Life is beautiful.

เชิญมาพักผ่อน คลายร้อนนั่งเล่น คุยกันเย็นๆ พร้อมเรื่องกีฬา สัพเพเหระ ทัศนะนานา ชีวิตชีวา สุขภาพทั่วไป บันเทิงขำขัน รอบเรื่องเมืองไทย ชวนเที่ยวที่ไหน อยากไปก็นัดมา ...โย่วๆ

โพสต์ โพสต์
humdrum
Verified User
โพสต์: 1961
ผู้ติดตาม: 0

Life is beautiful.

โพสต์ที่ 1

โพสต์

รูปภาพ


พอถึงฤดูใบไม้ผลิ พวกอินเดียนแดงในเขตสงวนแห่งหนึ่งถามหัวหน้าเผ่าคนใหม่ว่า ฤดูหนาวปีนี้จะหนาวจัดหรือเปล่า...
หัวหน้าเป็นคนสมัยใหม่ ไม่ได้เรียนเคล็ดวิชาอ่านลมฟ้าอากาศจากบรรพบุรุษ
แต่ด้วยความกลัวเสียฟอร์มหัวหน้าเผ่า
จึงทำทีแหงนมองฟ้าแล้วบอกว่าปีนี้จะหนาวทารุณ
ขอให้คนในเผ่าเตรียมฟืนไว้ก่อไฟผิงให้มากๆ...
เมื่อตอบแล้ว หัวหน้าเผ่าก็แอบโทร.ไปถามกรมอุตุฯ
เจ้าหน้าที่พยากรณ์อากาศตอบว่า ท่าทางจะหนาวจัด
หัวหน้าเผ่าจึงย้ำให้คนในเผ่าเร่งหาฟืนเพิ่มขึ้น...
สองสามวันต่อมา หัวหน้าเผ่าโทร.ถามกรมอุตุฯให้แน่ใจอีกครั้ง
เจ้าหน้าที่ตอบว่า ปีนี้ต้องหนาวแน่นอน
หัวหน้าเผ่าจึงสั่งให้คนในเผ่าเก็บเศษไม้ทุกชิ้นที่หาได้...
พอใกล้ฤดูหนาว หัวหน้าเผ่าโทร.ไปถามที่กรมอุตุฯ อีกครั้ง
" แน่ใจ 100 เปอร์เซ็นต์นะว่าปีนี้จะหนาวจัด"
"100 เปอร์เซ็นต์" เจ้าหน้าที่ตอบหนักแน่น
หัวหน้าเผ่าถาม "ทำไมถึงมั่นใจขนาดนั้น"
กรมอุตุฯตอบ " พวกอินเดียนแดงพากันออกหาฟืนไม่หยุดเลยครับ!!!

5555555555555


          สวัสดีครับ  นานๆ ที จะเขียน  นั่งจดมา 3 เรื่อง ไม่มีอะไรมากครับ มีเวลาก็เขียน แค่สามเรื่องเท่านั้นครับ ไม่มากไปกว่านี้ ผู้อ่านทุกท่านเป้นคนเก่งทั้งนั้น ผู้เขียนขอขอบคุณในความไม่คาดหวัง  เพราะผู้อ่านทราบว่า ผู้เขียนอธิบายสิ่งต่างๆ ไม่ค่อยจะรู้เรื่อง   อย่าคาดหวังครับ ผุ้เขียนยังเขียนไม่เป็นสัปะรดเหมือนเดิม  

     เรื่องแรก   ทำไมถึงศึกษาเรื่องความสัมพันเชิงสะท้อนกลับโดยผ่านการดูหนังเกี่ยวกับชาวยิวที่ถูกฆ่าล้างเผ่าพันธ์ในช่วงสงครามโลกสอง?

  Schindler's List
 Life is Beautiful (1997)
   The Diary of ANNE FRANK
 The Pianist (2002)

 
    ได้ดูหนังที่โตรตตตตแห่งความทรมานลำบากสุดๆ เหล่านั้น  ผมได้อะไรมากว่าที่คาดคิด เพราะไม่คิดเลยไอเดียดี ๆ จึงมาของมันเอง ในที่นี้ ผมบังเอิญเข้าใจเรื่องความสัมพันเชิงสะท้อนกลับไดมากขึ้นอีกนิด  ไม่ได้หวังว่าจะเข้าใจอะไรขนาดนี้  ความสุขและความสำเร็จก็เหมือนกันหรือปล่าวไม่ทราบครับ แต่ผมเคยไดยินคำกว่าวว่า  ยิ่งไปไล่ตามหาความสุข  มันก็ยิ่งหนี  ทำให้มันดีที่สุดเต็มความสามารถ เดียวอะไรดีๆ มันมาเอง

     ผมใช้เวลาในช่วงที่ไม่ปกติในช่วงนี้ทำสิ่งที่ไม่ปกติ  ปกติคือนอน  นั่งศ๊กษาคนยิวที่ต้องตกเป็นเฉลยในค่ายกักกันของทหารนาซี  จินตนาการว่าเป้นคนยิวเหล่านั้นที่ถูกกักขัง  ถ้าเราเป็นเขา เราอยู๋ในเหตุการณ์อย่างนั้น เราจะทำอย่างนั้นไหม  เข้าใจคนอื่นจากมุมมองคนเขา  เป้นการ invert นั่นเองครับ ไม่ใช่เรืองใหม่อะไร  แล้วไอเดียต่างๆ ก็ค่อยๆ ดาหน้ามาเรียง เกี่ยวโยงกันเป็นหอกข้างแค่  ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง  ดูหลายรอบ ๆ   ไอเดียกระจายซัพพลายเกลื่อนไปทั่วบ้าน  ผู้เขียนเดินไปหน้าห้องน้ำ โถ ส้วม กระถางต้อนไม้ ถังขยะ ไมโครเวฟ หิ้งพระ ที่วางจาน ในตู้เย็นก็ยังมีไอเดีย  เดินผ่านก็ตอกบัตร ข่มขืนไอเดียเหล่านั้น โดยสร้างดีมานด์เทียมขึ้นมาก่อน จนกว่าความอยากรู้อยากเห็นจะทนไม่ไหว เมื่อสะเด้ดน้ำดีแล้ว ผู้เขียนรีบจดลงไปว่า.  

     ผมสังเกตเห้นบางอย่างที่เกิดขึ้นกับตัวเองในช่วงแห่งเวลาความทุกข์  สิ่งนั้นคือความวิตกกังวลจนเกิดความกะวนวายใจกับเหตุการณ์ที่จะเกิดในอนาคต แต่ลักษาณะความกลัวแบบนี้กลับทำให้สิ่งที่เรากลัวเป็นความจริงขึ้นมาจนนึกหันมาด่าตัวเอง    เมื่อสิ่งที่เราอยากให้เป็นกลับไม่เป็นอย่างที่คิด เราไม่มองโลกตามความจริงหรือเป้นเพราะอคติบางอย่างมาบดบังความคิดที่แจ่มชัดของเรา  อาการทางประสาทจะก็เกิดขึ้น สิ่งนั้นคิอสาเหตุของการสะท้อนกลับระหว่างสิ่งที่คิดกับสิ่งที่ควรเป้นและกลไกลหารสะท้อนกลับอย่างกะวนกะวายใจแบบคาดการณ์ไว้ล่วงหน้านี้ดูจะเป็นต้นเหตุสำคัญของวงจรความสัมพันเชิงสะท้อนกลับ ซึ่งเกิดขึ้นโดยปราศจากเหตุผลที่ถูกต้อง  ยิ่งมีการคาดการณ์มากเท่าไร ความวิตกกังวลยิ่งตอกย้ำมากให้มีความกลัวมากเท่านั้นทันทีทันควัน
   
ตัวอย่างความสัมพันธ์แบบสะท้อนกลับในตลาดหุ้นมีอะไรบ้าง?

     ถ้าฝรั่งหมดสัทธาเงินบาท เพราะเราขาดทุนการค้าตลอด ขายของไม่ดี เงินบาทเต็มไปหมด ไม่มีใครมาแลกเลย  เขาก็ขายออก พอขายบาทออกมามาก ๆ  แนวโน้มอย่างนี้จะพลักดันให้เกิดเงินเฟ้อในประเทศซ้ำเข้าไปอีก ดังนั้นจึงเป็นการตอกย้ำความถูกต้องของแนวโน้มการหมดความเชื่อถือของเงินบาทที่เขาคาดการณ์ไว้ตั้งแต่แรก
     เมิ่อเราคาดการณ์ เรากำลังใช้ชีวิตในอนาคต ด้วยกฎของความไม่เที่ยงในฃ่วงสงคราม ช่วงไหนจะไม่เที่ยงสุดๆ เท่าช่วงอย่างนั้นแล้ว  สิ่งที่เกิด สิ่งนั้นเลยเกิดตาม สิ่งนั้นไม่มี สิ่งนี้จึงไม่เกิด  ใช้ชีวิตกับเดี๋ยวนี้ อยู่ในโลกที่อะไรเกิดขึ้นจริง นั่นคือปัจจุบัน  ถ้าทำอะไร อย่าบอกใคร จนกว่าคุณจะได้สิ่งนั้นจริง ๆ เพราะเมื่อคุณบอกคนอื่นแล้ว ความวิตกกังวลแบบการคาดการณ์ล่วงหน้าจะเกิดขึ้นทันที แล้ววงจรความสัมพันเชิงสะท้อนกลับก็จะเกิดตามมา
 
ความสัมพันเชิงสะท้อนกลับมีอยูในนิทานด้วยหรือ?

    ผู้เขียนชอบอ่านนิทานอีสปมาก มันมีทั้งการสะท้อนกลับในรูปแบบต่างๆ มีทั้งสาเหตุของการทำผิดพลาดเหล่านั้น มี psychology of misjudgement ด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย มันมีไม่หมดหอรกครับ Munger มีแค่ 40 ข้อ  มันมีเป้นร้อยเลยเรื่องเหล่านี้  จนผู้เขียนชักสงสัยว่า มันจำเป้นสำหรับคนที่ลงทุนมากกว่าหนังสือการลงทุนซะอีก

ผู้เขียนคิดถึงนิทานเรื่องไข่ห่านทองคำ ชายคนหนึ่งเก้บห่านใกล้ตายมาเลี้ยงด้วยความสงสาร เลี้ยงไปเลี่ยงมา ห่านออกไข่เป้นทองคำ ชายใจดีเห็นห่านออกไข่วันละฟอง เลยเกิดความโลภ อยากได้วันละ 2 ฟอง เลยเอาอาหารมาให้กินเพิ่ม ห่านกินไปเลยอ้วน แล้วขี้เกียจไม่ยอมออกไข่อีกเลย  เรื่องนี้เป้น Negative Feedback Loop  ทุกอย่างมีผลข้างเคียง แม้กระทั่งเรื่องที่เราคิดว่าเป็นเหตเป็นผลดีแล้ว ก้ยังไม่วายมีเรื่องนอกเหนือจากที่คาดคิดเสมอ การมีวินัยในการ cut loss จึงโคตรรรสำคัญเลย


      เรื่องที่แน่กว่าแช่แป้งคืออะไร?

     การเจอกับความทุกข์และความไม่เที่ยงของชีวิตในท่ามกลางภาวะความไม่แน่นอนรอบตัวคือสิ่งที่แน่นอนที่สุด  มันมีความเป็นไปได้ของความไม่เที่ยงรอบตัวทุกวินาที  แม้พวกเขาอาจถูกพรากทุกสิ่งทุกอย่างไปจากชีวิต  ยกเว้นอย่างเดียว คือ  อิสรภาพสุดท้ายของคนยิว อิสรภาพทางใจที่จะเลือกว่าพวกเขาจะคิดอย่างไร ใครก็พรากไปไม่ได้ เราเลือกขีดเส้นชะตาชีวิตของเราเอง ไม่ปล่อยให้เป็นไปตามยถากรรม

    เราเครียดเพราะอะไร?

   คนมีความเครียด เพราะเกิดอาการอยาก   อยากให้เป็นกับสิ่งมันควรจะเป็น  ช่องว่างระหว่าง 2 ขั้วนี้มีอยู่ตัวเราทุกคน  และมันมีสมรรถภาพมากครับ มันไกว่แกว่งสะท้อนไปมาเหมือนกระดานหกอย่างไรอย่างนั้น สะท้อนไปมามากๆ ก็เป็นโรคประสาท และอาจมีจิตใจที่ไร้เสถียรภาพจนเป้นสาเหตุทำให้เราตัดสินใจผิดพลาดในบางอย่าง  

  มีตัวอย่างอื่นอีกไหม ?  

