ไม่เห็นต้องขอโทษผมเลยครับ เพราะกระทู้นี้ก็ไม่ใช่ของผม จริงไหมครับHighway_Star เขียน:ขอโทษพี่ฉัตรชัยด้วยครับ ยืมพื้นที่กระทู้มาเยอะเลย
การมุ่งหวังนิพพาน แสดงว่ายังมี ตัวกู ของกูอยู่ใช่ไหม
- Highway_Star
- Verified User
- โพสต์: 440
- ผู้ติดตาม: 0
Re: การมุ่งหวังนิพพาน แสดงว่ายังมี ตัวกู ของกูอยู่ใช่ไหม
โพสต์ที่ 32
555 นั่นสินะครับ
- ดำ
- Verified User
- โพสต์: 4214
- ผู้ติดตาม: 0
Re: การมุ่งหวังนิพพาน แสดงว่ายังมี ตัวกู ของกูอยู่ใช่ไหม
โพสต์ที่ 33
ไม่ใช่ ของผม เหมือนกันchatchai เขียน:ไม่เห็นต้องขอโทษผมเลยครับ เพราะกระทู้นี้ก็ไม่ใช่ของผม จริงไหมครับHighway_Star เขียน:ขอโทษพี่ฉัตรชัยด้วยครับ ยืมพื้นที่กระทู้มาเยอะเลย
กราฟที่มองไม่เห็นกับกราฟที่มองเห็น
- picatos
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 3227
- ผู้ติดตาม: 4
Re: การมุ่งหวังนิพพาน แสดงว่ายังมี ตัวกู ของกูอยู่ใช่ไหม
โพสต์ที่ 34
กระทู้ไม่ใช่ของพี่ เงินในพอร์ตก็ไม่ใช่ของพี่ด้วยเปล่า?chatchai เขียน:ไม่เห็นต้องขอโทษผมเลยครับ เพราะกระทู้นี้ก็ไม่ใช่ของผม จริงไหมครับHighway_Star เขียน:ขอโทษพี่ฉัตรชัยด้วยครับ ยืมพื้นที่กระทู้มาเยอะเลย
บรรลุแล้วๆ
วันคืนล่วงไปๆ บัดนี้เรากำลังทำอะไรอยู่?
- Lionel
- Verified User
- โพสต์: 118
- ผู้ติดตาม: 0
Re: การมุ่งหวังนิพพาน แสดงว่ายังมี ตัวกู ของกูอยู่ใช่ไหม
โพสต์ที่ 35
พระนิพพาน
1) บรรดานักคิดนักแต่งทั้งหลาย ได้พากันโฆษณามาหลายร้อยปีแล้วว่า พระนิพพานเป็นสภาพสูญ แต่พอมาอ่านหนังสือของพระอรหันต์ท่านเขียน คือ หนังสือวิสุทธิมรรค ท่านกลับยืนยันว่าพระนิพพานไม่สูญ ดังท่านจะเห็นตามบาลีทั้ง 8 ที่ท่านยกมาเป็นองค์ภาวนานั้น คือ มัททนิมมัทโน พระนิพพานตัดความเมาในชีวิต วิปาสวินโย นิพพานบรรเทาความกระหายในกามคุณ 5 อาลยสมุคฆโต พระนิพพานถอนอาลัยในกามคุณ วัฏฏปัจเฉโท พระนิพพานตัดวนสามให้ขาด ตัณหักขโย พระนิพพานมีตัณหาสิ้นแล้ว หรือสิ้นตัณหาแล้วเข้าสู่พระนิพพาน วิราโค มีความเบื่อหน่ายในตัณหา นิโรโธ ดับตัณหาได้สนิทแล้ว โดยตัณหาไม่กำเริบอีก นิพพานัง มีความดับสนิทแล้วจาก กิเลส ตัณหา อุปาทาน กรรม อันเป็นเหตุให้เกิดอีกในวัฏฏสงสาร
ความหมายตามบาลีที่ท่านว่าไว้นี้ ไม่ได้บอกว่าท่านที่ถึงนิพพานแล้วสูญ พระพุทธเจ้าตรัสว่าเป็นความเห็นผิด เมื่อบาลีท่านยันว่า นิพพานไม่สูญแล้ว ท่านบรรดานักเขียนนักแต่งทั้งหลาย ท่านเอามาจากไหนว่า นิพพานสูญ อันนี้น่าจะเกิดจากความเข้าใจผิดอะไรกันสักอย่าง เพราะมีพระบาลีบทหนึ่งว่า นิพพานัง ปรมัง สุญญัง แปลว่า นิพพานเป็นธรรมว่างอย่างยิ่ง ท่านอาจจะไปคว้าเอา ปรมัง สุญญัง โดยเข้าใจว่า สูญโญเข้าให้ เรื่องถึงได้ไปกันใหญ่
2) นิพพาน นิพพาน เขาแปลว่า ดับ คือดับความชั่ว ได้แก่ โลภะ ความโลภ โทสะ ความโกรธ โมหะ ความหลง เป็นอารมณ์จิตที่บริสุทธิ์ ไม่มีความชั่วเจือปน เขตของพระนิพพานไม่มีความตาย ไม่มีการป่วย ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ฉะนั้น ถ้าท่านพุทธบริษัทสงสัย ก็พยายามฝึกมโนมยิทธิ หรือ ทิพย์จักขุญาณได้พอสมควร ท่านจะรู้ได้รู้จักสภาวะของ พระนิพพาน ดีกว่าอ่านหนังสือแล้วก็เดาเอา
3) พระนิพพาน มีแดนไหม หรือว่าพระนิพพานสูญ สูญหรือไม่สูญมีแดนหรือไม่มีแดน ถ้าเราคือสาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ไม่ ต้องคิด คิดว่าธรรมใดที่องค์สมเด็จพระธรรมสามิสร สอนเราในชาตินี้ ที่องค์สมเด็จพระชินสีห์ว่า นี่เป็นเชื้อของความทุกข์ มันก็ทุกข์จริง ๆ อันนี้เป็นปัจจัยให้เกิดความสุข มันก็สุขจริง ๆ อันนี้ของสกปรกโสมมมันไม่สะอาด มันก็สกปรกจริง ๆ ในเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธ เจ้าสอนเรา เราพิจารณาเห็นแล้วว่าเป็นความจริงทุกอย่าง ฉะนั้นแดนที่มีความสุขจริงอย่างยิ่ง ไม่มีทุกข์เจือปน ก็คือ แดนพระนิพพาน แดนพระนิพพานก็เป็นแดนจริง ๆ มีความสุข จริง ๆ และก็ต้องมีจริง
4) สำหรับท่านที่รักการปฏิบัติจริง เรื่องมรรคผลนิพพานเป็นเรื่องใหญ่ นิพพานที่เข้าใจกันว่าสูญนั้นเป็นการเข้าใจผิดชัด ๆ ความจริงนิพพานไม่สูญ เป็นแดนพิเศษที่เหนือเทวดาและพรหม มีความสวยสดงดงามมากกว่าเทวดาและพรหม มีความสุขละเอียดกว่า สุขุมกว่า ไปไหน มาไหนได้สบาย ไม่มีสภาพสิ้นซากหรือไร้ความรู้สึก
5) ถ้าอยากจะเห็นพระนิพพาน ต้องเจริญวิปัสสนาญาณ ให้ได้บรรลุพระโสดาบันเป็นอย่างต่ำ อาศัยญาณที่ได้ไว้ในสมัยโลกียฌาน และอาศัยผลที่เป็นพระอริยะ ท่านเรียกญาณที่ได้ว่า วิมุตติญาณทัสสนะ แปลว่า หลุดพ้นจากกิเลสพร้อมด้วยฌานเป็นเครื่องรู้ เท่านี้พระนิพพานก็ปรากฏชัดแก่ญาณจักษุ พระโสดาบันนี้ได้แต่เห็นพระนิพพาน ยังอาศัยนิพพานเป็นที่พักผ่อนไม่ได้ ถ้าสำเร็จอรหัตตผลแล้ว ท่านก็ไปนอนค้างบนนิพพาน อันเป็นสถานที่อยู่สำหรับตนได้เลย บนนิพพานก็คล้ายกับพรหม มีวิมาน แต่วิจิตรมาก ร่างของท่านที่เข้าพระนิพพานเป็นทิพย์ ละเอียด ใสสะอาด ใสคล้ายแก้วประกายพรึก มีรัศมีสว่าง มากกว่าพรหม อย่างเทียบกันไม่ได้เลย มีความสุขที่สุด อย่างไม่มีอะไรเปรียบ เพราะความรู้สึกอย่างอื่นไม่มี มีแต่จิตสงเคราะห์
6) ถ้าถามว่า ถ้าคนเขาอยากไปพระนิพพานเป็นตัณหาไหม ก็เห็นจะ 99 เปอร์เซ็นต์ที่ตอบว่า คำว่าอยาก แปลว่า ตัณหา ในเมื่ออยากไปพระนิพพาน ก็แสดงว่าเป็นตัณหาเหมือนกัน ก็เลยบอกว่านี่แกเทศน์แล้วแกก็เดินลงนรกเลยสบาย ไปเสียคนเดียวก่อน ดีกว่ามาชวนชาวบ้านเขาไปอีก ถ้าต้องการไปนิพพาน เขาเรียกว่า ธรรมะฉันทะ มีความพอใจในธรรม เป็นอาการซึ่งทรงความดี พวกเราฟังแล้วจำไว้ด้วยนะ ถ้าใครเขาถามจะได้ตอบถูก
7) การเข้าพระนิพพานไม่มีอะไรยาก เพียงแต่ชนะใจตัวเองเท่านั้นคือ
- ไม่ทำหรือคิดว่าจะทำความชั่วทุกอย่าง(ตามแบบศีล 5 )
- สร้างความดีที่ทำให้เกิดความสุขแก่ตนและคนอื่นทุกอย่ าง
- ชำระใจให้เข้าใจในเหตุผล เคารพตามความเป็นจริง ไม่มีอารมณ์ฝืนกฎธรรมดา เห็นโลกเป็นทุกข์ตามความเป็นจริง รู้เหตุที่จะทำให้เกิดทุกข์ คือ ความอยากไม่รู้จบ ไม่สนใจกับความเคลื่อนไปของสิ่งมีชีวิต ไม่ต้องการความเกิดรู้ตัวเสมอว่าทรัพย์สินที่หามาได้ นั้น เราไม่มีโอกาสปกครองได้ตลอดกาล เมื่อถึงเวลาต้องพลัดพรากจากมันเป็นปกติ เมื่อมันจากเรา หรือเราจากมัน ไม่มีอารมณ์เป็นห่วงหรือหนักใจ เห็นความตายเป็นกีฬาสำหรับเด็ก เท่านี้จะทำให้ใจสบาย เรื่องสวรรค์หรือพรหมถือว่าต่ำเกินไป ไปนิพพานเลยดีกว่า นิพพานมีแต่สุข หาทุกข์ไม่ได้
