VI สายธรรมะ แนวพุทธปัญญา

เชิญมาพักผ่อน คลายร้อนนั่งเล่น คุยกันเย็นๆ พร้อมเรื่องกีฬา สัพเพเหระ ทัศนะนานา ชีวิตชีวา สุขภาพทั่วไป บันเทิงขำขัน รอบเรื่องเมืองไทย ชวนเที่ยวที่ไหน อยากไปก็นัดมา ...โย่วๆ
Pekko
Verified User
โพสต์: 671
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI สายธรรมะ แนวพุทธปัญญา

โพสต์ที่ 121

โพสต์

จริงๆ ก็ปฏิบัติเองอยู่ที่บ้านได้นะครับ เพียงแต่ที่บ้านมีสิ่งอำนวยความสะดวก ยั่วยวนกิเลส เป็นอุปสรรคขัดขวางความก้าวหน้าเจริญในธรรม(ที่สุดแห่งธรรม) หลวงปู่ดูลย์เคยกล่าวสั้นๆ ไว้ว่า ถ้าฝึกจนจิตยิ้มก็ถือว่าตั้งหลักได้แล้ว ต้องพึ่งตนเองแล้ว เหมือนกับคำถามที่ถามว่า ได้เงินล้านแรกแล้วจะทำให้ได้ล้านที่สองยังไง คำตอบส่วนใหญ่คือ ก็ทำให้เหมือนที่ได้ล้านแรกนั่นแหละ เพราะเรามาถูกทาง หรือถูกจริตของเราแล้ว

จากการสนทนา ผมคิด(เอง)ว่า คุณ tum_H น่าจะพอจับทางได้แล้ว ถ้าตอนนี้เลือกทางเดินสายฆราวาสขั้นต้นก็ทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ แต่ถ้าเลือกเส้นทางนอกเหนือจากนี้ก็ปฏิบัติตามวัดต่างๆ ที่ทุกๆท่านแนะนำครับ
สติปัฎฐาน 4
กาย เวทนา จิต ธรรม
ภาพประจำตัวสมาชิก
tum_H
Verified User
โพสต์: 1857
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI สายธรรมะ แนวพุทธปัญญา

โพสต์ที่ 122

โพสต์

เด็กใหม่ไฟแรง เขียน:หากสามารถเดินทางได้
ไม่ไกลมากนัก
เสนอว่า วัดบุญญาวาศ เมืองชล
พระอาจารย์อัครเดช (ตั๋น) สอนเองครับ
ศิษย์หลวงปู่ชาครับ
อยู่ในป่า บรรยากาศรื่นรมย์มากครับ
มีคนไปปฏิบัติแบบค้างคืนกันพอสมควร
เห็นด้วยอย่างยิ่งเลยครับ ร่มรื่นเย็นสบาย
ผมไปนั่งสมาธิตอนกลางวัน อากาศดีมาก เหมาะแก่การฝึกจิต
นั่งไปนั่งมาถึงบ่าย3 ถึงเวลาพระท่านร่วมกันปัดกวาดวัด

มิน่าพระท่านถึงเข้าป่าเพื่อปฎิบัติธรรม อากาศดี ลมเย็น
นั่งแล้วไม่เมื่อย กำลังจิตดีขึ้นเรื่อยๆ กะว่ามีโอกาสก็จะไปค้างคืนสัก 3-7 วัน
เพราะขนาดกลางวันยังรู้สึกได้ถึงความสงบ กลางคืนคงไม่ต้องพูดถึง

อ้อ แมลงตัวเล็กๆเยอะพอควร เตรียมกลดไปด้วยน่าจะดีครับ

:P
ชาตินี้เป็นที่สุดแล้ว บัดนี้ไม่มีความเกิดอีก
ภาพประจำตัวสมาชิก
tum_H
Verified User
โพสต์: 1857
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI สายธรรมะ แนวพุทธปัญญา

โพสต์ที่ 123

โพสต์

Pekko เขียน:จริงๆ ก็ปฏิบัติเองอยู่ที่บ้านได้นะครับ เพียงแต่ที่บ้านมีสิ่งอำนวยความสะดวก ยั่วยวนกิเลส เป็นอุปสรรคขัดขวางความก้าวหน้าเจริญในธรรม(ที่สุดแห่งธรรม)
ที่ห้องบรรยากาศยั่วยวนให้หลับครับ วันไหนที่จิตโล่งๆก็นั่งได้สบายๆ
แต่วันไหนอิ่ม เพลีย มากๆนั่งบนเตียงสักพักก็หลับแล้ว

เลยใช้ที่ห้องเป็นที่สวดมนต์แทน

ถ้าวันไหนจิตสงบนั่งยังไงก็ไม่เมื่อย ไม่ปวดหลัง ไม่ปวดขา
แต่วันไหนจิตฟุ้งซ่าน ยังไม่ถึง 10 นาที อาการปวดมาล่ะ

(ตอนนี้อยู่อพาร์ตเมนต์ ค่อนข้างคับแคบ ใช้สำหรับฝึกนิดๆหน่อย ส่วนใหญ่จะไปวัด
นั่งคราวละ 2-3 ชม )

:P
ชาตินี้เป็นที่สุดแล้ว บัดนี้ไม่มีความเกิดอีก
ภาพประจำตัวสมาชิก
The Kop 71
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 271
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI สายธรรมะ แนวพุทธปัญญา

โพสต์ที่ 124

โพสต์

ท่านที่สนใจ มีสถานปฏิบัติธรรมอีกแห่งมาแนะนำครับ

บ้านบุญ ที่ปากช่อง ทุกอาทิตย์ที่ 1 & 3 ของทุกเดือน

โดยพระอาจารย์ ชยสาโร อดีตเจ้าอาวาสวัดป่านานาชาติ อุบลฯ ที่ปัจจุบันท่านไม่ขอรับตำแหน่งใดๆ

ท่านทุ่มเทให้กับการศึกษา วิถีพุทธปัญญา สร้างเด็กๆให้รู้จักพึ่งตนเอง คิดเป็น กิน อยู่ ดู ฟัง เป็น

ไม่ต้องยึดติดกับการศึกษาไทยที่สร้างแต่บัณฑิตปลากระป๋อง
เพราะสังคม..ประเมินค่า..ที่จนรวย
คนจึงสร้าง..เปลือกสวย..ไว้สวมใส่
หากสังคม..วัดค่า..ที่ภายใน
คนจะสร้าง..แต่จิตใจ..ที่ใฝ่ดี
ภาพประจำตัวสมาชิก
The Kop 71
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 271
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI สายธรรมะ แนวพุทธปัญญา

โพสต์ที่ 125

โพสต์

อีกทีครับลืมโพสลิงค์ครับ
http://thawsischool.com/dhamma-news/art ... nth_1.html
เพราะสังคม..ประเมินค่า..ที่จนรวย
คนจึงสร้าง..เปลือกสวย..ไว้สวมใส่
หากสังคม..วัดค่า..ที่ภายใน
คนจะสร้าง..แต่จิตใจ..ที่ใฝ่ดี
ภาพประจำตัวสมาชิก
tum_H
Verified User
โพสต์: 1857
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI สายธรรมะ แนวพุทธปัญญา

โพสต์ที่ 126

โพสต์

หลายๆคนคงเคยได้ยินเกี่ยวกับพุทธทำนาย หลังจากพระพุทธศาสนามีอายุครบ 5,000 ปี
โลกจะเข้าสู่ภาวะเสื่อมอย่างรุนแรง ศีลธรรมหายไปจากจิต กว่าจะเข้าสู่ยุคของสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า
พระองค์ใหม่ ก็ยาวนานหลายล้านๆๆๆปี

