ผมเคยแซวพี่หมอว่าเป็นเกษตรกรปลอมตัวมา (คุย TR กับแก)
ตอนนี้กลายเป็นนักเศรษฐศาสตร์ไปแล้ว
อ่านกระทู้นี้รอบเดียวไม่สามารถเข้าใจได้แจ่มแจ้งแฮะ
ต้องอ่านวนหลายๆ รอบ
ลุ้นด้วยครับพี่นริศnaris เขียน:ส่วนตัวผมว่า ไม่นานน่าจะเริ่มลงแล้วครับ เพราะความเชื่อมั่นจะมากขึ้น จากความร่วมมือกันอย่างแข็งขันในหลายๆประเทศในการประกันเงินฝาก การปล่อยกู้ในอัตราดอกเบี้ยต่ำระยะยาวและการซื้อกิจการแบงค์ที่ไปไม่ไหว
รอลุ้นให้มันลงจริงๆ
mprandy เขียน:
สุดท้าย.. ผมอยากฟังความเห็นเพื่อน ๆ พี่ ๆ น้อง ๆ ท่านอื่นบ้างครับ อย่าปล่อยให้ผมพล่ามอยู่คนเดียวสิ
รอน้องริวเหมือนกัน ไม่เห็นมาซักที แล้วก็อย่าชมเลยครับ (จ๋าขอ.. :lovl:)Quantum of Solace เขียน:หมอครับ ความรู้สุดยอดมาก อยากให้พี่ริวกะ มาแจมกระทู้นี้อีกคน
ส่งผลเรื่องหนี้สาธารณะที่ต้องมีมากขึ้น รัฐบาลต้องพิมพ์พันธบัตรออกมาขายมากขึ้น แล้วการที่ขาดดุลทั้งงบประมาณและการค้า (twin deficit) ทำให้ค่าเงินมันอ่อนลง แต่อาจจะไม่เกี่ยวกับวิกฤตครั้งนี้เท่าไหร่Quantum of Solace เขียน:หมอว่า หลังจาก 9/11 แล้ว อเมริกา ส่งทหารไปรบที่อัฟกัน กับที่อิรัก
นี่ส่งผลแค่ไหนครับ เพราะผงาญเงินไปไม่น้อยทีเดียว
ผมว่าเกือบทุกฝ่ายได้เงินหมดครับ ทั้งรัฐบาลได้เงินในรูปภาษีหลากหลายรูปแบบทั้งภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (รวมถึง capital gain tax ที่คนอเมริกันต้องเสียด้วย เวลาขายหุ้นได้กำไร), ภาษีเงินได้นิติบุคคล (เพราะบริษัทวาณิชธนกิจกำไรอู้ฟู่มาหลายปี), กิจการทุกชนิดก็ขายของได้ เพราะคนอเมริกันรู้สึกว่าตัวเองรวยขึ้น (จากมูลค่าอสังหาที่มากขึ้น) เลยใช้จ่ายมากขึ้น (อัตราการออมของคนอเมริกันติดลบมาหลายปี), ทุกประเทศที่ส่งออกไปอเมริกาแล้วได้ดุลการค้าก็ได้เงินดอลลาร์จากอเมริกามาเหมือนกัน, แม้กระทั่งกิจการในเมืองไทยอย่าง รพ.ที่รับผู้ป่วยต่างชาติ, โรงแรมรับนักท่องเที่ยว ฯลฯQuantum of Solace เขียน:ผมว่า ที่ถามๆกันว่า วิกฤตครั้งนี้ใครได้เงินไป ผมว่า รัฐบาลเมกัน ต้องมีเอี่ยวแน่นอน ด้านภาษี จากเงินที่มันหมุนฟูฟ่องในระบบ มา 6-7 ปี
รัฐก็ชักส่วนนึงเข้ากระเป๋า แล้วก็เอาไปเผากับ ยุทโธปกรณ์ เข่นฆ่าคน