8) ขอบรรดาท่านพุทธบริษัทชายหญิง มีอารมณ์จับพระนิพพานเป็นอารมณ์ จิตมันก็ไม่ถอย เมื่อจิตมันไม่ถอยทำอย่างไร ก็มีอย่างเดียว การก้าวไปสู่พระนิพพาน
9) แต่ว่าขอเตือนสักนิด ถ้าจะทำจิตของเราให้ทรงอารมณ์เป็นพระนิพพานจริง ๆ ขอบรรดาท่านภิกษุ สามเณร และท่านพุทธบริษัทชายหญิง จงพยายามทรงทรงอารมณ์ บารมี 10 ประการ ไว้ให้ครบถ้วน อันนี้ทิ้งไม่ได้ เกาะบารมี 10 ประการ ว่าสิ่งไหนบ้างที่ยังไม่มีสำหรับเราเรายังบกพร่อง อย่าให้บกพร่อง และใช้กำลังสมาธิควบคุมให้ทรงตัวให้มีกำลัง จรณะ 15 ที่เป็นกำแพงกั้น ที่จะไม่ให้เราตกอยู่ในภาวะของความชั่วแห่งจิต และใช้ อิทธิบาท 4 เป็นเครื่องสนับสนุน ให้เราเข้าถึงความสุข ทรงกำลัง 3 ประการให้ทรงตัว แล้วใคร่ครวญหาความจริงว่า ร่างกายมันเป็นโทษ มันเป็นทุกข์ มันเป็นอนัตตา หาความดีไม่ได้ เกิดเป็นคน เกิดเป็นเทวดา เกิดเป็นพรหม ก็ไม่พ้นทุกข์ จิตยึดอารมณ์พระนิพพานเป็นอารมณ์
10) การเป็นพระอรหันต์ไม่เห็นยาก คือ ตัดความพอใจในโลกทั้งสาม มนุษย์โลก เทวโลก พรหมโลก ตัดราคะ ความเห็นว่ามนุษย์โลกสวย เทวโลกสวย พรหมโลกสวย โลกทั้งสามไม่มีความหมายสำหรับเรา เราไม่ต้องการสิ่งที่เราต้องการคือ พระนิพพาน มีความเยือกเย็นเป็นปกติ ไม่เห็นอะไรเป็นเราเป็นของเรา ทุกสิ่งทุกอย่างที่เรากระทบถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา มีขนตกอยู่เป็นปกติ คือว่าไม่มีการสะดุ้งหวาดหวั่นอันใด
11) พระอรหันต์ย่อมไม่ปรากฏเห็นว่าอะไรในโลกนี้เป็นเราเป ็นของเรา ไม่เห็นว่าอะไรในโลกนี้เป็นของดีและก้ไม่เห็นว่าอะไร ในโลกนี้เป็นของเลว ทั้งนี้เพราะพระอรหันต์ยอมรับนับถือกฎแห่งความเป็นจร ิง ว่า ธรรมดาของโลกนี้เป็นอย่างนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างในโลก เป็นกฎธรรมดาไปหมด ไม่มีอะไรเป็นเครื่องสะเทือนใจ พระอรหันต์ เขาด่าก็ไม่สะเทือนใจ เขาชมก็ไม่สะเทือนใจ อะไร ๆ เกิดขึ้นมาทั้งทีก็เป็นเรื่องธรรมดา
12) ถ้าจะถึงอรหันต์ ทีนี้อารมณ์ใจมันสบายทุกอย่าง คือว่าไม่หลงในฌาน ฌานทุกอย่าง ทั้ง รูปฌาน และ อรูปฌาน เราพอใจ แต่คิดแต่เพียงว่านี่เป็นบันไดก้าวขึ้นสู่อริยะเบื้อ งสูงเท่านั้น ไม่ใช่มานั่งหลงว่ากันทั้งวันทั้งคืน นั่งกรรมฐานตลอดวันตลอดคืน นั่นมันยังเป็นเด็กเล็ก ๆ อยู่ ทีนี้หลงในฌานไม่มี ตัวมานะ ถือว่าเราดีกว่าเขา เราเสมอเขา เราเลวกว่าเขาไม่มี และอาการณ์ฟุ้งซ่าน สอดส่ายไปสู่อารมณ์อกุศลไม่มี และตัวสุดท้ายก็เห็นว่าโลกทั้ง 3 โลก คือ มนุษย์โลก เทวโลก พรหมโลก ไม่มีความหมายสำหรับเรา เห็นสภาวะของโลกทุกอย่างนี้ทั้ง 3 โลก มันเป็นแดนของความทุกข์ สิ่งที่มีความสุขที่สุดคือ พระนิพพาน อันนี้ ถ้าเป็นสุขวิปัสสโก ท่านจะมีความสบายมาก สบายในอารมณ์ ยอมรับนับถือกฎของธรรมดา ยอมรับนับถือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าว่า พระนิพพานมีจริง และพระนิพพานเป็นดินแดนของความสุข แม้ท่านจะไม่เห็น หากว่า พระวิชชาสาม ก็ดี อภิญญา 6 ก็ดี ปฏิสัมภิทาญาณก็ดี นี่เขาไปที่พระนิพพานได้เลย จะสามารถเห็นพระนิพพานได้เท่า ๆ กับเห็นของที่มองอยู่ตรงหน้า แล้วเขาก็จะรู้สภาวะว่า ถ้าเขาทิ้งอัตภาพนี้แล้ว เขาจะไปอยู่ตรงไหน เพราะพระนิพพานไม่ได้มีสภาพสูญ เขาก็เข้าสู่จุดของเขาเลยที่พระนิพพาน เข้าที่อยู่ได้ ไปไหวพระพุทธเจ้าได้
อ่านแล้วน่าจะได้คำตอบนะครับ ผมก็ยังไม่บรรลุธรรมไม่กล้าแนะนำกลัวดิ่งลงอบายภูมิ ได้แต่นำข้อความของหลวงพ่อฤาษีท่านมาโพสให้อ่าน
1) บรรดานักคิดนักแต่งทั้งหลาย ได้พากันโฆษณามาหลายร้อยปีแล้วว่า พระนิพพานเป็นสภาพสูญ แต่พอมาอ่านหนังสือของพระอรหันต์ท่านเขียน คือ หนังสือวิสุทธิมรรค ท่านกลับยืนยันว่าพระนิพพานไม่สูญ ดังท่านจะเห็นตามบาลีทั้ง 8 ที่ท่านยกมาเป็นองค์ภาวนานั้น คือ มัททนิมมัทโน พระนิพพานตัดความเมาในชีวิต วิปาสวินโย นิพพานบรรเทาความกระหายในกามคุณ 5 อาลยสมุคฆโต พระนิพพานถอนอาลัยในกามคุณ วัฏฏปัจเฉโท พระนิพพานตัดวนสามให้ขาด ตัณหักขโย พระนิพพานมีตัณหาสิ้นแล้ว หรือสิ้นตัณหาแล้วเข้าสู่พระนิพพาน วิราโค มีความเบื่อหน่ายในตัณหา นิโรโธ ดับตัณหาได้สนิทแล้ว โดยตัณหาไม่กำเริบอีก นิพพานัง มีความดับสนิทแล้วจาก กิเลส ตัณหา อุปาทาน กรรม อันเป็นเหตุให้เกิดอีกในวัฏฏสงสาร
ความหมายตามบาลีที่ท่านว่าไว้นี้ ไม่ได้บอกว่าท่านที่ถึงนิพพานแล้วสูญ พระพุทธเจ้าตรัสว่าเป็นความเห็นผิด เมื่อบาลีท่านยันว่า นิพพานไม่สูญแล้ว ท่านบรรดานักเขียนนักแต่งทั้งหลาย ท่านเอามาจากไหนว่า นิพพานสูญ อันนี้น่าจะเกิดจากความเข้าใจผิดอะไรกันสักอย่าง เพราะมีพระบาลีบทหนึ่งว่า นิพพานัง ปรมัง สุญญัง แปลว่า นิพพานเป็นธรรมว่างอย่างยิ่ง ท่านอาจจะไปคว้าเอา ปรมัง สุญญัง โดยเข้าใจว่า สูญโญเข้าให้ เรื่องถึงได้ไปกันใหญ่
2) นิพพาน นิพพาน เขาแปลว่า ดับ คือดับความชั่ว ได้แก่ โลภะ ความโลภ โทสะ ความโกรธ โมหะ ความหลง เป็นอารมณ์จิตที่บริสุทธิ์ ไม่มีความชั่วเจือปน เขตของพระนิพพานไม่มีความตาย ไม่มีการป่วย ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ฉะนั้น ถ้าท่านพุทธบริษัทสงสัย ก็พยายามฝึกมโนมยิทธิ หรือ ทิพย์จักขุญาณได้พอสมควร ท่านจะรู้ได้รู้จักสภาวะของ พระนิพพาน ดีกว่าอ่านหนังสือแล้วก็เดาเอา
3) พระนิพพาน มีแดนไหม หรือว่าพระนิพพานสูญ สูญหรือไม่สูญมีแดนหรือไม่มีแดน ถ้าเราคือสาวกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ไม่ ต้องคิด คิดว่าธรรมใดที่องค์สมเด็จพระธรรมสามิสร สอนเราในชาตินี้ ที่องค์สมเด็จพระชินสีห์ว่า นี่เป็นเชื้อของความทุกข์ มันก็ทุกข์จริง ๆ อันนี้เป็นปัจจัยให้เกิดความสุข มันก็สุขจริง ๆ อันนี้ของสกปรกโสมมมันไม่สะอาด มันก็สกปรกจริง ๆ ในเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธ เจ้าสอนเรา เราพิจารณาเห็นแล้วว่าเป็นความจริงทุกอย่าง ฉะนั้นแดนที่มีความสุขจริงอย่างยิ่ง ไม่มีทุกข์เจือปน ก็คือ แดนพระนิพพาน แดนพระนิพพานก็เป็นแดนจริง ๆ มีความสุข จริง ๆ และก็ต้องมีจริง