  สองสาวใช้กับไก่
หญิงสาว ๒ คนทำงานเป็นสาวใช้ในบ้านหลังหนึ่ง
เเม่เฒ่าเจ้าของบ้านมักจะลุกมาปลุกสองสาวใช้ ตอนใกล้รุ่งทกๆวันเมื่อไก่ขัน
"ไก่ขันเมื่อใดเป็นตื่นมาปลุกเราทุกที"
สองสาวใช้บ่นอย่างไม่พอใจเเละคิดว่า ไก่นั้นเป็นต้น เหตุ ที่ทำให้พวกตนไม่ได้นอนสบายๆ ตอนฟ้าสาง
สองสาวใช้จึงช่วยกันฆ่าไก่เสีย ครั้นเมื่อไม่มีไก่ คอยขัน ตอนรุ่งสางอีกเเล้ว เเม่เฒ่าจึงมักคอยตื่นขึ้น กลางดึกเสมอๆ เพราะกลัวว่าจะนอนตื่นสาย ---  Negative Feedback Loop
สองสาวใช้จึงต้องลุกมาทำงานตั้งเเต่กลางดึก ไม่ได้นอนสบายๆอย่างที่หวังไว้

               
  ทำไมเราถึงมองว่าสิ่งที่เป็นอยู๋กับสิ่งที่ควรจะเป็น เป็นภาพเดียวกัน?

       เราหลอกตัวเองด้วยอคติต่างๆ ทีมีติดตัวเรา   เราเลี้ยงศัตรูไว้ในตัวเอง คนที่จะอยู่กับเราไปตลอดชีวิตคือตัวเราเอง ถ้าเราไม่ชอบตัวเอง แปลว่าเราจะอยู่กับคนที่เราใม่ชอบตลอดเวลา  อย่างนั้น เราจะมีสุขภาพจิตที่ดีได้อย่าไงร  ถ้าเราชอบมันจริงๆ  ลองพากลับไปบ้านตามลำพัง ไปยืนหน้ากระจกและบอกดังๆ ว่า โอ้ มันสุดยอดจริง ๆ  สุดยอดจริงๆ    มันไมได้เป็นฮี่โร่ในตัวเราหรอกครับ ถ้าเราไม่ยอมรับอยางอ่อนน้อมถ่อมตน ไม่ช้าไม่เร็ว มันจะตามมาหลอกหลอนเรา และทำให้เราขาดทุนทั้งทุนชีวิตและทุนที่เป็นทุนอื่นๆ  บางทีอาจถึงคนที่เรารัก อาจเสียทุกอย่างที่เรา มี แม้กระทั่งอิสรภาพทางใจ เพราะแม้แต่ใจเองก็ไม่ใช่ของเราคนเดียวแล้ว
 
 แล้วมีวเทคนิคมาทำให้วงจรอุบาทแบบความสัมพันเชิงภาพสะท้อนหายไปหรือไม่?
 
   มองโลกตามความเป้นจริง   หรือจะจำเอาเทคนิคของคนยิวในช่วงสงครามไปใช้ จากสิ่งที่พวกเขาค้นพบเกี่ยวกับการรักษาอาการของความสัมพันเชิงสะท้อนกลับพวกเขาได้  invert  ปัจจุบันให้กลับกลายเป้นอดีต

   เปนไปได้อย่างไรที่ว่า  invert  ปัจจุบันให้กลับกลายเป้นอดีต?

  ก้ใช้ชีวิตเหมือนกับว่า เราผ่านมันมาแล้วเมื่อวาน แล้วเรากำลังเจอมันอีกครั้ง แต่เมื่อวานเราทำผิดพลาดหมดเลย  

      ยังไม่เข้าใจดี มีคำอธิบานอื่นไหม ?
    อนาคตคือความเป็นไปได้ อดีตคือความจริง  คำกล่าวนี้ไม่มีข้อโต้แย้ง
   พวกเขา  invert ความคิดว่า เด็ก ๆ ควรอิจฉาผู้ใหญ่!
   เพราะชีวิตเด็ก ๆ ยังมีเรื่องไม่เที่ยงรออีกเยอะ ผู้ใหญ่มีความจริงเก็บไว้ในอดีต ความจริงที่แน่นอนและเปลี่ยนแปลงไม่ได้  เราเก็บอดีตที่เป็นความจริงเข้าไปไว้ในความทรงจำของเราและอยู๋ในนั้นตลอดการ จะลบอย่างไรก็ทำไมได้ มันเป็นส่าวนหนึ่งของชีวิตเราแล้ว  สิ่งที่เป็นอยู๋ในขณะนี้จึงเป็นสิ่งทีเราเลือกเอง เราเป้นคนกำหนดเองว่า จะเอาภาพอย่างไรเก็บไว้ในความทรงจำของเรา  อดีตคือความจริงทีแก้ไขไม่ได้แล้ว ถ้าเราใช้ชีวิตเหมือนวันนี้เป็นวันสุดท้าย ความคาดหวัง ความกลัว ความกลัวการผิดพลาด  อคติทั้งหลาย ล้วนไม่มีความหมายอะไรเลย ทำทุกอย่างอย่างเต็มที่ และตรวจสอบตลอดเวลาว่าสื่งที่เราทำนั้น  ถ้าเราใช้ชีวิตในแต่ละวินาทีเหมือนทีเราเคยใช้มันมาแล้วเมื่อวาน แต่เมื่อวานเราทำผิดพลาด วันนี้เราจะทำผิดพลาดแบบเดิมอีก เราจะทำอย่างไรไม่ให้ผิดพลาดอย่างเดิมอีก  ไม่มีใครสามารถเชื่อมปัจจุบันไปอนาคต ด้วยความไม่เที่ยงของทุกสิ่ง สิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงเกิด ทุกอย่างเป็นภาพบิดเบือน เราทำได้แต่เพียงเชื่อมปัจจุบันไปอดีต  ทุกอย่างที่ทำจึงมันใจว่า เมื่อเรามองย้อนกลับมาแล้ว เราจะไม่เสียใจในสิ่งที่เราทำ เพราะอดีตจะอยู่กับเราไปตลอดชีวิต สิ่งที่สำคัญที่สุด เราจะคิดอย่างไรเป็นผลมาจากการตัดสินใจเลิอกที่จะคิดในใจของคนคนนั้น

ประสบการณือย่างอื่นของการใช้ invert มีอะไรบ้าง?

  เรื่องของการ invert อาการของความสัมพันเชิงสะท้อนกลับนี้ผู้เขียนมีประสบการณ์หลายเรื่อง
    ครั้งหนึ่ง พาลุกสาวไปขี่จักรยานที่สวนรถไฟ มีนกนพิราบ เรามีขนมปัง มันบินมาหา ลูกสาวเอาขนมปังให้ ยิ่งเดินหามัน มันยิ่งเดินหนี  ผู้เขียนนึกถึงคำว่า invert บอกให้ลุกสาวนั่งเฉยๆ ทำไม่สนใจมัน โยนขนมปังแต่ทำไม่สนใจมัน จากหนึ่งตัว เป็นสองตัว สาม สี่ แล้วค่อยๆ เห็นกระบวนการ critical mass เกิดขึ้นตรงปลายเท้าเรานี่เอง   แล้วผู้เขียนก็เข้าใจเรื่องความสัมพันเชิงสะท้อนกลับ อีกมุมหนึ่งที่ผู้เขียนไม่เคยมอง  
               
ผู้เขียนมีอาการนอนไม่หลับ -- ไม่ชอบกินยา  นอนนึกว่าจะทำอย่างไร   ลองตั้งใจที่จะไม่นอนในวันนั้น บอกตัวเองว่าจะถ่างตาถึง 6 โมงเช้าเลย  ไม่นานก็หลับไปตอนไหนไม่รู้ตัว
   
        ผู้เขียนเคยมีอาการวิตกเรื่องเหงื่อออกเวลาขึ้นรถไฟฟ้า อาการนี้เป็นอาการของความสัมพันเชิงสะท้อนกลับที่มีอคติของการ  กลัวคนอื่นเหม็น  พอขึ้นรถไฟก็เหงื่อออกจริงๆ บางทียังไม่ได้ขึ้นเลย แค่นึกก็เหงืออกแล้ว อากาวิตกกังวลแบบคาดการณืไปล่วงหน้าอย่างนี้มีในตัวเราทุกคน เพราะมีช่องว่างของการความคาดหวัง  ระหว่าง อยากให้เป็นกับสิ่งมันควรจะเป็น หรือ  สิ่งที่เชื่อกับสิ่งที่เป้นไปตามจริง ในที่นี้อคติของผู้เขียนคือ ความกลัวคนอื่นเหม็น  สิ่งที่ผู้เขียนคิดในใจนี้ทำให้เกิดภาพลวงตาเกิดขึ้น ถ้ายอมรับความจริงว่าเป็นอย่างนั้น ภาถลวงตาจะไม่เกิด และ เมื่อมันไม่มีอะไรให้สะท้อนกลับแล้ว ความสัมพัรเชิงสะท้อนกลับเลยไม่เกิดตามไปด้วย   ผู้เขียนชอบ invert  นึกได้ว่า เราต้องเปิดเผยให้โลกรู้ว่าเราเหงื่อออกเยอะขนาดไหน  ผู้เขียนได้แต่งตัวเป้นนักกีฬาทุกครั้งที่ขึ้นรถไฟ  โดยมีติดผ้าขนหนูผันคอทุกครั้ง  ทั้ง ๆที่  ขอโทษนะครับ กรรรรูไม่ได้เล่นอะไรมาเลย    แต่ปกติเดินขึ้นบรรไดเหงื่อออกแล้ว  ครั้งแรกที่ผู้เขียนลอง invert ความกลัวนั้น   ผู้เขียนตั้งใจโชวเต็มที่ให้คนอื่นเห็นไปเลยว่าเหงื่อออกเยอะขนาดไหน  ถ้าเหงื่ออกมาก ๆ แม่มมมมมมออกมาขนาดนี้  คราวหน้ากรุรรรรใส่ชุดว่ายน้ำ กางเกงในตัวเดียวโหนรถไฟฟ้าเลยดีกว่า  ผู้เขียน เรียนรู้ที่จะหัวเราะเยอะตัวเอง  วันนั้นพออยากให้เหงื่อมันออก มันเลยไม่ออก นึกถึงคำที่ Charlie Munger  สอนว่า   invert, always invert แล้วเรื่องนี้เป็นเทคนิคที่ได้ผลจริงๆ  คราวนี้ลองเอาไปรับใช้ในตลาด ผู้อ่านเก่ง ๆทั้งนั้น            

     หรือย้อนไปเด็ก ๆ  ช่วงที่ผมติดอ่างตอนเด้ก มีวันหนึ่งในชีวิตกว่า 5 ปีช่วงนั้นที่ผมพูดไม่ติดเลย คือ ไปงานวันเด็กแล้วเขาบอกว่าใครน่าสงสารให้มารับได้ 2 เล่ม ผมติดอ่าง เลยเดินไปบอกเขาบอกว่า ผมน่าสงสารเพราะพูดติดอ่าง ไอ้เราเลยพยายามจะพุดติดอ่างให้เขาดู แต่พูดออกไปแล้ว มันพูดคล่องปื๋อเลย นี่ถ้าตั้งใจจะติดอ่างกลับไม่ติด ผู้เขียน invert อาการวิตกของตัวเองโดยไม่ตั้งใจ อาการภาพสะท้อนเลยหายไป  ท่านผู้อ่านก็มี ลองนึกดู แล้วมาเล่าให้กันฟังบ้าง หรือ ใครถ้าเจอปัญหาต่างๆ เพื่อนๆ ลองเอาเทคนิคนี้ไปทำตรงกันข้าม แล้วผลเป็นอย่างไ มาเล่าให้กันฟังเป็นวิทยาทานบ้างครับ  

          เรื่องที่สอง  กระจกวิเศษบอกข้าเถิด เหตุการร์ต่อไปนี้จะเกิดขึ้น ข้าต้องทำอย่างไรบ้าง?  
   
     know who สำคัญกว่า know How จริงหรือไม่ ?
   
