ระหว่างหุ้น P/E สูงแต่เติบโตสูง และหุ้น P/E ต่ำแต่เติบโตช้า
-
- Verified User
- โพสต์: 48
- ผู้ติดตาม: 0
ระหว่างหุ้น P/E สูงแต่เติบโตสูง และหุ้น P/E ต่ำแต่เติบโตช้า
โพสต์ที่ 1
ในภาวะที่ตลาดค่อนข้างฉลาดให้ราคาหุ้นแต่ละตัวค่อนข้างสมเหตุสมผล
ระหว่างหุ้นที่มี Growth สูง P/E สูง และหุ้น Growth ต่ำ P/E ต่ำ
ในมุมมอง VI ควรจะเลือกหุ้นตัวไหน
ตัวอย่างเช่น
หุ้น A มี PE 30 แต่มีการเติบโต 50% ทุกปีและคาดว่าน่าจะเป็นเช่นนี้ต่อไป
กับหุ้น B มี PE 8 แต่เติบโตเพียง 15% ทุกปี
สำหรับหุ้น A ในอนาคน PE อาจะไม่เปลี่ยนแปลงแล้ว (เนื่องจากสูงอยู่แล้ว) เพราะฉะนั้นผมคาดว่าผลตอบแทนที่จะได้น่าจะเท่ากับ EPS ที่เติบโตคือ 50% ต่อปี
ในขณะที่หุ้น B ในอนาคตตลาดอาจจะให้ PE ที่เพิ่มขึ้น (อาจจะกลายเป็น PE 10) แต่มีการเติบโตของ EPS เพียง 15% ซึ่งหมายถึงว่าให้ผลตอบแทน 15% + PE ที่เพิ่มจาก 8 ไป 10
ซึ่งก็ยังเห็นว่าหุ้น A น่าจะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า
แบบนี้เราก็ควรจะเลือกหุ้นที่มีการเติบโตสูงกว่าถึงแม้ว่าจะมี PE ที่สูงกว่ามาก เช่น PE 30 เป็นต้น ก็ตามหรอครับ
ท่านใดมีความเห็นอย่างไรบ้างครับ
ระหว่างหุ้นที่มี Growth สูง P/E สูง และหุ้น Growth ต่ำ P/E ต่ำ
ในมุมมอง VI ควรจะเลือกหุ้นตัวไหน
ตัวอย่างเช่น
หุ้น A มี PE 30 แต่มีการเติบโต 50% ทุกปีและคาดว่าน่าจะเป็นเช่นนี้ต่อไป
กับหุ้น B มี PE 8 แต่เติบโตเพียง 15% ทุกปี
สำหรับหุ้น A ในอนาคน PE อาจะไม่เปลี่ยนแปลงแล้ว (เนื่องจากสูงอยู่แล้ว) เพราะฉะนั้นผมคาดว่าผลตอบแทนที่จะได้น่าจะเท่ากับ EPS ที่เติบโตคือ 50% ต่อปี
ในขณะที่หุ้น B ในอนาคตตลาดอาจจะให้ PE ที่เพิ่มขึ้น (อาจจะกลายเป็น PE 10) แต่มีการเติบโตของ EPS เพียง 15% ซึ่งหมายถึงว่าให้ผลตอบแทน 15% + PE ที่เพิ่มจาก 8 ไป 10
ซึ่งก็ยังเห็นว่าหุ้น A น่าจะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า
แบบนี้เราก็ควรจะเลือกหุ้นที่มีการเติบโตสูงกว่าถึงแม้ว่าจะมี PE ที่สูงกว่ามาก เช่น PE 30 เป็นต้น ก็ตามหรอครับ
ท่านใดมีความเห็นอย่างไรบ้างครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 48
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ระหว่างหุ้น P/E สูงแต่เติบโตสูง และหุ้น P/E ต่ำแต่เติบโต
โพสต์ที่ 3
Year %Price Increase price pe eps
Company A
2011 30 30 1
2012 50% 45 30 1.5
Company B
2011 8 8 1
2012 43.75% 11.5 10 1.15
จากข้างต้นจะเห็นว่าถึงแม้ว่าบริษัท B ตลาดจะให้ PE เพิ่มขึ้นจาก 8 เป็น 10 แล้วก็ยังให้ผลตอบแทนที่ต่ำกว่าบริษัท A อยู่ดี
ซึ่งผมเข้าใจว่า EPS น่าจะคาดการณ์ล่วงหน้าได้ง่ายกว่า PE ซึ่งเป็นค่าที่ตลาดให้
ดังนั้นผมจึงสรุปดังที่กล่าวไว้ข้างต้นว่า บริษัทที่เติบโตเร็วกว่า PE สูงกว่าน่าสนใจกว่าบริษัทที่โตช้ากว่า PE ต่ำกว่า
ซึ่งผมรู้สึกว่าแปลกขัดกับความเป็นจริงอยู่บางส่วน
จึงอยากขอความเห็นของท่านที่รู้ช่วย ไขข้อข้องใจให้ผมทีครับ
Company A
2011 30 30 1
2012 50% 45 30 1.5
Company B
2011 8 8 1
2012 43.75% 11.5 10 1.15
จากข้างต้นจะเห็นว่าถึงแม้ว่าบริษัท B ตลาดจะให้ PE เพิ่มขึ้นจาก 8 เป็น 10 แล้วก็ยังให้ผลตอบแทนที่ต่ำกว่าบริษัท A อยู่ดี
ซึ่งผมเข้าใจว่า EPS น่าจะคาดการณ์ล่วงหน้าได้ง่ายกว่า PE ซึ่งเป็นค่าที่ตลาดให้
ดังนั้นผมจึงสรุปดังที่กล่าวไว้ข้างต้นว่า บริษัทที่เติบโตเร็วกว่า PE สูงกว่าน่าสนใจกว่าบริษัทที่โตช้ากว่า PE ต่ำกว่า
ซึ่งผมรู้สึกว่าแปลกขัดกับความเป็นจริงอยู่บางส่วน
จึงอยากขอความเห็นของท่านที่รู้ช่วย ไขข้อข้องใจให้ผมทีครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 760
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ระหว่างหุ้น P/E สูงแต่เติบโตสูง และหุ้น P/E ต่ำแต่เติบโต
โพสต์ที่ 4
คุณ benz2345 น่าจะเข้าใจผิดครับ การดูค่าความแพงเทียบกับโอกาสเติบโต ปกติจะใช้ค่า PEG ratio โดย
PEG = PE / Growth ครับ
ค่ายิ่งตํากว่า 1 ยิ่งดี แสดงว่าโอกาสเติบโตมีมากกว่าความแพงของมัน
