stay Foolish.
// Stay Calm, Stay Invest.
// Price is what you pay, Value is what you get.
// Stay Calm, Stay Invest.
// Price is what you pay, Value is what you get.
- Ii'8N
- Verified User
- โพสต์: 3682
- ผู้ติดตาม: 0
Re: อาบเหงื่อต่างน้ำ/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 8
พอดีเลยนิ
http://bit.ly/MMP7L5
http://www.bangkokbiznews.com/home/deta ... C3%92.html
ธุรกิจ : Global Corporate
วันที่ 2 กรกฎาคม 2555 06:10
เหล็กล้นตลาด ชนวนพิพาทการค้า
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
อุตสาหกรรมเหล็กโลก กำลังเจอพิษเศรษฐกิจ ออร์เดอร์หด ผลผลิตล้นตลาด ส่งผลให้ราคาร่วงลง และกำลังนำไปสู่สงครามการค้าของหลายคู่กรณี
ผู้ผลิตเหล็กทั่วโลกกำลังกล่าวหากันและกันว่า คู่แข่งเอาเปรียบด้วยการกดราคาเหล็กให้ถูกลง จนส่อเค้าว่าจะเกิดสงครามการค้าขนาดย่อมๆเป็นระลอกๆ
แนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่ซบเซาทั่วโลก ทำให้เกิดภาวะเหล็กล้นตลาด และทำให้เกิดการเอาเปรียบด้านราคา ตั้งแต่สหรัฐไปจนถึงไทย
ขณะที่ มาตรการคว่ำบาตรอิหร่าน และการที่ตะวันออกกลางยังไม่ฟื้นตัวจากเหตุจลาจลอาหรับ สปริง ส่งผลให้แนวโน้มอุตสาหกรรมเหล็กตึงเครียดมากยิ่งขึ้น เพราะตลาดนำเข้าเหล็กรายใหญ่ๆ พากันลดปริมาณการนำเข้า
ตอนนี้ ไม่เฉพาะจีนเท่านั้น ที่ถูกมองว่าเป็นผู้ร้าย รัสเซียและยูเครน ก็ถูกกล่าวหา ทำให้เกิดปัญหาขัดแย้งทางการค้าเด่นชัดมากขึ่น หลังจากส่อเค้ามานาน อุตสาหกรรมเหล็กโลกจึงกำลังเผชิญมรุสมลูกใหม่ที่อาจมาในรูปของการปิดกิจการ และมีกรณีพิพาททางการค้า
กระทรวงพาณิชย์สหรัฐ กำลังทบทวนมาตรการต่อต้านการทุ่มตลาดเหล็กแผ่นรีดร้อนจากรัสเซีย ซึ่งใช้ในอุปกรณ์ต่างๆและใช้ในอุตสาหกรรมรถยนต์ ที่ใช้มานานกว่าทศวรรษ ทำให้ผู้ค้าเหล็กรายใหญ่ของสหรัฐรายหนึ่ง เลิกนำเข้าเหล็กแผ่นรีดร้อนจากรัสเซีย เพราะกลัวจะได้รับผลกระทบจากนโยบายการค้าของสหรัฐ
“สมมุติฐานที่เป็นสาเหตุให้เกิดกรณีพิพาททางการค้าหวนกลับมาอีกครั้ง โดยเฉพาะ ปัญหานี้เกิดจากการที่บรรดาผู้ผลิตต่างชาติ ที่เพลิดเพลินกับการได้เงินอุดหนุนจากรัฐบาล พยายามผลิตเหล็กออกมาปริมาณมาก จนไม่คำนึงถึงความต้องการ จนส่งผลให้สินค้าล้นตลาด ราคาเหล็กก็ถูกลง" อลัน ไพรซ์ หัวหน้าฝ่ายปฏิบัติการการค้าระหว่างประเทศของบริษัทกฎหมาย วิลีย์ ไรน์ แอล แอล พี กล่าว
