ผม ไปเจอ บทความที่น่าสนใจ มาจาก http://www.oknation.net/blog/pornsri520 ... 08/entry-1
เลย นำมาให้อ่านกัน
ตอนแรกว่าจะตั้งชื่อเรื่อง "คนไทยเสียท่า ..นักลงทุนต่างชาติอีกแล้ว" หรือ "นักลงทุนไทยเสียท่า ..นักลงทุนต่างชาติอีกแล้ว" มันไม่ค่อยเข้ากับข้อมูลที่นำเสนอ ความเสียหายทางเศรษฐกิจของโลกทุนนิยม รวมทั้งประเทศไทย มีจุดหลักอยู่ที่ตลาดหุ้น และความเสียหายที่เกิดขึ้น ไม่ได้เกิดขึ้นกับนักลงทุนเท่านั้น แต่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั้งระบบ อย่างมีนัยสำคัญ หรือส่งผลกระทบต่อคนไทยทุกคน
หนักขึ้นตลอดเวลา
จึงเป็นที่มาของชื่อเรื่อง "คนไทยเสียท่า ..นักลงทุนต่างชาติตลอดกาล"
โดยใช้คำว่า "คนไทย" แทนคำว่า "นักลงทุน" และคำว่า "ตลอดกาล" แทนคำว่า "อีกแล้ว"
สำหรับท่านที่ติดตามบทความของผู้เขียน ..ที่ผู้เขียนนำเสนอซ้ำแล้วซ้ำอีก
การพังทลายของตลาดหุ้น ทำให้สภาพคล่องของระบบเสีย
หาย ทำให้ค่าเงินเสียหาย ทำให้ความเชื่อมั่นของประเทศ
เสียหาย ฯลฯ
"สภาพคล่องของระบบเสียหาย" ..ทำให้สถาบันการเงิน และภาคการผลิตจริงล้ม(ทั้งประเทศ)
"ค่าเงินเสียหาย" ทำให้ต้องใช้เงินซื้อสินค้าและบริการมากขึ้น เช่น ราคารถยนต์คันละ 5 แสนบาท ก็เพิ่มมาเป็นคันละ 1 ล้านบาท ราคาน้ำมันเบนซินลิตรละ 10 บาท ก็เพิ่มมาเป็นลิตรละ 20 - 30 บาท ค่ารถเมล์เพิ่มจาก 3 บาท มาเป็น 7 - 8 บาท
"รายจ่าย" เพิ่มเป็นตราส่วนมากกว่า "รายรับ"
"ความเชื่อมั่นของประเทศเสียหาย" ทำให้เกิดหนี้เสีย และเกิดหนี้สาธารณะมากขึ้น ประเทศที่มีหนี้มาก ความเชื่อมั่นก็เสียหาย
ข้อมูลต่อไปนี้ แสดงให้เห็นว่า ในตลาดหุ้น ทำให้ "คนไทยเสียท่า ..นักลงทุนต่างชาติตลอดกาล"
นักลงทุนไทยมีไม่ถึง 1 ล้านคน ตลาดหุ้นไม่ได้ทำให้คนเล่นหุ้น
1 ล้านคน ขาดทุนเท่านั้น แต่ทำให้คนไทยทั้ง 65 ล้านคน
และประเทศไทยเสียหายทั้งหมด ดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น
1) การเสียท่าของคนไทยเมื่อเร็วๆนี้ เกิดขึ้นเมื่อปลายปี 2007 โดยต่างชาติเป็นคนขายหุ้นราคาสูงๆให้คนไทย คนไทยไม่ทราบ ไปรับซื้อราคาหุ้นราคาสูงๆจากต่างชาติ ก็ขาดทุน
ตลาดหุ้นตกลง ทำสภาพคล่องเสียหาย กำลังซื้อลด ภาคการผลิตจริงต้องลดกำลังการผลิต และปลดคนงาน
2) การเสียท่าล่าสุด เกิดขึ้นเมื่อปลายปี 2008 โดยที่ต่างชาติกลับเข้ามาเก็บสะสมหุ้นรอบใหม่ โดยคนไทยไม่ทราบอีกเช่นกัน คนไทยขายหุ้นราคาต่ำกๆให้ต่างชาติ กล่าวได้ว่าคนไทยขาดทุนอีก คนไทยติดหุ้นราคาสูง ขายหุ้นแบบขาดทุนให้ต่างชาติ