     สำคัญกว่าครับ  แต่ know why  สำคัญมากกว่า
    ส่วนที่สำคัญกว่าคือรู้ว่าทำไมเราถึงทำสิ่งนั้นในตอนนั้น มันเป้นเรื่องของการตัดสินใจว่าอะไรควรค่าแก่การลงมือทำ อะไรไม่ควรทำ  ที่เราทำผิดพลาดไปเพราะมีเหตุปัจจัยอะไรทำให้เราทำไปอย่างนั้น
   
 ถ้าเราไปสำรวจเด็กมหาลัยที่ไหนสักแห่ง  ถามว่าอะไรที่เขาอยากมีที่สุดในยุคนี้ เขาจะตอบว่าอะไร?
 
      ความมั่นคงทางการเงินจะขึ้นเป็นลำดับต้นๆ  การเข้าใจความหมายของชีวิตสำคัญน้อยลงไปมาก การค้นหาตัวเองด้านนามธรรมมีแนวโน้มน้อยลงเรื่อยๆ    

     การรู้จักตัวตนของตนเองมีความสำคัญกับอาชีพ trader มากแค่ไหน?

      แรบไบโซรอสให้ความสำคัญมากทีเดียวครับ
        ท่านเน้นให้เราตั้งคำถามว่าเราเป็นใครและเราจะทำอะไรให้กับโลกนี้บ้าง   ท่านเน้นสอนให้เข้าใจตัวเอง รู้จักตัวเอง ค้นหาสิ่งที่อยู๋ข้างในเปลือกหอยส่วนตัวของเรา บ่อยครั้งที่เขาถามลุกน้องว่ามีความคิดอย่างไร โดยหยิบยกสถานการณ์เศรษฐกิจขึ้นมา จากเหตุปัจจัยต่างๆ เหล่านั้น  พวกเขาจะตอบโต้กับสถานการณ์เหล่าน้นอย่างไร สมัยนั้น ทุกเช้าลูกน้องต้องมีพิธีกรรมบางอย่างที่เรียกว่า การสร้างภาพ
 
  กระจกวิเศษบอกข้าเถิด เหตุการร์ต่อไปนี้จะเกิดขึ้น ข้าต้องทำอย่างไรบ้าง

    บางครั้งในห้องน้ำ ระหว่างเดินไปทำงาน พวกเขาจะถุกสอนให้สร้างภาพที่จะเกิดในตลาดหุ้นทุกวัน  ต้องสร้างกรอบขึ้นมาเกี่ยวกับการคาดการณ์ไปข้างหน้าขึ้นมาและสร้างข้อสรุปว่าจะตัดสินใจซื้อ/ขายหุ้นตัวไหนดี หลักจากนั้นในช่วงเย็น  ก้นั่งทบทวนว่าสิ่งที่เราทำไปในตอนเช้านั้น มีอะไรที่แตกต่างไปบ้างกับตอนเย็นบ้าง ยังเชื่อในสิ่งที่คิดในตอนเช้าหรือไม่ ประสบการณ์ของการนั่งทบทวนความผิดพลาดตัวเองนั้นเหมือนการมองหาจุดอ่อนตัวเองทุกวัน พยายามค้นหาว่าเหตุผลอะไรทำให้พวกเขาตัดสินใจอย่างนั้น
 
           ผู้เขียนจำได้ว่า เคยเขียนสิ่งที่เขาสอนลูกน้อง ว่า..
                    เวลาลงทุน  ที่สำคัญ สร้างสมมุติฐานขั้นมาก่อน แล้ว Invest first , Investigate later,  ลงทุนทีละน้อย คอยดูว่าสมมุติฐานของเราถุกหรือผิด สร้างสัมผัสขึ้นแบบ invert ขึ้นมา ถ้าอยากซื้อ ให้ขายก่อน ดูถ้ามีคนรับมาก ถึงจะซื้อ ให้แน่ใจว่าซื้อไปแล้ว มีคนมารอซื้อต่อแน่ๆ
การสร้างความรูสึกเกี่ยวตลาดขึ้นมานั้น ทำต่อเมื่อ ไม่แน่ใจเท่านั้น
ถ้าอยากซื้อ ผมจะขายก่อน ถ้าอยากขาย ผมจะซื้อก่อน
ที่สำคัญ ต้องแยกอารมณ์และความรูสีกของตนออกจากตลาดให้ได้
ไม่ปล่อยให้ตันหาต่างๆ เข้ามาปน ไม่ปล่อยให้อัตตามาปะปนกับการตัดสิน ใจทางการลงทุนอย่างเด็ดขาด
การที่ปราศจากอารมณ์ความรูสึกในการลงทุนนั้น ต้องอาสัยความมีวินัยอย่างมาก ต้องอาสัยความมั่นใจในตัวเองอย่างมากด้วยครับ อีกทั้งต้องเข้าใจว่าตลาดมีทั้งด้านที่มีเหตุผล และไม่มีเหตุผล
และยังต้องยอมรับด้วยว่า เราไม่สามารถตัดสินใจได้ถุกต้องตลอดเวลา
หากมีโอกาส ต้องฉกฉวยให้เต็มที่ หากผิดพลาด ก็ยอมรับผิด สำคัญที่ต้องรูว่าเมื่อผิดแล้ว ต้องทำอย่างไรให้อยู่รอด
ผมอาจผิดครับ อะไรก็เป็นไปได้ทั้งนั้น
                 
เรื่องที่สาม  CRITICAL MASS

   ผู้เขียนติดบทความมาฝากอีกครั้ง ลองอ่านดูครับ...

    สี่สิบปีก่อน นักวิทยาศาสตร์กลุ่มหนึ่งได้ไปที่เกาะโคชิมา ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นเกาะที่มีลิงอาศัยอยู่จำนวนมาก เพื่อหาข้อสนับสนุนทฤษฎีไม้กระดกที่ว่าการทดลองเริ่มขึ้นโดยนักวิทยาศาสตร์นำเม็ดข้าวโพดหวานไปหว่านไว้บนพื้นทราย เจอของโปรดอย่างนี้ ฝูงลิงก็พากันมาเก็บเม็ดข้าวโพดกินกันอย่างเอร็ดอร่อยจุดน่าสนใจอยู่ตรงที่นักวิทยาศาสตร์จะหว่านเม็ดข้าวโพดไว้บริเวณที่มีทรายเท่านั้น เพื่อให้เม็ดข้าวโพดเปรอะเปื้อนทราย เวลาจะกินแต่ละที ลิงก็ต้องคอยเอามือปัดออก หรือไม่ก็ต้องคอยบ้วนทรายออก
แล้วก็มีลิงอยู่ตัวหนึ่งอายุประมาณหนึ่งขวบที่ไม่ทำอย่างตัวอื่นเขา
ทุกครั้งที่เจ้าลิงน้อยเก็บเม็ดข้าวโพดที่เปื้อนทรายได้ มันจะนำไปล้างน้ำที่ลำธารใกล้ ๆ ก่อนแล้วจึงนำมากิน ไม่ต้องบ้วนไม่ต้องปัด
นักวิทยาศาสตร์ยังคงจับตาดูพฤติกรรมของลิงทั้งฝูงต่อไป ว่าจะมีลิงตัวไหนเอาอย่างบ้าง แล้วพวกเขาก็เริ่มเห็นพี่น้องและเพื่อนลิงตัวน้อย ๆ บางตัวเริ่มทำตามที่ลิงทั้งฝูงไม่ยอมเปลี่ยนพฤติกรรมมาทำอย่างเจ้าลิงน้อยนั้น นักวิทยาศาสตร์วิเคราะห์กันว่า อาจเป็นเพราะวิธีนี้มันก็ไม่ถึงกับเห็นได้ชัดว่าดีกว่าวิธีเก่า นั่นคือถึงแม้จะไม่ต้องบ้วน ไม่ต้องปัดทรายออกจากข้าวโพด แต่ก็ต้องเสียเวลาเดินไปยังลำธารอยู่ดี

เวลาผ่านไปหลายเดือน...
มีลิงเพิ่มเพียงวันละตัวสองตัวเท่านั้นที่เปลี่ยนพฤติกรรมมาล้างข้าวโพด แล้วก็ไม่ใช่ว่าลิงทั้งฝูงจะไม่เห็นวิธีที่เจ้าลิงน้อยกับเพื่อน ๆ ทำนะครับ เห็นครับแต่ไม่ทำตามการทดลองดำเนินไปอย่างนี้อยู่เป็นปี นักวิทยาศาสตร์ก็ยังคงเอาเม็ดข้าวโพดไปหว่านไว้ บริเวณที่มีทรายทุกวันไม่มีขาด ฝูงลิงก็ยังคงมาเก็บข้าวโพดกินอย่างสม่ำเสมอ และถ้ามองด้วยสายตาก็สามารถแบ่งลิงออกเป็นสองกลุ่ม คือกลุ่มที่ล้างเม็ดข้าวโพด กับกลุ่มที่ไม่ล้าง แม้ปริมาณลิงที่ล้างข้าวโพดจะเพิ่มจำนวนขึ้น จนเริ่มใกล้เคียงกับพวกที่ไม่ล้าง แต่ลิงที่เหลือก็ยังสมัครใจที่จะกินข้าวโพดด้วยวิธีเดิม ๆ
แล้ววันหนึ่งเหตุการณ์ที่ทำให้นักวิทยาศาสตร์ประหลาดใจก็เกิดขึ้น
มันเกิดขึ้นภายในวันเดียว โดยไม่รู้จะอธิบายด้วยตรรกะง่าย ๆ อย่างไรดี เช้าวันนั้นมีลิงวัยรุ่นตัวหนึ่งเปลี่ยนพฤติกรรมไปล้างเม็ดข้าวโพดอย่างเจ้าลิงน้อยเข้า แล้วบ่ายวันนั้น ลิงทั้งฝูงก็เปลี่ยนพฤติกรรมมาล้างเม็ดข้าวโพดกันหมด
นักวิทยาศาสตร์สงสัยทันทีว่า เจ้าลิงตัวที่เปลี่ยนพฤติกรรมในเช้านั้น มันมีความสำคัญขนาดไหนกัน หลังจากที่ดูจากบันทึกและตรวจสอบอย่างละเอียด ก็พบว่ามันก็เป็นแค่ลิงธรรมดาตัวหนึ่ง ไม่ได้เป็นจ่าฝูงหรือเป็นลิงที่แข็งแรงดุร้ายกว่าตัวอื่นอย่างใด
แล้วทำไมฝูงลิงจึงเปลี่ยนพฤติกรรมไปหมด
เจ้าของทฤษฎีนี้มีคำอธิบายครับ ลองฟังเขาดู
เมื่อในสังคมเกิดภาวะมวลวิกฤต (Critical Mass) และเกิดจำนวนวิกฤต (Critical Number) ซึ่งไม่มีใครสามารถตอบได้ ว่าเป็นจำนวนเท่าไรของจำนวนสมาชิกทั้งหมดของสังคม สังคมก็จะเริ่มยอมรับในพฤติกรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง และก็จะเกิดการ ตัดสินใจปรับเปลี่ยนพฤติกรรมไปในกลุ่มที่เหลือทั้งหมด

อย่างที่บอก ถ้าให้ผมนึกตามง่ายๆ ผมก็คงนึกถึงไม้กระดกที่เด็ก ๆ เขาเล่นกัน เวลาที่ฝั่งหนึ่งมีจำนวนเด็กมากกว่าจนมีน้ำหนักมากกว่าอีกฝั่ง ฝั่งที่น้อยกว่านอกจากจะกระดกลอยสูงแล้ว บางครั้งเราก็อาจจะเห็นเด็กฝั่งที่น้อยไหลมาสู่ฝั่งที่มาก จนกลายเป็นมาอยู่ฝั่ง เดียวกันได้
ผมว่าพวกเราก็คงจะเคยเจอสภาพเช่นนี้ เพื่อนฝูงหกเจ็ดคนหาร้านอาหารจะไปกินกัน แรก ๆ ก็ถกเถียงว่าร้านเจ๊อ้อยบ้าง ร้านอาโกบ้าง เถียงกันอยู่สักพักแล้วก็มีคนหนึ่งที่ ไม่ได้คิดว่าจะไปกินร้านไหนเลยพูดขึ้นว่าไปกินเจ๊อ้อยดีกว่า จู่ ๆ ทุกคนก็กลายเป็นเปลี่ยนมาเทใจให้กับร้านเจ๊อ้อยกันหมด
แล้วผมก็ตั้งคำถามครับ น้ำหนักสุดท้ายที่ย้ายข้างนี่ ผมชักอยากรู้ว่ามันจำเป็นต้องหนักกว่าอีกข้างหนึ่งไหม
ทฤษฎีนี้ตอบว่า ไม่เกี่ยวกับการเอียงข้าง น่าสนใจนะครับประโยคนี้
เขาเน้นไปที่จำนวนหนึ่งที่วิกฤต และไม่มีใครบอกได้ว่าเป็นสัดส่วนเท่าไรของสมาชิกทั้งหมด ไม่จำเป็นต้องมากกว่าครึ่งด้วย
จำนวนนี้นั่นแหละที่เขาเรียกกันว่า มวลวิกฤต