Company A > ค่า PEG ratio = 30/50 = 0.6
Company B > ค่า PEG ratio = 8/15 = 0.53
ดังนั้น บริษัทB ถือว่าราคาหุ้นถูกกว่า
และอีกเรื่อง โอกาสที่บริษํทหนึ่งจะเติบโต 50% เป็นระยะเวลานานๆหลายปีนั้นเป็นเรื่องยากมากนะครับ ถ้าคิดอย่างนี้จะมองเข้าข้างบริษัทนั้นมากไปแล้วจะพลาดได้
PEG = PE / Growth ครับ
ค่ายิ่งตํากว่า 1 ยิ่งดี แสดงว่าโอกาสเติบโตมีมากกว่าความแพงของมัน
Company A > ค่า PEG ratio = 30/50 = 0.6
Company B > ค่า PEG ratio = 8/15 = 0.53
ดังนั้น บริษัทB ถือว่าราคาหุ้นถูกกว่า
และอีกเรื่อง โอกาสที่บริษํทหนึ่งจะเติบโต 50% เป็นระยะเวลานานๆหลายปีนั้นเป็นเรื่องยากมากนะครับ ถ้าคิดอย่างนี้จะมองเข้าข้างบริษัทนั้นมากไปแล้วจะพลาดได้
- จุดแข็งทางธุรกิจที่เลียนแบบได้ยาก มักต้องใช้ระยะเวลายาวนานในการสร้างและเพาะบ่มเสมอ ไม่สามารถเนรมิตได้ด้วยเงิน (สุมาอี้)
- จะเก่ง จะรวยหุ้น ก็ต้องใช้เวลาเพาะบ่มเช่นกัน เป็นวีไอ ต้องมี ศรัทธา ขยัน ประหยัด และ อดทน ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ ย่อมไม่ได้มาง่ายๆ
- จะเก่ง จะรวยหุ้น ก็ต้องใช้เวลาเพาะบ่มเช่นกัน เป็นวีไอ ต้องมี ศรัทธา ขยัน ประหยัด และ อดทน ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ ย่อมไม่ได้มาง่ายๆ
-
- Verified User
- โพสต์: 469
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ระหว่างหุ้น P/E สูงแต่เติบโตสูง และหุ้น P/E ต่ำแต่เติบโต
โพสต์ที่ 5
จริงๆมันมีปัจจัยหลายอย่างนะครับ ที่จะสามารถกำหนดผลตอบแทนของเราได้
ง่ายๆเลยก็คือ กำไร และเสถียรภาพของกำไร ซึ่งจะส่งผลกับราคาโดยตรง
ทีนี้ที่ท่าน ยกตัวอย่างมา คงหาแบบที่เป็นตามตัวอย่างได้ยาก
หุ้น A EPS=1 price=30 p/e =30 growth =50%
EPS ใน 10 ปี = 1 1.5 2.25 3.37 5.06 7.59 11.39 17.08 25.62 38.44 57.66
หุ้น B EPS=1 price=8 p/e =8 growth =15%
EPS ใน 10 ปี = 1 1.15 1.32 1.52 1.74 2.01 2.31 2.66 3.05 3.51 4.04
การเข้าใจหลักการนั้นก็ดีครับ แต่การที่เราไม่เข้าใจความเป็นจริง
มันทำให้เรามองอะไรผิดพลาดได้ง่ายครับ เราต้องถามตัวเองว่าเราเชื่อที่ยกมารึเปล่า
ทีนี้ที่ เรื่อง pe/g นั้น ขอเพิ่มเติมหน่อยว่า การใช้เพื่อเปรียบเทียบจะลำบากนะครับ
เราใช้ pe/g < 1 แปลว่า การเติบโตมากกว่าความสามารถในการทำกำไร
ซึ่งทำให้ผลตอบแทนเรา มีความน่าจะเป็นที่จะทบต้นได้
แต่เอามาเปรียบเทียบกันอาจจะทำให้ผิดพลาดได้
เพราะการทบต้นของการเติบโตมีพลังอย่างมากครับ
ง่ายๆเลยก็คือ กำไร และเสถียรภาพของกำไร ซึ่งจะส่งผลกับราคาโดยตรง
ทีนี้ที่ท่าน ยกตัวอย่างมา คงหาแบบที่เป็นตามตัวอย่างได้ยาก
หุ้น A EPS=1 price=30 p/e =30 growth =50%
EPS ใน 10 ปี = 1 1.5 2.25 3.37 5.06 7.59 11.39 17.08 25.62 38.44 57.66
หุ้น B EPS=1 price=8 p/e =8 growth =15%
EPS ใน 10 ปี = 1 1.15 1.32 1.52 1.74 2.01 2.31 2.66 3.05 3.51 4.04
การเข้าใจหลักการนั้นก็ดีครับ แต่การที่เราไม่เข้าใจความเป็นจริง
มันทำให้เรามองอะไรผิดพลาดได้ง่ายครับ เราต้องถามตัวเองว่าเราเชื่อที่ยกมารึเปล่า
ทีนี้ที่ เรื่อง pe/g นั้น ขอเพิ่มเติมหน่อยว่า การใช้เพื่อเปรียบเทียบจะลำบากนะครับ
เราใช้ pe/g < 1 แปลว่า การเติบโตมากกว่าความสามารถในการทำกำไร
ซึ่งทำให้ผลตอบแทนเรา มีความน่าจะเป็นที่จะทบต้นได้
แต่เอามาเปรียบเทียบกันอาจจะทำให้ผิดพลาดได้
เพราะการทบต้นของการเติบโตมีพลังอย่างมากครับ
Sixth Sense Investor
-
- Verified User
- โพสต์: 48
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ระหว่างหุ้น P/E สูงแต่เติบโตสูง และหุ้น P/E ต่ำแต่เติบโต
โพสต์ที่ 6
รบกวนถามคุณ sipoonya เพิ่มเติมครับsipoonya เขียน:จริงๆมันมีปัจจัยหลายอย่างนะครับ ที่จะสามารถกำหนดผลตอบแทนของเราได้
ง่ายๆเลยก็คือ กำไร และเสถียรภาพของกำไร ซึ่งจะส่งผลกับราคาโดยตรง
ทีนี้ที่ท่าน ยกตัวอย่างมา คงหาแบบที่เป็นตามตัวอย่างได้ยาก
หุ้น A EPS=1 price=30 p/e =30 growth =50%
EPS ใน 10 ปี = 1 1.5 2.25 3.37 5.06 7.59 11.39 17.08 25.62 38.44 57.66