On Balance Volume (OBV) คือเครื่องชี้บอก (Indicator) ว่า มีการสะสมหุ้น หรือใครขายหุ้นมีการขายหุ้นออก
Relative Strength Index (RSI) เป็น Indicator ที่แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของดัชนี ถ้าดัชนีอ่อนแอ RSI จะต่ำลง ถ้าดัชนีแข็งแกร่ง RSI จะสูงขึ้น
ดู OBV และ RSI จากกราฟต่อไปนี้
1) SET Index พัฒนาโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
OBV แสดงให้เห็นว่ามีการสะสมหุ้นตั้งแต่ปลายปี 2008 (A-B)
Relative Strength Index (RSI) ระยะใกล้ๆ แข็งขึ้นมาสัปดาห์ที่ 2 ของเดือนพฤษภาคม อ่อนตัวสัปดาห์สุดท้ายของเดือนพฤษภาคม และ rebound ขึ้นอีกครั้งในต้นเดือนมิถุนายน
คนไทยเสียท่า ..นักลงทุนต่างชาติตลอดกาล
-
- Verified User
- โพสต์: 495
- ผู้ติดตาม: 0
คนไทยเสียท่า ..นักลงทุนต่างชาติตลอดกาล
โพสต์ที่ 1
-
- Verified User
- โพสต์: 495
- ผู้ติดตาม: 0
คนไทยเสียท่า ..นักลงทุนต่างชาติตลอดกาล
โพสต์ที่ 2
2) Thai Index เป็นดัชนีชนิดไม่ถ่วงน้ำหนัก ที่ผู้เขียนเป็นคนพัฒนาขึ้นมาเอง
OBV แสดงให้เห็นว่ามีการสะสมหุ้นตั้งแต่ปลายปี 2008 (A-B)
Relative Strength Index (RSI) คล้ายๆของ SET Index
3) SET225 Index คำนวณจากหุ้นที่มีมูลค่าขนาดกลาง เป็นดัชนีชนิดถ่วงน้ำหนักเช่นเดียวกับ SET Index แต่ค่าเบี่ยงเบนมาตราฐานต่ำกว่า ที่ผู้เขียนเป็นคนพัฒนาขึ้นมาเอง
OBV แสดงให้เห็นว่ามีการสะสมหุ้นตั้งแต่ปลายปี 2008 (A-B)
Relative Strength Index (RSI) คล้ายๆของ SET Index
4) Big caps60 Index เป็นดัชนีหุ้นขนาดใหญ่ 60 ตัว แบบไม่ถ่วงน้ำหนัก ที่ผู้เขียนพัฒนาขึ้นมาเอง
OBV แสดงให้เห็นว่ามีการสะสมหุ้นตั้งแต่ปลายปี 2008 (A-B) ..พบว่ามี new high แรงมาก มีการสะสมหุ้นแรง
Relative Strength Index (RSI) คล้ายๆของ SET Index
5) Super big caps15 Index เป็นดัชนีหุ้นขนาดใหญ่ที่สุด 15 ตัว
OBV แสดงให้เห็นว่ามีการสะสมหุ้นตั้งแต่ปลายปี 2008 (A-B) ..พบว่ามี new high
Relative Strength Index (RSI) คล้ายๆของ SET Index
6) Alien Index เป็นดัชนีของกระดานหุ้นต่างประเทศ ของตลาดหุ้นไทย ที่ผู้เขียนพัฒนาขึ้นมาเอง
OBV แสดงให้เห็นว่ามีการสะสมหุ้นตั้งแต่ปลายปี 2008 (A-B) ..พบว่ามี new high แรงมาก มีการสะสมหุ้นแรง
Relative Strength Index (RSI) คล้ายๆของ SET Index
7) Alien Index (Zoom) เป็นดัชนีของกระดานหุ้นต่างประเทศ ของตลาดหุ้นไทย ที่ผู้เขียนพัฒนาขึ้นมาเอง เอาชาร์ตที่ 6 มา zoom
