ชอบครับ...
อ่านแล้วรู้สึกอยากเป็นสมาชิกของกระทู้นี้สุดๆ ฮ่า..

เป็นไงบ้างครับ น้องสายชล สบายดีนะครับsaichon เขียน:"มั่งคั่งด้วยหุ้น ลงทุนอย่างมีคุณค่า"
ชอบครับ...
อ่านแล้วรู้สึกอยากเป็นสมาชิกของกระทู้นี้สุดๆ ฮ่า..
ใช้ครับ หมอพอล มีตัวตนจริงแต่เป็นลูกชายผมครับNevercry.boy เขียน:แรก ๆ ผมนึกว่าหมอชื่อหมอพอล จากเรื่องหมอเจ็บ จะหล่อปานกัน![]()
ผมก็เรียกหมอพอลมาตั้งนาน
ขอบคุณ คุณหมอมุกทั้งคำแนะนำต่าง ๆ รวมถึงเรื่องสุขภาพที่ผ่านมา ทั้ง Galstone และ PVC
เปลี่ยนชื่อกระทู้แล้วดูดีนะครับ วีไอมันเป็นวิถีมากกว่านะสำหรับผมเป็นวิถีวีไอ
สวัสดีครับ พี่หวานกับแววหวานกับแวว เขียน:เราก็หากระทู้เดิมไม่เจอ เปลี่ยนชื่อใหม่นี่เอง![]()
ชอบชื่อใหม่นี้ค่ะ
หวัดดีค่ะ คุณหมอมุขหวานกับแวว เขียน:Paul VI เขียน:สวัสดีครับ พี่หวานกับแววหวานกับแวว เขียน:เราก็หากระทู้เดิมไม่เจอ เปลี่ยนชื่อใหม่นี่เอง![]()
ชอบชื่อใหม่นี้ค่ะ
ผมเพิ่งทราบนี่ล่ะครับ. ว่าพี่เป็นหมอด้วย
ผมจำได้ว่าพี่กับผมเคยทักทายกันที่ไหนซักแห่ง ไม่ในงานสัมมนาก็ใน board thaivi นี้ล่ะ
ลูกพี่ตอนนี้คงโตหมดแล้วสิครับ
ปล พอจะมีชื่อเล่นให้ผมเรียกได้ไหมครับ
หวานกับแวว เขียน:กดไรผิดไม่รู้ พิมพ์ไว้หายหมดเลย..
หวัดดีค่ะ คุณหมอมุข
ขอบคุณที่จำได้ พี่เคยมาตอบเรื่องชุดผ่าตัดแบบ disposable ในกระทู้นี้น่ะค่ะ
ติดตามการให้ความรู้ของคุณหมอมุขมาสักพักแล้วค่ะ ด้วยความชื่นชม ขอบคุณที่แบ่งปันสิ่งดีๆนะคะ
ลูกสาวคนโต เค้ากำลังสอบเข้ามหาวิทยาลัยค่ะ แม่บอกไว้ว่าถ้าไม่ได้แพทย์ก็ดีไปอย่างนะลูก หนูจะได้ไม่เหนื่อยมาก และมีเวลาค่อยๆศึกษาเรื่องการลงทุนแบบเน้นคุณค่าเสริมไปด้วย 555
ปล. เรียกพี่หมออ้อเหมือนคุณนุชก็ได้ค่ะ
ดร.วรศักดิ์ ทุมมานนท์ มือ1ด้านบัญชีที่เกี่ยวกับการลงทุน อธิบายให้ฟังสำหรับผู้ที่ไม่ได้เรียนบัญชีมาแต่อยากจะเข้าใจบัญชี งบการเงินจะต้องดูตรงไหน ยังไงเพื่อที่จะมาลงทุนในหุ้น ซึ่งเป็นเครื่องมือที่สำคัญที่ช่วยลดความเหลื่อมล้ำระหว่างนักลงทุนภายนอก ที่ไม่ได้มีโอกาสเข้าไปบริหารงาน อย่างน้อยก็มีอะไรมาบอกเราทุกๆไตรมาศว่าผลการดำเนินงาน / ฐานะการเงิน / บริษัทมีกระแสเงินสดเข้าออกในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมาเป็นยังไงเพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการตัดสินใจลงทุน
งบการเงินมีส่วนประกอบสำคัญ 3 ส่วนที่ต้องสนใจคือ
1. ผลการดำเนินงาน ก็คือ งบกำไร-ขาดทุน
2. ฐานะทางการเงิน ก็ดูที่ งบดุล
3. กระแสเงินสด ก็คือ งบกระแสเงินสด
แต่ส่วนใหญ่พอเอาเข้าจริง ๆ นักลงทุนไม่ค่อยสนใจงบดุลและงบกระแสเงินสด ทุกคนก็ดูแค่บรรทัดสุดท้ายของงบกำไร-ขาดทุนเท่านั้นที่ พอเค้าบอกว่าปีนี้กำไรดีขึ้นก็แปลว่าบริษัทก็คงจะดีขึ้นไปด้วย ทั้ง ๆ ที่ในความเป็นจริงแล้วบางทีก็เป็นกำไรที่เพิ่มขึ้นมาอย่างผิดปกติ
เช่น มีการไปจัดตั้งกองทุนอสังหาริมทรัพย์ขึ้นมาเพื่อเป็นเครื่องมือในการเพิ่ม ช่องทางในการกู้ยืมเงินดี ๆ นี่เอง คือแทนที่จะไปหาแบ็งค์ซึ่งดอกเบี้ยก็สูงกว่าจะผ่านพิธีการทำเรื่องขอกู้จบก็นานเลยทำให้ระยะหลังช่วง 4 ปีที่ผ่านมาหลาย ๆ บริษัทพออยากขยายตัวก็ใช้วิธีนำเอาทรัพย์สินไม่ว่าจะเป็นสัญญาเช่า