หุ้น B EPS=1 price=8 p/e =8 growth =15%
EPS ใน 10 ปี = 1 1.15 1.32 1.52 1.74 2.01 2.31 2.66 3.05 3.51 4.04
การเข้าใจหลักการนั้นก็ดีครับ แต่การที่เราไม่เข้าใจความเป็นจริง
มันทำให้เรามองอะไรผิดพลาดได้ง่ายครับ เราต้องถามตัวเองว่าเราเชื่อที่ยกมารึเปล่า
ทีนี้ที่ เรื่อง pe/g นั้น ขอเพิ่มเติมหน่อยว่า การใช้เพื่อเปรียบเทียบจะลำบากนะครับ
เราใช้ pe/g < 1 แปลว่า การเติบโตมากกว่าความสามารถในการทำกำไร
ซึ่งทำให้ผลตอบแทนเรา มีความน่าจะเป็นที่จะทบต้นได้
แต่เอามาเปรียบเทียบกันอาจจะทำให้ผิดพลาดได้
เพราะการทบต้นของการเติบโตมีพลังอย่างมากครับ
คุณ sipoonya มองว่าบริษัทที่จะสามารถทำกำไรเติบโตได้ 50% ต่อปีในระยะยาวนั้นแทบจะไม่มีหรือหาได้ยากมากใช่มั้ยครับ ดังนั้นจำเป็นจะต้องเอาปัจจัยเรื่องเสถียรภาพของกำไรเข้ามาคิดด้วยถูกต้องมั้ยครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 297
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ระหว่างหุ้น P/E สูงแต่เติบโตสูง และหุ้น P/E ต่ำแต่เติบโต
โพสต์ที่ 7
จริงๆถ้าสมมติตัวแปรให้ PE เท่าเดิม
capital gain จะ = % growth ครับ
เช่นที่กำไร 1 บาท ->1.5 บาท(growth 50%)
ที่ PE 10 เท่า 10 -> 15 บาท
ที่ PE 30 เท่า 30-> 45 บาท
แต่ถ้ากำไร 1 บาท -> 1.15 บาท(growth 15%)
ที่ PE 8 เท่า -> 9.2 บาท
แต่ถ้าตลาดให้ premium เพิ่ม เป็น PE 16 จะได้ราคา 18.4 หรือกำไร 2.3เด้งครับ (คิดง่ายๆคือ capital gain = % growth คือกำไรโตมาเป็น 1.15 เท่า แล้วได้ premium มากกว่าเดิม 2เท่า 1.15x2=2.3)
แต่ในทางเดียวกันถ้า premium ที่ให้ลดลงก็จะเป็นหารด้วยค่าที่ลดลง ก็จะไปลด growth ลงไปอีก เรียกว่า 2 เด้งครับ
สรุปสูตรตีกรอบวิทยาศาสตร์ให้เลยครับ
capital gain = % growth x PE ใหม่/PE เก่า
ดังนั้นที่ pe เท่าเดิม จะได้กำไรส่วนต่างคือ % growth แต่ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงก็ย้อนไปคิดตามสูตรครับ
ตอบโจทย์ของ จขกท ว่า ถ้ามีเคสเข่นนี้จริง ถ้าตลาดให้ PE บริษัทที่ 2 จาก 8->10.5 และมีแนวโน้มจะให้ PE เพิ่มขึ้นประมาณ 30% ทุกปี บริษัทที่ 2 จะน่าลงทุนกว่าครับ(ซึ่งเป็นไปได้ยากมากๆ)
โดยส่วนตัวมองว่าต่อให้ growth 30% แล้วตลาดจะให้ PE แค่ 3ผมก็ซื้อครับ จริงๆจะให้ PE เท่าไรก็ได้ขอแค่เท่าเดิมก็พอ ถ้า PE จะมากขึ้นก็ถือเป็นตัว multiply ครับ
อันนี้คือในทางคณิตศาสตร์และคิดค่าตัวแปร 2 ตัวนะครับ
แต่ในความเป็นจริงคงต้องพิจารณาอย่างอื่นร่วมด้วยตามทีท่านบนๆว่าครับ
capital gain จะ = % growth ครับ
เช่นที่กำไร 1 บาท ->1.5 บาท(growth 50%)
ที่ PE 10 เท่า 10 -> 15 บาท
ที่ PE 30 เท่า 30-> 45 บาท
แต่ถ้ากำไร 1 บาท -> 1.15 บาท(growth 15%)
ที่ PE 8 เท่า -> 9.2 บาท
แต่ถ้าตลาดให้ premium เพิ่ม เป็น PE 16 จะได้ราคา 18.4 หรือกำไร 2.3เด้งครับ (คิดง่ายๆคือ capital gain = % growth คือกำไรโตมาเป็น 1.15 เท่า แล้วได้ premium มากกว่าเดิม 2เท่า 1.15x2=2.3)
แต่ในทางเดียวกันถ้า premium ที่ให้ลดลงก็จะเป็นหารด้วยค่าที่ลดลง ก็จะไปลด growth ลงไปอีก เรียกว่า 2 เด้งครับ
สรุปสูตรตีกรอบวิทยาศาสตร์ให้เลยครับ
capital gain = % growth x PE ใหม่/PE เก่า
ดังนั้นที่ pe เท่าเดิม จะได้กำไรส่วนต่างคือ % growth แต่ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงก็ย้อนไปคิดตามสูตรครับ
ตอบโจทย์ของ จขกท ว่า ถ้ามีเคสเข่นนี้จริง ถ้าตลาดให้ PE บริษัทที่ 2 จาก 8->10.5 และมีแนวโน้มจะให้ PE เพิ่มขึ้นประมาณ 30% ทุกปี บริษัทที่ 2 จะน่าลงทุนกว่าครับ(ซึ่งเป็นไปได้ยากมากๆ)
โดยส่วนตัวมองว่าต่อให้ growth 30% แล้วตลาดจะให้ PE แค่ 3ผมก็ซื้อครับ จริงๆจะให้ PE เท่าไรก็ได้ขอแค่เท่าเดิมก็พอ ถ้า PE จะมากขึ้นก็ถือเป็นตัว multiply ครับ
อันนี้คือในทางคณิตศาสตร์และคิดค่าตัวแปร 2 ตัวนะครับ
แต่ในความเป็นจริงคงต้องพิจารณาอย่างอื่นร่วมด้วยตามทีท่านบนๆว่าครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 48
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ระหว่างหุ้น P/E สูงแต่เติบโตสูง และหุ้น P/E ต่ำแต่เติบโต