หลายปีที่ผ่านมา จีน คือต้นตอของปัญหานี้ เพราะจีนส่งออกเหล็กมายังสหรัฐเพิ่มขึ้นถึงสองในสาม แต่สหรัฐ ได้กำหนดอัตราภาษีเพื่อตอบโต้การทุ่มตลาดเหล็กจากจีนหลายประเภทด้วยกัน แต่ใช่ว่าตลาดพัฒนาแล้วเท่านั้นที่ได้รับความบอบช้ำจากปัญหาเหล็กล้นตลาด ปัญหานี้ ส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง สู่ประเทศที่กำลังพัฒนาอย่าง ตุรกี ไทย และไต้หวัน ทำให้เกิดการขายตัดราคากันอย่างดุเดือด
พอล โอมอลเลย์ ซีอีโอ บริษัทบลูสโคป สตีล ผู้ผลิตเหล็กรายใหญ่ที่สุดของออสเตรเลีย กล่าวกับรอยเตอร์ว่า บริษัทได้ยื่นฟ้องต่อศาล ภายใต้มาตรการต่อต้านการทุ่มตลาดเหล็กแผ่นรีดร้อนนำเข้าจากญี่ปุ่น ไต้หวัน เกาหลีใต้ และมาเลเซีย
แต่ราคาเหล็กที่ถูกลง และการแข่งขันกันอย่างดุเดือดนี้ นับเป็นข่าวดีสำหรับลูกค้า เช่น ผู้ผลิตรถยนต์ และเครื่องใช้ต่างๆ เช่นเดียวกับบริษัทก่อสร้าง ทว่าข้อขัดแย้งดังกล่าวอาจนำไปสู่สงครามการค้า ซึ่งประเทศที่รู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม ก็อาจออกมาตรการตอบโต้
จีน ซึ่งเป็นทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภคเหล็กรายใหญ่ที่สุดของโลก กำหนดภาษีนำเข้าเหล็กชนิดพิเศษที่เรียกกันว่า "grain-oriented electrical steel "จากสหรัฐ และเดือนที่แล้ว ได้ยื่นเรื่องร้องเรียนต่อองค์การการค้าโลก (ดับบลิวทีโอ) เพื่อเอาผิดสหรัฐ กรณีที่ตั้งกำแพงภาษีผลิตภัณฑ์นำเข้าจากจีน ตั้งแต่แผงโซลาร์เซลล์ ไปจนถึงชั้นวางของในครัว
การแข่งขันระหว่างผู้ผลิตเหล็กทั่วโลกจึงทวีความรุนแรงมากขึ้น เมื่อความต้องการของตลาดอ่อนแอลง ขณะที่มาตรการคว่ำบาตรอิหร่านของสหรัฐและยุโรป ซึ่งเริ่มตั้งแต่ต้นปีก็เข้มงวดขึ้น ส่งผลให้ลูกค้ารายสำคัญอย่างอิหร่านต้องมองหาคู่ค้าใหม่ และทำให้อุตสาหกรรมเหล็กของสหรัฐทรุดลงไปอีก
ปีที่แล้ว อิหร่านนำเข้าเหล็กแผ่นรีดร้อนในสัดส่วน 4% ของปริมาณเหล็กชนิดนี้ที่ขายทั่วโลก 51.8 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากที่นำเข้าเพียง 1.4% เมื่อปี 2551 โดยรัสเซีย มีสัดส่วนในการจัดหาเหล็ก 63% ของปริมาณนำเข้าเมื่อปี 2554 เพิ่มขึ้นสองเท่าจากช่วง 4 ปีก่อนหน้านี้
ขณะที่การส่งออกไปยังประเทศผู้ซื้อสำคัญอื่นๆในภูมิภาค อย่าง อียิปต์ และลิเบีย ก็ย่ำแย่ จากเหตุลุกฮือขึ้นมาประท้วงขับไล่ผู้นำที่เรียกว่า "อาหรับ สปริง" และจนถึงขณะนี้ สถานการณ์ก็ยังไม่กระเตื้อง เป็นเหตุให้ผู้นำเข้าต้องมองหาตลาดใหม่ๆ และนี่เป็นสัญญาณเตือนภัยสำหรับอุตสาหกรรมเหล็กสหรัฐ
"ผมเชื่อว่า บรรดาโรงถลุงเหล็กในสหรัฐ กำลังวิตกกังวลว่า ปัญหาออร์เดอร์หดในตลาดอื่นๆทั่วโลกจะลุกลามไปยังตลาดสหรัฐ” นายอูเกอร์ ดัลเบเรอร์ กรรมการผู้จัดการบริษัท โคลาโค-กลู เมทัลเออร์จี 1 ในกลุ่มผู้ผลิตเหล็กรายใหญ่สุด ของตุรกี กล่าว