4) สำหรับท่านที่รักการปฏิบัติจริง เรื่องมรรคผลนิพพานเป็นเรื่องใหญ่ นิพพานที่เข้าใจกันว่าสูญนั้นเป็นการเข้าใจผิดชัด ๆ ความจริงนิพพานไม่สูญ เป็นแดนพิเศษที่เหนือเทวดาและพรหม มีความสวยสดงดงามมากกว่าเทวดาและพรหม มีความสุขละเอียดกว่า สุขุมกว่า ไปไหน มาไหนได้สบาย ไม่มีสภาพสิ้นซากหรือไร้ความรู้สึก
5) ถ้าอยากจะเห็นพระนิพพาน ต้องเจริญวิปัสสนาญาณ ให้ได้บรรลุพระโสดาบันเป็นอย่างต่ำ อาศัยญาณที่ได้ไว้ในสมัยโลกียฌาน และอาศัยผลที่เป็นพระอริยะ ท่านเรียกญาณที่ได้ว่า วิมุตติญาณทัสสนะ แปลว่า หลุดพ้นจากกิเลสพร้อมด้วยฌานเป็นเครื่องรู้ เท่านี้พระนิพพานก็ปรากฏชัดแก่ญาณจักษุ พระโสดาบันนี้ได้แต่เห็นพระนิพพาน ยังอาศัยนิพพานเป็นที่พักผ่อนไม่ได้ ถ้าสำเร็จอรหัตตผลแล้ว ท่านก็ไปนอนค้างบนนิพพาน อันเป็นสถานที่อยู่สำหรับตนได้เลย บนนิพพานก็คล้ายกับพรหม มีวิมาน แต่วิจิตรมาก ร่างของท่านที่เข้าพระนิพพานเป็นทิพย์ ละเอียด ใสสะอาด ใสคล้ายแก้วประกายพรึก มีรัศมีสว่าง มากกว่าพรหม อย่างเทียบกันไม่ได้เลย มีความสุขที่สุด อย่างไม่มีอะไรเปรียบ เพราะความรู้สึกอย่างอื่นไม่มี มีแต่จิตสงเคราะห์
6) ถ้าถามว่า ถ้าคนเขาอยากไปพระนิพพานเป็นตัณหาไหม ก็เห็นจะ 99 เปอร์เซ็นต์ที่ตอบว่า คำว่าอยาก แปลว่า ตัณหา ในเมื่ออยากไปพระนิพพาน ก็แสดงว่าเป็นตัณหาเหมือนกัน ก็เลยบอกว่านี่แกเทศน์แล้วแกก็เดินลงนรกเลยสบาย ไปเสียคนเดียวก่อน ดีกว่ามาชวนชาวบ้านเขาไปอีก ถ้าต้องการไปนิพพาน เขาเรียกว่า ธรรมะฉันทะ มีความพอใจในธรรม เป็นอาการซึ่งทรงความดี พวกเราฟังแล้วจำไว้ด้วยนะ ถ้าใครเขาถามจะได้ตอบถูก
7) การเข้าพระนิพพานไม่มีอะไรยาก เพียงแต่ชนะใจตัวเองเท่านั้นคือ
- ไม่ทำหรือคิดว่าจะทำความชั่วทุกอย่าง(ตามแบบศีล 5 )
- สร้างความดีที่ทำให้เกิดความสุขแก่ตนและคนอื่นทุกอย่ าง
- ชำระใจให้เข้าใจในเหตุผล เคารพตามความเป็นจริง ไม่มีอารมณ์ฝืนกฎธรรมดา เห็นโลกเป็นทุกข์ตามความเป็นจริง รู้เหตุที่จะทำให้เกิดทุกข์ คือ ความอยากไม่รู้จบ ไม่สนใจกับความเคลื่อนไปของสิ่งมีชีวิต ไม่ต้องการความเกิดรู้ตัวเสมอว่าทรัพย์สินที่หามาได้ นั้น เราไม่มีโอกาสปกครองได้ตลอดกาล เมื่อถึงเวลาต้องพลัดพรากจากมันเป็นปกติ เมื่อมันจากเรา หรือเราจากมัน ไม่มีอารมณ์เป็นห่วงหรือหนักใจ เห็นความตายเป็นกีฬาสำหรับเด็ก เท่านี้จะทำให้ใจสบาย เรื่องสวรรค์หรือพรหมถือว่าต่ำเกินไป ไปนิพพานเลยดีกว่า นิพพานมีแต่สุข หาทุกข์ไม่ได้
8) ขอบรรดาท่านพุทธบริษัทชายหญิง มีอารมณ์จับพระนิพพานเป็นอารมณ์ จิตมันก็ไม่ถอย เมื่อจิตมันไม่ถอยทำอย่างไร ก็มีอย่างเดียว การก้าวไปสู่พระนิพพาน
9) แต่ว่าขอเตือนสักนิด ถ้าจะทำจิตของเราให้ทรงอารมณ์เป็นพระนิพพานจริง ๆ ขอบรรดาท่านภิกษุ สามเณร และท่านพุทธบริษัทชายหญิง จงพยายามทรงทรงอารมณ์ บารมี 10 ประการ ไว้ให้ครบถ้วน อันนี้ทิ้งไม่ได้ เกาะบารมี 10 ประการ ว่าสิ่งไหนบ้างที่ยังไม่มีสำหรับเราเรายังบกพร่อง อย่าให้บกพร่อง และใช้กำลังสมาธิควบคุมให้ทรงตัวให้มีกำลัง จรณะ 15 ที่เป็นกำแพงกั้น ที่จะไม่ให้เราตกอยู่ในภาวะของความชั่วแห่งจิต และใช้ อิทธิบาท 4 เป็นเครื่องสนับสนุน ให้เราเข้าถึงความสุข ทรงกำลัง 3 ประการให้ทรงตัว แล้วใคร่ครวญหาความจริงว่า ร่างกายมันเป็นโทษ มันเป็นทุกข์ มันเป็นอนัตตา หาความดีไม่ได้ เกิดเป็นคน เกิดเป็นเทวดา เกิดเป็นพรหม ก็ไม่พ้นทุกข์ จิตยึดอารมณ์พระนิพพานเป็นอารมณ์
10) การเป็นพระอรหันต์ไม่เห็นยาก คือ ตัดความพอใจในโลกทั้งสาม มนุษย์โลก เทวโลก พรหมโลก ตัดราคะ ความเห็นว่ามนุษย์โลกสวย เทวโลกสวย พรหมโลกสวย โลกทั้งสามไม่มีความหมายสำหรับเรา เราไม่ต้องการสิ่งที่เราต้องการคือ พระนิพพาน มีความเยือกเย็นเป็นปกติ ไม่เห็นอะไรเป็นเราเป็นของเรา ทุกสิ่งทุกอย่างที่เรากระทบถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา มีขนตกอยู่เป็นปกติ คือว่าไม่มีการสะดุ้งหวาดหวั่นอันใด
11) พระอรหันต์ย่อมไม่ปรากฏเห็นว่าอะไรในโลกนี้เป็นเราเป ็นของเรา ไม่เห็นว่าอะไรในโลกนี้เป็นของดีและก้ไม่เห็นว่าอะไร ในโลกนี้เป็นของเลว ทั้งนี้เพราะพระอรหันต์ยอมรับนับถือกฎแห่งความเป็นจร ิง ว่า ธรรมดาของโลกนี้เป็นอย่างนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างในโลก เป็นกฎธรรมดาไปหมด ไม่มีอะไรเป็นเครื่องสะเทือนใจ พระอรหันต์ เขาด่าก็ไม่สะเทือนใจ เขาชมก็ไม่สะเทือนใจ อะไร ๆ เกิดขึ้นมาทั้งทีก็เป็นเรื่องธรรมดา
12) ถ้าจะถึงอรหันต์ ทีนี้อารมณ์ใจมันสบายทุกอย่าง คือว่าไม่หลงในฌาน ฌานทุกอย่าง ทั้ง รูปฌาน และ อรูปฌาน เราพอใจ แต่คิดแต่เพียงว่านี่เป็นบันไดก้าวขึ้นสู่อริยะเบื้อ งสูงเท่านั้น ไม่ใช่มานั่งหลงว่ากันทั้งวันทั้งคืน นั่งกรรมฐานตลอดวันตลอดคืน นั่นมันยังเป็นเด็กเล็ก ๆ อยู่ ทีนี้หลงในฌานไม่มี ตัวมานะ ถือว่าเราดีกว่าเขา เราเสมอเขา เราเลวกว่าเขาไม่มี และอาการณ์ฟุ้งซ่าน สอดส่ายไปสู่อารมณ์อกุศลไม่มี และตัวสุดท้ายก็เห็นว่าโลกทั้ง 3 โลก คือ มนุษย์โลก เทวโลก พรหมโลก ไม่มีความหมายสำหรับเรา เห็นสภาวะของโลกทุกอย่างนี้ทั้ง 3 โลก มันเป็นแดนของความทุกข์ สิ่งที่มีความสุขที่สุดคือ พระนิพพาน อันนี้ ถ้าเป็นสุขวิปัสสโก ท่านจะมีความสบายมาก สบายในอารมณ์ ยอมรับนับถือกฎของธรรมดา ยอมรับนับถือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าว่า พระนิพพานมีจริง และพระนิพพานเป็นดินแดนของความสุข แม้ท่านจะไม่เห็น หากว่า พระวิชชาสาม ก็ดี อภิญญา 6 ก็ดี ปฏิสัมภิทาญาณก็ดี นี่เขาไปที่พระนิพพานได้เลย จะสามารถเห็นพระนิพพานได้เท่า ๆ กับเห็นของที่มองอยู่ตรงหน้า แล้วเขาก็จะรู้สภาวะว่า ถ้าเขาทิ้งอัตภาพนี้แล้ว เขาจะไปอยู่ตรงไหน เพราะพระนิพพานไม่ได้มีสภาพสูญ เขาก็เข้าสู่จุดของเขาเลยที่พระนิพพาน เข้าที่อยู่ได้ ไปไหวพระพุทธเจ้าได้
อ่านแล้วน่าจะได้คำตอบนะครับ ผมก็ยังไม่บรรลุธรรมไม่กล้าแนะนำกลัวดิ่งลงอบายภูมิ ได้แต่นำข้อความของหลวงพ่อฤาษีท่านมาโพสให้อ่าน
There's someone I'm in love with...