โพสต์ที่ 8
บริษัท A มี growth ที่สูง 30% แต่ PE คงที่แล้วnasunap เขียน:จริงๆถ้าสมมติตัวแปรให้ PE เท่าเดิม
capital gain จะ = % growth ครับ
เช่นที่กำไร 1 บาท ->1.5 บาท(growth 50%)
ที่ PE 10 เท่า 10 -> 15 บาท
ที่ PE 30 เท่า 30-> 45 บาท
แต่ถ้ากำไร 1 บาท -> 1.15 บาท(growth 15%)
ที่ PE 8 เท่า -> 9.2 บาท
แต่ถ้าตลาดให้ premium เพิ่ม เป็น PE 16 จะได้ราคา 18.4 หรือกำไร 2.3เด้งครับ (คิดง่ายๆคือ capital gain = % growth คือกำไรโตมาเป็น 1.15 เท่า แล้วได้ premium มากกว่าเดิม 2เท่า 1.15x2=2.3)
แต่ในทางเดียวกันถ้า premium ที่ให้ลดลงก็จะเป็นหารด้วยค่าที่ลดลง ก็จะไปลด growth ลงไปอีก เรียกว่า 2 เด้งครับ
สรุปสูตรตีกรอบวิทยาศาสตร์ให้เลยครับ
capital gain = % growth x PE ใหม่/PE เก่า
ดังนั้นที่ pe เท่าเดิม จะได้กำไรส่วนต่างคือ % growth แต่ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงก็ย้อนไปคิดตามสูตรครับ
ตอบโจทย์ของ จขกท ว่า ถ้ามีเคสเข่นนี้จริง ถ้าตลาดให้ PE บริษัทที่ 2 จาก 8->10.5 และมีแนวโน้มจะให้ PE เพิ่มขึ้นประมาณ 30% ทุกปี บริษัทที่ 2 จะน่าลงทุนกว่าครับ(ซึ่งเป็นไปได้ยากมากๆ)
โดยส่วนตัวมองว่าต่อให้ growth 30% แล้วตลาดจะให้ PE แค่ 3ผมก็ซื้อครับ จริงๆจะให้ PE เท่าไรก็ได้ขอแค่เท่าเดิมก็พอ ถ้า PE จะมากขึ้นก็ถือเป็นตัว multiply ครับ
อันนี้คือในทางคณิตศาสตร์และคิดค่าตัวแปร 2 ตัวนะครับ
แต่ในความเป็นจริงคงต้องพิจารณาอย่างอื่นร่วมด้วยตามทีท่านบนๆว่าครับ
ในขณะที่บริษัท B มี growth แค่ 15% แต่ PE มีสิทธิเพิ่มขึ้นได้นิดหน่อย
ส่วนที่ผมสงสัยก็คือ บริษัท A ได้ capital gain = 30% ในขณะที่บริษัท B ได้ = 15% x PEใหม่/PEเก่า
การที่จะทำให้บริษัท B ได้ capital gain เท่าบริษัท A
PE ของบริษัท B ต้องเพิ่มขึ้นถึงเท่าตัว
ซึ่งแบบนี้เราลงทุนในบริษัท A ก็ดีกว่าสิครับ (PE ที่จะเพิ่มขึ้นเป็นค่าที่ตลาดให้ซึ่งผมว่าคาดการได้ยากกว่า growth)
-
- Verified User
- โพสต์: 297
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ระหว่างหุ้น P/E สูงแต่เติบโตสูง และหุ้น P/E ต่ำแต่เติบโต
โพสต์ที่ 9
ไม่ใช่นะครับ ผมจะอธิบายไม่ค่อยเก่งจริงๆ ลองดูใหม่นะครับbenz2345 เขียน:บริษัท A มี growth ที่สูง 30% แต่ PE คงที่แล้วnasunap เขียน:จริงๆถ้าสมมติตัวแปรให้ PE เท่าเดิม
capital gain จะ = % growth ครับ
เช่นที่กำไร 1 บาท ->1.5 บาท(growth 50%)
ที่ PE 10 เท่า 10 -> 15 บาท
ที่ PE 30 เท่า 30-> 45 บาท
แต่ถ้ากำไร 1 บาท -> 1.15 บาท(growth 15%)
ที่ PE 8 เท่า -> 9.2 บาท
แต่ถ้าตลาดให้ premium เพิ่ม เป็น PE 16 จะได้ราคา 18.4 หรือกำไร 2.3เด้งครับ (คิดง่ายๆคือ capital gain = % growth คือกำไรโตมาเป็น 1.15 เท่า แล้วได้ premium มากกว่าเดิม 2เท่า 1.15x2=2.3)
แต่ในทางเดียวกันถ้า premium ที่ให้ลดลงก็จะเป็นหารด้วยค่าที่ลดลง ก็จะไปลด growth ลงไปอีก เรียกว่า 2 เด้งครับ
สรุปสูตรตีกรอบวิทยาศาสตร์ให้เลยครับ
capital gain = % growth x PE ใหม่/PE เก่า
ดังนั้นที่ pe เท่าเดิม จะได้กำไรส่วนต่างคือ % growth แต่ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงก็ย้อนไปคิดตามสูตรครับ
ตอบโจทย์ของ จขกท ว่า ถ้ามีเคสเข่นนี้จริง ถ้าตลาดให้ PE บริษัทที่ 2 จาก 8->10.5 และมีแนวโน้มจะให้ PE เพิ่มขึ้นประมาณ 30% ทุกปี บริษัทที่ 2 จะน่าลงทุนกว่าครับ(ซึ่งเป็นไปได้ยากมากๆ)
โดยส่วนตัวมองว่าต่อให้ growth 30% แล้วตลาดจะให้ PE แค่ 3ผมก็ซื้อครับ จริงๆจะให้ PE เท่าไรก็ได้ขอแค่เท่าเดิมก็พอ ถ้า PE จะมากขึ้นก็ถือเป็นตัว multiply ครับ
อันนี้คือในทางคณิตศาสตร์และคิดค่าตัวแปร 2 ตัวนะครับ
แต่ในความเป็นจริงคงต้องพิจารณาอย่างอื่นร่วมด้วยตามทีท่านบนๆว่าครับ
ในขณะที่บริษัท B มี growth แค่ 15% แต่ PE มีสิทธิเพิ่มขึ้นได้นิดหน่อย
ส่วนที่ผมสงสัยก็คือ บริษัท A ได้ capital gain = 30% ในขณะที่บริษัท B ได้ = 15% x PEใหม่/PEเก่า
การที่จะทำให้บริษัท B ได้ capital gain เท่าบริษัท A