ดอลลาร์แข็งค่า บวกกับความต้องการที่แข็งแกร่ง ทำให้สหรัฐ ยังคงเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมสำหรับผู้นำเข้า ในปีที่ผ่านมา บรรดาบริษัทพลังงานแข่งกันสร้างท่อส่งก๊าซธรรมชาติ และพยายามแสวงหาประโยชน์จากแหล่งก๊าซและน้ำมัน ส่วนผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมรถยนต์ ก็เร่งผลผลิตเพิ่มขึ้นอีกครั้ง
ทุกวันนี้ เหล็กแผ่นรีดร้อนนำเข้าจากรัสเซียล้นตลาดสหรัฐ เพราะราคาถูกกว่าคู่แข่ง แต่ก็ยังสูงพอที่จะทำกำไรได้ สาเหตุที่รัสเซียสามารถกดราคาได้ เพราะมีต้นทุนค่าใช้จ่ายในการผลิตต่ำที่สุดในโลก ในฐานะที่รัสเซียมีวัตถุดิบมากมาย
ปีเตอร์ ฟิช กรรมการผู้จัดการบริษัท เอ็มอีพีเอส ซึ่งให้คำปรึกษาด้านเหล็ก ให้ความเห็นว่า ตลาดเหล็กทุกวันนี้ถึงจุดอิ่มตัว ผู้ประกอบการ ต้องยอมขายของขาดทุน เพื่อโละเหล็กที่ขายไม่ออก ซึ่งปรากฏการณ์ลักษณะนี้ ทำให้ราคาเหล็กแผ่นรีดร้อนในสหรัฐ ทรุดฮวบถึง 10% ในเดือนนี้ หรือประมาณตันละ 600 ดอลลาร์ ราคาเกือบเท่าต้นทุนการผลิต
http://bit.ly/MMP7L5
http://www.bangkokbiznews.com/home/deta ... C3%92.html
ธุรกิจ : Global Corporate
วันที่ 2 กรกฎาคม 2555 06:10
เหล็กล้นตลาด ชนวนพิพาทการค้า
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
อุตสาหกรรมเหล็กโลก กำลังเจอพิษเศรษฐกิจ ออร์เดอร์หด ผลผลิตล้นตลาด ส่งผลให้ราคาร่วงลง และกำลังนำไปสู่สงครามการค้าของหลายคู่กรณี
ผู้ผลิตเหล็กทั่วโลกกำลังกล่าวหากันและกันว่า คู่แข่งเอาเปรียบด้วยการกดราคาเหล็กให้ถูกลง จนส่อเค้าว่าจะเกิดสงครามการค้าขนาดย่อมๆเป็นระลอกๆ
แนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่ซบเซาทั่วโลก ทำให้เกิดภาวะเหล็กล้นตลาด และทำให้เกิดการเอาเปรียบด้านราคา ตั้งแต่สหรัฐไปจนถึงไทย
ขณะที่ มาตรการคว่ำบาตรอิหร่าน และการที่ตะวันออกกลางยังไม่ฟื้นตัวจากเหตุจลาจลอาหรับ สปริง ส่งผลให้แนวโน้มอุตสาหกรรมเหล็กตึงเครียดมากยิ่งขึ้น เพราะตลาดนำเข้าเหล็กรายใหญ่ๆ พากันลดปริมาณการนำเข้า
ตอนนี้ ไม่เฉพาะจีนเท่านั้น ที่ถูกมองว่าเป็นผู้ร้าย รัสเซียและยูเครน ก็ถูกกล่าวหา ทำให้เกิดปัญหาขัดแย้งทางการค้าเด่นชัดมากขึ่น หลังจากส่อเค้ามานาน อุตสาหกรรมเหล็กโลกจึงกำลังเผชิญมรุสมลูกใหม่ที่อาจมาในรูปของการปิดกิจการ และมีกรณีพิพาททางการค้า