หรือตัวอาคารและที่ดินขายเข้าสู่กองทุน แล้วก็ตั้งเงื่อนไขว่าเจ้าของเดิมจะเข้าไปถือหุ้น 30 %แต่ จริง ๆ แล้วก็เป็นที่รู้กันว่าไม่ได้เป็นการขายขาดในหลายๆสัญญาโดยทำการซ่อน เงื่อนไขว่าให้เจ้าของเดิมเป็นผู้เข้าไปบริหารทรัพย์สินที่ขายได้
บางทีก็ตกลงในสัญญาว่าทรัพย์สินที่ขายไปหากนำไปปล่อยให้เช่าแล้วได้ค่าเช่าต่ำกว่าที่ตกลงไว้ในสัญญาทางบริษัทผู้ขายจะชดใช้ส่วนต่างให้แต่หากปล่อยเช่าได้สูงกว่าในสัญญาส่วนต่างที่เพิ่มขึ้นจะต้องจ่ายคืนให้กับบริษัทผู้ขาย
กำลังซื้อโค้งท้ายเข้าขั้นวิกฤติ ธุรกิจทำใจเร่งปรับแผนอัดแคมเปญ โปรโมชันรับมือ ทั้งซื้อ 1 แถม 1 ลดราคาพุ่งสูงถึง 50% เดอะ มอลล์/เอ็มเค/คาโอ ชี้ชุมนุมการเมืองเริ่มส่งสัญญาณรั้งมู้ดการจับจ่าย วอนจบเร็ว ขณะที่พรานทะเลหวั่นกำลังซื้อทรุดต่อ แนะจับตาภาคส่งออกกระทบเศรษฐกิจประเทศ
นายศุภวุฒิ ไชยประสิทธิ์กุล ผู้จัดการใหญ่บริหารสินค้าซูเปอร์มาร์เก็ต บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด ผู้บริหารโฮม เฟรช มาร์ท และกูร์เม่ต์ มาร์เก็ต เปิดเผยว่า กำลังซื้อของผู้บริโภคชะลอตัวลงอย่างเห็นได้ชัดในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา เห็นได้จากการจับจ่ายที่ลดลง ทั้งในกลุ่มสินค้าอุปโภค บริโภค และสินค้าเพื่อสุขภาพและความงาม ส่งผลให้ผู้ประกอบการต้องจัดโปรโมชันเพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นซื้อ 1 แถม 1 การลดราคาสินค้า ซึ่งปีนี้มีการแข่งกันลดราคาสินค้ามากกว่า 50% ถือเป็นตัวเลขที่สูง ทำให้ผู้ประกอบการต้องทำงานหนักขึ้น โดยเฉพาะในปีหน้า
ขณะที่ภาพรวมของธุรกิจซูเปอร์มาร์เก็ตในช่วง 10 เดือนที่ผ่านมามีการเติบโตเป็นที่น่าพอใจ และคาดว่าสิ้นปีจะมีรายได้ 1 หมื่นล้านบาท เติบโต 10% ตรงตามเป้าหมายที่วางไว้ แม้ว่าขณะนี้จะมีปัจจัยลบทางการเมืองมากระทบส่งผลให้ผู้บริโภคชะลอกำลังซื้อ
ด้านนายฤทธิ์ ธีระโกเมน ประธานกรรมการ บริษัท เอ็มเค เรสโตรองต์ กล่าวว่า การชุมนุมทางการเมืองที่เกิดขึ้นในขณะนี้น่าจะส่งผลเสียในด้านอารมณ์ของผู้บริโภคมากกว่า ซึ่งเบื้องต้นมองว่าไม่น่าจะมีความรุนแรง และส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวมมากนัก แต่กำลังซื้อของผู้บริโภคที่ลดลง ส่งผลให้จำนวนลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการในร้านเอ็มเค สุกี้ลดลงตามไปด้วย ขณะที่ยอดการใช้จ่ายยังคงอยู่ในระดับเดิมเฉลี่ยที่ประมาณ 280 บาทต่อคน
"บริษัทต้องปรับแผนการตลาด เพื่อกระตุ้นยอดขายให้เพิ่มมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นแคมเปญแจกทอง ลุ้นรวยแสนทุกวัน ลุ้นรวยล้านทุกเดือน จากเดิมจะจัดกิจกรรมลุ้นโชคกินฟรี"
อย่างไรก็ดี เอ็มเคฯ เองเคยผ่านวิกฤติต่างๆ มามากและสามารถผ่านไปได้ด้วยดีทุกครั้ง ทำให้แผนการดำเนินธุรกิจของบริษัทยังคงเดินหน้าตามแผนเดิมที่วางไว้ โดยในปีหน้าบริษัทมีแผนขยายสาขาใหม่เพิ่มขึ้นอีก 50-60 สาขาเช่นเดียวกับปีนี้ แม้ปีนี้จะเลื่อนการเปิดสาขาไป 4-5 สาขา แต่สาเหตุเพราะศูนย์การค้าซึ่งเป็นเจ้าของพื้นที่เลื่อนการเปิดให้บริการ ไม่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ทางการเมืองแต่อย่างใด