PE ของบริษัท B ต้องเพิ่มขึ้นถึงเท่าตัว
ซึ่งแบบนี้เราลงทุนในบริษัท A ก็ดีกว่าสิครับ (PE ที่จะเพิ่มขึ้นเป็นค่าที่ตลาดให้ซึ่งผมว่าคาดการได้ยากกว่า growth)
บริษัท A กำไร 1->1.5 บาท
ผมซื้อที่ PE สมมติว่า 20เท่า ผมได้ 20->30 บาท หรือได้กำไร 50% แปลว่าผม 1.5 เท่า
บริษัท B กำไร 1->1.15 บาท
ผมซื้อที่ PE 8 แล้วปีต่อมา premium มันขึ้นไป 12 มาดู้กันนะครับว่าผมได้กี่เท่า
ผมซื้อมาที่ 8 บาท ขายที่ 12x1.15=13.8 คิดแล้วได้กำไรมา 72.5% ครับ หรือผมได้ 1.725 เท่าของเงินเดิมมากกว่าบริษัทเดิมซะอีก
มาดูนะครับว่าผมเอาเลข 1.725 เท่ามาได้ยังงัย คือผมได้ growth 1.15เท่า และได้ premium มาอีก 12 เท่าจาก 8 เท่า หรือ 12/8 คือ 1.5 ครับ ถ้าเอา 1.15x1.5=1.725 ครับ
ถ้า จขกท จะใช้สูตรเดิมต้องใช้เป็น 1+%growth ด้วยครับ
ขอเขียนสูตรใหม่นะครับ(สูตรนี้ผมคิดเองตอนตอบ จขกท เลยนะเนี่ย)
capital gain = [(1+%growth)xPEใหม่/PEเก่า]-1
ผมว่ามันดูยากนรกและเยอะไปนิดครับ
ผมว่ามองเป็นจำนวนเท่าแทนในสูตรดีกว่าครับ เช่น capital gain 50% ก็ใช้ 1.5 แทน growth 15% ก็ใช้ 1.15 แทน
ถ้าลองแทนสูตรในโจทย์ของ จขกท จะได้ว่า บริษัทที่ 2 จะคุ้มกว่าบริษัทที่ 1 ก็ต่อเมื่อ ได้ capital มากกว่า 1.5 เท่าครับ(หรือ 150%รวมทุน) ลองแก้สมการดูนะครับจะได้ว่า PE ต้องโตในอัตรา 30.44% คือต้องโตจาก 8->10.4->13 ->17.75 ซึ่งการจะให้ premium โตต่อๆกันทุกปี ยากนรกกว่าครับ
สรุป growth สำคัญสุดครับ premium เป็นตัว multiple แถมอ ซึ่งคาดหวังจากมันยากครับ
ไม่เข้าใจตรงไหนลองถามต่อนะครับ จะพยายามอธิบายดูครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 48
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ระหว่างหุ้น P/E สูงแต่เติบโตสูง และหุ้น P/E ต่ำแต่เติบโต
โพสต์ที่ 10
ขอบคุณมากครับ คุณ nasunap ที่พยาอธิบาย ผมเองก็งง แต่ตอนนี้เข้าใจละครับnasunap เขียน:ไม่ใช่นะครับ ผมจะอธิบายไม่ค่อยเก่งจริงๆ ลองดูใหม่นะครับbenz2345 เขียน:บริษัท A มี growth ที่สูง 30% แต่ PE คงที่แล้วnasunap เขียน:จริงๆถ้าสมมติตัวแปรให้ PE เท่าเดิม
capital gain จะ = % growth ครับ
เช่นที่กำไร 1 บาท ->1.5 บาท(growth 50%)
ที่ PE 10 เท่า 10 -> 15 บาท
ที่ PE 30 เท่า 30-> 45 บาท
แต่ถ้ากำไร 1 บาท -> 1.15 บาท(growth 15%)
ที่ PE 8 เท่า -> 9.2 บาท
แต่ถ้าตลาดให้ premium เพิ่ม เป็น PE 16 จะได้ราคา 18.4 หรือกำไร 2.3เด้งครับ (คิดง่ายๆคือ capital gain = % growth คือกำไรโตมาเป็น 1.15 เท่า แล้วได้ premium มากกว่าเดิม 2เท่า 1.15x2=2.3)
แต่ในทางเดียวกันถ้า premium ที่ให้ลดลงก็จะเป็นหารด้วยค่าที่ลดลง ก็จะไปลด growth ลงไปอีก เรียกว่า 2 เด้งครับ
สรุปสูตรตีกรอบวิทยาศาสตร์ให้เลยครับ
capital gain = % growth x PE ใหม่/PE เก่า
ดังนั้นที่ pe เท่าเดิม จะได้กำไรส่วนต่างคือ % growth แต่ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงก็ย้อนไปคิดตามสูตรครับ
ตอบโจทย์ของ จขกท ว่า ถ้ามีเคสเข่นนี้จริง ถ้าตลาดให้ PE บริษัทที่ 2 จาก 8->10.5 และมีแนวโน้มจะให้ PE เพิ่มขึ้นประมาณ 30% ทุกปี บริษัทที่ 2 จะน่าลงทุนกว่าครับ(ซึ่งเป็นไปได้ยากมากๆ)
โดยส่วนตัวมองว่าต่อให้ growth 30% แล้วตลาดจะให้ PE แค่ 3ผมก็ซื้อครับ จริงๆจะให้ PE เท่าไรก็ได้ขอแค่เท่าเดิมก็พอ ถ้า PE จะมากขึ้นก็ถือเป็นตัว multiply ครับ
อันนี้คือในทางคณิตศาสตร์และคิดค่าตัวแปร 2 ตัวนะครับ
แต่ในความเป็นจริงคงต้องพิจารณาอย่างอื่นร่วมด้วยตามทีท่านบนๆว่าครับ
ในขณะที่บริษัท B มี growth แค่ 15% แต่ PE มีสิทธิเพิ่มขึ้นได้นิดหน่อย
ส่วนที่ผมสงสัยก็คือ บริษัท A ได้ capital gain = 30% ในขณะที่บริษัท B ได้ = 15% x PEใหม่/PEเก่า
การที่จะทำให้บริษัท B ได้ capital gain เท่าบริษัท A
PE ของบริษัท B ต้องเพิ่มขึ้นถึงเท่าตัว
ซึ่งแบบนี้เราลงทุนในบริษัท A ก็ดีกว่าสิครับ (PE ที่จะเพิ่มขึ้นเป็นค่าที่ตลาดให้ซึ่งผมว่าคาดการได้ยากกว่า growth)
บริษัท A กำไร 1->1.5 บาท