กระทรวงพาณิชย์สหรัฐ กำลังทบทวนมาตรการต่อต้านการทุ่มตลาดเหล็กแผ่นรีดร้อนจากรัสเซีย ซึ่งใช้ในอุปกรณ์ต่างๆและใช้ในอุตสาหกรรมรถยนต์ ที่ใช้มานานกว่าทศวรรษ ทำให้ผู้ค้าเหล็กรายใหญ่ของสหรัฐรายหนึ่ง เลิกนำเข้าเหล็กแผ่นรีดร้อนจากรัสเซีย เพราะกลัวจะได้รับผลกระทบจากนโยบายการค้าของสหรัฐ
“สมมุติฐานที่เป็นสาเหตุให้เกิดกรณีพิพาททางการค้าหวนกลับมาอีกครั้ง โดยเฉพาะ ปัญหานี้เกิดจากการที่บรรดาผู้ผลิตต่างชาติ ที่เพลิดเพลินกับการได้เงินอุดหนุนจากรัฐบาล พยายามผลิตเหล็กออกมาปริมาณมาก จนไม่คำนึงถึงความต้องการ จนส่งผลให้สินค้าล้นตลาด ราคาเหล็กก็ถูกลง" อลัน ไพรซ์ หัวหน้าฝ่ายปฏิบัติการการค้าระหว่างประเทศของบริษัทกฎหมาย วิลีย์ ไรน์ แอล แอล พี กล่าว
หลายปีที่ผ่านมา จีน คือต้นตอของปัญหานี้ เพราะจีนส่งออกเหล็กมายังสหรัฐเพิ่มขึ้นถึงสองในสาม แต่สหรัฐ ได้กำหนดอัตราภาษีเพื่อตอบโต้การทุ่มตลาดเหล็กจากจีนหลายประเภทด้วยกัน แต่ใช่ว่าตลาดพัฒนาแล้วเท่านั้นที่ได้รับความบอบช้ำจากปัญหาเหล็กล้นตลาด ปัญหานี้ ส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง สู่ประเทศที่กำลังพัฒนาอย่าง ตุรกี ไทย และไต้หวัน ทำให้เกิดการขายตัดราคากันอย่างดุเดือด
พอล โอมอลเลย์ ซีอีโอ บริษัทบลูสโคป สตีล ผู้ผลิตเหล็กรายใหญ่ที่สุดของออสเตรเลีย กล่าวกับรอยเตอร์ว่า บริษัทได้ยื่นฟ้องต่อศาล ภายใต้มาตรการต่อต้านการทุ่มตลาดเหล็กแผ่นรีดร้อนนำเข้าจากญี่ปุ่น ไต้หวัน เกาหลีใต้ และมาเลเซีย
แต่ราคาเหล็กที่ถูกลง และการแข่งขันกันอย่างดุเดือดนี้ นับเป็นข่าวดีสำหรับลูกค้า เช่น ผู้ผลิตรถยนต์ และเครื่องใช้ต่างๆ เช่นเดียวกับบริษัทก่อสร้าง ทว่าข้อขัดแย้งดังกล่าวอาจนำไปสู่สงครามการค้า ซึ่งประเทศที่รู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม ก็อาจออกมาตรการตอบโต้
จีน ซึ่งเป็นทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภคเหล็กรายใหญ่ที่สุดของโลก กำหนดภาษีนำเข้าเหล็กชนิดพิเศษที่เรียกกันว่า "grain-oriented electrical steel "จากสหรัฐ และเดือนที่แล้ว ได้ยื่นเรื่องร้องเรียนต่อองค์การการค้าโลก (ดับบลิวทีโอ) เพื่อเอาผิดสหรัฐ กรณีที่ตั้งกำแพงภาษีผลิตภัณฑ์นำเข้าจากจีน ตั้งแต่แผงโซลาร์เซลล์ ไปจนถึงชั้นวางของในครัว
การแข่งขันระหว่างผู้ผลิตเหล็กทั่วโลกจึงทวีความรุนแรงมากขึ้น เมื่อความต้องการของตลาดอ่อนแอลง ขณะที่มาตรการคว่ำบาตรอิหร่านของสหรัฐและยุโรป ซึ่งเริ่มตั้งแต่ต้นปีก็เข้มงวดขึ้น ส่งผลให้ลูกค้ารายสำคัญอย่างอิหร่านต้องมองหาคู่ค้าใหม่ และทำให้อุตสาหกรรมเหล็กของสหรัฐทรุดลงไปอีก