หมอว่าเกี่ยวมั้ยครับ
เคยมีคนสงสัยเรื่องผู้ก่อการร้ายพยายาม manipulate โดยมีคนตั้งข้อสังเกตว่าหุ้นบางตัวใน NYSE ถูก short มากกว่าปกติก่อน 9/11 แล้วพอเกิดเรื่องดัชนีตกรูดมหาราช ได้กำไรไปมากโขQuantum of Solace เขียน:อีกมุม คือ พวก terrorist อัล เคด้า นี่มีโอกาส manipulate ระบบเศรษฐกิจในช่วง 6-7 ปีหลังจาก 9/11 มั้ยครับ แบบว่าค่อยๆปั่นราคาน้ำมัน เอาเงินที่ได้ไปลงทุนในระบบการเงิน อย่างที่หมอเล่าให้ฟัง ค่อยๆปั่นฟองสบู่ไป
ตังค์ก็ได้มากขึ้น พอได้จังหวะ ก็ชักดาบ เบี้ยวหนี้ ทำให้ บริษัทที่เกี่ยวข้องกระทบกันเป็นลุกโซ่ จนลุกลามอย่างปัจจุบัน
หมอคิดเห็นว่าไงครับ
คือผมคิดเอาเองทั้งสิ้น ยังกะนิยาย ไม่มีข้อมูล back-up ใดๆทั้งสิ้น
เมกาก็ไม่เคยไปนะครับ อยากให้หมอช่วยcomment ด้วย
mprandy เขียน:
naris เขียน:พอมีข้อมูลเปรียบเทียบคร่าวๆว่ายอดเงินการปล่อยกู้ดอกเบี้ยต่ำคราวนี้จะเพียงพอหรือไม่ ถ้ารู้ว่าพอ ผมว่าวิกฤตครั้งนี้คงจะไม่บานปลาย และน่าจะเป็นจุดซื้อที่ดีที่สุดแล้ว แต่ถ้าไม่เพียงพอ ก็อาจจะเกิดการคิดแย้งเหมือนค่าเงินบาทเราครั้งนั้น ท้ายที่สุดความเชื่อมั่นยังไม่เกิด ตลาดก็น่าจะผันผวนต่อไป และหุ้นคงจะมีโอกาสซื้ออีกนานทีเดียว :lol:
ถ้าเขาลงทุนประกาศว่าฉีดไม่อั้นใน interbank ด้วยอัตราดอกเบี้ยแบบ fixed rate น่าจะทำให้ความกังวลใน LIBOR ลดลง ตลาดอาจจะไม่มี crash โหด ๆ ให้เห็นเหมือนสัปดาห์ที่ผ่านมาsrichawengkun เขียน:ถามอาจารย์หมอนิดหนึ่งครับ
มาตรการที่ฝากฝังยุโรปประการออกมาในวันจันทร์นั้น เป็นการอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบเท่านั้น
หรือเป็นการรับประกันการกู้ยืมระหว่างธนาคารแบบไม่จำกัดจำนวนครับ :?:
เพราะปัญหาหลักๆคือ การขาดความมั่นใจ โดยระบบสถาบันการเงินไม่ยอมปล่อยกู้ให้กับธนาคารอื่นๆ (โดยดูจากอัตราดอกเบี้ย Libour ที่ปรับตัวสูงขึ้น)
ต่างคนต่างเก็บเงินไว้ ทำให้เม็ดเงินไม่สามารถไหลเข้าสู่ระบบได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ต่อให้ธนาคารร่วมมือกันอัดฉีดเงินเท่าไรก็ไม่พอครับ
เพราะ ตราสาร CDS (Credit Default Swap) ในระบบมีถึงประมาณ 62 ล้านล้านดอลล่าห์
ที่อัดฉีดกันเข้าไปเป็นเศษเสี้ยวเท่านั้นครับ