มีหนังสือเล่มหนึ่งชื่อ Critical Mass : how one thing leads another ที่เขียนโดยฟิลิป บอล (ขออนุญาตแปลว่า มวลวิกฤต วิถีที่แห่งการกระดก) ในเนื้อหาของหนังสือเล่มนี้ พี่ฟิลิปแกสามารถอธิบายพฤติกรรมของการเลือกตั้ง ที่ชนะถล่มทลายได้ว่ามาจากอะไร พี่แกให้ความเห็นว่าลักษณะของการเลือก และการตัดสินใจลงคะแนนเสียงให้พรรคใดและใครนั้น ไม่ได้มาจากเหตุผลอย่างเดียว เพราะถึงจุดหนึ่งเวลาที่ใกล้วันเลือกตั้ง คนจะหยุดคิด หยุดวิเคราะห์ แต่จะดูกระแสคนหมู่มากว่าจะไปทางไหน แล้วก็กระโจนตามกันไป ซึ่งเขาจะเรียกว่า มวลวิกฤต หรือ Critical Mass ที่น่าสนุกก็คือคุณพี่ฟิลิป แกใช้ทฤษฎีควอนตัมอธิบายได้อย่างชัดเจนและเป็นวิทยาศาสตร์
********
********
(ประภาส ชลศรานนท์. คุยกับประภาส. มติชนรายวัน (๑๒ มีนาคม ๒๕๔๙))

 
 เหตุผลที่เกิดอาการวิตกกังวลแบบคาดการณ์ไปล่วงหน้าเกิดขึ้นในลิงได้อย่างไร?

              ไม่ทราบครับ ถ้ามีข้อมูลว่าลิงตัวหนึ่งตายในช่วงนั้นเพราะไมได้ล้าง สมมุติฐานผมจะถูกทีเดียวว่า อคติที่ทำให้ลิงเหล่านั้นมีอาการของความวิตกกังวลที่ควรทำกับสิ่งที่ทำอยู่คือระบบการย่อยที่ไปรบกวนลิงเหล่านั้น ความกลัวตายอาจเป้นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิด critical mass  ถ้าคนที่ทดลองเข้าใจเรื่องอาการของภาพสะท้อน เขาจะทำการทดลองได้ดีกว่านี้ เพราระมีกรอบที่ทำให้เรื่องเหล่านี้แคบลง จนหาจุดโฟกัสได้ ถ้าเขาทราบเรืองวงจร reflexivity อาจหาสาเหตุได้ไม่ยากครับ

ใครเป้นตกรถ?

  ข้อนี้ผมชอบมาก  Reflexivity Quiz  
อ. บัฟเฟตกับ อ. โซรอส นั้น ตกลงปลงใจกันว่า จะนั่งรถไฟไปเที่ยวเมืองเก่าอยุธยาในวันพรุ่งนี้ ทั้งสองท่านนัดพบกันที่สถานีวัวลำพองเวลา 7.55 น. นัดกันก่อน 5 นาที ก่อนเที่ยวเวลา 8 โมงเช้า ซึ่งนั้นเป้นเวลาที่รถไฟจะออกไปอยุธยา
แต่เนื่องจากนาฬิกาของทั้ง อ. บัฟเฟตและ อ. โซรอสเดินไม่ตรงเวลาครับ
นาฬิกา อ .บัฟเฟตช้าไป 10 นาที แต่ท่านคิดว่ามันเร็วไป 25 นาที
นาฬิกา อ. โซรอสเร็วไป  10 นาที แต่ท่านคิดวามันช้าไป 25 นาที
ถามว่า.ใครเป้นตกรถ?

หนังสือที่ทำให้เราเข้าใจเรื่อง reflexivity มีอะไรบ้าง?
 
  ช่วงปีใหม่ ผมได้รวบรวมหนังสือ ทุกเล่มเกี่ยวโยงกันหมด ผมอ่านเล่มละหลายรอบ นับเปนครั้งไมได้ เพราะวางอยู่ทั้วบ้าน เดินผ่านก็หยิบมาอ่าน ผมอ่านทั้งวัน อ่านหน้าละนิดละหน่อย ถ้านับครั้ง คงอ่านเล่มหนึ่งหลายร้อยรอบ ใครสนใจที่เกี่ยวกับเรื่อง reflexivity ต้องหาอ่านเอาไว้ ผมอาจผิดครับ อะไรก็เป็นไปได้ทั้งนั้น
1. ศิลปการผูกมิตร และจูงใจคน
2. การดับทุกข์ หลวงพ่อพุทธทาส
3. ท้าทายสมองซีกขวา
4. ยิวของหม่อมราชวงคึกฤทธิ์
5. Jeromes becomes a genius - Eran Katz
6. Secrets of a Super Memory Eran Katz
7. Sudoku
8. วิชาสุดท้ายที่มหาวิทยาลัยไม่เคยสอน
9. Seeking Wisdom from darwin to Munger


   ต่อไปผู้เขียนจะเขียนเรื่องอะไรอีก?

1. reflexivity in สามก๊ก
2. reflexivity in family
3. reflexivity in Thai political
4. reflexivity in economics
5. reflexivity in mathematics
6. reflexivity in physics
7. Guidlines for better reflexivity thinking
8.reflexivity in psychology
9. reflexivity in stock markets

                คงอ่านไม่รู้เรื่องครับ

Guidlines for better daily reflexivity thinking มีอะไรบ้าง
 
  อ่านในคัมภีร์วัชรสูตร
ซึ่งเป็นการสนทนาระหว่างพระพุทธเจ้ากับพระสุภูติ ถ้า trader ที่มีความคิดฝังหัวว่าเหตุการณ์ A คือ A จะอ่านไม่ได้เลยครับ ก่อนอื่นต้องคิดแบบแรบไบ SOROS ก่อนว่า สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นในโลกนี้เป็นเพียงภาพมายาเท่านั้น คือ A ไม่ใช่ A เป้นไปได้จริงหรือครับ
การเกิดของ A ประกอบไปด้วย B C D E F..
A ไม่อาจอยู่ได้โดยลำพังของมันเอง
ถ้าเราตั้งคำถามไป วิปัสสนา ไปที่ A อย่างจริงจัง
เราจะเห็นว่า B C D E F และสิ่งอื่นๆ ที่อยู๋ในนั้นด้วยครับ
เมือเราเห็นว่า A ไม่ใช่เป้นแค่ A ก็เท่ากับว่าเราเข้าใจธรรมชาติที่แท้จริงของเหตุการณ์ A เมื่อเราถึงระดับนี้ เราถึงบอกได้ว่า A เป้น A หรือ A ไม่ใช่ A
แต่ก่อนถึงขั้นนี้ A ที่เราเห็นเป็นเพียงภาพหลวงตาของ A เท่านั้น
ถ้า trader เห้น A ได้ลึกซึ้งจนเห้นว่า A ไม่ใช่ A จนยอมรับว่าทุกอย่างที่เห็นอาจไม่ใช่ A เสมอไป

ลองสังเกตภาษาบาลีครับ ภาษาบาลีฝึกใช้ทักษะจินตนาการมองสถานการณ์ที่คลุมเครือได้เป็นอย่างดี

. วิปริณามธมฺมํ กลฺลํ นุ ตํ สมนุปสฺสิตุ เอตํ มม เอโสหมสฺมิ เอโส เม อตฺตาติ ?

ไม่จำเป้นค้องมีสระ ยิ่งน้อยเท่าไร ยิ่งมากเท่านั้น ภาษากับลักษณะของคนในชนชาติแยกกันไม่ออก trader เก่งๆ ของโลก ล้วนเป้นคนยิวทั้งนั้น ในภาษาฮิบรูที่ชาวยิวใช้ เขาเขียนไม่มีสระ เป็นการละไว้ด้วยความเข้าใจ เคล็ดลับในการเทรดที่ท่านกำลังมองหาอยู่นั้นอยู๋ในสายเลือดของคนยิวทั้งนั้น ลองไปอ่านหนังสือที่ชื่อ Jerome becomes a genius เขียนโดย Eran Katz

ตัวอย่างที่ 1
กร ฝกบบ คดยอนกลบ วล เขยน มนฝกสมอง ดด ตรยม พรอม น กร ลงทน สำหรบ นว rflxvty ดปน อยงด
เฉลย : การ ฝีกแบบ คิดย้อนกลับ เวลา เขียน มันฝีกสมอง ได้ดี เตรียม พร้อม ใน การ ลงทุน สำหรับ แนว reflexivity ได้เป็น อย่างดี
ลองเอางานที่เขียนเก่าๆ ของท่านเอง มาตัดสระ ตัดวรรณยุกต์ออก แล้วอ่านอีกครั้ง มันต้องเดา เวลาอ่าน ความเข้าใจมันไประดับอีกขั้นที่เราไม่เคยเข้าใจ มันสนุกที่ต้องคิดล่วงหน้าว่าคำนี้หมายถึงอะไร ผมรับรองท่านจะเข้าใจในสิ่งต่างๆ ในระดับความสามรถของท่านที่ท่านไม่เคยรู้มาก่อนว่ามันซ่อนในตัวท่านมานานแล้ว
ท่านจะได้ทักษะเพิ่ม ผมรับประกันได้ ลองจากคำง่ายๆ ไปยาก แล้วฝึก เขียน จากขวาไปซ้าย ข้_สังเก_ประเด้นการเขีย_จากขว_ไปซ้า_เป้นแบบทดสอบ ลองไป 3 ชม.ทุกวัน เมื่อเดาปร_โยคถูกคำม_กขึ้น มนจ_กล_ยเป็นทักษ_ไปเอง แล้วท่านเอาไปใช้ในการซื้_หุ้นถูกตัว ถูกจังวะ ถูกเวลา หลายๆ ครั้ง ความมั่นใจมันมาเอง ฝึกเขียนจากขวามาซ้าย เวลาเขียน จะบังคับให้เราต้อง invert คำนั้_ก่อนเราจะเขียน ตัวอย่าง
ผมกำลังเขียนจากซ้ายไปขวา
ซ้ายไปขวาจากเขียนกำลังผม
งผม
ลองดูครับ ของอย่างนี้สอนกันไม่ได้ ต้องทำดูเอง
ภาษาไทยพัฒนาตัวอักษรมาให้เขียนจากซ้ายมาขวา บางคำเราต้องปรับหน่อยเท่านั้นเองครับ
เวลาเขียนลงกระดาษ ถ้าไม่คิดแบบ invert ในคำที่เขียน มันทำให้เราต้องเผื่อที่ว่างเอาไว้เสมอ เป้นฝึกการคิดแบบ margin of safety ไปในตัวครับ

สวัสดีครับ.....^ ^
RONNAPUM
Verified User
โพสต์: 1455
ผู้ติดตาม: 0

Life is beautiful.

โพสต์ที่ 2

โพสต์

ว้าววว กลับมาแล้ว  :D
อย่าทำตัวเป็นนักแสดง เป็นเพียงผู้ดูก็พอ..
vivitawin
Verified User
โพสต์: 1922
ผู้ติดตาม: 0

Life is beautiful.

โพสต์ที่ 3

โพสต์

หายไปนานเลยนะครับ  
welcome back :D
ภาพประจำตัวสมาชิก
sialic
Verified User
โพสต์: 144
ผู้ติดตาม: 0

Life is beautiful.

