ไม่เห็นต้องขอโทษผมเลยครับ เพราะกระทู้นี้ก็ไม่ใช่ของผม จริงไหมครับHighway_Star เขียน:ขอโทษพี่ฉัตรชัยด้วยครับ ยืมพื้นที่กระทู้มาเยอะเลย

ไม่ใช่ ของผม เหมือนกันchatchai เขียน:ไม่เห็นต้องขอโทษผมเลยครับ เพราะกระทู้นี้ก็ไม่ใช่ของผม จริงไหมครับHighway_Star เขียน:ขอโทษพี่ฉัตรชัยด้วยครับ ยืมพื้นที่กระทู้มาเยอะเลย
กระทู้ไม่ใช่ของพี่ เงินในพอร์ตก็ไม่ใช่ของพี่ด้วยเปล่า?chatchai เขียน:ไม่เห็นต้องขอโทษผมเลยครับ เพราะกระทู้นี้ก็ไม่ใช่ของผม จริงไหมครับHighway_Star เขียน:ขอโทษพี่ฉัตรชัยด้วยครับ ยืมพื้นที่กระทู้มาเยอะเลย
น่าจะเป็นคำตอบที่ตรงและง่ายต่อการเข้าใจที่สุดนะครับLionel เขียน:ถ้าต้องการไปนิพพาน เขาเรียกว่า ธรรมะฉันทะ มีความพอใจในธรรม เป็นอาการซึ่งทรงความดี พวกเราฟังแล้วจำไว้ด้วยนะ ถ้าใครเขาถามจะได้ตอบถูก
จะว่าไป เงินในพอร์ตก็ไม่ใช่ของผมด้วยpicatos เขียน:กระทู้ไม่ใช่ของพี่ เงินในพอร์ตก็ไม่ใช่ของพี่ด้วยเปล่า?chatchai เขียน:ไม่เห็นต้องขอโทษผมเลยครับ เพราะกระทู้นี้ก็ไม่ใช่ของผม จริงไหมครับHighway_Star เขียน:ขอโทษพี่ฉัตรชัยด้วยครับ ยืมพื้นที่กระทู้มาเยอะเลย
ด้วยความรู้อันน้อยนิดของผม เลยไม่ค่อยเข้าใจซักเท่าไร จะมีกรุณาช่วยอธิบายให้เข้าใจง่ายๆได้บ้างครับLionel เขียน: 6) ถ้าถามว่า ถ้าคนเขาอยากไปพระนิพพานเป็นตัณหาไหม ก็เห็นจะ 99 เปอร์เซ็นต์ที่ตอบว่า คำว่าอยาก แปลว่า ตัณหา ในเมื่ออยากไปพระนิพพาน ก็แสดงว่าเป็นตัณหาเหมือนกัน ก็เลยบอกว่านี่แกเทศน์แล้วแกก็เดินลงนรกเลยสบาย ไปเสียคนเดียวก่อน ดีกว่ามาชวนชาวบ้านเขาไปอีก ถ้าต้องการไปนิพพาน เขาเรียกว่า ธรรมะฉันทะ มีความพอใจในธรรม เป็นอาการซึ่งทรงความดี พวกเราฟังแล้วจำไว้ด้วยนะ ถ้าใครเขาถามจะได้ตอบถูก
หลวงพ่อชาบอกว่าchatchai เขียน:เราได้รับคำสอนมาว่า การเกิดนั้นคือ ทุกข์
ทางพ้นทุกข์ก็คือ การไม่เกิด ซึ่งก็ต้องนิพพาน
เราต้องการถึงนิพพานก็เพื่อตัวเองใช่หรือไม่
กลายเป็นว่า เราต้องการถึงนิพพานเพราะเราไม่อยากทุกข์ ซึ่งก็แสดงว่า ยังมี ตัวกู ของกู อยู่ใช่หรือไม่
ใครรู้เรื่องธรรมะช่วยหน่อยครับ
สาธุๆๆf.escape เขียน:หลวงพ่อชาบอกว่า
เปรียบง่ายๆให้ฟัง เราไปซื้อกล้วยหรือซื้อมะพร้าวใบหนึ่งจากตลาด แล้วก็เดินหิ้วมา
อีกคนหนึ่งก็ถาม "ท่านซื้อกล้วยมาทำไม ?"
"ซื้อไปรับประทาน"
"เปลือกมันต้องรับประทานด้วยหรือ ?"
"เปล่า"
"ไม่เชื่อหรอก ไม่รับประทานแล้วเอาไปทำไมเปลือกมัน ?"
หรือเอามะพร้าวใบหนึ่งมาก็เหมือนกัน
"เอามะพร้าวไปทำไม ?"
"จะเอาไปแกง"
"เปลือกมันแกงด้วยหรือ ?"
"เปล่า"
"จะเอาไปทำไมล่ะ ?"