ดัชนีแท่งสีเขียว หมายถึงเปิดต่ำ-ปิดสูง และปิดสูงกว่าดัชนีของวันก่อนหน้า
ดัชนีแท่งสีแดง หมายถึงการเปิดต่ำ และปิดสูง และปิดต่ำกว่าวันก่อนหน้า
ในวงกลมสีแดงของดัชนี แสดงให้เห็นว่า มีการทำราคาเขียวและแดงสลับกันถึง 2 สัปดาห์ จากนั้นจึงกระชากดัชนีสูงขึ้น
การกระทำเช่นนี้ ไม่มีใครทราบ ผู้เขียนเป็นสร้างดัชนีนี้ขึ้นมา ตามดูทุกวัน จึงสังเกตเห็นได้ ต่างชาติหลอกเอาหุ้นของคนไทย
พบว่าในเวลาต่อมา OBV ของกระดานต่างประเทศพุ่งสูงขึ้น มี new high แสดงถึงการสะสมหุ้นอย่างจริงจัง
OBV แสดงให้เห็นว่ามีการสะสมหุ้นตั้งแต่ปลายปี 2008 (A-B)
Relative Strength Index (RSI) คล้ายๆของ SET Index
3) SET225 Index คำนวณจากหุ้นที่มีมูลค่าขนาดกลาง เป็นดัชนีชนิดถ่วงน้ำหนักเช่นเดียวกับ SET Index แต่ค่าเบี่ยงเบนมาตราฐานต่ำกว่า ที่ผู้เขียนเป็นคนพัฒนาขึ้นมาเอง
OBV แสดงให้เห็นว่ามีการสะสมหุ้นตั้งแต่ปลายปี 2008 (A-B)
Relative Strength Index (RSI) คล้ายๆของ SET Index
4) Big caps60 Index เป็นดัชนีหุ้นขนาดใหญ่ 60 ตัว แบบไม่ถ่วงน้ำหนัก ที่ผู้เขียนพัฒนาขึ้นมาเอง
OBV แสดงให้เห็นว่ามีการสะสมหุ้นตั้งแต่ปลายปี 2008 (A-B) ..พบว่ามี new high แรงมาก มีการสะสมหุ้นแรง
Relative Strength Index (RSI) คล้ายๆของ SET Index
5) Super big caps15 Index เป็นดัชนีหุ้นขนาดใหญ่ที่สุด 15 ตัว
OBV แสดงให้เห็นว่ามีการสะสมหุ้นตั้งแต่ปลายปี 2008 (A-B) ..พบว่ามี new high
Relative Strength Index (RSI) คล้ายๆของ SET Index
6) Alien Index เป็นดัชนีของกระดานหุ้นต่างประเทศ ของตลาดหุ้นไทย ที่ผู้เขียนพัฒนาขึ้นมาเอง
OBV แสดงให้เห็นว่ามีการสะสมหุ้นตั้งแต่ปลายปี 2008 (A-B) ..พบว่ามี new high แรงมาก มีการสะสมหุ้นแรง
Relative Strength Index (RSI) คล้ายๆของ SET Index
7) Alien Index (Zoom) เป็นดัชนีของกระดานหุ้นต่างประเทศ ของตลาดหุ้นไทย ที่ผู้เขียนพัฒนาขึ้นมาเอง เอาชาร์ตที่ 6 มา zoom
ดัชนีแท่งสีเขียว หมายถึงเปิดต่ำ-ปิดสูง และปิดสูงกว่าดัชนีของวันก่อนหน้า
ดัชนีแท่งสีแดง หมายถึงการเปิดต่ำ และปิดสูง และปิดต่ำกว่าวันก่อนหน้า
ในวงกลมสีแดงของดัชนี แสดงให้เห็นว่า มีการทำราคาเขียวและแดงสลับกันถึง 2 สัปดาห์ จากนั้นจึงกระชากดัชนีสูงขึ้น
การกระทำเช่นนี้ ไม่มีใครทราบ ผู้เขียนเป็นสร้างดัชนีนี้ขึ้นมา ตามดูทุกวัน จึงสังเกตเห็นได้ ต่างชาติหลอกเอาหุ้นของคนไทย