ปีที่แล้ว อิหร่านนำเข้าเหล็กแผ่นรีดร้อนในสัดส่วน 4% ของปริมาณเหล็กชนิดนี้ที่ขายทั่วโลก 51.8 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากที่นำเข้าเพียง 1.4% เมื่อปี 2551 โดยรัสเซีย มีสัดส่วนในการจัดหาเหล็ก 63% ของปริมาณนำเข้าเมื่อปี 2554 เพิ่มขึ้นสองเท่าจากช่วง 4 ปีก่อนหน้านี้
ขณะที่การส่งออกไปยังประเทศผู้ซื้อสำคัญอื่นๆในภูมิภาค อย่าง อียิปต์ และลิเบีย ก็ย่ำแย่ จากเหตุลุกฮือขึ้นมาประท้วงขับไล่ผู้นำที่เรียกว่า "อาหรับ สปริง" และจนถึงขณะนี้ สถานการณ์ก็ยังไม่กระเตื้อง เป็นเหตุให้ผู้นำเข้าต้องมองหาตลาดใหม่ๆ และนี่เป็นสัญญาณเตือนภัยสำหรับอุตสาหกรรมเหล็กสหรัฐ
"ผมเชื่อว่า บรรดาโรงถลุงเหล็กในสหรัฐ กำลังวิตกกังวลว่า ปัญหาออร์เดอร์หดในตลาดอื่นๆทั่วโลกจะลุกลามไปยังตลาดสหรัฐ” นายอูเกอร์ ดัลเบเรอร์ กรรมการผู้จัดการบริษัท โคลาโค-กลู เมทัลเออร์จี 1 ในกลุ่มผู้ผลิตเหล็กรายใหญ่สุด ของตุรกี กล่าว
ดอลลาร์แข็งค่า บวกกับความต้องการที่แข็งแกร่ง ทำให้สหรัฐ ยังคงเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมสำหรับผู้นำเข้า ในปีที่ผ่านมา บรรดาบริษัทพลังงานแข่งกันสร้างท่อส่งก๊าซธรรมชาติ และพยายามแสวงหาประโยชน์จากแหล่งก๊าซและน้ำมัน ส่วนผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมรถยนต์ ก็เร่งผลผลิตเพิ่มขึ้นอีกครั้ง
ทุกวันนี้ เหล็กแผ่นรีดร้อนนำเข้าจากรัสเซียล้นตลาดสหรัฐ เพราะราคาถูกกว่าคู่แข่ง แต่ก็ยังสูงพอที่จะทำกำไรได้ สาเหตุที่รัสเซียสามารถกดราคาได้ เพราะมีต้นทุนค่าใช้จ่ายในการผลิตต่ำที่สุดในโลก ในฐานะที่รัสเซียมีวัตถุดิบมากมาย
ปีเตอร์ ฟิช กรรมการผู้จัดการบริษัท เอ็มอีพีเอส ซึ่งให้คำปรึกษาด้านเหล็ก ให้ความเห็นว่า ตลาดเหล็กทุกวันนี้ถึงจุดอิ่มตัว ผู้ประกอบการ ต้องยอมขายของขาดทุน เพื่อโละเหล็กที่ขายไม่ออก ซึ่งปรากฏการณ์ลักษณะนี้ ทำให้ราคาเหล็กแผ่นรีดร้อนในสหรัฐ ทรุดฮวบถึง 10% ในเดือนนี้ หรือประมาณตันละ 600 ดอลลาร์ ราคาเกือบเท่าต้นทุนการผลิต
-
- Verified User
- โพสต์: 19
- ผู้ติดตาม: 0
Re: อาบเหงื่อต่างน้ำ/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 10
ขอบคุณครับ เห็นด้วยเลย ธุรกิจแบบนี้เข้าไปลงทุนผิดจังหวะก็เหนื่ิอยจริงๆ
-
- Verified User
- โพสต์: 1254
- ผู้ติดตาม: 0
Re: อาบเหงื่อต่างน้ำ/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 12
อ่านแล้วเข้าใจเลยคับว่าทำไมหุ้นหลายกลุ่มที่ท่านอ.เขียนถึงได้หุ้นอาบเหงื่อต่างน้ำ ขอบคุณคับ
โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มโภคภัณฑ์ โดยส่วนตัวผมคิดว่าราคาโภคภัณฑ์ที่บริษัทต่างๆในกลุ่มนี้อ้างอิงผลการดำเนินงานของบริษัทอยู่นั้นมีการควบคุมราคาเป็นอย่างดีจากตลาด ในช่วงที่demandมีมากแต่Supplyมีน้อยหรืออยู่ในภาวะขาดแคลน จะทำให้ผลการดำเนินงานของบริษัทต่างๆในกลุ่มนี้ดีขึ้นไปเรื่อยๆตามราคาโภคภัณฑ์ที่ปรับตัวสูงขึ้นไปเรื่อยๆ เมื่อราคาสูงขึ้นไปถึงระดับหนึ่งบริษัทต่างๆจะพยายามหาทางเพิ่มSupplyให้ได้มากๆซึ่งมักจะมีข่าวออกมาทางหนังสือพิมพ์ว่าบริษัทต่างๆกำลังหาทางเพิ่มกำลังการผลิดอยู่ เมื่อมาถึงช่วงเวลานี้ก็มาถึงช่วงยื้อเวลาให้ราคาโภคภัณฑ์ทรงตัวอยู่ในระดับสูงได้นานแค่ไหนบางอย่างก็ไม่กี่ไตรมาสบางอย่างก็เป็นปีอย่างที่ท่านอ.ว่าไว้ก่อนที่supplyใหม่ๆจะเข้ามาซึ่งเวลาsupplyใหม่ๆที่เข้ามามักจะท่วมท้นความความต้องการเป็นปกติไม่แค่เข้ามาแบบพอดีกับความต้องการของตลาดคับ
โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มโภคภัณฑ์ โดยส่วนตัวผมคิดว่าราคาโภคภัณฑ์ที่บริษัทต่างๆในกลุ่มนี้อ้างอิงผลการดำเนินงานของบริษัทอยู่นั้นมีการควบคุมราคาเป็นอย่างดีจากตลาด ในช่วงที่demandมีมากแต่Supplyมีน้อยหรืออยู่ในภาวะขาดแคลน จะทำให้ผลการดำเนินงานของบริษัทต่างๆในกลุ่มนี้ดีขึ้นไปเรื่อยๆตามราคาโภคภัณฑ์ที่ปรับตัวสูงขึ้นไปเรื่อยๆ เมื่อราคาสูงขึ้นไปถึงระดับหนึ่งบริษัทต่างๆจะพยายามหาทางเพิ่มSupplyให้ได้มากๆซึ่งมักจะมีข่าวออกมาทางหนังสือพิมพ์ว่าบริษัทต่างๆกำลังหาทางเพิ่มกำลังการผลิดอยู่ เมื่อมาถึงช่วงเวลานี้ก็มาถึงช่วงยื้อเวลาให้ราคาโภคภัณฑ์ทรงตัวอยู่ในระดับสูงได้นานแค่ไหนบางอย่างก็ไม่กี่ไตรมาสบางอย่างก็เป็นปีอย่างที่ท่านอ.ว่าไว้ก่อนที่supplyใหม่ๆจะเข้ามาซึ่งเวลาsupplyใหม่ๆที่เข้ามามักจะท่วมท้นความความต้องการเป็นปกติไม่แค่เข้ามาแบบพอดีกับความต้องการของตลาดคับ
สิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดบนโลกใบนี้คือความว่างเปล่า สูงจากว่างเปล่าคือก่อเกิดเปลี่ยนแปลง
http://www.fungdham.com/sound/popup-sou ... up-75.html
http://goo.gl/VjQ4cG
http://www.fungdham.com/sound/popup-sou ... up-75.html
http://goo.gl/VjQ4cG
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 1575
- ผู้ติดตาม: 0
Re: อาบเหงื่อต่างน้ำ/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 19
ผมว่า
ตอนนี้ กรรมการและคนที่ช่วยกันทำงานสมาคม thaivi
กำลังอาบเหงื่อต่างน้ำครับ
ตอนนี้ กรรมการและคนที่ช่วยกันทำงานสมาคม thaivi
กำลังอาบเหงื่อต่างน้ำครับ
ดู clip รายการ money talk ย้อนหลังได้ที่
http://www.facebook.com/MoneyTalkTV