ดังนั้นคำถามที่ผมถามนั้นเป็นจุดกลับของวิกฤติครั้งนี้ครับ
ถ้าหากธนาคารรับประกันการกู้ยืมระหว่างธนาคารแบบไม่จำกัดจำนวนแล้ว
ความมั่นใจที่จะมีแหล่งเงินในการปล่อยกู้ระหว่างธนาคารก็จะกลับมา เงินก็สามารถไหลสู่ระบบได้อย่างมีประสิทธิภาพครับ ปัญหาก็จะคลี่คลายลงครับ
ขอความเห็นของอาจารย์หมอและพี่ๆน้องๆ คนอื่นๆ
และขอความชัดเจนของข่าวนิดหนึ่งครับ
หวังว่าจะเป็นข่าวดี
เฮีย chode ครับ ถ้ามันง่ายอย่างนั้นก็ดีสิครับ อเมริกาก็แค่พิมพ์แบงค์ออกมาแบบแบงค์กงเต็กปัญหาก็จบchode เขียน:ผมขอใช้ความรู้อันน้อยนิดมองละกัน
ผมมองว่าอเมริกามีปัญหามากก็จริง แต่เขามีหนี้ทั้งรัฐบาลและบริษัทเอกชนเป็นเงินสกุลตัวเองคือ usd ครับ ฉะนั้นค่าเงิน USD อ่อนไม่ได้มีผลลบต่อเขามากนัก
ต่างกับไทยตอนปี40 หรือไอซ์แลนด์ประเทศล่าสุด มีหนี้เป็นสกุลต่างประเทศคือ usd พอค่าเงินตัวเองอ่อนค่าอย่างแรงก็เลยแทบล้มละลายไปเลย
การมีหนี้เป็นสกุลตัวเองสามารถลดกระทบด้วยนโยบายดอกเบี้ยที่ต่ำ อย่างล่าสุดดอกเบี้ยus t-bill 3month วิ่งอยู่แถวๆ0.25%ต่อปี
http://www.bloomberg.com/markets/rates/index.html
ทำให้แม้มีหนี้เยอะก็จ่ายดอกเบี้ยต่ำ แต่โอกาสเงินเฟ้อคงมีน้อยเพราะเศรษฐกิจตกต่ำ
ทำให้ประเทศที่มีทุนสำรองเยอะๆ
https://www.cia.gov/library/publication ... 8rank.html
อย่างจีน เกาหลีใต้ ไต้หวัน ไทยต้องคิดละครับว่าจะถือพันธบัตรสหรัฐดอกเบี้ยต่ำแบบนี้ไปทำไม แล้วไม่ถือจะย้ายไปถืออะไร(ควรจ้าง buffet มาเป็นที่ปรึกษา)
ผมก็เชื่อว่า น่าจะใกล้เวลาที่ประเทศเหล่านี้จะหยุดสะสมเงินดอลล่าร์แล้วหละ มันเป็นไปได้ยังไงที่จะส่งออกให้อเมริกา แล้วอเมริกาจ่ายกระดาษมาให้ แล้วพวกนี้ก็เอาไปปล่อยกู้ให้อเมริกาเอาเงินมาซื้อสินค้าตัวเองอีก (เหมือนเอาเงินให้ลูกค้ากู้ซื้อสินค้าตัวเอง ลูกค้าเลยเป็นทั้งลูกหนี้เงินกู้และลูกค้า)mprandy เขียน: เฮีย chode ครับ ถ้ามันง่ายอย่างนั้นก็ดีสิครับ อเมริกาก็แค่พิมพ์แบงค์ออกมาแบบแบงค์กงเต็กปัญหาก็จบ
หนี้ส่วนใหญ่ของสหรัฐอเมริกาไม่ได้อยู่ในรูปเงินธนบัตร แต่อยู่ในรูปพันธบัตรรัฐบาล ถ้าอเมริกาไม่ควบคุมปริมาณเงินของตัวเองจนทำให้ค่าเงินมันตกลงมาก ๆ ดูเหมือนว่าคนเสียประโยชน์เป็นประเทศที่มีทุนสำรองเยอะก็จริง