นั่นหมายความว่าในยุคสมัยนี้ ถือเป็นโอกาสที่ดีในการสร้างความเพียร เพราะจะเห็นได้ว่า
มนุษย์ต้องเวียนว่ายตายเกิดนับชาติไม่ได้

ผู้ซึ่งบรรลุพระโสดาบัน เกิดอีกมากสุด 7 ชาติ ส่วนพระอนาคามี ก็ไม่กลับมาเกิดอีกแล้ว
อยู่บนพรหมโลก เพื่อบรรลุธรรมขั้นสูงสุดในเวลาต่อไป

ในยุคสมัยนี้จึงเป็นโอกาสอันดีอย่างยิ่ง ที่จะได้เร่งสะสมบารมี เพื่อลดทอนหรือหยุดการเวียนว่าย
ตายเกิด สู่พระนิพพานอันเป็นจุดหมายสูงสุดของพระศาสนา

:idea:
ชาตินี้เป็นที่สุดแล้ว บัดนี้ไม่มีความเกิดอีก
Dech
Verified User
โพสต์: 4596
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI สายธรรมะ แนวพุทธปัญญา

โพสต์ที่ 127

โพสต์

ไปที่นี่ก็ได้ครับ นั่งสมาธิกับหลวงปู่บุญฤทธิ์ ปณฺฑิโต ที่พักสงฆ์สวนทิพย์
17/9 ถนนสุขาประชาสรรค์ 2 ต.บางพูด อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี.

เป็นที่พักสงฆ์เล็ก ที่สงบมากๆครับ ห่างจาก 5 แยกปากเกร็ดไปนิดเดียว
ใกล้ร้านอาหารสวนทิพย์ ใกล้ๆวัดกู้ ปากเกร็ด

อยู่รามอินทรา ขับตรงมาแจ้งวัฒนะไม่ไกลครับ
สีลํ พลํ อปฺปฏิมํ สีลํ อาวุธมุตฺตมํ
สีลํ อาภรณํ เสฏฺฐํ สีลํ กวจมพฺภุตํ
ศีลเป็นกำลังไม่มีที่เปรียบ ศีลเป็นอาวุธสูงสุด
ศีลเป็นเครื่องประดับอย่างประเสริฐสุด ศีลเป็นเกราะอย่างอัศจรรย์
Pekko
Verified User
โพสต์: 671
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI สายธรรมะ แนวพุทธปัญญา

โพสต์ที่ 128

โพสต์

tum_H เขียน:ผู้ซึ่งบรรลุพระโสดาบัน เกิดอีกมากสุด 7 ชาติ ส่วนพระอนาคามี ก็ไม่กลับมาเกิดอีกแล้ว
อยู่บนพรหมโลก เพื่อบรรลุธรรมขั้นสูงสุดในเวลาต่อไป

ในยุคสมัยนี้จึงเป็นโอกาสอันดีอย่างยิ่ง ที่จะได้เร่งสะสมบารมี เพื่อลดทอนหรือหยุดการเวียนว่าย
ตายเกิด สู่พระนิพพานอันเป็นจุดหมายสูงสุดของพระศาสนา
:idea:
ผมเคยอ่านคู่มือพระโสดาบัน พระพุทธองค์ตรัสว่าพระโสดาบันจะไม่มีภพที่ 8 แต่คำว่าภพในปฏิจสมุปบาท 12 (ธรรมที่เป็นเหตุเป็นผลกัน หรือที่ท่านพุทธทาส นิยามว่า อิทัปปัจจยตา) แบ่งเป็น
1. กามภพ ได้แก่ สัตว์ มนุษย์ และเทวดา (โลก 1 สวรรค์ 6 ชั้น)
2. รูปภพ ได้แก่ พรหมชั้น 1 - 11 คือผู้ที่ได้รูปฌานแบบพราหมณ์ (ฌาน 1-4 แต่ยังไม่ครบองค์มรรค 8)
3. อรูปภพ ได้แก่ พรหมชั้น 17-20 คือผู้ที่ได้อรูปฌานแบบพราหมณ์(อรูปฌาน 1-4 หรือฌาน 5-8 แต่ยังไม่ครบองค์มรรค 8 เหมือนกัน)
ชาติ คือ การกำเนิดลงสู่ครรภ์

ทีนี้ ผมยังสงสัยอยู่นิดนึงว่าการนับอีกไม่เกิน 7 ครั้งนี้ นับจากการเกิดสลับระหว่างภพ หรือนับจากเกิดทุกชาติในทุกภพ (แต่ก็ช่างมันเถอะ ปฏิบัติไปเรื่อยๆ ไม่ต้องสนใจเรื่องนี้มากนัก ประเดี๋ยวกิเลส อุปาทานขั้นละเอียดก็จะเกิดขึ้นโดยเราไม่รู้ตัวอีก คอยดูผลจากการปฏิบัติดีกว่าว่าเราจะทำได้แค่ไหน)

ส่วนพระอนาคามี ผมทราบแต่เพียงว่า เกิดในพรหมชั้น 12-16 ซึ่งไม่หวนกลับมาในกามภพแล้ว โดยจะเลื่อนชั้นขึ้นไปตามการความละเอียดในการกำจัดสังโยชน์เบื้องสูงอีก 5 อย่าง เมื่อกำจัดหมดและหมดอายุขัยพรหม จักเข้าสู่นิพพาน ก็เลยไม่ทราบแน่ชัดว่าพระอนาคามีเป็นรูปพรหมหรืออรูปพรหม แต่ถ้าเดา ผมว่าน่าจะเป็นรูปพรหมมากกว่า

แต่ไม่ว่าจะบรรลุธรรมขั้นไหน ถ้ายังไม่ถึงความเป็นอรหันต์ ก็ถือว่าเป็นพระเสขะ คือผู้ที่ยังต้องทำการศึกษาต่อไป
ปริยัติ ปฎิบัติ และปฏิเวธ เป็น 3 สิ่งที่ผู้ปฏิบัติและเลื่อมใสศรัทธาในพระรัตนตรัย ต้องทำควบคู่กันไป การหยุดเวียนว่ายตายเกิดแม้เพียง 1 ชาติ นั่นคือการกำจัดทุกข์ไปมหาศาลมากจนนับไม่ได้

ระยะนี้ผมจิตใจว้าวุ่น มีปัญหาเรื่องการงาน (ถูกเอารัดเอาเปรียบ ถูกขโมยผลงาน เป็นมาประมาณ 2.5 ปี) แต่เมื่อเรื่องแดงขึ้นกระจ่างขึ้น (ตั้งแต่ต้นเดือน พ.ค.) ก็มีข่าวดีว่าผมอาจจะได้เลื่อนตำแหน่ง ชีวิตก็เลยตกอยู่ในโลกธรรม 8 อีกครั้ง(น่าเบื่อมั่ก) คนอื่นที่เสียผลประโยชน์ไม่ชอบใจก็คอยยั่วยุ ผมผิดเองแหล่ะที่วางเรื่องนี้ไม่ค่อยจะได้ ทั้งที่พระพุทธองค์ หรือพระอาจารย์สอนว่าอย่าเพ่งเล็งโทษของคนอื่นเขา ส่งผลให้อารมณ์ผมไม่ค่อยดี พูดจาไม่ไพเราะเสนาะหูคนอื่นเท่าไร แถมความรับผิดชอบงานเพิ่มขึ้นอีกเพียบ ซึ่งทำให้สมาธิก็ไม่ค่อยได้เจริญ ปัญญาวิปัสนาก็กลายเป็นวิปัสนึกไป(เซ็ง) :evil: แต่ยังโชคดีที่จิตใจยังคงมีความว่างอยู่ แม้จะไม่มากเท่าช่วงต้นปีก็ตาม (เฮ้อ..เซ็งอีก)