พบว่าในเวลาต่อมา OBV ของกระดานต่างประเทศพุ่งสูงขึ้น มี new high แสดงถึงการสะสมหุ้นอย่างจริงจัง
-
- Verified User
- โพสต์: 495
- ผู้ติดตาม: 0
คนไทยเสียท่า ..นักลงทุนต่างชาติตลอดกาล
โพสต์ที่ 3
8) Foreign Sum Index เป็นดัชนีซื้อขายหุ้น แยกประเภทตามกลุ่มผู้ลงทุน ซึ่งมีแบ่งแยกออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่สถาบันในประเทศ(Local Institutions) ต่างชาติ (Foreign Institutions) นักลงทุนรายย่อย (Retial Investors)
ยอดซื้อ กับ ยอดขาย ทั้ง 3 กลุ่มนี้ รวมกันจะเท่ากับ 0 (ศูนย์)
กราฟที่เห็นนี้เป็นข้อมูลการซื้อขายหุ้นของต่างชาติกลุ่มเดียว
หากดัชนีตกลง แสดงว่าต่างชาติขายหุ้นสะสม หากดัชนีสูงขึ้น แสดงว่าต่างชาติซื้อหุ้นสะสม
จาก Foreign Sum Index บอกให้ทราบว่า ต่างชาติเริ่มขายหุ้นตั้งแต่กลางปี 2007 มาแล้ว และปี 2008 ก็ขายอีกทั้งปี และขายต่อเนื่องในเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2009
จากนั้นจึงเริ่มกลับมาสะสมหุ้นอย่างจริงจังในเดือนมีนาคม 2009
OBV ของดัชนีส่วนใหญ่ขึ้นมาถึงระดับเดิม และสูงกว่าเดิม
โดยเฉพาะกลุ่ม ดัชนีกลุ่ม Big Caps OBV ขึ้นมาสูงกว่าเดิม
ค่อนข้างมาก
แสดงให้ทราบว่า มีนาคม-เมษายน-พฤษภาคม-ต้นเดือน
มิถุนายน 2009 ต่างชาติเก็บหุ้นที่ราคาต่ำกลับหมดแล้ว
และเก็บกลับที่ราคาต่ำ มากกว่าเดิม
ประมาณว่า
ต่างชาติขายหุ้นส่วนใหญ่ที่ SET Index เฉลี่ย 750 จุด
ต่างชาติซื้อหุ้นกลับมากกว่าเดิม ที่ SET Index SMA200 หรือ SET Index ประมาณ 500 จุด (ต้นทุุนใหม่ต่างชาติ)
เท่าที่ได้พูดคุยกับนักลงทุนไทย ระหว่าง มีนาคม-เมษายน-พฤษภาคม ที่ตลาดหุ้นขึ้น ได้ขายหุ้นออกเป็นส่วนใหญ่ ขายไปแล้วหุ้นก็ขึ้นต่ออีก ไม่ลงมาให้ซื้อกลับ การขายขาย ก็เป็นการขายตัดขาดทุน
เป็นไปตามที่ผู้เขียนำเสนอไว้ World Fund (Foreign
Institutions) กำไรตลอดกาล นักลงทุนท้องถิ่นขาดทุน
ตลอดกาลเช่นกัน
9) มูลค่าการซื้อขายสุทธิแยกประเภทตามกลุ่มผู้ลงทุน
*ส่วนนี้ผมไม่รู้ว่าจะก๊อปมาวางยังไง เข้าไปดู ได้ที่
http://www.oknation.net/blog/pornsri520 ... 08/entry-1
วิธีดูข้อมูลการซื้อขายแยกประเภทฯง่ายๆ ดูเฉพาะการซื้อขายของต่างชาติก็พอ ดูว่าวันใด หรือเดือนใด เขาซื้อหรือขาย หากเขาซื้อหุ้นจะขึ้น หากเขาขาย หุ้นจะตก
ตัวอย่าง ..จุดเปลี่ยน down trend อยู่ในเดือน พ.ย.07 เนื่องจากเป็นเดือนที่ต่างชาติขายมากเป็นพิเศษ คือขายสุทธิถึง -38,119 ล้านบาท
จบ..