Although I can't be with her now...
I'm still in love with her...
Although I can't be with her now...
I'm still in love with her...
- tum_H
- Verified User
- โพสต์: 1857
- ผู้ติดตาม: 0
Re: การมุ่งหวังนิพพาน แสดงว่ายังมี ตัวกู ของกูอยู่ใช่ไหม
โพสต์ที่ 36
น่าจะเป็นคำตอบที่ตรงและง่ายต่อการเข้าใจที่สุดนะครับLionel เขียน:ถ้าต้องการไปนิพพาน เขาเรียกว่า ธรรมะฉันทะ มีความพอใจในธรรม เป็นอาการซึ่งทรงความดี พวกเราฟังแล้วจำไว้ด้วยนะ ถ้าใครเขาถามจะได้ตอบถูก
ผมเคยไปกราบสรีระ หลวงพ่อเหมือนกัน เห็นแล้วน่าอัศจรรย์
ชาตินี้เป็นที่สุดแล้ว บัดนี้ไม่มีความเกิดอีก
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 11443
- ผู้ติดตาม: 0
Re: การมุ่งหวังนิพพาน แสดงว่ายังมี ตัวกู ของกูอยู่ใช่ไหม
โพสต์ที่ 37
จะว่าไป เงินในพอร์ตก็ไม่ใช่ของผมด้วยpicatos เขียน:กระทู้ไม่ใช่ของพี่ เงินในพอร์ตก็ไม่ใช่ของพี่ด้วยเปล่า?chatchai เขียน:ไม่เห็นต้องขอโทษผมเลยครับ เพราะกระทู้นี้ก็ไม่ใช่ของผม จริงไหมครับHighway_Star เขียน:ขอโทษพี่ฉัตรชัยด้วยครับ ยืมพื้นที่กระทู้มาเยอะเลย
พอร์ตก็ชื่อแฟน บ้านก็ชื่อแฟน แถมเงินส่วนใหญ่ที่ใช้จ่ายก็เป็นการใช้จ่ายเพื่อลูกเกือบทั้งหมด
จะมีชื่อผมอยู่บ้างก็รถเก่าๆ 2 คันเอง
จงอยู่เหนือความดี อย่าหลงความดี
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 11443
- ผู้ติดตาม: 0
Re: การมุ่งหวังนิพพาน แสดงว่ายังมี ตัวกู ของกูอยู่ใช่ไหม
โพสต์ที่ 38
ด้วยความรู้อันน้อยนิดของผม เลยไม่ค่อยเข้าใจซักเท่าไร จะมีกรุณาช่วยอธิบายให้เข้าใจง่ายๆได้บ้างครับLionel เขียน: 6) ถ้าถามว่า ถ้าคนเขาอยากไปพระนิพพานเป็นตัณหาไหม ก็เห็นจะ 99 เปอร์เซ็นต์ที่ตอบว่า คำว่าอยาก แปลว่า ตัณหา ในเมื่ออยากไปพระนิพพาน ก็แสดงว่าเป็นตัณหาเหมือนกัน ก็เลยบอกว่านี่แกเทศน์แล้วแกก็เดินลงนรกเลยสบาย ไปเสียคนเดียวก่อน ดีกว่ามาชวนชาวบ้านเขาไปอีก ถ้าต้องการไปนิพพาน เขาเรียกว่า ธรรมะฉันทะ มีความพอใจในธรรม เป็นอาการซึ่งทรงความดี พวกเราฟังแล้วจำไว้ด้วยนะ ถ้าใครเขาถามจะได้ตอบถูก
จงอยู่เหนือความดี อย่าหลงความดี
- por_jai
- Verified User
- โพสต์: 14338
- ผู้ติดตาม: 0
Re: การมุ่งหวังนิพพาน แสดงว่ายังมี ตัวกู ของกูอยู่ใช่ไหม
โพสต์ที่ 39
เว้นวรรค เว้นบรรทัดซะหน่อยก็ได้แล้วครับพี่ฉัตรครับ
ถ้าถามว่า
ถ้าคนเขาอยากไปพระนิพพานเป็นตัณหาไหม
ก็เห็นจะ 99 เปอร์เซ็นต์ที่ตอบว่า
คำว่าอยาก แปลว่า ตัณหา
ในเมื่ออยากไปพระนิพพาน ก็แสดงว่าเป็นตัณหาเหมือนกัน
ก็เลยบอกว่านี่แกเทศน์แล้วแกก็เดินลงนรกเลยสบาย
ไปเสียคนเดียวก่อน ดีกว่ามาชวนชาวบ้านเขาไปอีก
ถ้าต้องการไปนิพพาน
เขาเรียกว่า ธรรมะฉันทะ
มีความ'พอใจ'ในธรรม
เป็นอาการซึ่งทรงความดี
พวกเราฟังแล้วจำไว้ด้วยนะ ถ้าใครเขาถามจะได้ตอบถูก
เห็นไหมครับชื่อล็อกอิน พอใจนี่ไม่ใช่ซี๊ๆซั๊วๆตั้งมานะครับ
อ้อ...คุยเรื่องพอร์ตชื่ออาซ้อนี่ก็ไตรลักษณ์ครับ
แรกๆทำงานเงินเดือนเยอะแยะ ใช้ไม่พอไปยืมได้อีก
พอมาเล่นหุ้นไม่ได้ทำงานอย่างอื่น
'อนิจจัง'ไม่เที่ยงครับ ที่อยากจะใช้เท่าไรก็ไ้ด้ เมื่อไรก็ได้
เหลือเบี้ยเลี้ยงวันละสองร้อยแล้วจะเริ่มรู้สึก'ทุกข์'
พอนานไปก็เริ่มชิน เหตุแห่งทุกข์อยู่ดีๆก็เกิด'อนัตตา'ดับไปได้เอง
อยากหรือไม่อยากก็ได้แค่นั้นแหละครับ
ก็ไม่รู้จะไปทุกข์ทำไมอีกแล้วครับ...ฮ่า...
ถ้าถามว่า
ถ้าคนเขาอยากไปพระนิพพานเป็นตัณหาไหม
ก็เห็นจะ 99 เปอร์เซ็นต์ที่ตอบว่า
คำว่าอยาก แปลว่า ตัณหา
ในเมื่ออยากไปพระนิพพาน ก็แสดงว่าเป็นตัณหาเหมือนกัน
ก็เลยบอกว่านี่แกเทศน์แล้วแกก็เดินลงนรกเลยสบาย
ไปเสียคนเดียวก่อน ดีกว่ามาชวนชาวบ้านเขาไปอีก
ถ้าต้องการไปนิพพาน
เขาเรียกว่า ธรรมะฉันทะ
มีความ'พอใจ'ในธรรม
เป็นอาการซึ่งทรงความดี
พวกเราฟังแล้วจำไว้ด้วยนะ ถ้าใครเขาถามจะได้ตอบถูก
เห็นไหมครับชื่อล็อกอิน พอใจนี่ไม่ใช่ซี๊ๆซั๊วๆตั้งมานะครับ
อ้อ...คุยเรื่องพอร์ตชื่ออาซ้อนี่ก็ไตรลักษณ์ครับ
แรกๆทำงานเงินเดือนเยอะแยะ ใช้ไม่พอไปยืมได้อีก
พอมาเล่นหุ้นไม่ได้ทำงานอย่างอื่น
'อนิจจัง'ไม่เที่ยงครับ ที่อยากจะใช้เท่าไรก็ไ้ด้ เมื่อไรก็ได้
เหลือเบี้ยเลี้ยงวันละสองร้อยแล้วจะเริ่มรู้สึก'ทุกข์'
พอนานไปก็เริ่มชิน เหตุแห่งทุกข์อยู่ดีๆก็เกิด'อนัตตา'ดับไปได้เอง
อยากหรือไม่อยากก็ได้แค่นั้นแหละครับ
ก็ไม่รู้จะไปทุกข์ทำไมอีกแล้วครับ...ฮ่า...
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
-
- Verified User
- โพสต์: 439
- ผู้ติดตาม: 0
Re: การมุ่งหวังนิพพาน แสดงว่ายังมี ตัวกู ของกูอยู่ใช่ไหม
โพสต์ที่ 40
หลวงพ่อชาบอกว่าchatchai เขียน:เราได้รับคำสอนมาว่า การเกิดนั้นคือ ทุกข์
ทางพ้นทุกข์ก็คือ การไม่เกิด ซึ่งก็ต้องนิพพาน
เราต้องการถึงนิพพานก็เพื่อตัวเองใช่หรือไม่
กลายเป็นว่า เราต้องการถึงนิพพานเพราะเราไม่อยากทุกข์ ซึ่งก็แสดงว่า ยังมี ตัวกู ของกู อยู่ใช่หรือไม่
ใครรู้เรื่องธรรมะช่วยหน่อยครับ
เปรียบง่ายๆให้ฟัง เราไปซื้อกล้วยหรือซื้อมะพร้าวใบหนึ่งจากตลาด แล้วก็เดินหิ้วมา
อีกคนหนึ่งก็ถาม "ท่านซื้อกล้วยมาทำไม ?"
"ซื้อไปรับประทาน"
"เปลือกมันต้องรับประทานด้วยหรือ ?"
"เปล่า"
"ไม่เชื่อหรอก ไม่รับประทานแล้วเอาไปทำไมเปลือกมัน ?"
หรือเอามะพร้าวใบหนึ่งมาก็เหมือนกัน
"เอามะพร้าวไปทำไม ?"
"จะเอาไปแกง"
"เปลือกมันแกงด้วยหรือ ?"
"เปล่า"
"จะเอาไปทำไมล่ะ ?"