ผมอาจจะไม่คอยได้เข้ามา POST หรือมา POST แล้วพิมพ์ตกพิมพ์ผิด สับสนดูงงงง ก็ขอโทษด้วยนะครับ สำหรับท่านสมาชิกที่สงสัยศัพท์เทคนิคทางพุทธศาสนาก็ถามมาได้เลยครับ พวกเราเกิดมาจากความไม่รู้ (อวิชชา)ทั้งนั้น อย่าได้ปล่อยโอกาสนี้ไป เดี๋ยวผู้ที่รู้(หรือคิดว่ารู้ เช่นผมเป็นต้น)จะช่วยตอบ หรือถ้ายังตอบไม่ได้ก็จะไปถามอาจารย์กู๋(google) มาให้

ยังคงติดตามคุณ varinton กับพี่เด็กใหม่ฯ อยู่นะครับว่ามีประสบการณ์ และเป้าหมายด้านนี้อย่างไรบ้าง โดยเฉพาะคุณ varinton หายไปเลย ผมอยากทราบแนวคิดแนวปฏิบัติมาก น่าสนใจ คิดว่ามีประโยชน์ต่ออีกหลายคนรวมทั้งผมด้วยเป็นอย่างมาก

และรบกวนถามคุณ Dech ว่าช่วงเวลาที่นั่งสมาธิของที่พักสงฆ์สวนทิพย์ เป็นเวลาใด และต้องปฏิบัติ/แต่งกายอย่างไรครับ ขอบคุณครับ
สติปัฎฐาน 4
กาย เวทนา จิต ธรรม
ภาพประจำตัวสมาชิก
tum_H
Verified User
โพสต์: 1857
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI สายธรรมะ แนวพุทธปัญญา

โพสต์ที่ 129

โพสต์

Pekko เขียน:
tum_H เขียน: ทีนี้ ผมยังสงสัยอยู่นิดนึงว่าการนับอีกไม่เกิน 7 ครั้งนี้ นับจากการเกิดสลับระหว่างภพ หรือนับจากเกิดทุกชาติในทุกภพ (แต่ก็ช่างมันเถอะ ปฏิบัติไปเรื่อยๆ ไม่ต้องสนใจเรื่องนี้มากนัก ประเดี๋ยวกิเลส อุปาทานขั้นละเอียดก็จะเกิดขึ้นโดยเราไม่รู้ตัวอีก คอยดูผลจากการปฏิบัติดีกว่าว่าเราจะทำได้แค่ไหน)
ความคิดเห็นส่วนตัวนะครับ เทวดา เวลาหมดบุญ ท่านจะเรียกว่า จุติ ซึ่งหมายถึงการเกิด พระโสดาบัน กลับมาเกิดอย่างมากไม่เกิน 7 ชาติ นั่นหมายความว่า อบายภูมิ หมดสิทธิ์ที่จะไป ก็น่าจะเหลือแค่การกลับมาเป็นมนุษย์ เพื่อเวียนว่ายตามวัฏจักร จนกว่าจะหลุดพ้นนะครับ


:o
ชาตินี้เป็นที่สุดแล้ว บัดนี้ไม่มีความเกิดอีก
Pekko
Verified User
โพสต์: 671
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI สายธรรมะ แนวพุทธปัญญา

โพสต์ที่ 130

โพสต์

ขอบคุณคุณ tum_H มากครับ
เมื่อสักครู่ลองหาในเครื่องส่วนตัว พบFileที่เคยSaveไว้นานแล้ว คือหนังสือพุทธวัจน์ คู่มือของพระโสดาบัน ของวัดนาป่าพง ได้คำตอบเป็นดังนี้ครับ
"พระโสดาบัน ละสังโยชน์ได้สามข้อ มีสามจำพวก
ภิกษุนั้น , เพราะความสิ้นไปรอบแห่งสังโยชน์สาม เป็นผู้สัตตักขัตตุปรมะ ยังต้องท่องเที่ยว ไปในภพแห่งเทวดาและมนุษย์อีกเจ็ดครั้ง เป็นอย่างมาก แล้วย่อมกระทำที่สุดแห่งทุกข์ได้
(หรือว่า) ภิกษุนั้น , เพราะความสิ้นไปรอบแห่งสังโยชน์สาม เป็นผู้โกลังโกละ จักต้องท่องเที่ยวไปสู่สกุลอีกสองหรือสามครั้ง แล้วย่อมกระทำที่สุดแห่งทุกข์ได้
(หรือว่า) ภิกษุนั้น , เพราะความสิ้นไปรอบแห่งสังโยชน์สาม เป็นผู้เป็น เอกพีชี คือจักเกิด ในภพแห่งมนุษย์อีกหนเดียวเท่านั้น แล้วย่อมกระทำที่สุดแห่งทุกข์ได้"
สติปัฎฐาน 4
กาย เวทนา จิต ธรรม
ภาพประจำตัวสมาชิก
tum_H
Verified User
โพสต์: 1857
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI สายธรรมะ แนวพุทธปัญญา

โพสต์ที่ 131

โพสต์

Pekko เขียน:ระยะนี้ผมจิตใจว้าวุ่น มีปัญหาเรื่องการงาน (ถูกเอารัดเอาเปรียบ ถูกขโมยผลงาน เป็นมาประมาณ 2.5 ปี) แต่เมื่อเรื่องแดงขึ้นกระจ่างขึ้น (ตั้งแต่ต้นเดือน พ.ค.) ก็มีข่าวดีว่าผมอาจจะได้เลื่อนตำแหน่ง ชีวิตก็เลยตกอยู่ในโลกธรรม 8 อีกครั้ง(น่าเบื่อมั่ก) คนอื่นที่เสียผลประโยชน์ไม่ชอบใจก็คอยยั่วยุ ผมผิดเองแหล่ะที่วางเรื่องนี้ไม่ค่อยจะได้ ทั้งที่พระพุทธองค์ หรือพระอาจารย์สอนว่าอย่าเพ่งเล็งโทษของคนอื่นเขา ส่งผลให้อารมณ์ผมไม่ค่อยดี พูดจาไม่ไพเราะเสนาะหูคนอื่นเท่าไร แถมความรับผิดชอบงานเพิ่มขึ้นอีกเพียบ ซึ่งทำให้สมาธิก็ไม่ค่อยได้เจริญ ปัญญาวิปัสนาก็กลายเป็นวิปัสนึกไป(เซ็ง) :evil: แต่ยังโชคดีที่จิตใจยังคงมีความว่างอยู่ แม้จะไม่มากเท่าช่วงต้นปีก็ตาม (เฮ้อ..เซ็งอีก)นถามคุณ Dech ว่าช่วงเวลาที่นั่งสมาธิของที่พักสงฆ์สวนทิพย์ เป็นเวลาใด และต้องปฏิบัติ/แต่งกายอย่างไรครับ ขอบคุณครับ
ผมว่าเรื่องแบบนี้น่าจะเกิดกับทุกคนนะครับ ก่อนหน้านั้นผมก็เป็นบ่อยเหมือนกัน แต่เมื่อหันมาพิจารณาก็รู้ว่ากิเลสนั้นเกิดจากใจตน
นั่นเอง ตอนนี้ก็เลยละวาง ให้ทุกอย่างเป็นไปตามหลักธรรมชาติ พยายามไม่เอาจิตไปผูกหรือยึดติดกับเรื่องต่างๆ รู้สึกว่ากายเบา
ใจก็เบาตาม
หลังๆหากคิดไม่ดี หรือตำหนิคนอื่น ก็จะหันมามองอดีตที่ตัวเองเคยทำแบบนั้นไว้บ้าง รู้สึกได้เลยว่าตัวเราก็ไม่ได้ดีกว่าคนที่เรา
ไปตำหนิเขาเลย ความทุกข์ใจเลยกลายเป็นมีสติระลึกรู้แทน