นายฤทธิ์ยังกล่าวอีกว่า บริษัทอยู่ระหว่างการเจรจาซื้อกิจการธุรกิจที่สามารถนำมาต่อยอดธุรกิจได้อีก 2-3 ราย เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจร้านอาหาร จากปัจจุบันบริษัทมีธุรกิจร้านอาหารในเครือเปิดให้บริการ 4 แบรนด์ รวมกว่า 500 สาขา ทั่วประเทศ ซึ่งแบรนด์ที่มีจำนวนสาขาเปิดให้บริการมากที่สุด ได้แก่ เอ็มเค สุกี้ มีจำนวนสาขากว่า 400 สาขา ร้านยาโยอิกว่า 100 สาขา ส่วนอีก 2 แบรนด์ คือ ร้านมิยาซากิและร้านราเมน ฮากาตะ โดยในปีนี้บริษัทคาดว่าจะมีรายได้ 1.3 หมื่นล้านบาท เติบโต 10%
แหล่งข่าวระดับสูงจากบริษัท คาโอคอมเมอร์เชียล (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ภาพรวมของไตรมาส 4 ปีนี้ ยังมีปัจจัยหลายอย่างที่ส่งผลกระทบทำให้กำลังซื้อของผู้บริโภคชะลอตัวต่อเนื่อง ขณะที่ในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา กำลังซื้อสินค้าของผู้บริโภคในซูเปอร์มาร์เก็ตลดลงอย่างเห็นได้ชัด สาเหตุหลักมาจากความไม่แน่ใจ ทำให้ผู้บริโภคชะลอการจับจ่ายและเลือกที่จะออมเงิน อย่างไรก็ดีต้องการให้สถานการณ์ต่างๆ คลี่คลายและจบลงได้ภายในปีนี้ ซึ่งถ้าปีนี้ผ่านพ้นไป เชื่อว่ากำลังจะกลับมาดีในปีหน้าอย่างแน่นอน
"ผู้บริโภคตัดสินใจช้ากว่าปกติ แต่แม้ว่ากำลังซื้อจะชะลอตัว โดยภาพรวมบริษัทยังคาดว่าจะเติบโต 10-11% ในปีนี้ และในปีหน้าเชื่อว่าจะยังเติบโตเป็นตัวเลข 2 หลัก แม้จะมีหลายปัจจัยทำให้ประเมินได้ยาก แต่บริษัทเตรียมแผนการทำตลาดไว้แล้ว ทั้งการออกสินค้าใหม่ เช่น บิโอเร เมน ที่เตรียมออกแคมเปญรับกระแสฟุตบอลโลก และการทำกลยุทธ์พาร์ตเนอร์ชิพ เพื่อสร้างความน่าสนใจ"
ขณะที่นายอนุรัตน์ โค้วคาสัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พรานทะเล มาร์เก็ตติ้ง จำกัด กล่าวว่า กำลังซื้อในไตรมาส 4 เป็นสิ่งที่น่าห่วงมากกว่าสถานการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้นในขณะนี้ เนื่องจากการชุมนุมครั้งนี้ถือเป็นรูปแบบของการเมืองสมัยใหม่ที่ไม่มีความรุนแรง อีกสิ่งที่น่ากังวลคือการส่งออก ซึ่งเป็นธุรกิจที่มีมูลค่าสูงถึง 70% ของจีดีพีของประเทศ ทำให้ต้องติดตามว่าจีดีพีปีหน้าจะเป็นเช่นไร หากเป็นไปตามที่รัฐบาลคาดการณ์ว่าจะเติบโตได้ 5-10% น่าจะทำให้ภาพรวมเศรษฐกิจของไทยกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง
อย่างไรก็ดี บริษัทเองได้ปรับกลยุทธ์เพื่อให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงสินค้าได้ง่ายขึ้นผ่านการทำโปรโมชันลดราคาสินค้า และล่าสุดได้เข้าร่วมแคมเปญ "รวมพลังร่วมใจ ช่วยคนไทยลดค่าครองชีพ" กับห้างเทสโก้โลตัส ทำโปรโมชันซื้อข้าวต้ม 3 กล่อง ในราคา 100 บาท
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 33 ฉบับที่ 2,897 วันที่ 17 - 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556