โพสต์ที่ 4

โพสต์

^^".. ไม่เกี่ยวกับกระทู้  

 แต่วาน นักลงทุนหน้าใหม่(โดยเฉพาะผู้ฉิง)ไปอ่านความหมายชื่อของพี่ท่านที่นี่ค่ะ

  http://www.thaivi.com/webboard/viewtopic.php?t=38762


ปล. ขออภัยหากก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวเด้อ .... :lol:  :lol:  :lol:  :bow: :bow:
new user
humdrum
Verified User
โพสต์: 1961
ผู้ติดตาม: 0

Life is beautiful.

โพสต์ที่ 5

โพสต์

รูปภาพ    



ตลาดในช่วงนี้ เชื้องช้าทรมานมาก ๆ จริงๆ ว่าไหมครับ?
         อันที่จริง ผมพึ่งรู้สึกอย่างนี้เมื่อไม่นานมานี้เอง ผมว่านี่คือจุดที่นักวิเคราะต่างๆ เริ้มยิ่มแหยๆ อ่ยางไม่สบายใจ  ผมอาจมีคำอธิบาย ผู้เขียนใช้เรื่องทฤษฏีภาพสะท้อนมองลงไปในเรื่องของจิตวิทยาในการลงทุน   โปรดกรุนาอ่านด้วยการตั้งคำถามเสมอ สิ่งที่ผู้เขียนจดอาจผิด  ผู้เขียนขออภัยในคำสะกด
     
          เคยได้ยินถึงคำว่า ช่องว่าง  ในทฤษฎีภาพสะท้อนหรือไม่?
       
เป็นช้อว่างความเครียดระหว่าง สิ่งทีเราได้ทำสำเร็จตามตั้งใจกับสิ่งทีเราควรจะทำแต่ยังไมได้ทำ   หรือเป้นช่องว่างระหว่าง  สิ่งที่คนนั้นเป็นอยู๋กับคนที่เขาควรจะเป็น   นักลงทุนเน้นภาพสะท้อนที่แท้จริงควรตรวจสอบให้ภาพทั้งสองอย่างหายไป เหลือเพียงภาพเดียวคือภาพปัจจุบันตามความเป็นจริง  

      เหมือนการลงทุนเน้นคุณค่าหรือไม่?
          สิ่งเดียวกันแต่มองคนละด้าน   การลงทุนเน้นคุณค่าที่แท้จริง มองไปที่ช่องว่าง สิ่งที่ควรเป้นกับสิ่งที่เป็นอยู๋    


       
         ข่าวร้ายขายได้เพราะอะไร?
     
เพราะว่าแปลกไปจากสิ่งที่ควรเป็น   ข่าวร้ายมีคนถูกยิงตายเป้นสิ่งที่ไม่ควรเป้น เราอยากเห้นคือสังคมไทยที่เป้นสุข  เมื่อมีช่องว่าง  สิ่งที่เป็นกับสิ่งที่ควรเป็น  เกิดขึ้น วงจรภาพสะท้อนเชิงสะท้อนกลับจะเกิดขึ้นทันที การลงข่าวร้ายจึงขายได้ตลอด เพราะเรามีช่องว่างกับตัวเราเองแล้วเรายังมีช่องว่างกับสิ่งรอบตัวที่เราพบเห้น   เมื่อมีสิ่งที่ทำให้เกิดช่องว่างภายในจิตใจเราได้ สิ่งนั้นจะขายได้ทันที   อะไรที่แปลกไปจากปกติ อะไรที่เกินความคาดหมายของคน  อะไรที่แปลกไปจากสิ่งที่ควรเป้น มันกระตุ้น อคติ ของคนได้   ตัวอย่างข่าว นายเม้งทำรองเท้าหล่นบนรถเมล์ แล้วโยนลงไปอีกข้างเผื่อใครมาเก็บจะได้มีใส่ทั้งสองข้าง   เขาจะไมได้ลงข่าวเพราะเขาควรทำอย่างนั้น   แต่ถ้าหลังจากนั้นนายเม้งศึ่งไม่ใส่รองเท้าเดินเข้าห้างทะเลาะกับ รปภ กลับได้ลงข่าวว่าเขาเป็นคนบ้าที่พยายามเดินเข้าห้างเพราะคนดีๆ เขาใส่รองเท้ากันทุกคน ข่าวนายเม้งถูกจับจึงแปลกว่าที่ควรเป้นมันถึงเป้นข่าวได้  
 
 หลักการน้ใช้กับตลาดหุ้นอย่าง?
          วันนี้ได้เห้นใน หุ้น QH  การปรับโครงสร้างใหม่ใน Q-con ทำให้เกิดความเข้าใจผิเกี่ยวกับราคา QH ในช่วงที่ผ่านมา สิ่งที่ปรับลงไม่ใช่ราคาของ QH แต่เป็น อคติของนักลงทุนต่อความเสี่ยงในเชิงลบที่ทำให้ราคามันปรับตัวลงจนเป้นปัจจัยที่ส่งเสริมตัวมันเอง
 
ปัจจัยที่ส่งเสริมในตัวมันเองหมายถึงอะไร?
   แนวโน้มพื้นฐานไม่เคยเปลี่ยนไป สิ่งที่เปลี่ยนคือความคาดหวังที่นักลงทุนมีต่อหุ้นตัวนั้น  เมือความคาดหวังจากนัลงทุนไปกดราคาให้เคลื่อนไหวไปในทิศทางขาลง ราคาลงตามที่มันควรเป็นเพราะความเสี่ยงที่อาจปรับเพิ่มขึ้น แต่การรับร็ต่อความเสี่ยงมักจะเกินเลยไปเสมอ ภาวะไร้ดุลยภาพในตลาด ก็เหมือนภาวะอาการทางประสาทในจิตใจคน แต่ในตลาดเมื่อเกิดภาวะไร้สมดุล จะเกิดพฤติกรรมวิ่งตามกันซื้อ/ขาย  นักลงทุนซื้อเพราะเห้นราคาขยับ และขายเมื่อเห้นราคาปรับตัวลงอย่างรวดเร็ว
         
 เหมือนอย่างวันนี้?
 
วันนี้ปเนจังพวะที่ดีครับ เพราะเหตุการณ์ไม่ควรเป็นอย่างที่นักลงทุนคิเ พอราคา QH ขยับขึ้นแต่เช้า ข่าวนี้เลยขายได้ เพราะมันแปลกไปจากที่นักลงทุนคาดหวัง และยิ่งมีอาการประสาท หรือ ความไร้เสถียรภาพในตลาดหุ้นมากเท่าไร  คุณจะเห็นแนวโน้มใดอย่างใดอย่างหนึ่ง โดนเฉพาะ สิ่งที่ไม่ควรเป้นแต่กลับกำลังเกิดขึ้น จะมีอิทธิพลต่อนักลงทุนมากไปด้วย เราจะได้เห้นพฤติกรรมอย่างนี้อีก กุญแจดอกสำคัญแค่อยู๋ที่ว่า การจับให้ได้ว่า มีความเข้าใจผิดเกิดขึ้นกับหุ้นตัวใดตัวหนึ่ง และ การเข้าใจผิดอย่างนี้ มันเหมือนมีช่องว่างระหว่างความคิดของนักลงทุนในตลาดกับภาวะความเปฯจริงที่ควรเกิดขึ้น
 
  มีวิธีตรวจสอบไหม?
         
คิดง่าย ๆครับ คูนช่วยคนแก่ข้ามถนน จะไม่วันได้ลงข่าวเลย มันขายไม่ได  ยกเว้นพาข้ามแล้วคุณถูกรถชน เพราะการพาคนแก่ข้ามถนนเป้นสิ่งที่ควรเป้น แต่พาคนแก่ข้ามแล้วกลับถูกรถชน  สิ่งนั้นแปลกไปจากสิ่งที่ควรเป้น  สิ่งนั้นจึงขายได้
        สภาพจิตใจคนมีช่องว่างระหว่างสิ่งที่ควรเปนกับสิ่งที่เป้นอยู๋เกิดขึ้นตลอดเวลา อะไรที่สร้างช่องว่างนี้ได้จึงขายได้?

  ใช่ครับ .... ราคาหุ้นที่ปรับขึ้นท่ามกลางข่าวร้ายต่างๆ  มันขายได้  สิ่งที่ควรเป้นคือราคาหุ้นควรจะปรับตัวลง สิ่งที่เป้นอยู๋คือราคากลับปรับขึ้น  เมื่อมันแปลกไปจากสิ่งที่ควรจะเป็น มันเลยเกิด ช่องว่าง ที่เป็นภาพสะท้อนที่ไปกระตุ้นอคติบางอย่างในตัวเราที่เราทุกคนมีช่องว่าง มนตัวเราอยู๋แล้ว และเป้นสาเหตุทำให้เราตัดสิใจผิดพลาดในการลงทุน
               
         หนังสงครามทำให้เราเข้าใจ reflexivity มากขึ้นจริงหรือ?
     
         เวลาดูหนังสงคราม ผม invert ตัวเองลงไปในหนัง ผมไม่ได้แยกตัวเองออกมาในฐานะผู้สังเกตอยู๋ภายนอก ผมอยู๋ในนั้นกับพวกเขา  ผมตกเป้นเฉลยในค่ายกักกันชาวยิว ผมจินตนาการเข้าไปในจิตใจของพวกเขา  เป้นเป็นส่วนหนึ่งในนั้นด้วย  ผู้เขียนสังเกตว่าตัวเองมีความตื่นตัว อยากรู้อยากเห้นมากกว่าปกติอย่างมาก  อะไรรอบตัวกำลังเกิดขึ้น และถ้าสิ่งนั้นเกิด สิ่งใดอะไรเปนผลตามมา  แล้วมันทำให้ผุ้เขียนตกอยู๋ในอันตรายหรือไม่  แต่ความกระหื่นกับสิ่งต่างที่เกิดขึ้นไมได้ปนกับอารมณ์ต่างๆ ของผู้เขียนเลยแม้แต่น้อย ผู้เขียนมองทุกอย่างตามภาวะความเปนจริง ไม่มีความรู้สึกส่วนตัว เรามีสภาพจิตใจแบบนั้นต่อเมื่อเราคิดที่จะปกป้องตนเองจากการถูกฆ่า   ผู้เขียนทดลองสร้างสภาพจิตนี้ในตลาดหุ้นท่ามกลางสถานการณ์ที่ต้องเจอความเสี่ยงกับการขาดทุนอยู๋ตลอดทุกวันทุกชั่วโมงจนบางครั้งผู้เขียนต้องหยุดดูหน้าจอ    ทำอย่างไรให้อยู๋รอด  คำนี้ผู้เขียนได้ยินท่านแรบไบโวรอสกล่าไว้    อะไรที่ไม่ปกติในสถานการณ์ที่ไม่ปกติถือเป้นเรืองปกติ  ข่าวร้ายในช่วงนี้อาจเปนข่าวดี ข่าวดีอาจเป็นข่าวร้าย
   
แล้วทำอย่างไรให้อยู่รอด?
     
 ปรับตัว แค่นั้นเอง  
       ผู้เขียนเห้นคนตายในหนัง  ดูนานๆ เข้าเริ่มชินกับภาพที่เห้น จากความคิดว่า  การตายเป้นสิ่งไม่ควรเป้น อารมณ์สงสาร ความหวาดผวากับภาพที่เห้นคนถูกยิงที่หัว ภาพเด้กทารกที่ถูกจับโยนลงไปกองไฟ ความขยะแขยงของศพที่กองกันเป็นพัน นี่ถ้าเป้นที่เมืองไทย มองจากมุมข้างนอก อย่างนี้มันขายได้ เพราะเป้นสิ่งไม่ควรทำ แต่ในสภาวะสงครามสิ่งนี้คือสิ่งปกติ แล้วมันไมทำให้เราเกิดช่องว่างของอการภาพสะท้อนอีกต่อไป เพราะในสงคราม มันคือ สิ่งที่ควรเป้น  และไม่แปลกไปจากชีวิตประจำในช่วงนั้น   พอดูหนังสักพัก  เราจะปรับตัวไปเอง  ความทุกข์ทรมาน ภาพของคนทนทุกข์ทรมานก่อนตายไมได้ทำให้ผู้เขียนรู้สึกอะไรอีกต่อไปอีกแล้ว เป็นสภาวะที่เฉยชาต่อสภาวะอารมณ์ใดๆ  ที่เคยเกิดตอนเริ่มดูหนังในช่วงเริ่มต้น


    เริ่มชาชินกับสิ่งที่เห้น?