ผมซื้อที่ PE สมมติว่า 20เท่า ผมได้ 20->30 บาท หรือได้กำไร 50% แปลว่าผม 1.5 เท่า
บริษัท B กำไร 1->1.15 บาท
ผมซื้อที่ PE 8 แล้วปีต่อมา premium มันขึ้นไป 12 มาดู้กันนะครับว่าผมได้กี่เท่า
ผมซื้อมาที่ 8 บาท ขายที่ 12x1.15=13.8 คิดแล้วได้กำไรมา 72.5% ครับ หรือผมได้ 1.725 เท่าของเงินเดิมมากกว่าบริษัทเดิมซะอีก
มาดูนะครับว่าผมเอาเลข 1.725 เท่ามาได้ยังงัย คือผมได้ growth 1.15เท่า และได้ premium มาอีก 12 เท่าจาก 8 เท่า หรือ 12/8 คือ 1.5 ครับ ถ้าเอา 1.15x1.5=1.725 ครับ
ถ้า จขกท จะใช้สูตรเดิมต้องใช้เป็น 1+%growth ด้วยครับ
ขอเขียนสูตรใหม่นะครับ(สูตรนี้ผมคิดเองตอนตอบ จขกท เลยนะเนี่ย)
capital gain = [(1+%growth)xPEใหม่/PEเก่า]-1
ผมว่ามันดูยากนรกและเยอะไปนิดครับ
ผมว่ามองเป็นจำนวนเท่าแทนในสูตรดีกว่าครับ เช่น capital gain 50% ก็ใช้ 1.5 แทน growth 15% ก็ใช้ 1.15 แทน
ถ้าลองแทนสูตรในโจทย์ของ จขกท จะได้ว่า บริษัทที่ 2 จะคุ้มกว่าบริษัทที่ 1 ก็ต่อเมื่อ ได้ capital มากกว่า 1.5 เท่าครับ(หรือ 150%รวมทุน) ลองแก้สมการดูนะครับจะได้ว่า PE ต้องโตในอัตรา 30.44% คือต้องโตจาก 8->10.4->13 ->17.75 ซึ่งการจะให้ premium โตต่อๆกันทุกปี ยากนรกกว่าครับ
สรุป growth สำคัญสุดครับ premium เป็นตัว multiple แถมอ ซึ่งคาดหวังจากมันยากครับ
ไม่เข้าใจตรงไหนลองถามต่อนะครับ จะพยายามอธิบายดูครับ
ทีนี้ขอถามต่อว่าแล้วทำไม VI ถึงหลีกเลี่ยงหุ้นที่มี Growth สูงแต่ PE สูงกันครับ
สมมุติว่า PE ไม่เปลี่ยนแปลง
หุ้นที่มี growth สูงเท่ากับว่ามี capital gain มากกว่าถูกมั้ยครับ
ดังนั้นทำไม VI ถึงไม่สนใจหุ้น growth สูงกันล่ะครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 297
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ระหว่างหุ้น P/E สูงแต่เติบโตสูง และหุ้น P/E ต่ำแต่เติบโต
โพสต์ที่ 11
จริงๆผมว่า VI ไม่ได้รังเกียจ growth stock นะครับ
เพียงแต่ว่ามันจะมีอะไรมาการันตีว่ามันจะ growth ได้อย่างนั้นต่อเนื่องกันอย่างที่เราคิด
Mr. Market พร้อมจะตบรางวัลให้เราถ้าเราทายถูก แต่ก็พร้อมจะกระทืบเราซ้ำถ้าเราทายผิดครับ
เอาง่ายๆเลยนะครับ ถ้าบริษัทผม กำไร 1 บาท PE 20 ปีหน้ากำไรออกมา 1.1 บาท กลายเป็นว่า growth ไม่ได้ตามคาด ตลาดก็กระทิบผมซ้ำโดยลด PE เหลือแค่ 10 พอครับ ปีนี้ผมซื้อมาที่ 20 ปีหน้า ปีหน้าราคาเหลือ 11 บาท นอกจากผมจะไม่กำไรแล้วยังขาดทุนอีกแน่ะ หรือต่อให้ตลาดใจดีลด PE ผมเหลือแค่ 15 ผมขายได้ 16.5บาทก็ยังขาดทุน นี่ขนาดผมทำกำไรเพิ่มต่อหุ้นเพิ่มได้นะครับ
ดังนั้นถ้ามัน growth ได้ไม่ต่อเนื่องหรือไม่ได้ตามคาดก็เตรียมเจ็บได้เลยครับ
เช่น CPALL มี PE 30 ตอนนี้มี 6,000 กว่าสาขาในไทย คิดว่าจะโตอย่างไรครับ ปีนี้เปิดอีก 1,800 สาขา ปีหน้าเปิดอีก 2,000 กว่าสาขา จะไปเปิดตรงไหนกันครับ ถ้าเปิดในไทยเปิดได้ยังงัยก็ไม่น่าจะเจ๊งครับ แต่ที่ขยายไปจีน จะไหวรึป่าวแล้วแต่คนมองครับ แต่ถ้าไปได้จะเปิดอีกสัก 5-6พันสาขาก็น่าจะไหว
เกมนี้ จขกท จะเล่นไหมละครับ กับเดิมพันไว้ที่ capital gain 30%(เท่ากับ growth)
หรือ จขกท จะหาตัวที่ growth น้อยกว่า ไม่โตก็เสมอตัว แต่ถ้าโตก็ได้ premium เพิ่มมาอีก
ถ้าศึกษาดีๆ หาข้อมูลมาพร้อมมั่นใจว่าโตได้ ผลตอบแทนก็คุ้มค่าครับ เพราะ money game กับตัวที่ growth เยอะๆจะเดิมพันกันสูงครับ ลดความเสี่ยงได้โดยการหาความรู้ครับ
ผมว่าเหมือนผมแทงว่า Vidic จะทำประตูได้ ถ้าทำไม่ได้ก็เสมอตัว ถ้าทำได้ก็กำไรครับ
กับผมแทงว่า Messi จะยิงได้ ถ้ายิงได้ผมกำไร แต่ถ้ายิงไม่ได้ก็เจ็บตัวครับ
จขกท อบากเล่นแบบไหนครับ
เพียงแต่ว่ามันจะมีอะไรมาการันตีว่ามันจะ growth ได้อย่างนั้นต่อเนื่องกันอย่างที่เราคิด
Mr. Market พร้อมจะตบรางวัลให้เราถ้าเราทายถูก แต่ก็พร้อมจะกระทืบเราซ้ำถ้าเราทายผิดครับ
เอาง่ายๆเลยนะครับ ถ้าบริษัทผม กำไร 1 บาท PE 20 ปีหน้ากำไรออกมา 1.1 บาท กลายเป็นว่า growth ไม่ได้ตามคาด ตลาดก็กระทิบผมซ้ำโดยลด PE เหลือแค่ 10 พอครับ ปีนี้ผมซื้อมาที่ 20 ปีหน้า ปีหน้าราคาเหลือ 11 บาท นอกจากผมจะไม่กำไรแล้วยังขาดทุนอีกแน่ะ หรือต่อให้ตลาดใจดีลด PE ผมเหลือแค่ 15 ผมขายได้ 16.5บาทก็ยังขาดทุน นี่ขนาดผมทำกำไรเพิ่มต่อหุ้นเพิ่มได้นะครับ