"วิเชษฐ์" รมว.กระทรวงทรัพย์ รื้อระบบไดโนเสาร์อีไอเอ ผ่าทางตันเพิ่มปริมาณบริษัทที่ปรึกษารับทำรายงานอีไอเอ แค่มีคุณสมบัติด้านประเมินผลกระทบสวล. ได้ไลเซนส์ สามารถรับงานได้เหมือนบริษัทรับตรวจสอบบัญชี-ทนายความ เผยปัจจุบันมีแค่ 20 บริษัท ไม่สอดรับปริมาณงาน ส่วนกฎใหม่อีไอเอ คอนโดฯสูงไม่เกิน 8 ชั้น ไม่เกินหมื่นตร.ม.มีเฮ ไม่ต้องทำรายงาน รอครม.ไฟเขียวบังคับใช้ธ.ค.นี้ สมาคมคอนโดฯขานรับลดรายจ่าย-เวลา
วิเชษฐ์ เกษมทองศรี นายวิเชษฐ์ เกษมทองศรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เปิดเผย "ฐานเศรษฐกิจ" ว่าจากกรณีปัญหาบริษัทที่ปรึกษารับทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมหรืออีไอเอที่ปัจจุบันจำนวนบริษัทมีจำนวนไม่สอดรับกับปริมาณโครงการคอนโดมิเนียมที่ยื่นขออนุญาตทำอีไอเอทั่วประเทศ ดังนั้นจึงมองว่าควรจะเพิ่มปริมาณบริษัทที่ปรึกษารับทำรายงานอีไอเอ ที่ปัจจุบันมีเพียง 20 รายเท่านั้น ขณะที่จำนวนโครงการคอนโดมิเนียมมีนับ 100 รายทั่วประเทศ ส่งผลทำให้เกิดความล่าช้า
ขณะเดียวกันมีผู้ประกอบการร้องเรียนเข้ามา ซึ่งได้มอบให้สำนักนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหรือ (สผ.)ดำเนินการว่าจะกำหนดเกณฑ์เพิ่มปริมาณบริษัทที่ปรึกษาฯให้มากขึ้น โดยหลักการในเบื้องต้นจะเปิดกว้าง เหมือนกับบริษัทรับว่าความหรือทนายความ บริษัทรับตรวจสอบบัญชี ฯลฯ ที่สามารถรับงานได้หลายบริษัทไม่จำกัดหรือ ได้ไลเซนส์แล้วต้องผูกขาดรายใดรายหนึ่ง
ดังนั้นแนวทางแก้ไข หากบริษัทดังกล่าวมีความเชี่ยวชาญด้านประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม และได้ไลเซนส์ก็สามารถรับงานทำอีไอเอได้หลายโครงการจากเดิมที่มีข้อจำกัดบริษัทมีน้อยเพราะเนื้องานค่อนข้างยาก ทำให้เกิดข้อจำกัดด้านผู้เชี่ยวชาญที่ชำนาญงานเฉพาะด้าน ทั้งนี้หากทำถูกทุกขั้นตอน ตรวจเอกสารเสร็จคณะกรรมการผู้ชำนาญการพิจารณาผ่านสิ่งแวดล้อมก็ถือว่าจบไม่ควรผูกขาดบริษัทใดบริษัทหนึ่ง
นายวิเชษฐ์ยังกล่าวถึงความคืบหน้าเกี่ยวกับร่างแก้ไขหลักเกณฑ์การพิจารณาอีไอเอ ว่าขณะนี้เสร็จเรียบร้อยแล้วและเตรียมเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณา จากนั้นจะนำเข้าสู่คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติพิจารณาต่อไป คาดว่าจะประกาศใช้ได้ภายในเดือนธันวาคม 2556 นี้
ทั้งนี้สาระสำคัญ โดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 46วรรค 3 แห่งพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ.2535 กำหนดให้อาคารอยู่อาศัย ประเภทคอนโดมิเนียม โรงแรม ความสูงน้อยกว่า 23 เมตร 8 ชั้น และพื้นที่อาคารรวม น้อยกว่าหมื่นตารางเมตรสามารถขอรับการยกเว้นไม่ต้องทำอีไอเอ หรือไม่ต้องจ้างบริษัทที่ปรึกษา ทำรายงานอีไอเอ แต่จะต้องทำตามมาตรการที่ สผ.กำหนดหรือโค้ด เช่น พื้นที่สีเขียวกี่ตารางเมตร มีบ่อบำบัดน้ำเสียหรือไม่ เป็นต้น โดยที่ผ่านมามีข้อครหามากทั้งในเรื่องระยะเวลาที่ดำเนินการ ความล่าช้า ไม่โปร่งใสเรื่องระบบของอีไอเอ เมื่อโครงการประเภทและขนาดดังกล่าวได้รับการยกเว้น ส่งผลให้ ระยะเวลาและเนื้องานลดลง 30%