ยอดซื้อ กับ ยอดขาย ทั้ง 3 กลุ่มนี้ รวมกันจะเท่ากับ 0 (ศูนย์)
กราฟที่เห็นนี้เป็นข้อมูลการซื้อขายหุ้นของต่างชาติกลุ่มเดียว
หากดัชนีตกลง แสดงว่าต่างชาติขายหุ้นสะสม หากดัชนีสูงขึ้น แสดงว่าต่างชาติซื้อหุ้นสะสม
จาก Foreign Sum Index บอกให้ทราบว่า ต่างชาติเริ่มขายหุ้นตั้งแต่กลางปี 2007 มาแล้ว และปี 2008 ก็ขายอีกทั้งปี และขายต่อเนื่องในเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2009
จากนั้นจึงเริ่มกลับมาสะสมหุ้นอย่างจริงจังในเดือนมีนาคม 2009
OBV ของดัชนีส่วนใหญ่ขึ้นมาถึงระดับเดิม และสูงกว่าเดิม
โดยเฉพาะกลุ่ม ดัชนีกลุ่ม Big Caps OBV ขึ้นมาสูงกว่าเดิม
ค่อนข้างมาก
แสดงให้ทราบว่า มีนาคม-เมษายน-พฤษภาคม-ต้นเดือน
มิถุนายน 2009 ต่างชาติเก็บหุ้นที่ราคาต่ำกลับหมดแล้ว
และเก็บกลับที่ราคาต่ำ มากกว่าเดิม
ประมาณว่า
ต่างชาติขายหุ้นส่วนใหญ่ที่ SET Index เฉลี่ย 750 จุด
ต่างชาติซื้อหุ้นกลับมากกว่าเดิม ที่ SET Index SMA200 หรือ SET Index ประมาณ 500 จุด (ต้นทุุนใหม่ต่างชาติ)
เท่าที่ได้พูดคุยกับนักลงทุนไทย ระหว่าง มีนาคม-เมษายน-พฤษภาคม ที่ตลาดหุ้นขึ้น ได้ขายหุ้นออกเป็นส่วนใหญ่ ขายไปแล้วหุ้นก็ขึ้นต่ออีก ไม่ลงมาให้ซื้อกลับ การขายขาย ก็เป็นการขายตัดขาดทุน
เป็นไปตามที่ผู้เขียนำเสนอไว้ World Fund (Foreign
Institutions) กำไรตลอดกาล นักลงทุนท้องถิ่นขาดทุน
ตลอดกาลเช่นกัน
9) มูลค่าการซื้อขายสุทธิแยกประเภทตามกลุ่มผู้ลงทุน
*ส่วนนี้ผมไม่รู้ว่าจะก๊อปมาวางยังไง เข้าไปดู ได้ที่
http://www.oknation.net/blog/pornsri520 ... 08/entry-1
วิธีดูข้อมูลการซื้อขายแยกประเภทฯง่ายๆ ดูเฉพาะการซื้อขายของต่างชาติก็พอ ดูว่าวันใด หรือเดือนใด เขาซื้อหรือขาย หากเขาซื้อหุ้นจะขึ้น หากเขาขาย หุ้นจะตก
ตัวอย่าง ..จุดเปลี่ยน down trend อยู่ในเดือน พ.ย.07 เนื่องจากเป็นเดือนที่ต่างชาติขายมากเป็นพิเศษ คือขายสุทธิถึง -38,119 ล้านบาท
จบ..