เอ้า จะว่าอย่างไรล่ะ จะตอบปัญหาเขาอย่างไรด้วยความอยาก ถ้าไม่อยาก เราก็ไม่ได้ทำให้มัน
มีปัญญานะ การทำความเพียรก็เป็นเช่นนั้น คือทำด้วยการปล่อยวาง อย่างกล้วย อย่างมะพร้าว เอาไปทำไมเปลือกมัน ? ก็เพราะว่ายังไม่ถึงเวลาเอามันทิ้ง มันก็ห่อเนื้อในมันไปอยู่นั้น ยังไม่ถึง
เวลาจะทิ้ง ก็ถือมันไว้ก่อนการประพฤติปฏิบัติก็เหมือนกัน สมมติ วิมุตติ ก็ต้องปนกันอยู่อย่างนั้น
เหมือนมะพร้าว มันจะปนอยู่ทั้งเปลือก ทั้งกะลา ทั้งเนื้อ เราก็เอามาทั้งหมดแหละ เขาจะหาว่า
เรากินเปลือกมะพร้าวอย่างไรก็ช่างเขา เรารู้จักของเราอยู่
- picatos
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 3227
- ผู้ติดตาม: 4
Re: การมุ่งหวังนิพพาน แสดงว่ายังมี ตัวกู ของกูอยู่ใช่ไหม
โพสต์ที่ 41
สาธุๆๆf.escape เขียน:หลวงพ่อชาบอกว่า
เปรียบง่ายๆให้ฟัง เราไปซื้อกล้วยหรือซื้อมะพร้าวใบหนึ่งจากตลาด แล้วก็เดินหิ้วมา
อีกคนหนึ่งก็ถาม "ท่านซื้อกล้วยมาทำไม ?"
"ซื้อไปรับประทาน"
"เปลือกมันต้องรับประทานด้วยหรือ ?"
"เปล่า"
"ไม่เชื่อหรอก ไม่รับประทานแล้วเอาไปทำไมเปลือกมัน ?"
หรือเอามะพร้าวใบหนึ่งมาก็เหมือนกัน
"เอามะพร้าวไปทำไม ?"
"จะเอาไปแกง"
"เปลือกมันแกงด้วยหรือ ?"
"เปล่า"
"จะเอาไปทำไมล่ะ ?"
เอ้า จะว่าอย่างไรล่ะ จะตอบปัญหาเขาอย่างไรด้วยความอยาก ถ้าไม่อยาก เราก็ไม่ได้ทำให้มัน
มีปัญญานะ การทำความเพียรก็เป็นเช่นนั้น คือทำด้วยการปล่อยวาง อย่างกล้วย อย่างมะพร้าว เอาไปทำไมเปลือกมัน ? ก็เพราะว่ายังไม่ถึงเวลาเอามันทิ้ง มันก็ห่อเนื้อในมันไปอยู่นั้น ยังไม่ถึง
เวลาจะทิ้ง ก็ถือมันไว้ก่อนการประพฤติปฏิบัติก็เหมือนกัน สมมติ วิมุตติ ก็ต้องปนกันอยู่อย่างนั้น
เหมือนมะพร้าว มันจะปนอยู่ทั้งเปลือก ทั้งกะลา ทั้งเนื้อ เราก็เอามาทั้งหมดแหละ เขาจะหาว่า
เรากินเปลือกมะพร้าวอย่างไรก็ช่างเขา เรารู้จักของเราอยู่
วันคืนล่วงไปๆ บัดนี้เรากำลังทำอะไรอยู่?
- peacedev
- Verified User
- โพสต์: 668
- ผู้ติดตาม: 0
Re: การมุ่งหวังนิพพาน แสดงว่ายังมี ตัวกู ของกูอยู่ใช่ไหม
โพสต์ที่ 42
ให้คอกาแฟแต่ละคนออกมาอธิบายรสชาติของกาแฟให้คนอยากรู้รสฟัง 10 คนก็คงอธิบายไม่เหมือนกันมั้งครับนอกจากรสขมกับกลิ่นหอมลายละเอียดมากกว่านั้นคงพูดได้ไม่เหมือนกัน
ผมสังเกตุมาว่าครูบาอาจารย์หลายท่านก็มีจุดที่กล่าวไม่เหมือนกันอยู่เยอะเหมือนกัน
ผมว่าสุดท้ายก็คงต้องอาศัยหลัก กาลามสูตร เหมือนที่ Signature พี่ picatos ติดเอาไว้มั้งครับ
ผมสังเกตุมาว่าครูบาอาจารย์หลายท่านก็มีจุดที่กล่าวไม่เหมือนกันอยู่เยอะเหมือนกัน
ผมว่าสุดท้ายก็คงต้องอาศัยหลัก กาลามสูตร เหมือนที่ Signature พี่ picatos ติดเอาไว้มั้งครับ
สำคัญที่สุดคงอยู่ที่การปฎิบัติมั้งครับกาลามสูตร คือ พระสูตรที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงแก่ชาวกาลามะ หมู่บ้านเกสปุตติยนิคม แคว้นโกศล (เรียกอีกอย่างว่า เกสปุตติยสูตร หรือเกสปุตตสูตร ก็มี[1]) กาลามสูตรเป็นหลักแห่งความเชื่อที่พระพุทธองค์ทรงวางไว้ให้แก่พุทธศาสนิกชน ไม่ให้เชื่อสิ่งใด ๆ อย่างงมงายโดยไม่ใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็นจริงถึงคุณโทษหรือดีไม่ดีก่อนเชื่อ มีอยู่ 10 ประการ ได้แก่
อย่าเพิ่งเชื่อตามที่ฟังๆ กันมา
อย่าเพิ่งเชื่อตามที่ทำต่อๆ กันมา
อย่าเพิ่งเชื่อตามคำเล่าลือ
อย่าเพิ่งเชื่อโดยอ้างตำรา
อย่าเพิ่งเชื่อโดยนึกเดา
อย่าเพิ่งเชื่อโดยคาดคะเนเอา
อย่าเพิ่งเชื่อโดยนึกคิดตามแนวเหตุผล
อย่าเพิ่งเชื่อเพราะถูกกับทฤษฎีของตน
อย่าเพิ่งเชื่อเพราะมีรูปลักษณ์ที่ควรเชื่อได้
อย่าเพิ่งเชื่อเพราะผู้พูดเป็นครูบาอาจารย์ของตน
ปัจจุบันแนวคิดและหลักสูตรที่สอนให้คนมีเหตุผลไม่หลงเชื่องมงาย ในทำนองเดียวกับคำสอนของพระพุทธองค์เมื่อ 2500 ปีก่อน ได้รับการบรรจุเป็นวิชาบังคับว่าด้วยการสร้างทักษะการคิดหรือที่เรียกว่า "การคิดเชิงวิจารณ์" (Critical thinking) ไว้ในกระบวนการเรียนรู้ในมหาวิทยาลัยของประเทศพัฒนาแล้ว
ก็อปมาจาก wikipedia ครับ
http://peacedev.wordpress.com
"The Quant"
"The Quant"
-
- Verified User
- โพสต์: 3348
- ผู้ติดตาม: 0
Re: การมุ่งหวังนิพพาน แสดงว่ายังมี ตัวกู ของกูอยู่ใช่ไหม
โพสต์ที่ 43
เห็นทุขจึงอยากพ้นทุกข์ จึงทวนกระแสพ้นทุกข์ เริ่มต้นจากเจตนาอยากจะพ้นทุกข์ จึงเห็นขัน5 เป็นทุกข์ ตัวกู คือทุกข์ กายคือทุกข์ อีกหน่อยใจก็ทุกข์ ละไปเรื่อยๆ ตัวรู้ก็ทุกข์ วันใด
อยากนิพพาน จึงเริ่มต้นที่อยากปฎิบัติ ปฎิบัติไปจึงรู้ ว่า อยากก็ผิด จึงรู้ซื่อๆ เริ่มที่อยากก่อนครับ จึงละอยากได้
อยากนิพพาน จึงเริ่มต้นที่อยากปฎิบัติ ปฎิบัติไปจึงรู้ ว่า อยากก็ผิด จึงรู้ซื่อๆ เริ่มที่อยากก่อนครับ จึงละอยากได้
ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลก มันก็เป็นเช่นนั้นแล
-
- Verified User
- โพสต์: 3348
- ผู้ติดตาม: 0
Re: การมุ่งหวังนิพพาน แสดงว่ายังมี ตัวกู ของกูอยู่ใช่ไหม
โพสต์ที่ 44
ต้องเจอสภาวะจริงๆ จึงจะเห็น และรู้จริง อ่านและไตร่ตรอง ผู้รู้มันจะเชื่อหรือครับ ต้องมีผู้รู้ก่อนนะครับ ถึงจุดนึงค่อยฆ่าผู้รู้chatchai เขียน:เป็นไปได้ไหมที่เราจะรู้ เบี่อหน่าย คลายกำหนัด โดยไม่ต้องปฎิบัติEyore เขียน:การถึงซึ่งนิพพนานนั้น ต้องผ่านกระบวนการ
เห็นสิ่งต่างๆ ตามที่มันเป็นจริง -> แล้วจึง เบื่อหน่าย คลายกำหนัด -> แล้วจึง หลุดพ้น
ถ้ายังมีความอยากอยู่ มันก็ตรงข้ามกับขั้นตอนเหล่านี้
ก็ไม่มีทางถึงนิพพานได้
แต่ว่าในเบื้องต้น ความอยากแบบนี้ ก็เป็นตัวชักนำเราไปในทิศทางที่ถูกต้องได้
แต่การจะเดินไปตามเส้นทาง ต้องยุติความอยาก
แล้วใช้ความเพียร
เรียนรู้มันเรื่อยไป
จนกว่าจะรู้ ตามที่มันเป็นจริง คือเป็นไตรลักษณ์
ผมเข้าใจแบบนี้นะครับ พี่ฉัตรลองพิจารณาดู
รู้ได้จากการอ่าน แล้วไตร่ตรองด้วยเหตุผล
ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลก มันก็เป็นเช่นนั้นแล
-
- Verified User
- โพสต์: 67
- ผู้ติดตาม: 0
Re: การมุ่งหวังนิพพาน แสดงว่ายังมี ตัวกู ของกูอยู่ใช่ไหม
โพสต์ที่ 45
ผมชอบจังf.escape เขียน:
เอ้า จะว่าอย่างไรล่ะ จะตอบปัญหาเขาอย่างไรด้วยความอยาก ถ้าไม่อยาก เราก็ไม่ได้ทำให้มัน มีปัญญานะ การทำความเพียรก็เป็นเช่นนั้น คือทำด้วยการปล่อยวาง อย่างกล้วย อย่างมะพร้าว เอาไปทำไมเปลือกมัน ? ก็เพราะว่ายังไม่ถึงเวลาเอามันทิ้ง มันก็ห่อเนื้อในมันไปอยู่นั้น ยังไม่ถึง
เวลาจะทิ้ง ก็ถือมันไว้ก่อนการประพฤติปฏิบัติก็เหมือนกัน สมมติ วิมุตติ ก็ต้องปนกันอยู่อย่างนั้น
เหมือนมะพร้าว มันจะปนอยู่ทั้งเปลือก ทั้งกะลา ทั้งเนื้อ เราก็เอามาทั้งหมดแหละ เขาจะหาว่า
เรากินเปลือกมะพร้าวอย่างไรก็ช่างเขา เรารู้จักของเราอยู่
อ่าว.....แย่ละ "ความชอบ"เป็นกิเลสนินา
- Lionel
- Verified User
- โพสต์: 118
- ผู้ติดตาม: 0
Re: การมุ่งหวังนิพพาน แสดงว่ายังมี ตัวกู ของกูอยู่ใช่ไหม
โพสต์ที่ 46
เพิ่งเข้ามาเห็น ตามความคิดผม การที่พี่ฉัตรอ่านแล้ว นำไปไตร่ตรองด้วยปัญญา นั่นก็คือการปฏิบัติแล้วครับchatchai เขียน:
เป็นไปได้ไหมที่เราจะรู้ เบี่อหน่าย คลายกำหนัด โดยไม่ต้องปฎิบัติ
รู้ได้จากการอ่าน แล้วไตร่ตรองด้วยเหตุผล
เพียงแต่ว่าการวิปัสสนาเพียงอย่างเดียว โดยไม่มีสมถะช่วยเลยนั้น
จะบรรลุค่อนข้างยาก ง่ายๆเรื่อยๆแต่นานครับ
There's someone I'm in love with...