สำหรับอาคารขนาดตั้งแต่หมื่นตารางเมตรขึ้นไป สูงเกิน 23 เมตร หรือเกิน 8 ชั้น จะต้องทำอีไอเอ แต่สิ่งที่ดำเนินการคือ การลดขั้นตอน ให้เหลือเพียง 98 วัน จาก 105 วัน ซึ่งมี 4 ขั้นตอน คือขั้นตอนที่ 1.ตรวจสอบเอกสารเบื้องต้นจาก 15วันเหลือ 7 วันทำการ ขั้นตอนที่ 2 จัดทำวาระเสนอคณะกรรมการผู้ชำนาญการ (คชก.) 15 วัน ขั้นตอนนี้ลดไม่ได้เพราะต้องออกไปตรวจสอบพื้นที่โครงการ จัดทำวาระต่างๆ มองว่าระยะเวลาเหมาะสมแล้ว ขั้นตอนที่ 3 ขั้นพิจารณาอีไอเอของคชก. 45 วัน ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนที่ถูกกล่าวหาก็มีคือใช้เวลานานเกิน 45 วัน เพราะมีการเรียกเอกสารหลายครั้ง หรือเรียกแล้วเรียกอีก โดยจะแก้ด้วยการกำหนดให้เปิดประเด็นเรียกเอกสารครั้งเดียว เพื่อแก้ปัญหาดึงเรื่องและทุจริต เช่น ขาดเอกสารพื้นที่สีเขียว ขาดเรื่องน้ำทิ้งคอนโดฯ รวม 2 เรื่องก็เรียกครั้งเดียว ที่ผ่านมามักเรียก 2 ครั้ง เปิดประเด็นครั้งเดียวจะลดเวลาลงทุนที ส่วนขั้นตอนที่ 4 ใช้เวลา 30 วัน ซึ่งเป็นขั้นตอนการพิจารณาอีไอเอของคชก. ครั้งที่ 2 ถือว่าสิ้นสุดการพิจารณาให้ผ่านอีไอเอ รวมแล้วระยะเวลาจะลดลงไปไม่ถึง 100 วัน ส่วนการกระจายอำนาจให้ท้องถิ่นพิจารณาอีไอเอ พบว่าไม่มีความจำเป็น แต่จะเพิ่มช่องทางทุจริต ที่สำคัญโครงการส่วนใหญ่อยู่ในกทม.
ต่อเรื่องนี้นายธำรง ปัญญาสกุลวงค์ นายกสมาคมอาคารชุดไทย กล่าวว่า เป็นเรื่องที่ดีทั้งเรื่องการแก้ปัญหาบริษัทที่ปรึกษาที่มีจำกัด ที่สามารถเปิดให้รับงานมากขึ้น ขณะเดียวกันเห็นด้วยกับการลดขั้นตอนอีไอเอโดยเฉพาะคอนโดฯ ขนาดไม่เกินหมื่นตารางเมตร สูงไม่เกิน 8 ชั้นไม่ต้องทำรายงานอีไอเอ เพียงปฏิบัติตามโค้ดก็เพียงพอแล้ว ส่งผลให้ต้นทุนลดลงมาก
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 33 ฉบับที่ 2,897 วันที่ 17 - 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556
ที่คุณ NB หวังไว้ ก็เป็นสิ่งที่่ผมและใครหลายๆคนก็หวังไว้นะครับNevercry.boy เขียน:ให้ผมเสียภาษีเท่าเดิมหรือมากกว่านี้ผมยอมนะ ผมขอแค่ 2 อย่าง
1. รัฐสวัสดิการดีขึ้น คุณภาพการศึกษา การรักษาพยาบาลใกล้เคียงกัน
2. กระจายโอกาสให้คนจนมากขึ้นจากเงินภาษีของผมนี่หล่ะ
ขอแค่นี้
ต้องขอโทษด้วยจริงๆครับ คือว่าตอนนี้ผมก็จำไม่ได้แล้วว่ามีสื่อถึงอะไรPaul VI เขียน:ยินดีครับReRedrum เขียน:ขอบคุณสำหรับข้อมูลดีๆครับ
น้อง ReRedrum ชื่อนี้สื่อถึงอะไรครับ ขอเป็นความรู้หน่อยครับ
ยินดีครับ มีโอกาส จะเอาข้อมูล ข่าวสารมาโพสต์ ยินดีเลยนะครับReRedrum เขียน: ต้องขอโทษด้วยจริงๆครับ คือว่าตอนนี้ผมก็จำไม่ได้แล้วว่ามีสื่อถึงอะไรเพราะว่าใช้มาตั้งนานแล้วครับชื่อนี้
ปล. ตอนนี้กำลังไล่อ่านโพสในกระทู้นี้อยู่นะครับ อ่านแล้วได้ข้อคิด ข้อมูลดีมากมายเลย ขอบคุณครับ
อาทิตย์ 1 ธันวาคม 2556
14.00 น. เป็นต้นไป
ณ ห้อง 313 อาคาร 30 ปี (ตึก 8 ชั้น) คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
(อยู่ใกล้กับหอนาฬิกา ... )
บรรยายพิเศษ โดย คุณหมอ Paul VI อุปนายกสมาคมฯ
ในหัวข้อ "แก่นของการลงทุนแบบเน้นคุณค่า"
พร้อมกับการนำเสนอข้อมูลของบริษัทจากนักลงทุนหน้าใหม่ และค่อนข้างใหม่
เพื่อสร้างประสบการณ์ในการวิเคราะห์บริษัท และรับฟังความคิดเห็นจากคนหน้าเก่าๆ
กำหนดเลิกประมาณ 17.00 น.