http://www.facebook.com/MoneyTalkTV
- xavi
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 123
- ผู้ติดตาม: 0
Re: อาบเหงื่อต่างน้ำ/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 20
ขอบคุณมากครับ ดร. สำหรับบทความที่ดีอีกครั้ง
ผมโชคดีที่ไม่มีหุ้นในกลุ่มดังกล่าวเลย จริงๆแล้วไม่ได้คิดละเอียดขนาด ดร. หลอกครับ
แต่ใช้หลักการง่ายๆว่า ไม่พยายามซื้อหุ้นที่มีการแข่งขันสูงและสินค้าหาความแตกต่างกันยาก
เพราะท้ายที่สุดแล้วสิ่งที่ต้องนำมาแข่งขันกันเองก็คือ "ราคา" ซึ่งแม้ว่าท้ายสุดจะมีใครเป็นผู้ชนะก็ต้องเจ็บตัว ไม่รู้ว่าได้คุ้มเสียหรือเปล่า
และผมก็จะไม่พยายามเลือกหุ้นที่มี Net Profit Margin ที่บางมากๆ เหตุผลก็เพราะว่าต้นทุนของบริษัทนั้นอาจจะสูงไม่ว่าจะเป็น Fixed Cost หรือ Variable Cost เพราะถ้ามีการบริหารจัดการผิดพลาดไปเพียงเล็กน้อย ก็อาจส่งผลให้บริษัท "ขาดทุน" ได้
พอใช้หลักสองข้อนี้ก็ทำให้ Screen หุ้นออกไปได้หลายตัวเช่นเดียวกันครับ
ผมโชคดีที่ไม่มีหุ้นในกลุ่มดังกล่าวเลย จริงๆแล้วไม่ได้คิดละเอียดขนาด ดร. หลอกครับ
แต่ใช้หลักการง่ายๆว่า ไม่พยายามซื้อหุ้นที่มีการแข่งขันสูงและสินค้าหาความแตกต่างกันยาก
เพราะท้ายที่สุดแล้วสิ่งที่ต้องนำมาแข่งขันกันเองก็คือ "ราคา" ซึ่งแม้ว่าท้ายสุดจะมีใครเป็นผู้ชนะก็ต้องเจ็บตัว ไม่รู้ว่าได้คุ้มเสียหรือเปล่า
และผมก็จะไม่พยายามเลือกหุ้นที่มี Net Profit Margin ที่บางมากๆ เหตุผลก็เพราะว่าต้นทุนของบริษัทนั้นอาจจะสูงไม่ว่าจะเป็น Fixed Cost หรือ Variable Cost เพราะถ้ามีการบริหารจัดการผิดพลาดไปเพียงเล็กน้อย ก็อาจส่งผลให้บริษัท "ขาดทุน" ได้
พอใช้หลักสองข้อนี้ก็ทำให้ Screen หุ้นออกไปได้หลายตัวเช่นเดียวกันครับ
- dome@perth
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 4740
- ผู้ติดตาม: 0
Re: อาบเหงื่อต่างน้ำ/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 21
พี่เด็กใหม่ เข้าใจเปรียบเทียบนะครับเด็กใหม่ไฟแรง เขียน:ผมว่า
ตอนนี้ กรรมการและคนที่ช่วยกันทำงานสมาคม thaivi
กำลังอาบเหงื่อต่างน้ำครับ
ทำงานหนักมากๆ แต่ไม่ได้อะไร
แต่อย่างน้อย ผมคิดว่า คนให้กำลังใจน่าจะมากกว่า ไม่เห็นด้วยนะครับ
สู้ๆครับ
"ไม่มีสุตรสำเร็จ ไม่มีทางลัด ไม่ใช่แค่โชค
หนทางจะได้มาซึ่ง อิสระภาพทางการเงิน
มันมาจาก ความขยัน การไขว่คว้า หาความรู้
เชื่อและตั้งมั้นในหลักการลงทุนที่ถูกต้อง"
หนทางจะได้มาซึ่ง อิสระภาพทางการเงิน
มันมาจาก ความขยัน การไขว่คว้า หาความรู้
เชื่อและตั้งมั้นในหลักการลงทุนที่ถูกต้อง"