ส่วนเรื่องการภาวนา ผมก็จะใช้เวลาว่างช่วงวันเสาร์ ไปนั่งสมาธิคราวละ 2-3 ชม สลับกับการเดินจงกลม ซึ่งก็จะใช้วิธีการ
งดข้าวเที่ยง เพราะหลังจากทดลองวิธีนี้แล้ว เรื่องความง่วงที่เคยเป็นปัญหาแก้ได้ชงักจริงๆ ส่วนการบริกรรมพุทธโธ เพื่อ
ควบคุมจิตก็จะใช้ พุทโธ 1 พุทโธ 2...ไปจนถึง 100 แล้วกลับมาเริ่มใหม่ หากจิตคิดออกไปนอกทาง ก็จะกลับมาเริ่มใหม่
รู้สึกว่าวิธีนี้เหมาะกับจริตของตัวเองดีครับ


:D
ชาตินี้เป็นที่สุดแล้ว บัดนี้ไม่มีความเกิดอีก
Dech
Verified User
โพสต์: 4596
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI สายธรรมะ แนวพุทธปัญญา

โพสต์ที่ 132

โพสต์

รูปภาพ
รูปภาพ

ช่วงเวลาที่บอกไว้คือ เวลาที่เปิดกุฏิหลวงปู่ให้ขึ้นไปกราบและนั่งสมาธิด้านบนได้ครับ

แต่จริงแล้ว ไปช่วงอื่นๆ กลางวันจะไปเวลาใดก็ได้ครับ ปกติถ้าหลวงปู่ท่านไม่ไปหาหมอก็อยู่ในกุฏิตลอดทุกวันครับ
เพราะท่านอายุมากแล้ว ปีนี้ก็ 98 แล้วครับ และมีปัญหาเรื่องสุขภาพครับ
ไปนั่งรอบๆมีศาลาให้นั่งสมาธิหลายจุดครับ พร้อมเวลาไหนนั่งตรงไหนก็ได้เลยครับ
หลวงปู่ท่านรับรู้อยู่แล้ว

ปกติผมไปก็ไปกราบหน้ากุฏิ ไม่ค่อยได้เห็นหน้าท่านครับ ไปไม่ตรงเวลาครับ
ถ้าอยากเห็นหน้าท่านด้วยก็ไปตรงเวลาครับ

สำหรับช่วงเวลา 15.30 และ 20.30 ที่แจ้งจะพิเศษตรงหลวงปู่จะเป็นคนนำนั่งสมาธิด้วยตัวท่านเองด้วยครับ

ตัวอย่างรูปสถานที่ครับ
http://www.prommapanyo.com/smf/index.php?topic=1506.0
สีลํ พลํ อปฺปฏิมํ สีลํ อาวุธมุตฺตมํ
สีลํ อาภรณํ เสฏฺฐํ สีลํ กวจมพฺภุตํ
ศีลเป็นกำลังไม่มีที่เปรียบ ศีลเป็นอาวุธสูงสุด
ศีลเป็นเครื่องประดับอย่างประเสริฐสุด ศีลเป็นเกราะอย่างอัศจรรย์
ภาพประจำตัวสมาชิก
tum_H
Verified User
โพสต์: 1857
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI สายธรรมะ แนวพุทธปัญญา

โพสต์ที่ 133

โพสต์

Dech เขียน:หลวงปู่บุญฤทธิ์ ปณฺฑิโต ที่พักสงฆ์สวนทิพย์
เคยอ่านประวัติท่านเหมือนกันครับ ท่านเป็นลูกศิษย์ผู้ใกล้ชิดของหลวงปู่ชอบ ฐานสโม
อาจกล่าวได้ว่าเป็นพระสงฆ์ที่ซ่ำซองในภาษาต่างประเทศเป็นอย่างมาก เห็นท่านเขึยนบรรยายธรรม
เป็นภาษาอังกฤษ ทำให้ผมอึ้งและทึ่งมาก ที่ในสมัยเมื่อ 50 กว่าปีที่แล้ว จะมีบุคคลระดับนี้สนใจ
ที่จะเดินตามรอยองค์สมเด็จพระศาสดา

วิธีการปฎิบัติธรรมของท่านก็น่าสนใจทีเดียว โดยเฉพาะกสินดวงจันทร์ ที่ท่านใช้เป็นอุบายธรรมในการ
หาความสุขสงบให้กับจิต


อนุโมทนา สาธุครับ
:D
ชาตินี้เป็นที่สุดแล้ว บัดนี้ไม่มีความเกิดอีก
ภาพประจำตัวสมาชิก
ดำ
Verified User
โพสต์: 4214
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI สายธรรมะ แนวพุทธปัญญา

โพสต์ที่ 134

โพสต์

ฆ่ามดหนึ่งตัว กับฆ่าวัวหนึ่งตัว ในทางพุทธศาสนาถือว่าบาปเท่ากันมั้ยครับ
กราฟที่มองไม่เห็นกับกราฟที่มองเห็น
ภาพประจำตัวสมาชิก
tum_H
Verified User
โพสต์: 1857
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI สายธรรมะ แนวพุทธปัญญา

โพสต์ที่ 135

โพสต์

ดำ เขียน:ฆ่ามดหนึ่งตัว กับฆ่าวัวหนึ่งตัว ในทางพุทธศาสนาถือว่าบาปเท่ากันมั้ยครับ
บาปไหม ถือว่าบาปเหมือนกันครับ
แต่หนักเบาไม่เท่ากัน เพราะกรรมที่ทำให้เกิดเป็นสัตว์ก็หนักเบาไม่เหมือนกัน

เช่นเดียวกับกรรมของการ ทำอนัตริยกรรม จะมีผลหนักที่สุด ในการทำกรรมกับหมู่มนุษย์ด้วยกันครับ

ดังนั้นจึงต้องรับกรรมในนรกขุมที่แตกต่าง หนักเบา ตามกรรมที่กระทำ

:D
ชาตินี้เป็นที่สุดแล้ว บัดนี้ไม่มีความเกิดอีก
varintorn
Verified User
โพสต์: 37
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI สายธรรมะ แนวพุทธปัญญา

โพสต์ที่ 136

โพสต์

ไม่ค่อยได้เข้ามาอ่านเท่าไหร่ครับ ติดห่วงคือลูกอยู่...
การปฏิบัติผมก็พยายามทำไปแบบปกติในชีวิตประจำวัน ประคองจิตไม่ให้หลงไปกับกระแส ระลึกถึงคำสอนของครูบาอาจารย์เวลาที่เราเจอกับสิ่งกระทบกระทั่งทางใจ

พยายามรักษาศีลเหมือนที่พี่เด็กใหม่สอนให้เริ่มตั้งแต่ตื่นนอนและในชีวิตประจำวันให้ได้มากที่สุด ส่วนสมาธิไม่ได้ทำเป็นกิจลักษณะมานานแล้วครับ อาจมีบ้างที่นั่งสงบจิตชั่วคราว ส่วนสมาธิที่เหมาะสำหรับการเจริญวิปัสสนาคือ ขณิกสมาธิ มั้งครับ ที่มั้งเพราะผมเป็นคนจำวิชาการไม่ค่อยเก่ง

อ้อ..ช่วยตอบเรื่องเทวดาจุติ จุติ แปลว่า เคลื่อน หรือ ย้ายนะครับ ไม่ได้แปลว่าเกิดหรอก คือ เคลื่อนจากภพภูมิหนึ่งไปสู่อีกภูมิหนึ่งแค่นั้นเอง ส่วนเกิดใช้คำว่า ชาต หรือ เกิดแล้ว นั่นเอง

ส่วนพระโสดาบัน คือผู้ที่ละสังโยชน์เบื้องต้น 3 ได้ และเป็นผู้ที่ปิดประตูไปสู่อบายภูมิด้วย ตามลิ้งค์นี้
http://www.palungjit.com/smati/books/index.php?cat=153