แล้วไปเลี้ยงอาหารเย็นขอบคุณวิทยากร
ไม่มีค่าใช้จ่ายในการลงทะเบียนใดๆ
(งานเลี้ยงอาหารเย็น หารยาวเฉพาะคนที่ร่วมทานอาหาร)
ใครสนใจเข้าร่วมงาน เชิญลงชื่อได้ ... พร้อมระบุด้วยว่าจะไปทานอาหารเย็นด้วยหรือไม่
เพื่อจะได้เตรียมสถานที่ให้เหมาะสมกับจำนวนคน
ในระยะหลังประมาณ 4-5 ปี ที่ผ่านมาหรือตั้งแต่สิ้นปี 2551 ในวิกฤติเศรษฐกิจของสหรัฐที่ทำให้ดัชนีหุ้นไทยตกต่ำลงเหลือเพียง 450 จุด มาจนถึงปัจจุบันที่ดัชนีหุ้นไทยปรับเพิ่มขึ้นมาเป็นประมาณ 1400 จุด สิ่งหนึ่งที่ผมสังเกตเห็นก็คือ นักลงทุนโดยเฉพาะที่เป็น “VI” จำนวนหนึ่งร่ำรวยขึ้นมากจนสามารถลาออกจากการเป็นพนักงานที่ทำงานกินเงินเดือนในกิจการธุรกิจหรือบริษัทต่าง ๆ และหันมาเป็นนักลงทุน “เต็มตัว” หรือจะเรียกว่าเป็น “นักลงทุนอาชีพ” ก็ไม่ผิด เหตุผลที่พวกเขาลาออกมาลงทุนเต็มตัวนั้นก็เพราะว่าเขาจะได้มีเวลาศึกษาและค้นหาหุ้นที่น่าลงทุนซึ่งจำเป็นที่จะต้องใช้เวลามากและบ่อย ๆ ต้องใช้เวลาในเวลางาน เช่น การไป Visit Company เยี่ยมชมบริษัท หรือไปพบผู้บริหารในงาน Opportunity Day ซึ่งจัดในเวลางาน
การทุ่มเทเวลาให้กับการศึกษาและค้นหาหุ้นลงทุนนั้น นักลงทุน “ผู้มุ่งมั่น” ที่กล่าวถึงนั้นเชื่อมั่นว่ามันจะทำให้พวกเขาลงทุนได้ดีขึ้น สามารถสร้างผลตอบแทนเพิ่มขึ้น “คุ้ม” กับรายได้ที่จะเสียไปจากการทำงาน ยกตัวอย่างเช่น ถ้ามีเงินในพอร์ต 10 ล้านบาท และถ้าเขาทำผลตอบแทนเพิ่มขึ้นได้จากปกติปีละ 5-10% ซึ่งเขาคิดว่าน่าจะทำได้ “ไม่ยาก” เขาก็จะได้เงินเพิ่มขึ้นปีละ 5 แสน ถึง 1 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าเงินเดือนทั้งปีของเขา ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจลาออกจากงาน และมุ่งมั่นสู่ “ดวงดาว” นั่นก็คือ รวยเป็นเศรษฐีจากตลาดหุ้น และนั่นก็คือนักลงทุนที่ Aggressive หรือกล้าหาญและมั่นใจสุด ๆ อาจจะ เนื่องจากผลงานที่ทำมาในช่วงหลายปีที่ผ่านมานั้นโดดเด่นมาก ๆ ผลตอบแทนทำได้ปีละอาจจะเป็นร้อยเปอร์เซ็นต์โดยเฉลี่ย
เช่นเดียวกัน นักลงทุนรุ่นหนุ่มสาวที่เพิ่งจะจบการศึกษาหลายคนที่พ่อแม่มีเงินมากและอาจจะไม่ได้มีธุรกิจใหญ่พอที่จะต้องให้ลูกมาดูแลธุรกิจหรือไม่อยากให้ลูกเข้ามาทำงานในธุรกิจของตนเอง อาจจะรู้สึกว่าการลงทุนโดยเฉพาะแบบที่เป็น “VI”นั้น ก็เป็น “การทำธุรกิจ” เหมือนกัน ดังนั้น พวกเขาก็เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นตั้งแต่เรียนจบใหม่ ๆ โดยการขอเงินพ่อแม่มาลงทุน การลงทุนในช่วงแรกด้วยเงินไม่มากอาจจะประสบความสำเร็จได้เป็นอย่างดีทำให้เกิดความมั่นใจทั้งตัวเองและพ่อแม่ ดังนั้น เขาจึงได้เงินลงทุนเพิ่มอย่างมีนัยสำคัญ ด้วย “ฝีมือ” และอาจจะด้วยโชคหรืออะไรก็ตามแต่