ดังนั้นถ้ามัน growth ได้ไม่ต่อเนื่องหรือไม่ได้ตามคาดก็เตรียมเจ็บได้เลยครับ
เช่น CPALL มี PE 30 ตอนนี้มี 6,000 กว่าสาขาในไทย คิดว่าจะโตอย่างไรครับ ปีนี้เปิดอีก 1,800 สาขา ปีหน้าเปิดอีก 2,000 กว่าสาขา จะไปเปิดตรงไหนกันครับ ถ้าเปิดในไทยเปิดได้ยังงัยก็ไม่น่าจะเจ๊งครับ แต่ที่ขยายไปจีน จะไหวรึป่าวแล้วแต่คนมองครับ แต่ถ้าไปได้จะเปิดอีกสัก 5-6พันสาขาก็น่าจะไหว
เกมนี้ จขกท จะเล่นไหมละครับ กับเดิมพันไว้ที่ capital gain 30%(เท่ากับ growth)
หรือ จขกท จะหาตัวที่ growth น้อยกว่า ไม่โตก็เสมอตัว แต่ถ้าโตก็ได้ premium เพิ่มมาอีก
ถ้าศึกษาดีๆ หาข้อมูลมาพร้อมมั่นใจว่าโตได้ ผลตอบแทนก็คุ้มค่าครับ เพราะ money game กับตัวที่ growth เยอะๆจะเดิมพันกันสูงครับ ลดความเสี่ยงได้โดยการหาความรู้ครับ
ผมว่าเหมือนผมแทงว่า Vidic จะทำประตูได้ ถ้าทำไม่ได้ก็เสมอตัว ถ้าทำได้ก็กำไรครับ
กับผมแทงว่า Messi จะยิงได้ ถ้ายิงได้ผมกำไร แต่ถ้ายิงไม่ได้ก็เจ็บตัวครับ
จขกท อบากเล่นแบบไหนครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 3350
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ระหว่างหุ้น P/E สูงแต่เติบโตสูง และหุ้น P/E ต่ำแต่เติบโต
โพสต์ที่ 12
ถ้าเป็นผม ผมจะดูก่อนอะคับ ว่า
pe30 ทำไมถึงได้30 ตลาดให้พรีเมี่ยมจากอะไร
หรือมีcore value แบบที่แข็งแกร่งมาก
และไม่สามารถตีค่าได้
pe8 ทำไมถึง8 มีข้อด้อยอะไร
ที่ตลาดเห็นแต่เราไม่เห็น
เหตุเดียวผลเดียวไม่น่าใช้ได้กับหุ้นอะคับ
pe30 ทำไมถึงได้30 ตลาดให้พรีเมี่ยมจากอะไร
หรือมีcore value แบบที่แข็งแกร่งมาก
และไม่สามารถตีค่าได้
pe8 ทำไมถึง8 มีข้อด้อยอะไร
ที่ตลาดเห็นแต่เราไม่เห็น
เหตุเดียวผลเดียวไม่น่าใช้ได้กับหุ้นอะคับ
show me money.
-
- Verified User
- โพสต์: 469
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ระหว่างหุ้น P/E สูงแต่เติบโตสูง และหุ้น P/E ต่ำแต่เติบโต
โพสต์ที่ 14
ตอบตามหลักการนะครับ ตอนนี้วีไอมีหลากหลายรูปแบบ
แต่พื้นฐานคือ ซื้อหุ้นเหมือนซื้อธุรกิจ ในราคาที่มีส่วนลด
ซึ่งหมายถึง ต้องสามารถประเมินมูลค่าของหุ้นได้คร่าวๆ
เราจึงจะสามารถเทียบราคากับมูลค่าได้ใช่ไหมครับ
วิธีประเมินมูลค่ามี 3 แบบ (หาอ่านได้ที่หนังสือหลักสูตรโคลัมเบียของพี่ web)
1 หามูลค่าซาก วิธีนี้อนุรักษ์นิยมที่สุด การกรองง่ายๆก็เช่น p/bต่ำๆ แล้วมาหาค่าซากเมื่อเลิกกิจการ
2 หาความสามารถในการทำกำไร หากำไรปกติที่ทำได้ แล้วเทียบกับผลตอบแทนที่ต้องการ
3 หาอัตราการเติบโต วิธีนี้ยากและพลาดได้ง่าย ก็dcfนั่นแหละ เหมาะกับหุ้นที่เรารู้ข้อมูลมากๆชัวร์ๆ
ท่านจะหาวิธีไหนก็ได้ (จริงๆจะหาทั้ง 3 แล้วมาเทียบกันก็ได้)
หุ้นตัวไหนที่มีโอกาสทำผลตอบแทนได้มากที่สุด และแน่นอนที่สุด จะน่าสนใจมากที่สุดครับ
ส่วนการที่เรารู้เรื่องทางจิตวิทยาการลงทุน
ทำให้เราเข้าใจตลาดมากขึ้น และอาจจะสร้างโอกาสให้เราได้
เช่น การมองจิตวิทยาตลาด การมองหาตัวเร่งในการปลดปล่อยมูลค่า
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ผมก็คิดว่ามีการนอกลู่นอกทางได้ง่าย
เพราะหากเรา ไม่มี ความรู้ ทัศนคติและจิตใจ ที่ดีและมั่นคงพอ
เราอาจจะใช้การมองจิตวิทยาจน มองข้าม พื้นฐานไปเลยก็ได้ 555
ทีนี้เข้าเรื่อง หุ้น P/E สูงแต่เติบโตสูง และหุ้น P/E ต่ำแต่เติบโตช้า
อย่างที่ว่ามาครับว่า ตัวไหนมีโอกาสได้ผลตอบแทนมากที่สุด และแน่นอนที่สุด จะน่าสนใจมากที่สุด
ที่ผ่านๆมาก็คงมีคนตอบจนเจ้าของคำถามพอได้ไอเดียบ้างแล้ว
ทีนี้สิ่งที่เราไม่รู้คืออะไร สมมุติเรารู้กำไร รู้การเติบโต แบบวีไอซักคนจะรู้จักบริษัทของเขา
แต่เคยเห็นไหมครับ กำไรก็ดี เติบโตก็ดี แต่ราคาลง .... เพราะความคาดหวังเฟ้อไงครับ
(น่าจะหาอ่านได้ไม่ยากกับ เรื่องความคาดหวังเฟ้อ อาจารย์นิเวศน์ก็เคยเขียนถึง)
เราถึงต้อง ประเมินมูลค่าหุ้นให้ได้เพื่อหาอัตราส่วนเพื่อความปลอดภัยไงครับ