เอ้า จะว่าอย่างไรล่ะ จะตอบปัญหาเขาอย่างไรด้วยความอยาก ถ้าไม่อยาก เราก็ไม่ได้ทำให้มัน
มีปัญญานะ การทำความเพียรก็เป็นเช่นนั้น คือทำด้วยการปล่อยวาง อย่างกล้วย อย่างมะพร้าว เอาไปทำไมเปลือกมัน ? ก็เพราะว่ายังไม่ถึงเวลาเอามันทิ้ง มันก็ห่อเนื้อในมันไปอยู่นั้น ยังไม่ถึง
เวลาจะทิ้ง ก็ถือมันไว้ก่อนการประพฤติปฏิบัติก็เหมือนกัน สมมติ วิมุตติ ก็ต้องปนกันอยู่อย่างนั้น
เหมือนมะพร้าว มันจะปนอยู่ทั้งเปลือก ทั้งกะลา ทั้งเนื้อ เราก็เอามาทั้งหมดแหละ เขาจะหาว่า
เรากินเปลือกมะพร้าวอย่างไรก็ช่างเขา เรารู้จักของเราอยู่
สำคัญที่สุดคงอยู่ที่การปฎิบัติมั้งครับกาลามสูตร คือ พระสูตรที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงแก่ชาวกาลามะ หมู่บ้านเกสปุตติยนิคม แคว้นโกศล (เรียกอีกอย่างว่า เกสปุตติยสูตร หรือเกสปุตตสูตร ก็มี[1]) กาลามสูตรเป็นหลักแห่งความเชื่อที่พระพุทธองค์ทรงวางไว้ให้แก่พุทธศาสนิกชน ไม่ให้เชื่อสิ่งใด ๆ อย่างงมงายโดยไม่ใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็นจริงถึงคุณโทษหรือดีไม่ดีก่อนเชื่อ มีอยู่ 10 ประการ ได้แก่
อย่าเพิ่งเชื่อตามที่ฟังๆ กันมา
อย่าเพิ่งเชื่อตามที่ทำต่อๆ กันมา
อย่าเพิ่งเชื่อตามคำเล่าลือ
อย่าเพิ่งเชื่อโดยอ้างตำรา
อย่าเพิ่งเชื่อโดยนึกเดา
อย่าเพิ่งเชื่อโดยคาดคะเนเอา
อย่าเพิ่งเชื่อโดยนึกคิดตามแนวเหตุผล
อย่าเพิ่งเชื่อเพราะถูกกับทฤษฎีของตน
อย่าเพิ่งเชื่อเพราะมีรูปลักษณ์ที่ควรเชื่อได้
อย่าเพิ่งเชื่อเพราะผู้พูดเป็นครูบาอาจารย์ของตน
ปัจจุบันแนวคิดและหลักสูตรที่สอนให้คนมีเหตุผลไม่หลงเชื่องมงาย ในทำนองเดียวกับคำสอนของพระพุทธองค์เมื่อ 2500 ปีก่อน ได้รับการบรรจุเป็นวิชาบังคับว่าด้วยการสร้างทักษะการคิดหรือที่เรียกว่า "การคิดเชิงวิจารณ์" (Critical thinking) ไว้ในกระบวนการเรียนรู้ในมหาวิทยาลัยของประเทศพัฒนาแล้ว
ก็อปมาจาก wikipedia ครับ
ต้องเจอสภาวะจริงๆ จึงจะเห็น และรู้จริง อ่านและไตร่ตรอง ผู้รู้มันจะเชื่อหรือครับ ต้องมีผู้รู้ก่อนนะครับ ถึงจุดนึงค่อยฆ่าผู้รู้chatchai เขียน:เป็นไปได้ไหมที่เราจะรู้ เบี่อหน่าย คลายกำหนัด โดยไม่ต้องปฎิบัติEyore เขียน:การถึงซึ่งนิพพนานนั้น ต้องผ่านกระบวนการ
เห็นสิ่งต่างๆ ตามที่มันเป็นจริง -> แล้วจึง เบื่อหน่าย คลายกำหนัด -> แล้วจึง หลุดพ้น
ถ้ายังมีความอยากอยู่ มันก็ตรงข้ามกับขั้นตอนเหล่านี้
ก็ไม่มีทางถึงนิพพานได้
แต่ว่าในเบื้องต้น ความอยากแบบนี้ ก็เป็นตัวชักนำเราไปในทิศทางที่ถูกต้องได้
แต่การจะเดินไปตามเส้นทาง ต้องยุติความอยาก
แล้วใช้ความเพียร
เรียนรู้มันเรื่อยไป
จนกว่าจะรู้ ตามที่มันเป็นจริง คือเป็นไตรลักษณ์
ผมเข้าใจแบบนี้นะครับ พี่ฉัตรลองพิจารณาดู
รู้ได้จากการอ่าน แล้วไตร่ตรองด้วยเหตุผล
ผมชอบจังf.escape เขียน:
เอ้า จะว่าอย่างไรล่ะ จะตอบปัญหาเขาอย่างไรด้วยความอยาก ถ้าไม่อยาก เราก็ไม่ได้ทำให้มัน มีปัญญานะ การทำความเพียรก็เป็นเช่นนั้น คือทำด้วยการปล่อยวาง อย่างกล้วย อย่างมะพร้าว เอาไปทำไมเปลือกมัน ? ก็เพราะว่ายังไม่ถึงเวลาเอามันทิ้ง มันก็ห่อเนื้อในมันไปอยู่นั้น ยังไม่ถึง
เวลาจะทิ้ง ก็ถือมันไว้ก่อนการประพฤติปฏิบัติก็เหมือนกัน สมมติ วิมุตติ ก็ต้องปนกันอยู่อย่างนั้น
เหมือนมะพร้าว มันจะปนอยู่ทั้งเปลือก ทั้งกะลา ทั้งเนื้อ เราก็เอามาทั้งหมดแหละ เขาจะหาว่า
เรากินเปลือกมะพร้าวอย่างไรก็ช่างเขา เรารู้จักของเราอยู่
เพิ่งเข้ามาเห็น ตามความคิดผม การที่พี่ฉัตรอ่านแล้ว นำไปไตร่ตรองด้วยปัญญา นั่นก็คือการปฏิบัติแล้วครับchatchai เขียน:
เป็นไปได้ไหมที่เราจะรู้ เบี่อหน่าย คลายกำหนัด โดยไม่ต้องปฎิบัติ
รู้ได้จากการอ่าน แล้วไตร่ตรองด้วยเหตุผล
ขอโทษครับเข้าไม่ได้ เอาใหม่ http://www.youtube.com/watch?v=Hx7H4FU8 ... re=relatedtutinglee เขียน:ประสบการณ์จริง ชีวิตหลังความตาย ที่มา http://www.youtube.com/watch?v=Hx7H4FU8 ... re=related
f.escape เขียน:หลวงพ่อชาบอกว่าchatchai เขียน:เราได้รับคำสอนมาว่า การเกิดนั้นคือ ทุกข์
ทางพ้นทุกข์ก็คือ การไม่เกิด ซึ่งก็ต้องนิพพาน
เราต้องการถึงนิพพานก็เพื่อตัวเองใช่หรือไม่
กลายเป็นว่า เราต้องการถึงนิพพานเพราะเราไม่อยากทุกข์ ซึ่งก็แสดงว่า ยังมี ตัวกู ของกู อยู่ใช่หรือไม่
ใครรู้เรื่องธรรมะช่วยหน่อยครับ
เปรียบง่ายๆให้ฟัง เราไปซื้อกล้วยหรือซื้อมะพร้าวใบหนึ่งจากตลาด แล้วก็เดินหิ้วมา
อีกคนหนึ่งก็ถาม "ท่านซื้อกล้วยมาทำไม ?"
"ซื้อไปรับประทาน"
"เปลือกมันต้องรับประทานด้วยหรือ ?"
"เปล่า"
"ไม่เชื่อหรอก ไม่รับประทานแล้วเอาไปทำไมเปลือกมัน ?"
หรือเอามะพร้าวใบหนึ่งมาก็เหมือนกัน
"เอามะพร้าวไปทำไม ?"
"จะเอาไปแกง"
"เปลือกมันแกงด้วยหรือ ?"
"เปล่า"
"จะเอาไปทำไมล่ะ ?"
เอ้า จะว่าอย่างไรล่ะ จะตอบปัญหาเขาอย่างไรด้วยความอยาก ถ้าไม่อยาก เราก็ไม่ได้ทำให้มัน
มีปัญญานะ การทำความเพียรก็เป็นเช่นนั้น คือทำด้วยการปล่อยวาง อย่างกล้วย อย่างมะพร้าว เอาไปทำไมเปลือกมัน ? ก็เพราะว่ายังไม่ถึงเวลาเอามันทิ้ง มันก็ห่อเนื้อในมันไปอยู่นั้น ยังไม่ถึง
เวลาจะทิ้ง ก็ถือมันไว้ก่อนการประพฤติปฏิบัติก็เหมือนกัน สมมติ วิมุตติ ก็ต้องปนกันอยู่อย่างนั้น
เหมือนมะพร้าว มันจะปนอยู่ทั้งเปลือก ทั้งกะลา ทั้งเนื้อ เราก็เอามาทั้งหมดแหละ เขาจะหาว่า
เรากินเปลือกมะพร้าวอย่างไรก็ช่างเขา เรารู้จักของเราอยู่
อยู่เฉยๆ ครับ... ลองอ่านประวัติของพระโมคคัลลานะ กับ องค์คุลีมาล ตอนตายดูสิครับ...peacedev เขียน:มีที่ไม่เห็นด้วยนิดนึงคับ
ผมว่าพระอรหันต์โดยทั่วไปคงไม่ยอมให้ใครมาทำอันตรายเอาง่าย ๆ เหมือนกันครับ ถึงจะไม่โกรธแต่ก็คงไม่ได้อยู่เฉย ๆ มั้งคับ