-
- Verified User
- โพสต์: 495
- ผู้ติดตาม: 0
คนไทยเสียท่า ..นักลงทุนต่างชาติตลอดกาล
โพสต์ที่ 4
8) Foreign Sum Index เป็นดัชนีซื้อขายหุ้น แยกประเภทตามกลุ่มผู้ลงทุน ซึ่งมีแบ่งแยกออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่สถาบันในประเทศ(Local Institutions) ต่างชาติ (Foreign Institutions) นักลงทุนรายย่อย (Retial Investors)
ยอดซื้อ กับ ยอดขาย ทั้ง 3 กลุ่มนี้ รวมกันจะเท่ากับ 0 (ศูนย์)
กราฟที่เห็นนี้เป็นข้อมูลการซื้อขายหุ้นของต่างชาติกลุ่มเดียว
หากดัชนีตกลง แสดงว่าต่างชาติขายหุ้นสะสม หากดัชนีสูงขึ้น แสดงว่าต่างชาติซื้อหุ้นสะสม
จาก Foreign Sum Index บอกให้ทราบว่า ต่างชาติเริ่มขายหุ้นตั้งแต่กลางปี 2007 มาแล้ว และปี 2008 ก็ขายอีกทั้งปี และขายต่อเนื่องในเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2009
จากนั้นจึงเริ่มกลับมาสะสมหุ้นอย่างจริงจังในเดือนมีนาคม 2009
OBV ของดัชนีส่วนใหญ่ขึ้นมาถึงระดับเดิม และสูงกว่าเดิม
โดยเฉพาะกลุ่ม ดัชนีกลุ่ม Big Caps OBV ขึ้นมาสูงกว่าเดิม
ค่อนข้างมาก
แสดงให้ทราบว่า มีนาคม-เมษายน-พฤษภาคม-ต้นเดือน
มิถุนายน 2009 ต่างชาติเก็บหุ้นที่ราคาต่ำกลับหมดแล้ว
และเก็บกลับที่ราคาต่ำ มากกว่าเดิม
ประมาณว่า
ต่างชาติขายหุ้นส่วนใหญ่ที่ SET Index เฉลี่ย 750 จุด
ต่างชาติซื้อหุ้นกลับมากกว่าเดิม ที่ SET Index SMA200 หรือ SET Index ประมาณ 500 จุด (ต้นทุุนใหม่ต่างชาติ)
เท่าที่ได้พูดคุยกับนักลงทุนไทย ระหว่าง มีนาคม-เมษายน-พฤษภาคม ที่ตลาดหุ้นขึ้น ได้ขายหุ้นออกเป็นส่วนใหญ่ ขายไปแล้วหุ้นก็ขึ้นต่ออีก ไม่ลงมาให้ซื้อกลับ การขายขาย ก็เป็นการขายตัดขาดทุน
เป็นไปตามที่ผู้เขียนำเสนอไว้ World Fund (Foreign
Institutions) กำไรตลอดกาล นักลงทุนท้องถิ่นขาดทุน
ตลอดกาลเช่นกัน
9) มูลค่าการซื้อขายสุทธิแยกประเภทตามกลุ่มผู้ลงทุน
*ส่วนนี้ผมไม่รู้ว่าจะก๊อปมาวางยังไง เข้าไปดู ได้ที่
http://www.oknation.net/blog/pornsri520 ... 08/entry-1
วิธีดูข้อมูลการซื้อขายแยกประเภทฯง่ายๆ ดูเฉพาะการซื้อขายของต่างชาติก็พอ ดูว่าวันใด หรือเดือนใด เขาซื้อหรือขาย หากเขาซื้อหุ้นจะขึ้น หากเขาขาย หุ้นจะตก
ตัวอย่าง ..จุดเปลี่ยน down trend อยู่ในเดือน พ.ย.07 เนื่องจากเป็นเดือนที่ต่างชาติขายมากเป็นพิเศษ คือขายสุทธิถึง -38,119 ล้านบาท
จบ..