----------------------------------------------

จะหาโอกาสพาลูกเมียไปกราบหลวงปู่่ที่สวนทิพย์ให้ได้เลยครับ อยู่ใกล้บ้านด้วย เพิ่งรู้ว่ามีของดีอยู่ใกล้ ๆ นี่เอง
ภาพประจำตัวสมาชิก
tum_H
Verified User
โพสต์: 1857
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI สายธรรมะ แนวพุทธปัญญา

โพสต์ที่ 137

โพสต์

อีกวัดหนึ่งครับ แถวปทุม

วัดป่าจิตตภาวนา(ฟ้าคราม) ต.คูคต อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี สาขาที่ 44 ของวัดป่าพง
พระอาจารย์สพไชย กนฺตสีโล

พอดีขับรถผ่านไปแถวนั้นเลยแวะ เป็นวัดสาขาของวัดหนองป่าพง
ทางเข้าอาจจะติดขัดหน่อย แต่ด้านในก็ดูร่มรื่นดี

เหมาะสำหรับคนกรุงที่อยากหลีกหนีความวุ่นวาย หาความสงบใส่ตัวครับ

:D
ชาตินี้เป็นที่สุดแล้ว บัดนี้ไม่มีความเกิดอีก
ภาพประจำตัวสมาชิก
Segasus_Seiya
Verified User
โพสต์: 105
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI สายธรรมะ แนวพุทธปัญญา

โพสต์ที่ 138

โพสต์

ขอสอบถามด้วยครับ ปล่อยเงินกู้ ดอกเบี้ยเดือนละ 5% นอกระบบ
สองกรณีนี้เป็นบาปมากน้อยออย่างไรครับ

Case 1 : ตั้งใจปล่อยกู้เป็นอาชีพ มีคนมากู้ ผู้ขอกู้เสนอให้ดอกเบี้ย 5% ต่อเดือน เนื่องจากร้อนเงิน

Case 2 : ไม่ได้ตั้งใจปล่อยกู้ มีเงินเก็บ แล้วมีคนมาขอกู้ (ผู้ขอกู้) เสนอให้ดอกเบี้ย 5% ต่อเดือน เนื่องจากร้อนเงิน

คือถ้าคิด % = 60% ต่อปี มันค่อนข้างสูงมากๆๆ แต่ทั้งสองกรณี คนขอกู้เต็มใจให้ดอกเบี้ย แต่ไม่รู้ว่ากู้ไปทำอะำไร

แล้วการปล่อยกู้ ถือเป็นบาบไหมครับ ขอบคุณครับ
Nice
ภาพประจำตัวสมาชิก
oatty
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 2444
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI สายธรรมะ แนวพุทธปัญญา

โพสต์ที่ 139

โพสต์

ไม่เห็นจะบาปตรงไหนเลย ไม่งั้นธนาคารคงบาปไปหมดแล้ว

มันจะไปบาปตอนที่ทวงหนี้มากกว่าถ้าคนกู้ไม่มีปัญญาจ่าย คิดไปแล้วมันน่าอัศจรรย์นักว่าเขากู้เอาไปทำอะไรที่สามารถทำกำไรคุ้มกับดอกที่ต้อวเสีย
"ผู้ทรงธรรมนั่นแหละคือผู้ทรงเกียรติ ผู้มีความดีนั่นแหละคือผู้มีทรัพย์ ผู้รู้จักพอนั่นแหละคือมหาเศรษฐี" ว.วชิรเมธี
ภาพประจำตัวสมาชิก
tum_H
Verified User
โพสต์: 1857
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI สายธรรมะ แนวพุทธปัญญา

โพสต์ที่ 140

โพสต์

Segasus_Seiya เขียน:ขอสอบถามด้วยครับ ปล่อยเงินกู้ ดอกเบี้ยเดือนละ 5% นอกระบบ
สองกรณีนี้เป็นบาปมากน้อยออย่างไรครับ

Case 1 : ตั้งใจปล่อยกู้เป็นอาชีพ มีคนมากู้ ผู้ขอกู้เสนอให้ดอกเบี้ย 5% ต่อเดือน เนื่องจากร้อนเงิน

Case 2 : ไม่ได้ตั้งใจปล่อยกู้ มีเงินเก็บ แล้วมีคนมาขอกู้ (ผู้ขอกู้) เสนอให้ดอกเบี้ย 5% ต่อเดือน เนื่องจากร้อนเงิน

คือถ้าคิด % = 60% ต่อปี มันค่อนข้างสูงมากๆๆ แต่ทั้งสองกรณี คนขอกู้เต็มใจให้ดอกเบี้ย แต่ไม่รู้ว่ากู้ไปทำอะำไร

แล้วการปล่อยกู้ ถือเป็นบาบไหมครับ ขอบคุณครับ
ส่วนตัวผมคิดว่าดูที่เจตนาและการกระทำเป็นหลักครับ ในทางพระศาสนาหากเป็นหนี้ก็ต้องชดใช้ ถึงแม้ว่าจะของเงินจะไม่
ติดใจ แต่ในทางกรรมนั้น ย่อมต้องได้รับผล

ในพระบาลีก็มียกตัวอย่างไว้ เจ้าหนี้ไม่ยอมอโหสิกรรม ก็เกิดไปเป็นลูกของลูกนี้บ้าง คอยล้างผลาญพ่อแม่ในชาตินั้นๆ
เพราะต้องการมาทวงหนี้

บางครั้งเจ้าหนี้อโหสิกรรมให้ แต่ลูกหนี้ก็ต้องเกิดเป็นวัว ควาย ทาส คอยชดใช้หนี้จนกว่าจะหมดเวรต่อกันก็มี

หากเจตนาบริสุทธิ์และไม่ผิดกฏหมาย ก็ไม่น่าจะผิดอะไร แต่หากมีความโลถเข้าครอบงำ อยากได้ทรัพย์ของผู้อื่น
อันนี้ก็ต้องถือว่าบาปหนักครับ

:D
ชาตินี้เป็นที่สุดแล้ว บัดนี้ไม่มีความเกิดอีก
Pekko
Verified User
โพสต์: 671
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI สายธรรมะ แนวพุทธปัญญา

โพสต์ที่ 141

โพสต์

Segasus_Seiya เขียน:ขอสอบถามด้วยครับ ปล่อยเงินกู้ ดอกเบี้ยเดือนละ 5% นอกระบบ
สองกรณีนี้เป็นบาปมากน้อยออย่างไรครับ
Case 1 : ตั้งใจปล่อยกู้เป็นอาชีพ มีคนมากู้ ผู้ขอกู้เสนอให้ดอกเบี้ย 5% ต่อเดือน เนื่องจากร้อนเงิน
Case 2 : ไม่ได้ตั้งใจปล่อยกู้ มีเงินเก็บ แล้วมีคนมาขอกู้ (ผู้ขอกู้) เสนอให้ดอกเบี้ย 5% ต่อเดือน เนื่องจากร้อนเงิน
คือถ้าคิด % = 60% ต่อปี มันค่อนข้างสูงมากๆๆ แต่ทั้งสองกรณี คนขอกู้เต็มใจให้ดอกเบี้ย แต่ไม่รู้ว่ากู้ไปทำอะำไร
แล้วการปล่อยกู้ ถือเป็นบาปไหมครับ ขอบคุณครับ
มรรค 8 ที่พระพุทธเจ้าแสดงไว้ มีสัมมาอาชีวะครับ มีอาชีพอยู่ 5 อย่างที่เป็นมิจฉาอาชีวะ ซึ่งบางอย่างก็มีส่วนผิดกฎหมาย (ประกอบด้วย 1. การค้าอาวุธ 2.การค้ามนุษย์ 3.การค้าสัตว์ขายเพื่อฆ่าเอาเนื้อ 4.การค้าของเมา(รวมทั้งสิ่งเสพติดทั้งหลาย) 5.การค้ายาพิษ)