    ใช่ครับ     ภาวะชินชาอย่างนี้ไม่ยินดียินร้ายต่อสิ่งเลวร้ายต่างๆ เป็นสภาวะที่กำลังในสังคมไทยและในตลาดหุ้นไทย   ความร็สึกไม่อินังขอบๆ  กับเรื่องร้ายๆ  ส่งผลต่อความเฉยชาตายด้านของนักลงทุนต่อความเสี่ยง    นักลงทุนบางคนอาจมีอาการตายด้านกับการขาดทุนทุกวันแล้วยังมีความสุขอยู่ได้    โดยสภาวะที่ชินชากับสภาพที่เป็นอยู๋  แต่ในไม่ช้านักลงทุนคนนั้นจะสร้างเกราะป้องกันตัวเองได้ เหมือนกับที่คนยิวอยู๋ในสภาพความเคยชินกับความเสี่ยงเป้นเสี่ยงตายในสงคราม  สิ่งที่ทำให้นักลงทุนเจ็บปวดมากที่สุด ไม่ใช่สภาวะการขาดทุนที่เปนตัวเงิน แต่เปนความเจ็บปวดภายภายในจิตใจที่เหลือทิ้งไว้จนอาจฝังลงไปในจิตใต้สำนึก
       
จิตใต้สำนึกของนักลงทุนจะเปลี่ยนไป?
   
  อาการนักลงทุนจะเปลี่ยนไป  อากรถอนหายใจ เฮ้อ....หมดไปอีกวันแล้ว  จะกลายเปฯสภาพปกติในชีวิตประจำวัน  ภารกิจที่จำเป้นที่สุดคือ ..การรักษาชีวิตให้อยู่รอด ไม่ให้ทุนทั้งหมดหมดไป สภาวะที่เกิดขึ้นนี้จะลดอคติทั้งหมดของพวกเขาออกไปจนหมดจนเหลือแต่สัญชาติญาณดิบ  ใครที่ไม่เคยเป็น trader  จะไม่เข้าใจกับเหตูการณ์อย่างนี้   ความทรมานในใจกับความพยายามที่จะรักษาจิตใจที่แข้มแข็งเอาไว้  
   
    ผู้เขียนรักษาจิตใจที่เข้มแข็งอย่างไร?
   
นึกภึงเรื่องตลก. ผู้เขียนเคยไปกินข้าวที่พันทิพ มีสาวๆ สงอคนมานั่งหลังผู้เขียน  เขาสั่งซกเล้กมากิน เป้นเนื้อดิบแล้วปรุงให้แซบๆ  คนนหึ่งบอกว่า เฮ้ย...กินเนื้อดิบๆ ไปได้อย่างไร  สาวอีกครนบอกว่า ทำไมกินไมได้ ฮำดิบๆ กรูยังกินมาแล้ว      ผู้เขียนแอบยิ้มในใจ เรื่องนี้กถึงทีไร มันพาเราอยู๋เหนื่อสถานการณ์ต่างๆ ที่กดดันได้                  
             
       ปรับตัวอย่างไร ในช่วงสภาพตลาดหุ้นอย่างนี้?
       
ความเป็นจริงกับสิ่งที่ควรเป้นมีช่องว่างถ่างออกมากทุกวันจนไกลจุดดุลยภาพและไม่มีกลไกมาปรับให้มันแคบลงด้วยและรอบๆ ตัวเรามีแต่เรื่องที่ทำให้มันขยับออกไปเรื่อยๆ  สถานการณ์ไร้เสถียรภาพจะเกิดง่ายๆ เหมือนคุฯเป็นโรคประสาท เพราะ สิ่งท่คุณอยากให้เป็นไม่เป็นอย่างที่คาดหวัง  ถ้ามีอะไรมาสะกิด คุณสามารถนะเบิดออกได้ตลอดเวลาจนตัวคุณเองก็ไม่สามารถตามทันอารมณ์ตัวเองได้   การตัดสินใจทืผิดพลาดจึงเกิดได้ง่ายๆ   ตัวอย่าง ขายหุ้นออกอย่างหนักหรือซื้อตามกันอย่างหนักเป้นอาการดังกล่าว

  ช่วงนี้มีแต่ข่าวลือ?
     
    พอมีคนเปรยขึ้นมา ก็มีคนช่วยแพร่ข่าวให้กระจายไปอย่างรวดเร็ว    ช่วงไหนไมเท่ายุคนี้ ยุคแห่ง refelxivity ในสังคมไทยที่เด่นชัดที่สุด   ข่าวลือกับความจริงมักจะขัดแย้งกันอย่างมีจุดบกพร่องให้สังเกต  พอมีข่าวลืออันหนึ่ง จะมีอีกอันวิ่งตามกันมาเป้นละลอก  ยิ่งเป็นการกระตุ้นอาการภาพสะท้อนในจิตใจขอนักลงทุนยิ่งขั้นไปอีก
     
มีกลยุทธิในการเอาตัวรอดในปีนี้อย่างไร?
      คนทีจะรอดจากตลาดหุ้นในปีนี้ได้ ไม่ใช่คนที่มีร่างกายแข้มแข็ง  แต่เป้นคนที่มีจิตใจแข็มแข็งละอียดอ่อนต่อสิ่งต่าๆง รอบตัว และเป้นคนที่ใช้ความคิดถึงความเปฯไปต่างๆ  มองตลาดตามความเป็นจริง  ขุมทรัพย์ในตลาดมีให้ค้นหา แต่ต้องมองหาขุมทรัพย์ในตัวเองก่อน  เข้าใจตัวเอง  ความทุกข์ยากต่างๆ ที่เกิดขึ้นถึงมากระทบจิตใจเพียงใด  มันจะกลายเป้นเพียงเรื่องเล้กน้อย  คนที่มีมุมมองคิดถึงจิตใจคนอื่น จะเอาตัวรอดได้ดีที่สุด.....

สวัสดีครับ....
สถาปนิกต่างดาว
Verified User
โพสต์: 463
ผู้ติดตาม: 0

Life is beautiful.

โพสต์ที่ 6

โพสต์

life is beautiful
rule is beauty fight
drum-humท่าน  ไปไหนหาย
หลายดีใจ ได้เขียนมา

หายไปพร้อมๆกับเฮียริวงะ
กลับมาแล้วอย่าลืมชวนเฮียริวมาด้วยล่ะ
:lol:
ลงทุนแบบ อาร์ตๆ
สถาปนิกต่างดาว
Verified User
โพสต์: 463
ผู้ติดตาม: 0

Life is beautiful.

โพสต์ที่ 7

โพสต์

life is beautiful
rule is beauty fight
drum-humท่าน ไหนไปหาย
หลายดีใจ ได้เขียนมา
ลงทุนแบบ อาร์ตๆ
Stock Broker
Verified User
โพสต์: 2509
ผู้ติดตาม: 0

Life is beautiful.

โพสต์ที่ 8

โพสต์

เข้ามาทักทายครับ ยังเขียนอ่านยากเหมือนเดิมนะครับ อิอิ

ไม่อยากบอกเลยว่าวันพฤหัสเพิ่งสอย QH มา ว่าแต่มันมีข่าวอะไรเหรอครับไม่ได้ตามเลย ดูแต่กราฟอย่างเดียวเอง

Reflexivity ผมก็สนใจอยู่นะ ถ้าจะหาคนคุยเรื่องนี้แก้เหงาเอาผมมั้ยล่ะ แต่ต้องเอาแบบอ่านง่ายๆ นะ ยากไปผมไม่ถนัดเลย
humdrum
Verified User
โพสต์: 1961
ผู้ติดตาม: 0

Life is beautiful.

โพสต์ที่ 9

โพสต์

รูปภาพ

สวัสดีทุกท่านครับ  ยินดีครับ ขอบคุณล่วงหน้าครับ



 ความคิดเห็นส่วนตัว โปรดใช้ความรอบครอบในการอ่านครับ
ผมอาจผิดครับ อะไรก็เป้นไปได้ทั้งนั้น

  ทักษะอะไรที่สำคัญที่สุดถ้าจะลงทุนในตลาด?

                 ได้ยินว่า cut loss สำคัญที่สุด

           คุณเชื่ออย่างนั้นไหม?
           
ไม่ทั้งหมด  สาเหตุที่ทำให้เราตัดสินใจซื้อหุ้นตั้งแรกสำคัญกว่า ถ้าเขาไม่ซื้อหุ้น การ cut loss ก็ไม่เกิดขึ้น การ cut loss เป้นแค่ผลลัพไม่ใช่ต้นตอของสาเหตุ
   
ในมุมมองของความสัมพันแบบภาพสะท้อน มองเรื่องการ cut loss อย่างไร?
     
   พฤติกรรม cut loss เป็นเพียงพฤติกรรมภายนอกที่สะะท้อนมาจากโลกภายในของนักลงทุน    คุณภาพของการลงทุนเทคนิคต่างๆ ที่นักลงทุนเอามาปรับใช้ จะไม่สามารถเกินคุณภาพของความคิดที่พวกเขามี   ความหมายของเรื่องนี้คือเรามัวแต่เรียนรู้เทคนิคการ cut loss  สร้างระบบขึ้นมาป้องกันความเสี่ยง แต่ตลอดเวลาเรายังหล่อเลี่ยงสาเหตุของการตัดสินใจที่ผิดพลาดนั้นไว้ในใจตลอด  เราเฝ้ากังวลที่จะปรับปรุงเงื่อนไขภายนอกแต่กลับไม่ปรับปรุงเงื่อนไขจากภายในที่ควรให้ความสำคัญมากกว่า
 
 เรามองหาวิธี cut loss มากเกินไป จนละเลยต้นเหตุที่แท้จริง?
     
 cut loss  ไม่ใช่วิธีลบภาพสะท้อนจากการวิตกกังวลแบบคาดการณ์ไปล่วงหน้า แต่เทคนิคการ cut loss ในตัวมันเองเป็นวิธีการป้องกันที่ทำให้ภาพสะท้อนไม่ได้ขยายวงไปมากกว่านั้น   สิ่งที่ก่อให้เกิดภาพสะท้อนจริงๆ ที่เรียกว่า อคติต่างๆ  กลับถูกละเลย เราเป็นอย่างไรย่อมขึ้นอยู่กับสิ่งที่เราคิด  สิ่งที่เราคิดนั้นอาจไม่สอดคล้องกับความป็นจริงที่ปรากฏ   และการ cut lossอาจกลายเป็นอคติอย่างหนึ่งโดยที่เราไม่ทันคิด  ถ้าเป็นอคติที่ดี มันจะให้เรามีความสุข แต่ถ้าอคติทุกอย่างมีจังหวะเวาของมัน บางเวลา บางสถานที่ อคติที่ดีกับกลายเปนไม่ดี และบางเวลา บางสถานที่ มันอาจส่งผลในทางตรงกันข้าม
   
  หมายถึงว่า เรามีความสุขได้เช่นเดียวกัน ทั้งๆ ที่เราถูกบดบังด้วยอคติ?
           
 ถ้าอคตินั้นทำให้เรามีความสุข ซึ่งไม่แน่เสมอไป ว่าอคติตัวเดียวกันจะส่งผลอย่างไร แต่ในขณะที่เรายังถูกบอดบังด้วยสิ่งที่ไม่แน่นอนในชีวอต  เราจะลับอาวุธเหล่านั้นไว้ในใจเราตลอดเวลาและมันอาจกลับมาทำลายตัวเราเองในภายหลัง  เราควรต้องขุดลึกลงไปในใจตัวเองและหาสาเหตุการขาดทุนที่แท้จริง   หาว่าอคติอะไรเป็นตัวสร้างอุปนิสัยในการลงทุนของเรา อะไรเป็นตัวหล่อหลอมชีวิตที่เราเป้นอยู๋ และเป้นตัวกำหนดชะตากรรมให้เราต้อง cut loss  เรื่องนี้สามารถพิสูจนืได้ด้วยการเผ้าดูตัวเอง คอยติดตามสาเหตุของการตัดสินใจซื้อ/ขายหุ้นตัวนั้น คอยติดตามผลต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับตัวเอง จากนั้นค่อยๆ เชื่อม้หตุและผลต่างๆ เข้าด้วยกัน หาสาเหตไม่ยากครับ
     
cut loss เป็นวิธีรักษา ไม่ใช่วิธีป้องกัน?
           