Although I can't be with her now...
I'm still in love with her...
Although I can't be with her now...
I'm still in love with her...
-
- Verified User
- โพสต์: 208
- ผู้ติดตาม: 0
Re: การมุ่งหวังนิพพาน แสดงว่ายังมี ตัวกู ของกูอยู่ใช่ไหม
โพสต์ที่ 47
ประสบการณ์จริง ชีวิตหลังความตาย ที่มา http://www.youtube.com/watch?v=Hx7H4FU8 ... re=related
-
- Verified User
- โพสต์: 208
- ผู้ติดตาม: 0
Re: การมุ่งหวังนิพพาน แสดงว่ายังมี ตัวกู ของกูอยู่ใช่ไหม
โพสต์ที่ 48
ขอโทษครับเข้าไม่ได้ เอาใหม่ http://www.youtube.com/watch?v=Hx7H4FU8 ... re=relatedtutinglee เขียน:ประสบการณ์จริง ชีวิตหลังความตาย ที่มา http://www.youtube.com/watch?v=Hx7H4FU8 ... re=related
-
- Verified User
- โพสต์: 173
- ผู้ติดตาม: 0
Re: การมุ่งหวังนิพพาน แสดงว่ายังมี ตัวกู ของกูอยู่ใช่ไหม
โพสต์ที่ 49
ขอแชร์ด้วยคนครับ
"นิพพาน" คือ ความดับ หรือจะแปลอีกความหมายนึงว่า "ความเย็น" (ไร้ซึ่งความทุกข์)
"บุญ" คือ ความดี (โดยมีนิพพานเป็นเป้าหมาย) หรือจะแปลอีกความหมายว่า "การชำระ"
ชำระ ซึ่งสิ่งมัวหมอง คือ "กิเลส" นั้นเอง
กิเลส มีมูลเหตุมาจาก โลภะ โทสะ โมหะ (ซึ่งคือสิ่งที่มัวหมองในจิตใจของเรา)
ใน อาทิตตปริยายสูตร ที่พระพุทธเจ้าทรงเทศนาสอนชฏิล3พี่น้องและบริวาร 1000คน ทรงตรัสว่า "สัมผัสทั้งหลายเป็น
ของร้อน ร้อนเพราะไฟคือราคะ ร้อนเพราะไฟคือโทสะ ร้อนเพราะไฟคือโมหะ"
นิพพานคือการดับความร้อนทั้งหลาย
วิธีนึงในการดับความร้อนเหล่านั้นคือการทำบุญ (ในความหมายของ "การชำระความโลภ") เช่น
เวลาเราเกิดความโลภ จิตใจของเราจะปั่นป่วน ดิ้นรนหาวิธีต่างๆเพื่อตอบสนองความโลภของตนเอง
เราสามารถชำระความโลภง่ายๆโดยการให้ทาน ไม่จำกัดว่าจะต้องทำในพุทธศาสนา เราให้ทานเพื่อชำระความร้อนใน
ใจของเราเอง เมื่อเรามีความโลภน้อยลง เราจะมีชีวิตอย่างร่มเย็นเป็นสุขมากขึ้น
หรือกรณี ร้อนเพราะไฟคือโทสะ เวลาเรารู้สึกโกรธ แม้แต่ลมหายใจของเราจะกระชึ้นขึ้น อุณภูมิร่างกายของเราจะสูงขึ้น
บางคนถึงกับหน้าแดงตัวแดงทีเดียว ถึงเวลานั้นแล้วเราจะระบายความร้อนในใจสู่สิ่งรอบข้างทั้งทางคำพูดและการก
กระทำ แล้วก็มักจะมานั่งเสียใจภายหลัง ยิ่งคนที่มี "โทสะ" ในจิตใจมากก็ยิ่งร้อน ยิ่งดิ้นรนที่จะระบายออกไป
การชำระ "โทสะ" เพื่อให้ระดับ "โทสะ" ในจิตใจลดน้อยลง จะทำให้เราหงุดหงิดต่อสิ่งรอบข้างน้อยลง แค่นี้ก็ทำให้
ชีวิตของเรามีความสุขมากขึ้นเยอะแล้ว
ปล. อยากจะแชร์มุมมองของคำว่า "บุญ" ในแง่ความหมายว่า "การชำระ" สิ่งมัวหมองในจิตใจ เพราะเห็นว่าหลายๆคน
พอได้เย็นคำว่าไปทำบุญ ก็จะนึกถึงแต่การไปถวายของแก่พระสงฆ์ หรือมูลนิธิต่างๆ ไม่ค่อยจะมีคนนึกถึงคำนี้
ในแง่ของ "การชำระ" จิตใจตัวเองเท่าไร
"นิพพาน" คือ ความดับ หรือจะแปลอีกความหมายนึงว่า "ความเย็น" (ไร้ซึ่งความทุกข์)
"บุญ" คือ ความดี (โดยมีนิพพานเป็นเป้าหมาย) หรือจะแปลอีกความหมายว่า "การชำระ"
ชำระ ซึ่งสิ่งมัวหมอง คือ "กิเลส" นั้นเอง
กิเลส มีมูลเหตุมาจาก โลภะ โทสะ โมหะ (ซึ่งคือสิ่งที่มัวหมองในจิตใจของเรา)
ใน อาทิตตปริยายสูตร ที่พระพุทธเจ้าทรงเทศนาสอนชฏิล3พี่น้องและบริวาร 1000คน ทรงตรัสว่า "สัมผัสทั้งหลายเป็น
ของร้อน ร้อนเพราะไฟคือราคะ ร้อนเพราะไฟคือโทสะ ร้อนเพราะไฟคือโมหะ"
นิพพานคือการดับความร้อนทั้งหลาย
วิธีนึงในการดับความร้อนเหล่านั้นคือการทำบุญ (ในความหมายของ "การชำระความโลภ") เช่น
เวลาเราเกิดความโลภ จิตใจของเราจะปั่นป่วน ดิ้นรนหาวิธีต่างๆเพื่อตอบสนองความโลภของตนเอง
เราสามารถชำระความโลภง่ายๆโดยการให้ทาน ไม่จำกัดว่าจะต้องทำในพุทธศาสนา เราให้ทานเพื่อชำระความร้อนใน
ใจของเราเอง เมื่อเรามีความโลภน้อยลง เราจะมีชีวิตอย่างร่มเย็นเป็นสุขมากขึ้น
หรือกรณี ร้อนเพราะไฟคือโทสะ เวลาเรารู้สึกโกรธ แม้แต่ลมหายใจของเราจะกระชึ้นขึ้น อุณภูมิร่างกายของเราจะสูงขึ้น
บางคนถึงกับหน้าแดงตัวแดงทีเดียว ถึงเวลานั้นแล้วเราจะระบายความร้อนในใจสู่สิ่งรอบข้างทั้งทางคำพูดและการก
กระทำ แล้วก็มักจะมานั่งเสียใจภายหลัง ยิ่งคนที่มี "โทสะ" ในจิตใจมากก็ยิ่งร้อน ยิ่งดิ้นรนที่จะระบายออกไป
การชำระ "โทสะ" เพื่อให้ระดับ "โทสะ" ในจิตใจลดน้อยลง จะทำให้เราหงุดหงิดต่อสิ่งรอบข้างน้อยลง แค่นี้ก็ทำให้
ชีวิตของเรามีความสุขมากขึ้นเยอะแล้ว
ปล. อยากจะแชร์มุมมองของคำว่า "บุญ" ในแง่ความหมายว่า "การชำระ" สิ่งมัวหมองในจิตใจ เพราะเห็นว่าหลายๆคน
พอได้เย็นคำว่าไปทำบุญ ก็จะนึกถึงแต่การไปถวายของแก่พระสงฆ์ หรือมูลนิธิต่างๆ ไม่ค่อยจะมีคนนึกถึงคำนี้
ในแง่ของ "การชำระ" จิตใจตัวเองเท่าไร
-
- Verified User
- โพสต์: 464
- ผู้ติดตาม: 0
Re: การมุ่งหวังนิพพาน แสดงว่ายังมี ตัวกู ของกูอยู่ใช่ไหม
โพสต์ที่ 51
f.escape เขียน:หลวงพ่อชาบอกว่าchatchai เขียน:เราได้รับคำสอนมาว่า การเกิดนั้นคือ ทุกข์
ทางพ้นทุกข์ก็คือ การไม่เกิด ซึ่งก็ต้องนิพพาน
เราต้องการถึงนิพพานก็เพื่อตัวเองใช่หรือไม่
กลายเป็นว่า เราต้องการถึงนิพพานเพราะเราไม่อยากทุกข์ ซึ่งก็แสดงว่า ยังมี ตัวกู ของกู อยู่ใช่หรือไม่
ใครรู้เรื่องธรรมะช่วยหน่อยครับ
เปรียบง่ายๆให้ฟัง เราไปซื้อกล้วยหรือซื้อมะพร้าวใบหนึ่งจากตลาด แล้วก็เดินหิ้วมา
อีกคนหนึ่งก็ถาม "ท่านซื้อกล้วยมาทำไม ?"