ผมเห็นด้วยกับความเห็นของคุณ oatty นะครับ แต่สิ่งที่ต้องมองต่อไป คือ เราควรห่วงตัวเองดีกว่าครับว่าให้กู้แล้วเรามีโอกาสได้ทุนคืนรึเปล่ามากกว่าครับ

สัมมาอาชีวะ ไม่ใช่กุศลธรรม แต่เป็นกรรมกลางๆ (อัพยากตธรรม) เป็นองค์ประกอบ 1 ใน 8 ข้อที่ขาดไม่ได้ที่ทำให้เราเข้าสู่นิพพาน แต่กิเลสที่เกิดขึ้นจากความโลภนั้น ขึ้นอยู่กับเรารู้ตัวหรือไม่ ต้องใช้พรหมวิหาร 4 เข้ามาช่วย จะทำให้จิตใจพัฒนาขึ้นได้อีกครับ

กฎแห่งกรรม มีผลสลับซับซ้อนขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายๆ อย่าง(ไม่เรียงลำดับและผลลัพธ์ก่อนหลัง) จึงไม่สามารถนำกฎของโลกมาตอบได้ครับ
สติปัฎฐาน 4
กาย เวทนา จิต ธรรม
ภาพประจำตัวสมาชิก
ดำ
Verified User
โพสต์: 4214
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI สายธรรมะ แนวพุทธปัญญา

โพสต์ที่ 142

โพสต์

หลายวันมานี้ เวลาได้นั่งสมาธิก่อนนอน พอหลับไปแล้วปรากฏว่าตอนกลางคืน ฝันเรื่องโน้นเรื่องนี้อุตลุดเลยครับ ประมาณดูหนัง 3-4 เรื่องต่อกัน มีสาเหตุอะไรได้บ้างครับ (เรื่องที่ฝันไม่เกี่ยวกับเรื่องราวประจำวันหรือเรื่องใกล้ตัวที่เกิดจริงๆ)
Pekko
Verified User
โพสต์: 671
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI สายธรรมะ แนวพุทธปัญญา

โพสต์ที่ 143

โพสต์

ดำ เขียน:หลายวันมานี้ เวลาได้นั่งสมาธิก่อนนอน พอหลับไปแล้วปรากฏว่าตอนกลางคืน ฝันเรื่องโน้นเรื่องนี้อุตลุดเลยครับ ประมาณดูหนัง 3-4 เรื่องต่อกัน มีสาเหตุอะไรได้บ้างครับ (เรื่องที่ฝันไม่เกี่ยวกับเรื่องราวประจำวันหรือเรื่องใกล้ตัวที่เกิดจริงๆ)
การฝันเป็นเรื่องของสังขาร ความคิดปรุงแต่ง(เป็นองค์ประกอบหนึ่งของขันธ์5) ซึ่งจิตมีการติดหรือเพลิดเพลิน(นันทิ)อะไรบางอย่างโดยที่เราไม่รู้ตัว ซึ่งมันอาจเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องไร้สาระก็ได้ แต่ถ้าเป็นพระอริยเจ้าระดับสูงจะเรียกว่า นิมิต โดยส่วนมากมักจะเป็นเรื่องจริง หรือมีนัยสำคัญอะไรบางอย่างแฝงอยู่

ด้านวิทยาศาสตร์บอกว่าการฝัน คือ การที่เราคายพลังงานออกมาในเวลาหลับ โดยปกติเราจะฝันในคืนหนึ่งๆ ไม่ต่ำกว่า 3-4 เรื่อง แต่ผู้ฝันเองอาจจะจำไม่ได้ หรือคิดว่าไม่ได้ฝัน

สมัยปฏิบัติใหม่ๆ ผมฝันไร้สาระเรื่อยเปื่อย ส่วนมากจะเอียงไปทางกามราคะ (อกุศลกรรม) แต่กว่าจะเอาอยู่(หรืออาจจะเอาไม่อยู่)ก็นานหลายเดือนเหมือนกัน ช่วงนั้นทรมานมากๆ เพราะจิตเหมือนมันเสพติดมานาน สู้กับกิเลสในจิตเวลาหลับ แต่ก็พยายามบอกตัวเองว่า ตื่นขึ้นมานั่นหล่ะของจริง ส่วนที่ฝันเมื่อคืนมันเป็นเรื่องอดีต มันจบแล้ว ทำวันนี้ให้ดีตามกำลังของเราก็พอ

คุณดำไม่ต้องกังวลครับ น่าจะถือว่าเป็นนิมิตหมายที่ดีที่เริ่มสงสัย หรือรู้อะไรบางอย่างในจิตเพิ่มขึ้นแล้ว
สติปัฎฐาน 4
กาย เวทนา จิต ธรรม
ภาพประจำตัวสมาชิก
ดำ
Verified User
โพสต์: 4214
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI สายธรรมะ แนวพุทธปัญญา

โพสต์ที่ 144

โพสต์

ขอบคุณครับ คุณ Pekko

ที่แปลกใจคือ ช่วงที่ไม่ได้นั่งสมาธิก่อนนอน ไม่ได้รู้สึกว่าฝันอุตลุดแบบนี้ เลยงงว่าพอมาทำสมาธิน่าจะสงบมากขึ้น (เดาเอาเอง) แต่ผลกลับเป็นเหมือนฟุ้งตอนหลับมากขึ้น
Pekko
Verified User
โพสต์: 671
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI สายธรรมะ แนวพุทธปัญญา

โพสต์ที่ 145

โพสต์

ดำ เขียน:ขอบคุณครับ คุณ Pekko

ที่แปลกใจคือ ช่วงที่ไม่ได้นั่งสมาธิก่อนนอน ไม่ได้รู้สึกว่าฝันอุตลุดแบบนี้ เลยงงว่าพอมาทำสมาธิน่าจะสงบมากขึ้น (เดาเอาเอง) แต่ผลกลับเป็นเหมือนฟุ้งตอนหลับมากขึ้น
เพราะคุณดำ ทำสมถะเพื่อจะไล่ฆ่ากำจัดกิเลสนิวรณ์ครับ ตอนไล่ฆ่าเราไม่รู้หรอกเพราะวัดไม่ได้ แต่รู้อีกทีเมื่อผ่านไปซักพักแล้วพิจารณาอย่างละเอียด แต่ทว่าสมถะจะระงับนิวรณ์ได้ชั่วคราว มันยังไม่ยอมออกจากจิตเราไปง่ายๆ ถ้าสมถะหมดหรืออ่อนลง (เป็นเรื่องธรรมดาของผู้ปฏิบัติใหม่ๆ หรืออริยชนระดับต้น) กิเลส อาสวะ นิวรณ์จะออกมาอาละวาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาหลับ หรือมรรคไม่เต็มดวง ดังนั้นพระอริยสงฆ์บางรูปท่านกล่าวเตือนให้ผู้ปฏิบัติต้องกำหนดรู้ในเวลาหลับ (ผมก็ยังไม่เข้าใจมากนัก)

