รุ้งกินน้ำ
- por_jai
- Verified User
- โพสต์: 14338
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รุ้งกินน้ำ
โพสต์ที่ 5402
เฮียริว(เป็นนึ่ง) เคยสอนผมว่า
พี่จำไว้นะ ไซเคิลมีแค่นี้เอง
หุ้น-คอมโมดิตี้ส์-เงินเฟ้อ-พันธบัตร-เงินฝาก
มันก็ไม่ใช่ของลับ เอ๊ย ความลับอะไรนะครับ ถือเป็น cycle ปกติของการลงทุนโดยมีตัวแปรที่สำคัญคืออัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจและอัตรา ดอกเบี้ย วงจรของทั้งสองตัวนี้จะเหลื่อมกันเล็กน้อยในลักษณะที่คล้ายกับ cos wave และ sin wave ตีคู่กัน อัตราดอกเบี้ยป็น sin อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจเป็น cos โดยแบ่งวงจรนี้ออกมาได้ 4 ช่วง
ช่วงที่ 1
เป็นช่วงที่ผ่านการตกต่ำทางเศรษฐกิจมาแล้ว อัตราเงินเฟ้อจะอยู่ในระดับต่ำๆ ธนาคารกลางจะลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ดอกเบี้ยช่วงนั้นจะต่ำมากจึงเป็นปัจจัยหนุนให้กิจการห้างร้านต่างๆ มีกำไรเพิ่ม กำไรของบริษัทจดทะเบียนก็จะเพิ่มอย่างผิดหูผิดตา หุ้นก็จะวิ่งกระฉูดกลายเป็นพระเอกเรียกเสียงฮือฮาจากแมงเม่าให้หันมาสนใจ ตลาดกันอย่างคับคั่ง อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจจะอยู่ในขาขึ้น
ช่วงที่ 2
เมื่อการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงขึ้น ประชาชนก็จะเบิกบานนำไปสู่การเพิ่มการจับจ่ายใช้สอย เงินเฟ้อจะขยับขึ้น ธนาคารกลางจึงขยับอัตราดอกเบี้ยขึ้นตาม เมื่อดอกเบี้ยอยู่ในขาขึ้น กำไรของบริษัทห้างร้านต่างๆ จึงเริ่มโตช้าลงเรื่อยๆ หุ้นจะไม่ค่อยขึ้นแล้ว พระเอกในช่วงนี้จะกลายเป็นคอมโมดิตี้ส์ซึ่งราคาขายจะกระฉูดในทิศทางเดียวกัน กับเงินเฟ้อและปกติก็ขึ้นแรงกว่าเงินเฟ้อ
ช่วงที่ 3
หลังจากช่วงที่อัตราเงินเฟ้อเบ่งบานที่สุดแล้ว กำลังซื้อของบริโภคถูกบั่นทอน กำไรของบริษัทห้างร้านต่างๆ ก็จะเริ่มหดหายบ้างก็ทรงๆ ทรุดๆ ช่วงนี้หุ้นจะเริ่มร่วง ในขณะที่แมงเม่ากำลังเบิกบานอยู่กับโภคภัณฑ์นั้น ผู้มองการณ์ไกลจะทราบว่าเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยเข้าสู่จุดสูงสุดแล้ว เมื่อเงินเฟ้อลดลงการลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางก็จะตามมา เมื่ออัตราดอกเบี้ยลด พระเอกช่วงนี้จึงกลายเป็นตราสารหนี้เพราะ yield จะสูงขึ้นเมื่อเทียบกับอัตราดอกเบี้ยในอนาคต คนออกจากโภคภัณฑ์ไม่ทันก็ติดดอยไป
ช่วงที่ 4