...cut loss เหมือนมีดตัดหญ้าในสวนที่คอยตัดวัชพืชออกจากสวน แตสาเหตุที่วัชรพืชขึ้นกลับถูกละเลยเพราะนักลงทุนยอมรับว่าวัชรพืชขึ้นในสวนเป้นเรื่องปกติ  เหมือนที่นักลงทุนยอมรับว่าการขาดทุนเป้นเรื่องปกติในตลาดหุ้น  บางคนกลับหล่อเลีย้งวัณพืขนั้นเสียเองด้วยการเพาะพันให้มันออกดอกในจิตตัวเอง  ด้วยการกรทำอย่างนั้น ไมนานพวกเขาจะพบว่าพวกเขาเป้นผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับกับเพาะวัชรพืชเหล่านั้น  แทนที่จะเปนผู้เชี่ยวชาญเพาะปลุกดอกไม้ทองคำที่มีค่ามากกว่า

        คิดอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น คิดจะ cut loss ก้ได้ cut loss?

            คุณจะได้อยู๋ตรงไหนในชีวิตเพราะตัวคุณเอง  ความคิดที่ถูกสร้างขึ้นมาจนกลายเป็นนิสัยของเราเป็นสาเหตุที่พาเราไปอยู๋ตรงนั้น

  เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเรากำลังเดินมาผิดทาง?

         มองหน้าในกระจกทุกวัน ถามตัวเองว่า ถ้าวันนี้เป็นวันสุดท้ายของเรา  สิ่งที่เรานี้ เรายังอยากทำหรือไม่   ถ้าความรู้สึก ไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เกิดขึ้น เราอาจกำลังเดินตกเหวในไม่ช้า  

    วิธีแก้มีไหมครับ ?

       invert  สิ่งที่เขาคิด ถ้าเขาอยกา cut loss ต้องถามว่า อยากซื้อเพิ่มไหม หรือ cut loss  เพราะว่าเขาคาดการณ์ผิดตั้งแต่แรก   การเปลี่ยนแปลงที่กเดภายนอกเป้นสัดส่วนกับการเปลียนแปลงภายในเสมอ  สถานการณ์ต่าง ๆไมได้กำนหดให้นักลงทุน cut loss   มันเพียงเปิดเผยสิ่งที่นักลงทุนคนนั้นเป้นอยู่แล้วตั้งแต่แรก  เขาต้องปรับแต่งภายในจิตใจให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมที่เป็นอยู๋ภายนอก  หยุดโทษสิ่งต่าง ๆ ทีทำให้ตลาดปรับตัวลง  เรียนร็ที่จะปรับจิตใจให้ยอมรับตามความเปฯจริง  หยุดก้าวโทษ สิ่งแวดล้อมต่างๆ แต่ต้องเริ่มใช้สิ่งแวดล้อมเหล่านั้นเป้นเครื่องมช่วยให้เราค้นพบสิ่งที่ซ่อนอยู๋ในใจทีแท้จริงที่ทำให้เราต้อง cut loss     ตลาดหุ้นถูกปกครองด้วยความหยุ่งเหยิง ไม่ใช่คณิตศาสตร์  เราไม่อาจเลิอกเหตการณ์ที่จะกเดขึ้นในตลาดได้ แต่เราเลือกความคิดของเราได้ ซึ่งแน่นอนว่าความคิดจะไปกำหนดสิ่งที่เราทำ  โลกคือกระจกเงา ตลาดหุ้นคือกระจกเงา ตัวเราก็คือกระจกเงา ทุกอย่างที่ปรากฏออกมาให้เราเห้น ล้วนเป้นผลมาจากภาพสะท้อนของความคิดภายในจิตใจของคนที่ไม่เคยหยุดนิ่ง และขับเคลื่อยด้วยอคติต่างๆ เราต้องหาว่าอคติที่ซ่อนอย็ค่ออะไร ตรงนั้นต่างหากที่สำคัญครับ

 สวัสดีครับ....
ภาพประจำตัวสมาชิก
หมักเตา
Verified User
โพสต์: 232
ผู้ติดตาม: 0

Life is beautiful.

โพสต์ที่ 10

โพสต์

ยอรพง รพ   ว รพมศรสรจญรจ
ว ด ด    ฟนด งวดงวชนอด
________________________________

:bow:  มผบรคณคบอข
บรคยอร ยอร กอ มนยข พห ก ยอ
กอ มม ต หทงอร สทงอร ม จ วงวหบอ งย
บรคยล ก มก มนชย  รปด
ยอน ลทกล  ลทจ  ข ม วค ทยอคยอค ช ชน อ
มต มต งม วชงนหนสงทป น อ ลว ช

พบรค มบลกบรนอตดนย
ภาพประจำตัวสมาชิก
Paul VI
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 10538
ผู้ติดตาม: 0

Life is beautiful.

โพสต์ที่ 11

โพสต์

[quote="หมักเตา"]ยอรพง รพ
sattaya
Verified User
โพสต์: 1372
ผู้ติดตาม: 0

Life is beautiful.

โพสต์ที่ 12

โพสต์

สวัสดีครับพี่ humdrum ขอบคุณสำหรับบทความดีดี
humdrum เขียน:ทักษะอะไรที่สำคัญที่สุดถ้าจะลงทุนในตลาด?

                ได้ยินว่า cut loss สำคัญที่สุด
ทักษะอะไรผมไม่รู้ครับ

รู้เพียงว่า ความมีวินัย สำคัญที่สุด

ก่อนซื้อผมไม่ขาย ก่อนขายผมไม่ซื้อ

ผมรู้เพียงแต่ว่าซื้อเพราะอะไร ก็ควรขายเพราะเหตุนั้น

แต่ที่ผ่านมาผมยังเพียงแค่พยายามทำ

มีคนกล่าวไว้ว่า "หุ้นขึ้นเซียนยุ่ง หุ้นลงเซียนว่าง" น่าจะจริงครับ
สติมา ปัญญาเกิด
Stock Broker
Verified User
โพสต์: 2509
ผู้ติดตาม: 0

Life is beautiful.

โพสต์ที่ 13

โพสต์

[quote="humdrum"]
สาเหตุที่ทำให้เราตัดสินใจซื้อหุ้นตั้งแรกสำคัญกว่า ถ้าเขาไม่ซื้อหุ้น การ cut loss ก็ไม่เกิดขึ้น การ cut loss เป้นแค่ผลลัพไม่ใช่ต้นตอของสาเหตุ
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
holidaytours
Verified User
โพสต์: 349
ผู้ติดตาม: 0

Life is beautiful.

โพสต์ที่ 14

โพสต์

เป็นหนังที่ไม่น่าเชื่อว่าจะมีคนที่มองโลกในแง่ดีแบบนี้อยู่ด้วย
ผมดูมานานมากแล้วแต่ก็ยังจำได้

แล้วก็คิดว่าสงครามเป็นการมองคนทั้งประเทศอย่างหยาบ ๆ
เช่นคนยิวที่เป็นคนดี รักครอบครัว ก็ต้องถูกฆ่าทั้งหมด
ดูแล้วก็ไม่ชอบสงครามเอามาก ๆ ครับ  :cry:
สิ่งทั้งหลาย ขึ้นอยู่กับใจ มีใจเป็นใหญ่ สำเร็จเพราะใจ - พุทธภาษิต
งาน อาชีพเสริมทำเงินล้าน สร้างรายได้ ธุรกิจส่วนตัว รวย!
humdrum
Verified User
โพสต์: 1961
ผู้ติดตาม: 0

Life is beautiful.

โพสต์ที่ 15

โพสต์

รูปภาพ


ขอบคุณความคิดเห็นทุกท่านครับ
ตอนนี้เป็นตอนสุดท้าย มีเวลาก็เขียนครับ
นาน  ๆ ทีครับ ตอนสุดท้ายแล้วครับ
ว่างๆ แวะมาทักทายใหม่
ผมเขียนไม่รู้เรื่อง สะกดผิดดตลอด ขออภัยครับ
ความคิดเห้นส่วนตัว โปรดอ่านด้วยความรอบครอบครอบ
ผมอาจผิด อะไรก็เป็นไปได้ทั้งนั้น
โชคดีและสุขภาพแข็งแรงทุกท่านครับ


ผู้เขียนรู้จักเกี่ยวกับ critical mass  ครั้งแรกได้อย่างไร?
     
 ตอนเรียนมหาลัย   อ่านประวัติศาสตร์การปฎิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองทางการเมืองที่สำคัยของโลกโดยเฉพาะในฝรั่งเศส  เศรษศาสตร์ที่มหาลัยบังคับให้เรียนปรัวัติศาสตร์และปรัชญา ประวัติศาสตร์และปรัชญาคือทะเล วิชาเศรษศาสตร์เหมือนปลาที่ว่ายอาศัยอยู๋   แยกออกจากปรัวัติศาสตร์และปรัชญา เศรษศาสตร์ก็กลายเป็นปลาที่ตายเพราะขาดน้ำ  ดูเหมือนตอนนั้นเอามาใช้ในชีวิตจริงไม่ได้เลย เป็นวิชาที่ไม่ชอบที่สุด  แต่ปัจจุบัน  ผู้เขียนกลับเอาความรู้เหล่านั้นใส่ลงไปในการลงทุนทั้งหมด  ความรู้เหล่านั้นย้อนกลับมาใหม่หมดเลย
 
     คิดว่าจากฟิสิกส์?
         
ผมอ่าน Quamtum physics ไม่เข้าใจ   อ่านประวัติศาสตร์เข้าใจง่ายกว่า

ประวัติศาสตร์สอนอะไรเกี่ยวกับ critical mass?

เมื่อใดก็ตามที่คนส่วนใหญ่ซึ่งคุณค่าความเป็นคนถูกลดถอนลงไป เมื่อเทียบเทียบกับคนส่วนน้อยทีได้รับการส่งเสริมคุณค่าความเป้นคนให้มากขึ้นยิ่งขึ้นไปอีกอย่างเห็นได้ชัด  เมื่อนั้นช่องว่างความไม่เท่าเทียม ความหไม่ยุติธรรมขยายวงมากขึ้นมากขึ้น  ผลที่เกิดตามมาจึงรุนแรง  ความไม่พอใจจนเกิดความครุ่นเครืองเครีนดแค้นของคน  ล้วนมีสาเหตุมาจากสภาวะของคนกลุ่มหนึ่งในสังคมที่มีความความมั่งคั่งในทรัพย์สินที่มากขึ้น แต่อีกกลุ่มหนึ่งกลับยากจนลง  เมื่อรวมกับความกดดันที่เกิดขึ้นภายในจิตใจเข้าไปผสมด้วย จึงไม่น่าแปลกที่ความกดดันลักษณะนี้มักจบลงด้วยการแห่ตามกันของฝูงชน
 
 critcal mass  ในการเมืองไทยจะเกิดไหม?
          อะไรก็เกิดขึ้นได้ แต่ผมยังไม่เห็นเหตุการณ์อย่างนั้น

 ผู้เขียนมองหา critical mass ในตลาดหุ้นได้อย่างไร?
     
 คุณหมายถึงการจูงใจนักลงทุนให้ซื้อหุ้นตาม   เมือมีการติดต่อสัมพันกับสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ามนุษย์  อย่างหนึ่งที่ต้องเตรียมใจไว้คือเราอาจไมได้ติดต่อกับสิ่งที่มีชีวิตที่มีเหตุผลตลอดเวลา  เรากำลังติดต่อสัมพันกับสิ่งมีชีวิตที่มีอารมร์และเต็มเปียมไปด้วยอคติต่างๆ  สิ่งที่ต้องสนใจคอืการมีอคติเหล่านั้นมีผลต่อเหตุการณ์ที่จะกเดขึ้นอย่างไรบ้าง ถ้าช่องว่างของการรับรู้ขยายออกไปมากจนนักลงทุนตามไม่ทัน  critcal mass อาจเกิดขึ้นได้ แต่มันเกิดในใจพวกเขาก่อนเสมอ
       
    ในใจพวกเขา ยังไม่เข้าใจ?
     