การทำสมถะได้กล้าแข็ง ทางพราหมณ์เรียกว่าฌานครับ ซึ่งเป็นข้อหนึ่งในมรรค แต่สมาธิหรือฌานนั้น ถ้าไม่ได้เป็นไปเพื่อความรู้แจ้ง เพื่อดับทุกข์แล้ว ทางพุทธศาสนา เรียกว่า มิจฉาสมาธิ หรือมิจฉาฌานครับ ตราบใดที่จิตยังไม่หลุดพ้น(วิมุตติ) หรือยังไม่บรรลุอริยธรรมใดๆ มันมีความอนิจจัง(ไม่เที่ยง)อยู่ เพราะว่ายังต้องอาศัยเหตุปัจจัยมาปรุงแต่งอยู่ (อวิชชา สังขาร ในปฏิจสมุทปาท 12) ซึ่งถ้าผู้ปฏิบัติยังมีโมหะจริตสูงอยู่ ก็อาจเสียผู้เสียคน ข้อนี้ต้องพึงระวังให้มากครับ เพราะทุกคนต้องปฏิบัติผิดทางก่อน ถึงจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร (เกือบตายมา 2 ครั้งแล้ว)

ดังนั้น เพื่อให้คุณดำเกิดความสมดุล คุณดำต้องเริ่มเจริญด้านปัญญา หรือที่เรียกว่า วิปัสสนา โดยใช้พระไตรลักษณ์เป็นแนวทางเดินของจิต (เหมือนที่องค์หลวงตามหาบัวเมตตาสอนลูกศิษย์) โดยใช้ร่างกายเรา เน้นรูปขันธ์เป็นหลัก เพราะจะง่ายกว่านามขันธ์ เป็นเครื่องลับปัญญา พิจารณาเช่นกายานุปัสติภาวนา หรือใช้กรรมฐาน 5 (เกศา โลมา นะขา ทันตา ตะโจ:ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง) จากศรีษะลงมาจรดปลายเท้า และย้อนปลายเท้าขึ้นมาจรดศรีษะ (อนุโลม-ปฏิโลม) อวัยวะ 32 อิริยาบท 4 กำลังสติให้พอๆกับกำลังสมาธิก็พอครับ

ซึ่งวิธีปฏิบัติเหล่านี้ เหมาเรียกรวมได้ว่า สติปัฏฐาน 4 อันเป็นทางเอกสายเดียวที่พระพุทธเจ้าแสดงและประทานให้กับพุทธสาวกได้ประพฤติปฏิบัติครับ
สติปัฎฐาน 4
กาย เวทนา จิต ธรรม
ภาพประจำตัวสมาชิก
tum_H
Verified User
โพสต์: 1857
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI สายธรรมะ แนวพุทธปัญญา

โพสต์ที่ 146

โพสต์

Pekko เขียน:แต่ทว่าสมถะจะระงับนิวรณ์ได้ชั่วคราว มันยังไม่ยอมออกจากจิตเราไปง่ายๆ ถ้าสมถะหมดหรืออ่อนลง (เป็นเรื่องธรรมดาของผู้ปฏิบัติใหม่ๆ หรืออริยชนระดับต้น) กิเลส อาสวะ นิวรณ์จะออกมาอาละวาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาหลับ หรือมรรคไม่เต็มดวง ดังนั้นพระอริยสงฆ์บางรูปท่านกล่าวเตือนให้ผู้ปฏิบัติต้องกำหนดรู้ในเวลาหลับ (ผมก็ยังไม่เข้าใจมากนัก)
เกิดอาการเดียวกับผมเลยครับ ก่อนหน้าที่ยังไม่ปฎิบัติ หัวถึงหมอนตื่นอีกทีก็สว่าง ไม่มีฝันอะไรเลย แต่พอระยะหลังเกิดความฝัน
หลายๆเรื่องในหนึ่งคืนเหมือนคุณดำว่าไว้ครับ

แต่ในความฝันหากเกิดเหตุจวนตัว ผมจะเกิดอาการกำหนดรู้ขึ้นทันทีเลยว่า นั่นคือความฝัน หากฝันนั้นเป็นฝันร้าย ก็จะกำหนดรู้
และกลายเป็นฝันที่เรากำหนดได้เอง บางทีหากคุมไม่ได้ก็จะกำหนดว่านั่นคือฝัน และตื่นขึ้นทันที

บางครั้งก็เกิดความฝันถึงสิ่งที่เราลงทุนก็มี ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นเรื่องจริง ท่านถึงว่านั่นคือ ฌาณโลกีย์ แต่พอจิตเราไปผูกกับ
สิ่งเหล่านั้นมากๆเข้า ก็เลยเกิดเป็นอาการหลอกของจิต ซึ่งไม่ได้เกิดจากฌาณ แต่เกิดจากการปรุงแต่งขึ้นมาของเราเอง
ที่อยากจะมี อยากได้ อยากรู้อย่างนั้นอีก ซึ่งระยะหลังๆผมก็จะละวาง ไม่ใส่ใจกับสิ่งที่ฝัน เพื่อให้จิตกลับมามีกำลังอีกครั้ง

:D
ชาตินี้เป็นที่สุดแล้ว บัดนี้ไม่มีความเกิดอีก
ภาพประจำตัวสมาชิก
ดำ
Verified User
โพสต์: 4214
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI สายธรรมะ แนวพุทธปัญญา

โพสต์ที่ 147

โพสต์

tum_H เขียน:เกิดอาการเดียวกับผมเลยครับ ก่อนหน้าที่ยังไม่ปฎิบัติ หัวถึงหมอนตื่นอีกทีก็สว่าง ไม่มีฝันอะไรเลย แต่พอระยะหลังเกิดความฝันหลายๆเรื่องในหนึ่งคืนเหมือนคุณดำว่าไว้ครับ

แต่ในความฝันหากเกิดเหตุจวนตัว ผมจะเกิดอาการกำหนดรู้ขึ้นทันทีเลยว่า นั่นคือความฝัน หากฝันนั้นเป็นฝันร้าย ก็จะกำหนดรู้ และกลายเป็นฝันที่เรากำหนดได้เอง บางทีหากคุมไม่ได้ก็จะกำหนดว่านั่นคือฝัน และตื่นขึ้นทันที
คล้ายกันเลยครับ ก็คงจะอาศัยการมีสติตามรู้ต่อไป

ขอปรึกษาเกี่ยวกับการนั่งสมาธิหน่อยครับ คือ เวลานั่งขัดสมาธิแบบตัวตรง ไม่มีพนักพิงหลัง แค่พักเดียวก็จะรู้สึกปวดหลังปวดขาจนไม่สบายกาย ทีนี้ที่เคยศึกษามา ท่านว่า ความรู้สึกสุขสบายเป็นเหตุใกล้ให้เกิดสมาธิ ซึ่งในการปฏิบัติเวลารู้สึกปวด ขณะนั้นก็รู้สึิกว่าเกร็ง อึดอัด ใจไม่สบาย ไม่สงบเลย ส่วนการนั่งหลังพิงนั้น เคยอ่านเจอเหตุผลที่ไม่ควรนั่งหลังพิงว่า ทำให้ง่วงซึมง่าย

เพื่อนๆพอจะมีคำแนะนำบ้างมั้ยครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
tum_H
Verified User
โพสต์: 1857
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI สายธรรมะ แนวพุทธปัญญา

โพสต์ที่ 148

โพสต์

ดำ เขียน: ขอปรึกษาเกี่ยวกับการนั่งสมาธิหน่อยครับ คือ เวลานั่งขัดสมาธิแบบตัวตรง ไม่มีพนักพิงหลัง แค่พักเดียวก็จะรู้สึกปวดหลังปวดขาจนไม่สบายกาย ทีนี้ที่เคยศึกษามา ท่านว่า ความรู้สึกสุขสบายเป็นเหตุใกล้ให้เกิดสมาธิ ซึ่งในการปฏิบัติเวลารู้สึกปวด ขณะนั้นก็รู้สึิกว่าเกร็ง อึดอัด ใจไม่สบาย ไม่สงบเลย ส่วนการนั่งหลังพิงนั้น เคยอ่านเจอเหตุผลที่ไม่ควรนั่งหลังพิงว่า ทำให้ง่วงซึมง่าย
เวลาจิตสงบคือ ขณะนั่งแล้วจิตสนใจแต่คำบริกรรม จนเกิดปีติ จะไม่มีอาการเหล่านี้ครับ แต่ถ้าจิตฟุ้ง ใจไม่อยู่กับคำบริกรรม อาการ
ทางกายเหล่านี้จะเกิดขึ้นเสมอ เพราะจิตไม่รวม