บิล มิลเลอร์ ก็บอกว่าตัวเองใช้หลักการวีไอ ซื้อหุ้นdell p/e 35 แต่ยัง undervalue
ไม่ใช่เขาไม่ถูกนะครับ เขาคิดถูก แต่ฟองสบู่อินเตอร์เน็ต แตกพอดีครับ
เราไม่มีวันรู้อนาคต ว่าจะเกิดอะไรขึ้น มองความปลอดภัยของเงินต้นไว้บ้างก็ดี
เพราะการที่เราซื้ออนาคตมากๆ เราก้ต้องพร้อมรับความไม่แน่นอนของอนาคตไว้ด้วยครับ
อันนี้ส่วนตัวนะครับ ผมไม่ค่อยกล้าซื้อหุ้น p/e เกิน 20 ครับ เป็นความป็อดส่วนตัว
บางทีผมยอมเลือกเติบโตน้อยกว่า แต่ราคาถูกกว่าพอสมควร เพื่อความสบายใจครับ
ขอให้สนุกกับการลงทุนนะคร๊าบบบบ
แต่พื้นฐานคือ ซื้อหุ้นเหมือนซื้อธุรกิจ ในราคาที่มีส่วนลด
ซึ่งหมายถึง ต้องสามารถประเมินมูลค่าของหุ้นได้คร่าวๆ
เราจึงจะสามารถเทียบราคากับมูลค่าได้ใช่ไหมครับ
วิธีประเมินมูลค่ามี 3 แบบ (หาอ่านได้ที่หนังสือหลักสูตรโคลัมเบียของพี่ web)
1 หามูลค่าซาก วิธีนี้อนุรักษ์นิยมที่สุด การกรองง่ายๆก็เช่น p/bต่ำๆ แล้วมาหาค่าซากเมื่อเลิกกิจการ
2 หาความสามารถในการทำกำไร หากำไรปกติที่ทำได้ แล้วเทียบกับผลตอบแทนที่ต้องการ
3 หาอัตราการเติบโต วิธีนี้ยากและพลาดได้ง่าย ก็dcfนั่นแหละ เหมาะกับหุ้นที่เรารู้ข้อมูลมากๆชัวร์ๆ
ท่านจะหาวิธีไหนก็ได้ (จริงๆจะหาทั้ง 3 แล้วมาเทียบกันก็ได้)
หุ้นตัวไหนที่มีโอกาสทำผลตอบแทนได้มากที่สุด และแน่นอนที่สุด จะน่าสนใจมากที่สุดครับ
ส่วนการที่เรารู้เรื่องทางจิตวิทยาการลงทุน
ทำให้เราเข้าใจตลาดมากขึ้น และอาจจะสร้างโอกาสให้เราได้
เช่น การมองจิตวิทยาตลาด การมองหาตัวเร่งในการปลดปล่อยมูลค่า
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ผมก็คิดว่ามีการนอกลู่นอกทางได้ง่าย
เพราะหากเรา ไม่มี ความรู้ ทัศนคติและจิตใจ ที่ดีและมั่นคงพอ
เราอาจจะใช้การมองจิตวิทยาจน มองข้าม พื้นฐานไปเลยก็ได้ 555
ทีนี้เข้าเรื่อง หุ้น P/E สูงแต่เติบโตสูง และหุ้น P/E ต่ำแต่เติบโตช้า
อย่างที่ว่ามาครับว่า ตัวไหนมีโอกาสได้ผลตอบแทนมากที่สุด และแน่นอนที่สุด จะน่าสนใจมากที่สุด
ที่ผ่านๆมาก็คงมีคนตอบจนเจ้าของคำถามพอได้ไอเดียบ้างแล้ว
ทีนี้สิ่งที่เราไม่รู้คืออะไร สมมุติเรารู้กำไร รู้การเติบโต แบบวีไอซักคนจะรู้จักบริษัทของเขา
แต่เคยเห็นไหมครับ กำไรก็ดี เติบโตก็ดี แต่ราคาลง .... เพราะความคาดหวังเฟ้อไงครับ
(น่าจะหาอ่านได้ไม่ยากกับ เรื่องความคาดหวังเฟ้อ อาจารย์นิเวศน์ก็เคยเขียนถึง)
เราถึงต้อง ประเมินมูลค่าหุ้นให้ได้เพื่อหาอัตราส่วนเพื่อความปลอดภัยไงครับ
บิล มิลเลอร์ ก็บอกว่าตัวเองใช้หลักการวีไอ ซื้อหุ้นdell p/e 35 แต่ยัง undervalue
ไม่ใช่เขาไม่ถูกนะครับ เขาคิดถูก แต่ฟองสบู่อินเตอร์เน็ต แตกพอดีครับ
เราไม่มีวันรู้อนาคต ว่าจะเกิดอะไรขึ้น มองความปลอดภัยของเงินต้นไว้บ้างก็ดี
เพราะการที่เราซื้ออนาคตมากๆ เราก้ต้องพร้อมรับความไม่แน่นอนของอนาคตไว้ด้วยครับ
อันนี้ส่วนตัวนะครับ ผมไม่ค่อยกล้าซื้อหุ้น p/e เกิน 20 ครับ เป็นความป็อดส่วนตัว
บางทีผมยอมเลือกเติบโตน้อยกว่า แต่ราคาถูกกว่าพอสมควร เพื่อความสบายใจครับ
ขอให้สนุกกับการลงทุนนะคร๊าบบบบ
Sixth Sense Investor
-
- Verified User
- โพสต์: 3350
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ระหว่างหุ้น P/E สูงแต่เติบโตสูง และหุ้น P/E ต่ำแต่เติบโต
โพสต์ที่ 15
พูดยากคับ เพราะถ้าตลาด crash มันเป็น systemic risk
จะหุ้นตัวไหน pe เท่าไหร่กโดนเทกระจาด
pe 8 ไม่ได้protect ฟองสบู่แตก
เพราะ pe8 ก็เหลือ2-3ได้
เพียง แต่ pe8
มันแค่บอกว่าตลาดไม่ได้คาดหวัง
จุดที่น่าสนใจคือ เพราะอะไร
ถ้าเงื่อนไขนั้นกีขึ้น ตลาดก็อาจจะปรับpeให้
อย่าลืมว่าตลาดก็ไม่โง่
pe8 growth15มีนะคับตอนนี้ผมไม่อยากยกตัวอย่าง
เด๋วถ้าต้องพูดข้อเสียแล้วฉายหนังซ้ำ
จะหุ้นตัวไหน pe เท่าไหร่กโดนเทกระจาด
pe 8 ไม่ได้protect ฟองสบู่แตก
เพราะ pe8 ก็เหลือ2-3ได้
เพียง แต่ pe8
มันแค่บอกว่าตลาดไม่ได้คาดหวัง
จุดที่น่าสนใจคือ เพราะอะไร
ถ้าเงื่อนไขนั้นกีขึ้น ตลาดก็อาจจะปรับpeให้
อย่าลืมว่าตลาดก็ไม่โง่
pe8 growth15มีนะคับตอนนี้ผมไม่อยากยกตัวอย่าง
เด๋วถ้าต้องพูดข้อเสียแล้วฉายหนังซ้ำ
show me money.