  Critical mass เกิดในใจก่อนทั้งนั้น  เหมือนการยิ่งปรารถนาการยอมรับจากสังคมมากเท่าไร เรายิ่งกลัวการตำหนืมากเท่านั้น ช่องว่างสองขั้วนี้มีอยู่เสมอในตัวเราทุกคน  ความคิดเห็นที่เป็นมติเอกฉันท์คือความหายนะเหมือน critical mass ถ้าคุณชอบความคิดอะไรมากๆ ลองไปถามคนที่เกลียดคุณ เขาจะมองต่างไปจากคุณ  เขาจะมีแต่ข้อเสียของคุณ ซึ่งนั่นเปนสิ่งที่ดีและคุณต้องการมันมากที่สุด  เมื่อคุณมีความคิดที่ซือ้หุ้นลองคุยกับคนที่มีความขัดแย้งกับคุณ คุณจะได้มุมมองที่คุณคิดไม่ถึงแล้ว critical mass จะไม่เกิดง่ายๆ    
   
 แล้วถ้าเกิดหาคนที่มีความคิดเห็นไม่ตรงกับเราไมได้?
           นั่นคือเหตุผลที่คุณต้อง invert ความคิดตัวเอง......
Stock Broker
Verified User
โพสต์: 2509
ผู้ติดตาม: 0

Life is beautiful.

โพสต์ที่ 16

โพสต์

[quote="humdrum"]เมื่อคุณมีความคิดที่ซือ้หุ้นลองคุยกับคนที่มีความขัดแย้งกับคุณ คุณจะได้มุมมองที่คุณคิดไม่ถึงแล้ว critical mass จะไม่เกิดง่ายๆ
สถาปนิกต่างดาว
Verified User
โพสต์: 463
ผู้ติดตาม: 0

Life is beautiful.

โพสต์ที่ 17

โพสต์

ปีใหม่แล้ว
critacal mass ก็ผ่านไปและกำลังจะผ่านมา
ฝาก "การผุดบังเกิด" ไว้ในอ้อมใจพี่ฮัมอีกซักคำ
เผื่อว่าอยากวิแคะมัน

ไฮโดรเจน ไม่มีคุณสมบัติเป็นน้ำ
อ็อกซิเจนไม่มีคุณสมบัติเป็นน้ำ
มารวมกันดันเป็นน้ำเฉยเลย

ทำไมนกบินเป็นฝูงถึงไม่ชนกัน
แล้วปลาเป็นฝูงในท้องทะเลลึกล่ะ

ทำไมรถถึงติดในจราจรปกติ

ทำไมตลาดหุ้นถึง.....

เขาว่า มัน"ผุดบังเกิด" ถ้ามัน "ซับซ้อน"

the whole is more than the sum of it part
ลงทุนแบบ อาร์ตๆ
Stock Broker
Verified User
โพสต์: 2509
ผู้ติดตาม: 0

Life is beautiful.

โพสต์ที่ 18

โพสต์

สถาปนิกต่างดาว เขียน:ทำไมนกบินเป็นฝูงถึงไม่ชนกัน
แล้วปลาเป็นฝูงในท้องทะเลลึกล่ะ
ผมมองกลับกันนะ ผมว่าต่อให้มันอยากชนกันมันก็ทำไม่ได้หรอก หรือใครเคยเห็น
ภาพประจำตัวสมาชิก
หมักเตา
Verified User
โพสต์: 232
ผู้ติดตาม: 0

Life is beautiful.

โพสต์ที่ 19

โพสต์

Financial Engineer เขียน: ผมมองกลับกันนะ ผมว่าต่อให้มันอยากชนกันมันก็ทำไม่ได้หรอก หรือใครเคยเห็น
ปลาอาจไม่เคยสงสัย ว่าเกิดมาทำไม ว่ายไปเพื่ออะไร
นกอาจไม่เคยสงสัย ว่าเกิดมาทำไม จะบินไปไหน

อาจต้องรอให้มีนกบางตัว เช่น เจ้านกนางนวลโจนาธาน ลิฟวิงสตัน ของนายริชาร์ด บาค ที่เกิดสงสัยในขนบ และอยากลองแหกขนบออกไปหาทางบินชนเล่นกับตัวอื่นให้เป็นที่สำราญใจ

ชนไม่ได้ ถ้าตัวอื่นยังอยู่ในขนบ

จนกว่าจะมีอีกตัวที่คิดแผลงๆ แบบเดียวกัน เมื่อนั้นก็จะเกิด critical mass (เล็กๆ) ให้มาชนกันเป็นที่เบิกบาน  :D
ภาพประจำตัวสมาชิก
กล้วยไม้ขาว
Verified User
โพสต์: 1074
ผู้ติดตาม: 0

Life is beautiful.

โพสต์ที่ 20

โพสต์

[quote="หมักเตา"]ยอรพง รพ
econometrica
Verified User
โพสต์: 374
ผู้ติดตาม: 0

Life is beautiful.

โพสต์ที่ 21

โพสต์

ถ้าเปรียบเทียบแบบหลักการการลงทุนของผมแล้วก็คือ

ผมจะคิดว่า เรามักกลัวขาดทุน ดังนั้น ก็เลือกซื้อหุ้นที่เราคิดว่าเราจะสามารถขาดทุนได้ไปเลย

หลายๆครั้งที่ผมทำแล้วประสบความสำเร็จเช่น

ตอนliveตกลงมาจนเหลือ 0.05บาท (เมื่อปีสองปีก่อน ตอนตกมาจาก 5บาท)

ผมเข้าซื้อที่ราคา .11บาท (เพราะเห็นว่าเป็น low เก่าสุดๆ) พร้อมด้วยความคิดว่า เราพร้อมจะเสียเงิน หนึ่งแสนบาท ก้อนนี้ไปเลย ถ้าเราตัดสินใจผิด

ปรากฎว่าสองวันจากนั้นผมก็ขายออกไปที่ 0.66บาท

หลังจากนั้นผมก็เริ่มเข้าใจความกลัวของตัวเอง ผมจะไม่พยายามฝึกให้ตัวเองเป็นคนมีเหตุผล ผมจะบอกตัวเองว่าผมเป็นมนุษย์ธรรมดาที่เหมือนกับสัตว์ทั่วๆไป มีโลภ โกรธ หลง ดังนั้นผมจะปล่อยให้ผมกลัวสุดๆ โลภสุดๆ แล้วก็เอาจิตใจมาตามตัวเองว่ากำลังคิดอะไรอยู่

สมมติว่าผมเริ่มรู้สึกกลัวว่าหุ้นจะลงมากกว่านี้ และคนอื่นๆก็คิดแบบนี้เช่นกัน ผมจะถือต่อ ยิ่งรู้สึกอึดอัดยิ่งถือ

แต่ถ้าผมรู้สึกว่าผมอยากได้เงินมากกว่านี้ ผมจะขายมันออกไป

สรุปคือ เล่นกับความรู้สึกในตัวเรานี่แหล่ะ มองว่าเราเป็นคนธรรมดาที่ผิดพลาดเสมอๆ

แต่ว่ากลยุทธ์นี้ก็ต้องประกอบไปด้วยการบริหารความเสี่ยงไปด้วย

เช่นการเก็งกำไรของผม ผมจะตั้งเอาไว้เลยว่าหุ้นตัวนี้ผมจะทำอะไรกับมัน

อย่าง live ผมมองว่ามันมีโอกาสเล่นเด้ง ดังนั้นเมื่อมันเด้ง ผมจะดูมัน และพอมันไปได้แค่ไหน ผมก็ขายออก ไม่เปลี่ยนความคิดว่าจะกลายเป็นถือยาว (ยกเว้นว่าสภาพราคามันเปลี่ยนไป ผมก็พร้อมจะเปลี่ยนความคิดเสมอๆ)
econometrica
Verified User
โพสต์: 374
ผู้ติดตาม: 0

Life is beautiful.

โพสต์ที่ 22

โพสต์

อ่อ.. ลืมของคุณคุณhumdrum ครับ

ศัพท์คำนี้ผมก็เพิ่งได้เรียนมาจากวิชาที่เพิ่งเรียน ตอนเรียนก็ตลกว่าทำไมต้องเป็นคำนี้วะ ไม่เป็นคำอื่นๆ เช่น boring routine ....

ตัวผมยังเด็กนัก แต่ผมสนใจในการศึกษาแนวทางนี้เหมือนกัน เพราะส่วนตัวคิดว่าแนวทางอะไรก็สามารถเอามาปรับใช้กับการเล่นหุ้นได้ทุกอย่าง อย่างปัจจุบันผมเรียนวิชา consumer behaviour ก็ทำให้ได้ถามตัวเองมากขึ้นว่าเราต้องการอะไร ดีใจที่มีคุณhumdrumคอยพูดเรื่องพวกนี้ เพราะว่าน้อยคนนักที่จะสนใจและเข้าใจด้านนี้ เนื่องมาจากว่ามันซับซ้อนและแปลกแหวกแนว

ติดตามผลงานเสมอๆครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
หมักเตา
Verified User
โพสต์: 232
ผู้ติดตาม: 0

Life is beautiful.

โพสต์ที่ 23

โพสต์

อ้ะอ้ะอ้ะ บอกก็ได้ เดี๋ยวจะเดากันไปต่างๆ นานา ได้คะแนนเกือบเต็มแล้วครับ
เว้นที่ว่างเอาไว้เป็น margin of safety เอ๊ย! ไว้แทนที่สระและวรรณยุกต์ครับ  :B
และต้องอ่านจากล่างขึ้นบน
เห็นมั๊ยครับ พี่เค้าบอกไม่ผิด เดาใจคนอื่นว่าต้องการสื่ออะไรไม่หมูเหมือนกันนะ  :wink: เพราะเกิดการตีความเองจากฟากคนอ่านด้วย

พอเติมสระและวรรณยุกต์เข้าไป

[quote="หมักเตา"]ยอร้พงาร่พ
เดือนช่วงดวงเด่นฟ้า ดาดาว
จรูญจรัสรัศมีพราว พร่างพร้อย
กล้วยทอด
Verified User
โพสต์: 1468
ผู้ติดตาม: 0

Life is beautiful.

โพสต์ที่ 24

โพสต์

สถาปนิกต่างดาว เขียน:life is beautiful
rule is beauty fight
drum-humท่าน ไหนไปหาย
หลายดีใจ ได้เขียนมา
พวกพี่คุยกันไปเถอะค่ะ
กล้วยทอดอ่านเข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้าง
ท้อตรงมันยาวอ่ะ

Life is beautiful เป็นเรื่องเดียวใน list ที่เคยได้ดู
เป็นหนังแนวที่ไม่ค่อยชอบ สงครามโลก
เหยียดเชื้อชาติ และคุณพ่อคนแสดงช่าง
ดู over acting เสียจริง

แต่ดูจบแล้วรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่ดีมาก
ลูกเค้าคงโตขึ้นมาด้วยคุณภาพชีวิตที่แย่แน่
ถ้าพ่อเค้าไม่ทำแบบในเรื่อง
ตอนท้ายลูกชายได้รถถังเป็นของรางวัลด้วย  

เรื่องหุ้น เรื่อง physics ค่อนข้างปัญญาน้อยนัก
ไม่ออกความคิดเห็นนะคะ :D
..สักวันจะเก่งเหมือนพี่บ้าง..
ภาพประจำตัวสมาชิก
กล้วยไม้ขาว
Verified User
โพสต์: 1074
ผู้ติดตาม: 0

Life is beautiful.

โพสต์ที่ 25

โพสต์

[quote="หมักเตา"]อ้ะอ้ะอ้ะ บอกก็ได้ เดี๋ยวจะเดากันไปต่างๆ นานา ได้คะแนนเกือบเต็มแล้วครับ
เว้นที่ว่างเอาไว้เป็น margin of safety เอ๊ย! ไว้แทนที่สระและวรรณยุกต์ครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
หมักเตา
Verified User
โพสต์: 232
ผู้ติดตาม: 0

Life is beautiful.

โพสต์ที่ 26

โพสต์

ลองเอาจากที่พี่ humdrum แนะนำไว้ มาลองคิดลองเล่นลองทำดูน่ะครับ
ได้ทำอะไรแผลงๆ ไปบ้างก็ทำให้เห็นแง่ใหม่ๆ เพิ่มขึ้น  :oops:
โพสต์โพสต์