สำหรับผมจะไม่ใส่ใจท่านั่งเท่าไหร่ เพราะทำให้เกิดห่วง เลยใช้วิธีตามสบายคือ นั่งเอนหลังกับหมอน วางขายาวบนที่นอน หรือ
นั่งบนเก้าอี้ วางขาลงตามสบาย หรือ นั่งวิธีอื่นๆที่ไม่ให้จิตไปจับกับความเจ็บปวด

แต่ถ้าหากอยากนั่งท่าขัดสมาธิ แบบขวาทับซ้าย ผมจะสร้างปีติให้เกิดขึ้นก่อน คือทำให้จิตนึกถึงอานิสงค์ หรือ คุณความดี
ของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ หรือ นึกถึงพระนิพานอันเป็นบรมสุข จนเกิดปีติขึ้นก่อน หลังจากนั้นหากนั่งก็จะได้ผลดี
ความปวดเมื่อยไม่มี (ซึ่งผมจะเปลี่ยนมาท่านี้ หลังจากใช้ท่าข้างบนประคองจิตก่อนครับ)

รูปแบบวิธีการแล้วแต่จริตของแต่ละคน อย่าไปฝืนหรือบังคับ เน้นความสบายเป็นหลัก เพื่อให้จิตไม่มีห่วง จะพบว่า 2-3 ชม นั้น
ผ่านไปเร็วมากครับ


:D
ชาตินี้เป็นที่สุดแล้ว บัดนี้ไม่มีความเกิดอีก
Pekko
Verified User
โพสต์: 671
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI สายธรรมะ แนวพุทธปัญญา

โพสต์ที่ 149

โพสต์

ดำ เขียน: ขอปรึกษาเกี่ยวกับการนั่งสมาธิหน่อยครับ คือ เวลานั่งขัดสมาธิแบบตัวตรง ไม่มีพนักพิงหลัง แค่พักเดียวก็จะรู้สึกปวดหลังปวดขาจนไม่สบายกาย ทีนี้ที่เคยศึกษามา ท่านว่า ความรู้สึกสุขสบายเป็นเหตุใกล้ให้เกิดสมาธิ ซึ่งในการปฏิบัติเวลารู้สึกปวด ขณะนั้นก็รู้สึิกว่าเกร็ง อึดอัด ใจไม่สบาย ไม่สงบเลย ส่วนการนั่งหลังพิงนั้น เคยอ่านเจอเหตุผลที่ไม่ควรนั่งหลังพิงว่า ทำให้ง่วงซึมง่าย
เพื่อนๆพอจะมีคำแนะนำบ้างมั้ยครับ
ไม่ทราบว่าคุณดำใช้กรรมฐานกองไหนครับ อานาปานสติภาวนา(พิจารณาลมหายใจ) หรือเป็นพุทธา/ธัมมา/สังฆานุสติภาวนา(ใช้คำบริกรรม) เพราะถ้าใช้คำบริกรรม จะเข้าสู่สมถะ แล้วจะตันต้องนำกรรมฐานกองอื่นที่มีวิปัสสนาเข้ามาช่วยเช่น กายคตา หรืออสุภะสัญญา แต่ถ้าเป็นอานาปานะสติ ให้พลิกดูลมหายใจเข้าและออกว่าเที่ยงมากน้อยแค่ไหน สั้นยาว หนักเบาเท่าไร ส่วนรูปแบบการนั่งก็นั่งตามอัฒฌาสัย จะใช้เวลามากน้อยเท่าไรก็ได้ครับ ไม่มีถูกผิดอะไรทั้งนั้น
หรือคุณดำจะใช้ทุกขเวทนาทางกายมาเป็นวิปัสสนาก็ได้ครับ หามันให้เจอว่าความเจ็บความปวดอยู่ตรงไหน เจ็บสม่ำเสมอต่อเนื่องหรือเปล่า พยายามอย่าให้จิตมันขี้เกียจจมปลัก ต้องให้มันคิด(อย่างถูกต้อง) แล้วความรู้(ญาณ)จะเกิดขึ้น เมื่อรู้อย่างถูกต้องก็จะหลุดพ้นได้เอง (สัมมามัตตะ-หลักสูตรของพุทธศาสนา)

ส่วนการสร้างปีตินั้น ต้องระวังให้มาก ถ้าปีติจะมาก็ให้มา ถ้าไม่มาก็ไม่มา เพราะปีติก็ยังเป็นสังขารประเภทหนึ่งต้องอาศัยปัจจัยปรุงแต่ง(เครื่องปรุงจิต) ไม่ควรสร้างหรือไปเร่งรัด แต่ถ้าไม่มีปีติ สมาธิก็ไปต่อไม่ได้เหมือนกัน เสมือนปีติและสุขเป็นเหยื่อล่อจิต(คล้ายๆเพ่งลมหายใจ หรือเพ่งกสิณ) ตรงนี้เราต้องรู้ให้ทั่ว ไม่ฉะนั้นจะติดกับดัก ไปต่อไม่ได้อีกเช่นกัน ซึ่งในสติปัฏฐาน 4 ในหมวดเวทนานุปัฎฐานมีกล่าวไว้ครับ (ขั้นที่ 5-8) เมื่อชำนาญแล้วก็ตรงเข้าหมวดจิตตานุปัฎฐา (ขั้นที่ 9-12) คือ ทำให้จิตมีความปราโมทย์ บันเทิงใจ พอใจ(อิทธิบาท4) เข้าสู่สมาธิอันควรแก่การงาน และเติมเต็มด้วยอุเบกขาลงไป ก็เป็นอันครบในหมวดนี้ แล้วตามดูธัมมานุปัฎฐาน(ขั้นที่ 13-16) คือพิจารณาธรรม โดยใช้พระไตรลักษณ์ ซึ่งการที่จะพิจารณาธรรมอย่างเดียวโดดๆนั้นไม่ได้ ต้องอาศัยรูปขันธ์เข้ามาช่วย จิตจะรู้แจ้งแทงตลอดตามลำดับครับ
สติปัฎฐาน 4
กาย เวทนา จิต ธรรม
ภาพประจำตัวสมาชิก
ดำ
Verified User
โพสต์: 4214
ผู้ติดตาม: 0

Re: VI สายธรรมะ แนวพุทธปัญญา

โพสต์ที่ 150

โพสต์

ทุกวันนี้ผมใช้เดินจงกรมเพื่อฝึกสติ (เดินสบายๆ แล้วสติคอยรู้) กับนั่งสมาธิโดยใช้อานาฯ เป็นวิหารธรรมครับ

การดูเวทนา คิดว่าตอนนี้คงไม่ไหวครับถ้าจะดูนานๆ เพราะใจไม่สงบเลยเวลาดูความปวด (ปัญหาการนั่งสมาธิหลังตรงๆ)

เมื่อคืนลองนั่งตามสบาย เอาหมอนมารองหัวเตียงแล้วนั่งขัดสมาธิพิง แต่ตัวค่อนข้างตรงนะครับไม่ได้พิงแบบเอนๆ (มันจะสบายไปหน่อย) รู้สึกโอเคครับ เกิดภาวะใจโล่งๆ สว่างๆ ด้วย ไม่รู้เรียกปีติรึเปล่า แต่ยังฝันอุตลุดเหมือนเดิม แถมนอนนานด้วยครับ

ขอบคุณเพื่อนๆมากนะครับ สำหรับคำแนะนำ