แต่ถ้าวันหนึ่งจีน อาหรับ ญี่ปุ่น ไต้หวัน ตัดสินใจไม่เพิ่มทุนสำรองในรูปดอลลาร์แล้ว เพราะค่าเงินมันตกเยอะ (ไม่ต้องถึงกับขายออกมาก็ได้) สามารถทำได้ง่ายมากครับ แค่เลิกเข้าไปประมูลซื้อพันธบัตรรัฐบาลอเมริกัน แค่นี้ก็ทำให้พันธบัตรเหลือตรึม อัตราดอกเบี้ยจะกระฉูดขึ้น คนที่แย่ก็คือลุงแซมนั่นแหละ (เพราะพันธบัตรอเมริกันไม่มีดอกเบี้ยตายตัว คนซื้อจะ bid ดอกเบี้ยและจำนวนเงินที่ตัวเองต้องการประมูล พอถึงเวลา US Treasury จะขายพันธบัตรตามลำดับดอกเบี้ยประมูลต่ำที่สุด เรียงไปจนกว่าจะได้จำนวนเงินที่ตัวเองต้องการ การประมูลรอบนั้นจะสิ้นสุดลง)
ทุกวันนี้ US National Debt เพิ่มขึ้นวันละ 3 พันกว่าล้านเหรียญครับ เมื่อเร็ว ๆ นี้ National Debt Clock ต้องเปลี่ยนใหม่ เพราะหลักตัวเลขมันเต็ม
http://www.usnews.com/blogs/new-money/2 ... clock.html
ผมยังไม่มีความคิดเรื่องการลงทุนในตลาดต่างประเทศครับ เหตุผลหลักไม่ใช่เพราะว่าตลาดหุ้นไทยมีข้อจำกัดหรอก แต่ผมยังมี circle of competence ไม่ดีเพียงพอ ขนาดกิจการในตลาดหุ้นไทยผมยังรู้ไม่มากเลย ทั้งเรื่องข้อมูลกิจการ งบการเงิน ฯลฯ จะข้ามไปตลาด NYSE หรือ NASDAQ ที่มีกิจการร้อยพ่อ พันแม่ ผมยิ่งไม่มีข้อมูลใหญ่hongvalue เขียน:เอาล่ะเรามาเข้าเรื่องกันซะที
อ.แพนด้า อยากถามหน่อยว่ามีความคิดที่จะไปลงทุนใน ตปท หรือไม่
เนื่องจากการลงทุนแบบ buffet ในเมืองไทยนั้น เหมาะมากน้อยเพียงใด เพราะมีหุ้นที่ให้ถือผ่านไป 20-30 ปีแล้วได้เป็น 100 เด้งเหมือน usa นั้นแทบไม่มี เพราะอย่างมากโตในไทยได้ก็เต็มที่ แต่ที่ usa หลายบริษัทสามารถโตได้ทั่วโลก
และในตลาดหุ้นไทยหุ้นที่ได้ผลตอบแทนเยอะๆ ก็เป็นหุ้นในกลุ่ม commodity ซะส่วนใหญ่เช่น pttep scc(กึ่งcommo) และบริษัทพวกนี้เราจะสามารถมองแบบ buffet ได้หรือว่าอีก 10 ปีต่อไปมันควรจะมีมูลค่าเป็นเท่าไหร่ เนื่องจากว่าอีก 10 ปี ก็คงไม่มีใครรู้ราคา commodity
แล้วที่อาจารย์หมอบอกว่าไม่คาดตลาดเพราะว่าคาดไม่เป็นแต่ผมกลับมองว่าคนที่เข้าใจเศรษฐศาสตร์มากอย่าง อ.แพนด้า น่าจะดูแนวโน้มตลาดได้ดีกว่าคนส่วนใหญ่