"ซื้อไปรับประทาน"
"เปลือกมันต้องรับประทานด้วยหรือ ?"
"เปล่า"
"ไม่เชื่อหรอก ไม่รับประทานแล้วเอาไปทำไมเปลือกมัน ?"
หรือเอามะพร้าวใบหนึ่งมาก็เหมือนกัน
"เอามะพร้าวไปทำไม ?"
"จะเอาไปแกง"
"เปลือกมันแกงด้วยหรือ ?"
"เปล่า"
"จะเอาไปทำไมล่ะ ?"
เอ้า จะว่าอย่างไรล่ะ จะตอบปัญหาเขาอย่างไรด้วยความอยาก ถ้าไม่อยาก เราก็ไม่ได้ทำให้มัน
มีปัญญานะ การทำความเพียรก็เป็นเช่นนั้น คือทำด้วยการปล่อยวาง อย่างกล้วย อย่างมะพร้าว เอาไปทำไมเปลือกมัน ? ก็เพราะว่ายังไม่ถึงเวลาเอามันทิ้ง มันก็ห่อเนื้อในมันไปอยู่นั้น ยังไม่ถึง
เวลาจะทิ้ง ก็ถือมันไว้ก่อนการประพฤติปฏิบัติก็เหมือนกัน สมมติ วิมุตติ ก็ต้องปนกันอยู่อย่างนั้น
เหมือนมะพร้าว มันจะปนอยู่ทั้งเปลือก ทั้งกะลา ทั้งเนื้อ เราก็เอามาทั้งหมดแหละ เขาจะหาว่า
เรากินเปลือกมะพร้าวอย่างไรก็ช่างเขา เรารู้จักของเราอยู่
ขอบคุณมากครับ ไม่คาดคิดเลยว่าคำถามนี้ จะตอบได้ด้วยคำตอบที่เข้าใจได้ง่ายๆเช่นนี้
-
- Verified User
- โพสต์: 1401
- ผู้ติดตาม: 0
Re: การมุ่งหวังนิพพาน แสดงว่ายังมี ตัวกู ของกูอยู่ใช่ไหม
โพสต์ที่ 52
ขอตอบมั่งครับ snake ๆ fishๆ
เรามุ่งนิพพาน เพราะว่าเป็นตัวกูของกูมันก็ยังใช่อยู่ (ที่เขาเรียกว่า ภวตัณหาหรือเปล่า)
แต่ว่าเรานั่งสมาธิไปถึงขั้นหนึ่ง พอถึงขั้นวิปัสสนา ก็ต้องปล่อยวาง ไม่ยังงั้นก็หลงติดอยู่ในสมาธิ
การวิปัสสนาคือการพิจารณาร่างกายและปล่อยวาง ปล่อยตัวกูของกูลง มันน่าจะเป็นอัตโนมัตินะครับ
เรามุ่งนิพพาน เพราะว่าเป็นตัวกูของกูมันก็ยังใช่อยู่ (ที่เขาเรียกว่า ภวตัณหาหรือเปล่า)
แต่ว่าเรานั่งสมาธิไปถึงขั้นหนึ่ง พอถึงขั้นวิปัสสนา ก็ต้องปล่อยวาง ไม่ยังงั้นก็หลงติดอยู่ในสมาธิ
การวิปัสสนาคือการพิจารณาร่างกายและปล่อยวาง ปล่อยตัวกูของกูลง มันน่าจะเป็นอัตโนมัตินะครับ
- กล้วยไม้ขาว
- Verified User
- โพสต์: 1074
- ผู้ติดตาม: 0
Re: การมุ่งหวังนิพพาน แสดงว่ายังมี ตัวกู ของกูอยู่ใช่ไหม
โพสต์ที่ 54
เข้ามาดู
-
- Verified User
- โพสต์: 3
- ผู้ติดตาม: 0
Re: การมุ่งหวังนิพพาน แสดงว่ายังมี ตัวกู ของกูอยู่ใช่ไหม
โพสต์ที่ 55
ดีใจมากที่ได้เห็นคำถามนี้อยากตอบนานละ(ความอยากไม่ใช่ทางสู่นิพพานแน่นอน)
การมุ่งหวังนิพพาน แสดงว่ายังมี ตัวกู ของกูอยู่ใช่ไหม ใช่ครับและไม่มีทางนิพพานได้แน่นอน(พระอานนท์เคยอยู่ในภาวะนี้ตอนสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งแรก)
ผมไม่เคยบวชภาษาบาลีผมไม่รู้เลยแต่ผมสงสัยตั้งแต่เด็กและสนใจเรื่องพุทธตั้งแต่เด็กเช่นกันคือพระพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์แล้วทำไมอยากเผยแพร่ที่ตรัสรู้มาถ้าอยากก็แสดงว่ายังไม่เป็นอรหันต์ดิตอนอยู่มศ.4ก็37ปีที่แล้วเพื่อนบวชแล้วจะไปจำวัดที่สวนโมขผมอยากไปด้วยมากแต่ไม่มีตังแม่เพื่อนออกตังให้ นับว่าเป็นบุญที่เด็กน้อยอย่างผมได้สนทนาธรรมกับท่านพุทธทาสแต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่เข้าใจว่าสำเร็จอรหันต์คืออะไรเป็นอย่างไรอยู่ดีจนเมื่อ5-6ปีที่แล้วเข้าใจว่าภาวะอรหันต์คือออะไร เข้าใจภาวะนะครับไม่ใช่ดวงตาธรรมเป็นพระอรหันต์ในแนวทางเถรวาทนะครับ
ถ้าทางมหายานภาวะอรหันต์มีอภินิหารมากไป พระสัมมาสัมพุทธเจ้าปูทางให้พวกเราหมดแล้วแค่อริยสัจ4ถ้าคนไหนศึกษาธรรมมาตลอดเข้าใจปั๊บบรรลุอรหันต์ทันที ในพุทธประวัติเราจะเห็นว่าพระพุทธเจ้าเวลาเสด็จไปโปรดใครจะเห็นดวงตาธรรมจากคนผู้นั้นตลอดแม้กระทั่งองคุรีมาร เพราะยุคนั้นทุกคนอยากหลุดพ้นไม่อยากเกิดใหม่กันทั้งนั้น
แต่หาแนวทางไม่พบพอสะกิดก็พ้นเลย พระอรหันต์หรือบุคคลผู้บรรลุนิพพานจะอธิบายตรงๆไม่ได้ต้องอุปมาอุปมัยให้ดู เช่นพระพุทธเจ้าไม่อยากหรือไม่ต้องการเผยแพร่สิ่งที่รู้เพราะนิพพานแล้วความอยากไม่มีแล้วแต่ทำไมในตำราที่เราเรียนบอกอยากไปโปรดปัญจวัคคีเพราะคนเขียนตำราไม่เข้าใจคำว่าอรหันต์ พระอรหันต์จะรู้วันเวลาตายของตัวเองและจะรู้ว่าใครเป็นอรหันต์ด้วยกัน พระพุทธเจ้าก็รู้วันเวลาของตัวเองเช่นกันซึ่งยังเหลืออีก40ปี และรู้จักปัญจวัคคีเป็นอย่างดีจึงเดินทางไปเล่าให้ฟัง(จำได้ไม๊ครับพระพุทธเจ้าแบ่งคนเป็นบัว4เหล่าซึ่งตำราก็แปลว่าแบ่งตามความฉลาดอีกซึ่งไม่ใช่ เป็นการแบ่งตามความอยากหลุดพ้นต่างหากใครกิเลศหนาเช่นพวกเราบ้าหุ้นก็บัวใต้น้ำเลยหละเกิดในพุทธกาลพระพุทธเจ้าก็ไม่เทศให้ฟังเสียเวลานะ) ซึ่งก็ทำให้ปัญจวัคคีหลุดพ้นจริงๆถ้าถามต่อว่าถ้าปัญจวัคคีไม่หลุดพ้นหละพระพุทธเจ้ากลุ้มไม๊ไม่แน่นอนเพราะภาวะอรหันต์ไม่มีความรู้สึกนี้แล้ว ถ้าเราเจอพระอรหันต์แล้วเราไปขอควักลูกตาท่านๆก็ไม่สู้หรอกปล่อยให้เราควักออกมาถามว่าท่านเจ็บไม๊เจ็บแน่นอนเพราะกายนี้หยาบแต่ก็ไม่เดือดร้อนไม่รู้สึกโกรธคนทำและดิ้นทุรนทุราย คนเข้าใจพุทธจริงๆจะไม่เดือดร้อนเลยเมื่อได้ข่าวว่าคนถือพุทธน้อยลงละ คนพุทธเถรวาทต้องการแสวงหาการหลุดพ้นไม่ใช่ต้องการอภินิหารมาทำให้รวยทำให้หายป่วยเป็นศาสนาเดียวที่พระศาสดาสอนว่าอย่าเชื่อท่านเชื่อใครง่ายๆ ในพระไตรปิฎกมีแต่สอนให้ดับทุกข์ให้ได้ไม่มีอิทธิปาฏิหารใดๆทั้งสิ้น ประเภทจับใครหายป่วยหรือศาสดาจะกลับมาเกิดใหม่ไม่มีครับ ถ้าอยากได้ปาฏิหารเชิญไปศาสนาอื่นได้เลย ต้องขออภัยที่ตัวสะกดอาจผิดไปบ้างอายุมากและดึกแล้วด้วยครับ
การมุ่งหวังนิพพาน แสดงว่ายังมี ตัวกู ของกูอยู่ใช่ไหม ใช่ครับและไม่มีทางนิพพานได้แน่นอน(พระอานนท์เคยอยู่ในภาวะนี้ตอนสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งแรก)