ผลตอบแทนที่ได้ก็ยังสูงลิ่วทำให้พอร์ตของเขาโตขึ้นเป็นสิบล้านบาทขึ้นไปในเวลาอันสั้น ดังนั้น เขาก็เลิกทำงานอย่างอื่นทั้งหมดและหันมาเป็นนักลงทุนอาชีพเต็มตัว ลึก ๆ แล้วเขาอาจจะกำลังคิดถึง วอเร็น บัฟเฟตต์ ที่แทบไม่เคยทำงานประจำอย่างอื่นหลังจากเรียนจบ แต่ประสบความสำเร็จระดับโลก ว่าที่จริงเขาอาจจะคิดว่าเขาเก่งไม่แพ้บัฟเฟตต์เลย เพราะผลตอบแทนของเขาที่ผ่านมานั้นสูงกว่าสถิติของบัฟเฟตต์มากแม้ในช่วงที่บัฟเฟตต์ยังมีพอร์ตเล็ก ๆ ในช่วงต้นของชีวิตการลงทุน
ประเด็นที่ผมจะพูดต่อไปก็คือ เราควรที่จะเลิกทำงานประจำเป็นคนกินเงินเดือนแล้วมาลงทุน เป็นนักลงทุนอาชีพเต็มตัวไหม? และจะเลิกทำงานเมื่อไร? หรือสำหรับคนที่พ่อแม่มีเงินมากพอ ควรหรือไม่ที่เราจะเริ่มชีวิตการลงทุนตั้งแต่เรียนจบ หรือเราควรที่จะทำงานไป-ลงทุนไป?
ผมเองอยากจะเริ่มที่เรื่องของการทำงานประจำหรืองานที่ต้อง “ใช้แรง” เสียก่อนว่าทุกคนควรที่จะต้องทำเพื่อเป็น “ประสบการณ์ของชีวิต” การทำงานใช้แรงหรือทำงานประจำในหน่วยงานหรือการทำงานที่ต้องประสานเกี่ยวข้องกับคนอื่นนั้น จะช่วยให้เราเป็นคนที่ “สมบูรณ์” ขึ้น มันไม่ใช่เรื่องของการหาเงินเพียงอย่างเดียว แต่มันเป็นเรื่องของสังคมที่คนควรจะมีเพื่อนที่ทำงานเกี่ยวข้องกันซึ่งจะทำให้เราสามารถใช้ชีวิตในสังคมที่ดีขึ้น เข้าใจชีวิตของคนอื่นได้ดีขึ้น ซึ่งก็อาจจะส่งผลให้การลงทุนในอนาคตของเราดีขึ้นโดยที่เราไม่รู้ตัว ดังนั้น ผมคิดว่าการเริ่มต้นเป็นนักลงทุนเต็มตัวตั้งแต่อายุยังน้อยและยังไม่ได้ผ่านการทำงานแบบใช้แรงมานานพอนั้น เป็นสิ่งที่ไม่เหมาะไม่ควร วอเร็น บัฟเฟตต์ เองนั้น ทำงานใช้แรงมานานหลายปีทีเดียวตั้งแต่เรียนชั้นประถมและมัธยมรวมถึงช่วงจบมหาวิทยาลัยไปอีกไม่น้อยกว่า 3-4 ปีในฐานะนักวิเคราะห์หุ้นก่อนที่จะเริ่มชีวิตการลงทุนอาชีพ ดังนั้น คนที่เรียนจบใหม่ ๆ จึงควรที่จะต้องทำงานไปด้วยถ้าอยากจะลงทุน คนที่ไม่ทำงานเลยเอาแต่จะลงทุนเพียงอย่างเดียวนั้น บางทีอาจจะเป็น “ข้ออ้าง” ของคนที่ “ขี้เกียจ” ทำงานที่ต้องใช้แรงงานก็ได้ โดยเฉพาะถ้าเขาลงทุนโดยไม่ได้ใช้เวลาศึกษาอะไรมากนัก
สำหรับคนที่ไม่ได้มีพ่อแม่รวยและต้องพึ่งตนเองเป็นหลักนั้น การทำงานกินเงินเดือนหรือการใช้แรงทำงานนั้นเป็นสิ่งที่จำเป็นและสำคัญมาก รายได้จากการทำงานนั้นเป็นรายได้ที่สม่ำเสมอและมักจะเพิ่มขึ้นค่อนข้างเร็วโดยเฉพาะคนที่มีความสามารถและทุ่มเทให้กับการทำงาน และถ้าโชคดีได้งานที่ชอบ การทำงานก็ไม่ได้เป็นภาระที่หนักอกหรือต้อง “ฝืนใจทำ” มันก็อาจจะเป็นกิจกรรมที่ทำแล้ว “มีความสุข” ว่าที่จริงในยุคสมัยปัจจุบันและในอนาคต การทำงานมีโอกาสที่จะทำให้เรา “ร่ำรวย” ได้เหมือนกัน ซึ่งต่างจากสมัยก่อนที่คนทำงานกินเงินเดือนนั้น “ไม่มีโอกาสรวย” แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร การทำงานนั้น เป็นกิจกรรมที่ดีเยี่ยมในแง่ของสังคมและบ่อยครั้งในแง่ของการทำเงิน เหนือสิ่งอื่นใด มันเป็นการได้ผลตอบแทนที่มักจะมีความเสี่ยงต่ำ ดังนั้น ก่อนที่เราจะละทิ้งมัน เราควรจะพิจารณาให้รอบคอบจริง ๆ