เล่นหุ้นเมืองไทย ดูเหมือนกับสภาพคล่องมีอิทธิพลสูงมากอย่างหุ้น pttep ปีที่แล้วกำไรก็ไม่โตแต่เงินในระบบดีก็ทำให้คนเข้ามาเก็งเรื่องแหล่งพระอาทิตย์ล่วงหน้า ปีนี้กำไรมาจริงๆ แต่หุ้นลง เพราะฝรั้งออก
แล้วแบบนี้เราจะเล่นหุ้นโดยไม่ดูภาพรวมได้หรือ ในเมื่อเม็ดเงินมีอิทธิพลเหนือปัจจัยพื้นฐาน ผมไม่เถียงว่าบางคนที่หุ้นตัวเล็กแล้วไม่กระทบเท่าไหร่ ก็อาจจะบอกว่า คุณไม่ต้องสนใจฝรั้งหรอก ขอเพียงหุ้นมัน undervalue
ที่พูดๆมานี้ก็คืออยากถามว่า ทำไมอแพนด้าเก่งเรือ่งเม็ดเงินแล้วไม่ลองหัดคาดตลาดดูเหรอครับ(บางคนบอกว่าไม่มีใครทำได้ 100% แต่ผมก็อยากจะบอกว่าปัจจัยพื้นฐานที่คุณคิดมันก็ไม่ 100% เหมือนกันแหละ) ถามเพราะอยาก discuss กันเรื่องแนว buffet ในไทยกับการดูเงินฝรั่ง กับ fundamental ของหุ้นน่ะครับ
ผมว่าเป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะว่ารู้ว่าสภาพแวดล้อมตัวเองmprandy เขียน:
พอเราเรียนรู้เครื่องมือเหล่านี้แล้ว ต้องเอามาปรับให้เข้ากับตัวเองอีก แต่ละคนมีพื้นฐานต่างกัน สไตล์การลงทุนย่อมไม่เหมือนกันแน่ ผมมีงานประจำ งาน labor intensive อย่างผมมีเวลามาติดตามตลาดไม่มาก วันหยุดก็ไม่ได้หยุด (ยกเว้นวันหยุดเทศกาลทั้งหลาย) ทำให้ผมจำกัดตัวเองอยู่กับการลงทุนโดยมองระยะยาวเป็นหลัก
mprandy เขียน:[
อืมอืม เดี่ยวผมส่งของดีไปให้ครับmprandy เขียน: สอนผมเรื่องนที่ผมไม่รู้บ้างสิ อย่างบัญชี, fund flow หรือ business model อะไรทำนองนี้อ่ะ
ผมกลัวว่าจะเป็นไปในทางตรงกันข้ามกับที่คุณ ignorant ว่ามาอ่ะสิครับignorant เขียน: ผมก็เชื่อว่า น่าจะใกล้เวลาที่ประเทศเหล่านี้จะหยุดสะสมเงินดอลล่าร์แล้วหละ มันเป็นไปได้ยังไงที่จะส่งออกให้อเมริกา แล้วอเมริกาจ่ายกระดาษมาให้ แล้วพวกนี้ก็เอาไปปล่อยกู้ให้อเมริกาเอาเงินมาซื้อสินค้าตัวเองอีก (เหมือนเอาเงินให้ลูกค้ากู้ซื้อสินค้าตัวเอง ลูกค้าเลยเป็นทั้งลูกหนี้เงินกู้และลูกค้า)
ในเมื่อหาก จีน ญี่ปุ่น ไต้หวัน ไปซื้อสินทรัพย์ในอเมริกาเพื่อเป็นการลดภาระหนี้ อเมริกาก็หวงไม่ยอมอีกอ้างเรื่องความมั่นคง แล้วจะให้เอาเงินดอลล่าร์เหล่านี้ไปไว้ที่ไหน เท่ากับค่าเงินยิ่งตก อเมริกาก็ยิ่งเจ็บ
คุณหมอ mprandy คิดว่า จะปลดล็อกตรงนี้ได้ยังไงครับ