ผมไม่เคยบวชภาษาบาลีผมไม่รู้เลยแต่ผมสงสัยตั้งแต่เด็กและสนใจเรื่องพุทธตั้งแต่เด็กเช่นกันคือพระพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์แล้วทำไมอยากเผยแพร่ที่ตรัสรู้มาถ้าอยากก็แสดงว่ายังไม่เป็นอรหันต์ดิตอนอยู่มศ.4ก็37ปีที่แล้วเพื่อนบวชแล้วจะไปจำวัดที่สวนโมขผมอยากไปด้วยมากแต่ไม่มีตังแม่เพื่อนออกตังให้ นับว่าเป็นบุญที่เด็กน้อยอย่างผมได้สนทนาธรรมกับท่านพุทธทาสแต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่เข้าใจว่าสำเร็จอรหันต์คืออะไรเป็นอย่างไรอยู่ดีจนเมื่อ5-6ปีที่แล้วเข้าใจว่าภาวะอรหันต์คือออะไร เข้าใจภาวะนะครับไม่ใช่ดวงตาธรรมเป็นพระอรหันต์ในแนวทางเถรวาทนะครับ
ถ้าทางมหายานภาวะอรหันต์มีอภินิหารมากไป พระสัมมาสัมพุทธเจ้าปูทางให้พวกเราหมดแล้วแค่อริยสัจ4ถ้าคนไหนศึกษาธรรมมาตลอดเข้าใจปั๊บบรรลุอรหันต์ทันที ในพุทธประวัติเราจะเห็นว่าพระพุทธเจ้าเวลาเสด็จไปโปรดใครจะเห็นดวงตาธรรมจากคนผู้นั้นตลอดแม้กระทั่งองคุรีมาร เพราะยุคนั้นทุกคนอยากหลุดพ้นไม่อยากเกิดใหม่กันทั้งนั้น
แต่หาแนวทางไม่พบพอสะกิดก็พ้นเลย พระอรหันต์หรือบุคคลผู้บรรลุนิพพานจะอธิบายตรงๆไม่ได้ต้องอุปมาอุปมัยให้ดู เช่นพระพุทธเจ้าไม่อยากหรือไม่ต้องการเผยแพร่สิ่งที่รู้เพราะนิพพานแล้วความอยากไม่มีแล้วแต่ทำไมในตำราที่เราเรียนบอกอยากไปโปรดปัญจวัคคีเพราะคนเขียนตำราไม่เข้าใจคำว่าอรหันต์ พระอรหันต์จะรู้วันเวลาตายของตัวเองและจะรู้ว่าใครเป็นอรหันต์ด้วยกัน พระพุทธเจ้าก็รู้วันเวลาของตัวเองเช่นกันซึ่งยังเหลืออีก40ปี และรู้จักปัญจวัคคีเป็นอย่างดีจึงเดินทางไปเล่าให้ฟัง(จำได้ไม๊ครับพระพุทธเจ้าแบ่งคนเป็นบัว4เหล่าซึ่งตำราก็แปลว่าแบ่งตามความฉลาดอีกซึ่งไม่ใช่ เป็นการแบ่งตามความอยากหลุดพ้นต่างหากใครกิเลศหนาเช่นพวกเราบ้าหุ้นก็บัวใต้น้ำเลยหละเกิดในพุทธกาลพระพุทธเจ้าก็ไม่เทศให้ฟังเสียเวลานะ) ซึ่งก็ทำให้ปัญจวัคคีหลุดพ้นจริงๆถ้าถามต่อว่าถ้าปัญจวัคคีไม่หลุดพ้นหละพระพุทธเจ้ากลุ้มไม๊ไม่แน่นอนเพราะภาวะอรหันต์ไม่มีความรู้สึกนี้แล้ว ถ้าเราเจอพระอรหันต์แล้วเราไปขอควักลูกตาท่านๆก็ไม่สู้หรอกปล่อยให้เราควักออกมาถามว่าท่านเจ็บไม๊เจ็บแน่นอนเพราะกายนี้หยาบแต่ก็ไม่เดือดร้อนไม่รู้สึกโกรธคนทำและดิ้นทุรนทุราย คนเข้าใจพุทธจริงๆจะไม่เดือดร้อนเลยเมื่อได้ข่าวว่าคนถือพุทธน้อยลงละ คนพุทธเถรวาทต้องการแสวงหาการหลุดพ้นไม่ใช่ต้องการอภินิหารมาทำให้รวยทำให้หายป่วยเป็นศาสนาเดียวที่พระศาสดาสอนว่าอย่าเชื่อท่านเชื่อใครง่ายๆ ในพระไตรปิฎกมีแต่สอนให้ดับทุกข์ให้ได้ไม่มีอิทธิปาฏิหารใดๆทั้งสิ้น ประเภทจับใครหายป่วยหรือศาสดาจะกลับมาเกิดใหม่ไม่มีครับ ถ้าอยากได้ปาฏิหารเชิญไปศาสนาอื่นได้เลย ต้องขออภัยที่ตัวสะกดอาจผิดไปบ้างอายุมากและดึกแล้วด้วยครับ
- peacedev
- Verified User
- โพสต์: 668
- ผู้ติดตาม: 0
Re: การมุ่งหวังนิพพาน แสดงว่ายังมี ตัวกู ของกูอยู่ใช่ไหม
โพสต์ที่ 56
+1000 คับพี่ huaxian
http://peacedev.wordpress.com
"The Quant"
"The Quant"
- peacedev
- Verified User
- โพสต์: 668
- ผู้ติดตาม: 0
Re: การมุ่งหวังนิพพาน แสดงว่ายังมี ตัวกู ของกูอยู่ใช่ไหม
โพสต์ที่ 57
มีที่ไม่เห็นด้วยนิดนึงคับ
ผมว่าพระอรหันต์โดยทั่วไปคงไม่ยอมให้ใครมาทำอันตรายเอาง่าย ๆ เหมือนกันครับ ถึงจะไม่โกรธแต่ก็คงไม่ได้อยู่เฉย ๆ มั้งคับ
ผมว่าพระอรหันต์โดยทั่วไปคงไม่ยอมให้ใครมาทำอันตรายเอาง่าย ๆ เหมือนกันครับ ถึงจะไม่โกรธแต่ก็คงไม่ได้อยู่เฉย ๆ มั้งคับ
http://peacedev.wordpress.com
"The Quant"
"The Quant"
- picatos
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 3227
- ผู้ติดตาม: 4
Re: การมุ่งหวังนิพพาน แสดงว่ายังมี ตัวกู ของกูอยู่ใช่ไหม
โพสต์ที่ 58
อยู่เฉยๆ ครับ... ลองอ่านประวัติของพระโมคคัลลานะ กับ องค์คุลีมาล ตอนตายดูสิครับ...peacedev เขียน:มีที่ไม่เห็นด้วยนิดนึงคับ
ผมว่าพระอรหันต์โดยทั่วไปคงไม่ยอมให้ใครมาทำอันตรายเอาง่าย ๆ เหมือนกันครับ ถึงจะไม่โกรธแต่ก็คงไม่ได้อยู่เฉย ๆ มั้งคับ
วันคืนล่วงไปๆ บัดนี้เรากำลังทำอะไรอยู่?
- peacedev
- Verified User
- โพสต์: 668
- ผู้ติดตาม: 0
Re: การมุ่งหวังนิพพาน แสดงว่ายังมี ตัวกู ของกูอยู่ใช่ไหม
โพสต์ที่ 59
ขอบคุณครับ
http://peacedev.wordpress.com
"The Quant"
"The Quant"
- peacedev
- Verified User
- โพสต์: 668
- ผู้ติดตาม: 0
Re: การมุ่งหวังนิพพาน แสดงว่ายังมี ตัวกู ของกูอยู่ใช่ไหม
โพสต์ที่ 60
กลับมายังยืนความคิดเดิมคับ
พวกโจรใจบาป ได้รับเงินสินบนแล้วพากันไปล้อมจับพระเถระถึงที่พัก แต่พระเถระรู้ตัวและหลบหนีไปได้ถึง 2 ครั้ง ในครั้งที่ 3 พระเถระได้พิจารณาเห็นกรรมเก่า ที่ตนเคยทำไว้ในอดีตชาติติดตามมา และเห็นว่ากรรมเก่านั้นทำอย่างไรก็หนีไม่พ้น จึงยอมให้พวกโจรจับอย่างง่ายดาย และถูกพวกโจรทุบตีจนกระดูกแตกแหลกเหลวไม่มีชิ้นดี พวกโจรแน่ใจว่าท่านตายแล้ว จึงนำร่างของท่านไปทิ้งใน ป่าแห่งหนึ่ง แล้วพากันหลบหนีไป
http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E% ... 9%E0%B8%B0
พวกโจรใจบาป ได้รับเงินสินบนแล้วพากันไปล้อมจับพระเถระถึงที่พัก แต่พระเถระรู้ตัวและหลบหนีไปได้ถึง 2 ครั้ง ในครั้งที่ 3 พระเถระได้พิจารณาเห็นกรรมเก่า ที่ตนเคยทำไว้ในอดีตชาติติดตามมา และเห็นว่ากรรมเก่านั้นทำอย่างไรก็หนีไม่พ้น จึงยอมให้พวกโจรจับอย่างง่ายดาย และถูกพวกโจรทุบตีจนกระดูกแตกแหลกเหลวไม่มีชิ้นดี พวกโจรแน่ใจว่าท่านตายแล้ว จึงนำร่างของท่านไปทิ้งใน ป่าแห่งหนึ่ง แล้วพากันหลบหนีไป
http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E% ... 9%E0%B8%B0
http://peacedev.wordpress.com
"The Quant"
"The Quant"