ยอดซื้อ กับ ยอดขาย ทั้ง 3 กลุ่มนี้ รวมกันจะเท่ากับ 0 (ศูนย์)
กราฟที่เห็นนี้เป็นข้อมูลการซื้อขายหุ้นของต่างชาติกลุ่มเดียว
หากดัชนีตกลง แสดงว่าต่างชาติขายหุ้นสะสม หากดัชนีสูงขึ้น แสดงว่าต่างชาติซื้อหุ้นสะสม
จาก Foreign Sum Index บอกให้ทราบว่า ต่างชาติเริ่มขายหุ้นตั้งแต่กลางปี 2007 มาแล้ว และปี 2008 ก็ขายอีกทั้งปี และขายต่อเนื่องในเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2009
จากนั้นจึงเริ่มกลับมาสะสมหุ้นอย่างจริงจังในเดือนมีนาคม 2009
OBV ของดัชนีส่วนใหญ่ขึ้นมาถึงระดับเดิม และสูงกว่าเดิม
โดยเฉพาะกลุ่ม ดัชนีกลุ่ม Big Caps OBV ขึ้นมาสูงกว่าเดิม
ค่อนข้างมาก
แสดงให้ทราบว่า มีนาคม-เมษายน-พฤษภาคม-ต้นเดือน
มิถุนายน 2009 ต่างชาติเก็บหุ้นที่ราคาต่ำกลับหมดแล้ว
และเก็บกลับที่ราคาต่ำ มากกว่าเดิม
ประมาณว่า
ต่างชาติขายหุ้นส่วนใหญ่ที่ SET Index เฉลี่ย 750 จุด
ต่างชาติซื้อหุ้นกลับมากกว่าเดิม ที่ SET Index SMA200 หรือ SET Index ประมาณ 500 จุด (ต้นทุุนใหม่ต่างชาติ)
เท่าที่ได้พูดคุยกับนักลงทุนไทย ระหว่าง มีนาคม-เมษายน-พฤษภาคม ที่ตลาดหุ้นขึ้น ได้ขายหุ้นออกเป็นส่วนใหญ่ ขายไปแล้วหุ้นก็ขึ้นต่ออีก ไม่ลงมาให้ซื้อกลับ การขายขาย ก็เป็นการขายตัดขาดทุน
เป็นไปตามที่ผู้เขียนำเสนอไว้ World Fund (Foreign
Institutions) กำไรตลอดกาล นักลงทุนท้องถิ่นขาดทุน
ตลอดกาลเช่นกัน
9) มูลค่าการซื้อขายสุทธิแยกประเภทตามกลุ่มผู้ลงทุน
*ส่วนนี้ผมไม่รู้ว่าจะก๊อปมาวางยังไง เข้าไปดู ได้ที่
http://www.oknation.net/blog/pornsri520 ... 08/entry-1
วิธีดูข้อมูลการซื้อขายแยกประเภทฯง่ายๆ ดูเฉพาะการซื้อขายของต่างชาติก็พอ ดูว่าวันใด หรือเดือนใด เขาซื้อหรือขาย หากเขาซื้อหุ้นจะขึ้น หากเขาขาย หุ้นจะตก
ตัวอย่าง ..จุดเปลี่ยน down trend อยู่ในเดือน พ.ย.07 เนื่องจากเป็นเดือนที่ต่างชาติขายมากเป็นพิเศษ คือขายสุทธิถึง -38,119 ล้านบาท
จบ..