มีโอกาสได้ไปนั่งฟังบรรยาย Algorithm Trading หรือเรียกสั้นว่า AT
AT เป็นของใหม่สำหรับประเทศไทย พึ่งเริ่มไม่เกิน 5-6 ปีที่ผ่านมานี้
แต่ในต่างประเทศนั้น เริ่มใช้นานมานานมาแล้ว และ AT ก็เคยเป็นแพะในหลากหลายเหตุการณ์
ไล่ตั้งแต่ Black Monday รอบล่าสุดนั้น AT ก็แพะมาแล้วล่ะคร้าบ
สิ่งที่ผมได้คือ พื้นฐานของ AT ว่า AT นั้นคนที่สามารถก้าวไปทำได้คือต้องมีความรู้สามด้านคือ
Programing,Math และ Market Microstructure เรียกได้ว่า ต้องทำงานเป็นทีมในช่วงนี้ เพราะ
แค่ Programing ก็หายาก แล้วเข้าใจ Math ที่เขียนอีกต่างหาก และ ต้องรู้ว่า ที่ใส่เข้าไปมันทำอะไรกับคำสั่งเหล่านั้น
เพื่อให้คำสั่ง Bid Ask หรือ Bid Offer มาทำงานแทนคนกันเลย
ผมขอเปรียบเทียบเลยว่า AT นั้นเป็นการเอาสมองของคนซื้อขาย ไปใส่ในคอมพิวเตอร์แทน
และตัดเรื่องอารมณ์ความโลภ ความหลงออกไป เนื่องจากคอมพิวเตอร์ไม่มีจิตใจ ทำตามโปรแกรมที่เขียนไว้
แต่อย่างไงก็ตามหากเจอสิ่งที่นอกเหนือที่เขียนไว้ ทำให้โปรแกรมอาจจะทำงานผิดพลาดได้ แต่มันไม่ใช่ Bug แค่เขียนไม่ครบทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเท่านั้นเองจุดนี้เป็นจุดอ่อนครับ
ผมเองก็ยอมรับว่ายังไม่เคยได้ใช้งาน AT เลย พึ่งรู้จักจากเพื่อนมาเพียงระยะเวลาหนึ่ง
AT นั้นเป็นทั้งศาสตร์และศิลปะ แฝงด้วยสิ่งที่เรียกว่า ความชิปหายไว้ด้วย หรือความร่ำรวยไว้ด้วย
สิ่งที่น่ากลัวตอนนี้คือ
SET กำลังเปลี่ยนแปลงระบบคอมพิวเตอร์ เพิ่มศักยภาพของระบบคอมพิวเตอร์เพื่อรองรับการทำงานของ AT ตามโบรกเกอร์ต่างๆ คือ เล่นเอา Server ที่ส่งคำสั่งอยู่บนระบบ Network ที่เรียกว่า Co-location คือวิ่งกันอยู่บน Back bone(เรียกแบบเพราะว่า กระดูกสันหลัง ของเรามีเส้นประสาทที่ควบคุมการเคลื่อนไหว หากกระทบกระเทือนอะไรทำให้เราไม่อาจจะเคลื่อนที่ได้) ทำให้ คนที่สามารถใช้งาน AT ได้ สามารถส่งคำสั่งได้ไม่จำกัดเลย ขึ้นอยู่กับระบบคอมพิวเตอร์ของตลาดรองรับได้เท่านั้น แถม SET เปลี่ยนแปลงระบบใหม่อีกต่างหาก
งานนี้เตรียมข่าวเรื่องระบบของ SET ล่มรอรับได้ในไตรมาสสามนี้ได้เลยล่ะ
ปัุจจุบัน การซื้อขายของรายย่อยและรายใหญ่ ที่เป็นกองทุนหรือ Prop Trade ของโบรกเกอร์มีค่า Com ไม่เท่ากัน ยิ่งหากใช้งาน AT ที่เป็นแบบย่อหน้าก่อนหน้านี้แล้ว มันเป็นความเลื่อมล้ำของการซื้อขายหรือไม่
เพื่อนใน TVI คงเห็นภาพที่ผมไปสัมมนาครั้งนี้ละครับ
เรื่องนี้ถือว่าเป็นเรื่องใหม่ละครับ ที่ต้องศึกษาไว้ละครับ
![Smile :)](./images/smilies/icon_smile.gif)