ข้อเสียของการทำงานสำหรับนักลงทุนก็คือ พวกเขาคิดว่ามันทำให้เขาไม่มีเวลาไปวิเคราะห์หุ้นเท่าที่ควรและเขา “เชื่อว่า” มันทำให้ผลตอบแทนจากการลงทุนน้อยลงไม่ต่ำกว่า 5% หรือ 10% หรือหลายสิบเปอร์เซ็นต์ต่อปี แต่ในประเด็นนี้ผมเองคิดว่าสิ่งที่พวกเขาเชื่อนั้น อาจจะไม่จริง เหตุผลก็คือ ในสมัยนี้เรามีเทคโนโลยีที่สามารถบันทึกข้อมูลต่าง ๆ เพื่อเอามาศึกษานอกเวลาได้อย่างสะดวก การไปเยี่ยมบริษัทเองนั้น ก็อาจจะไม่ได้เพิ่มคุณค่าของการวิเคราะห์มากนัก ดังนั้น ความจำเป็นต้องลาออกจากงานเพื่อมาศึกษาหุ้นจึงมีความจำเป็นน้อยโดยเฉพาะถ้าเราไม่ได้มีพอร์ตใหญ่โตมากมายอะไรนัก
ส่วนตัวผมเองคิดว่ากลยุทธ์ที่ดีกว่าก็คือ เราควรที่จะทำงานไป-ลงทุนไปเรื่อย ๆ การทำงานนั้นเป็นขั้นตอนแรกที่จะสะสมเงินทุนเริ่มต้นที่จะต้องนำไปลงทุนซื้อหุ้นในตลาด รายได้ที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จากการทำงานจะทำให้เรามีเงินเติมลงไปในพอร์ตเรื่อย ๆ ทำให้พอร์ตโตเร็วขึ้นซึ่งในที่สุดก็จะทำให้เรามีอิสรภาพทางการเงิน นั่นก็คือ คร่าว ๆ พอร์ตควรจะใหญ่เป็นประมาณอย่างน้อย 200 เท่าของรายจ่ายประจำเดือนโดยเฉลี่ยซึ่งจะทำให้เราสามารถเลิกทำงานประจำได้โดยไม่เดือดร้อน อย่างไรก็ตาม เรายังไม่ควรเลิกทำงาน เหตุผลก็คือ รายจ่ายในอนาคตของเราอาจจะเพิ่มขึ้นมาก อาจจะเนื่องจากการแต่งงาน มีลูก เจ็บป่วยรุนแรง และเหตุการณ์ไม่คาดคิดอื่น ๆ รวมถึงการที่หุ้นอาจจะตกลงมารุนแรงทำให้ความมั่งคั่งที่เหลืออยู่ไม่พอใช้จ่ายอย่างสบายใจ การทำงานต่อไปจะทำให้เรามี “Margin of Safety” หรือความปลอดภัยเพิ่มขึ้นในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าว
การที่เราจะเลิกทำงานและหันมาลงทุนเพียงอย่างเดียวนั้น ผมคิดว่าเราควรยึดหลักว่า หนึ่ง เราชอบทำงานหรือไม่ ถ้าชอบ เราก็ไม่จำเป็นต้องเลิกเลย ทำไปลงทุนไป แต่ถ้าไม่ได้รักหรือชอบงานที่ทำ เราก็ต้องคำนึงถึงว่ามันทำเงินให้เราคุ้มค่าหรือเพียงพอหรือไม่ที่เราจะทำต่อ ผมเองคิดว่าตราบใดที่ผลตอบแทนจากการทำงานยังสูงถึง 20-30% ของรายได้จากการลงทุนต่อปี ผมก็เห็นว่ามันยังคุ้มค่าที่จะทำ เพราะการทำงานประจำด้วยจะทำให้พอร์ตหรือเงินเราโตเร็วขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ แต่หากว่ามันน้อยกว่านั้นแล้ว การเลิกทำงานและลงทุนเพียงอย่างเดียวก็อาจจะดีกว่าและทำให้เรามีความสุขในชีวิตมากกว่า