เป็นช่วงเศรษฐกิจซึมเซาอีกครั้งหนึ่ง กำไรของบริษัทต่างๆ ลดลงฮวบฮาบ นักลงทุนส่วนใหญ่อาจเจ็บเนื้อเจ็บตัวอยู่เลยไม่ค่อยมีใครมาเก็งกำไร อัตราเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยจะไหลลงไปจูบพื้นด้วยกัน เมื่ออัตราดอกเบี้ยไม่ลดลงแล้วมูลค่าส่วนต่างของพันธบัตรก็จะไม่เหลือ นักลงทุนที่ชาญฉลาดก็จะขายทิ้งฟันกำไรไปเรียบร้อยแต่เพราะเศรษฐกิจยังซึม หุ้นก็เลยซบ โภคภัณฑ์ก็เน่ามาหมาดๆ นักลงทุนไม่รู้จะทำอะไรก็เก็บเงินสดไปก่อน ช่วงนี้ก็ศึกษาหาความรู้เพื่อเตรียมรับมือขาขึ้นของเศรษฐกิจที่จะกลับมาอีก ครั้งหนึ่ง
พี่จำไว้นะ ไซเคิลมีแค่นี้เอง
หุ้น-คอมโมดิตี้ส์-เงินเฟ้อ-พันธบัตร-เงินฝาก
มันก็ไม่ใช่ของลับ เอ๊ย ความลับอะไรนะครับ ถือเป็น cycle ปกติของการลงทุนโดยมีตัวแปรที่สำคัญคืออัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจและอัตรา ดอกเบี้ย วงจรของทั้งสองตัวนี้จะเหลื่อมกันเล็กน้อยในลักษณะที่คล้ายกับ cos wave และ sin wave ตีคู่กัน อัตราดอกเบี้ยป็น sin อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจเป็น cos โดยแบ่งวงจรนี้ออกมาได้ 4 ช่วง
ช่วงที่ 1
เป็นช่วงที่ผ่านการตกต่ำทางเศรษฐกิจมาแล้ว อัตราเงินเฟ้อจะอยู่ในระดับต่ำๆ ธนาคารกลางจะลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ดอกเบี้ยช่วงนั้นจะต่ำมากจึงเป็นปัจจัยหนุนให้กิจการห้างร้านต่างๆ มีกำไรเพิ่ม กำไรของบริษัทจดทะเบียนก็จะเพิ่มอย่างผิดหูผิดตา หุ้นก็จะวิ่งกระฉูดกลายเป็นพระเอกเรียกเสียงฮือฮาจากแมงเม่าให้หันมาสนใจ ตลาดกันอย่างคับคั่ง อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจจะอยู่ในขาขึ้น
ช่วงที่ 2
เมื่อการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงขึ้น ประชาชนก็จะเบิกบานนำไปสู่การเพิ่มการจับจ่ายใช้สอย เงินเฟ้อจะขยับขึ้น ธนาคารกลางจึงขยับอัตราดอกเบี้ยขึ้นตาม เมื่อดอกเบี้ยอยู่ในขาขึ้น กำไรของบริษัทห้างร้านต่างๆ จึงเริ่มโตช้าลงเรื่อยๆ หุ้นจะไม่ค่อยขึ้นแล้ว พระเอกในช่วงนี้จะกลายเป็นคอมโมดิตี้ส์ซึ่งราคาขายจะกระฉูดในทิศทางเดียวกัน กับเงินเฟ้อและปกติก็ขึ้นแรงกว่าเงินเฟ้อ
ช่วงที่ 3
หลังจากช่วงที่อัตราเงินเฟ้อเบ่งบานที่สุดแล้ว กำลังซื้อของบริโภคถูกบั่นทอน กำไรของบริษัทห้างร้านต่างๆ ก็จะเริ่มหดหายบ้างก็ทรงๆ ทรุดๆ ช่วงนี้หุ้นจะเริ่มร่วง ในขณะที่แมงเม่ากำลังเบิกบานอยู่กับโภคภัณฑ์นั้น ผู้มองการณ์ไกลจะทราบว่าเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยเข้าสู่จุดสูงสุดแล้ว เมื่อเงินเฟ้อลดลงการลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางก็จะตามมา เมื่ออัตราดอกเบี้ยลด พระเอกช่วงนี้จึงกลายเป็นตราสารหนี้เพราะ yield จะสูงขึ้นเมื่อเทียบกับอัตราดอกเบี้ยในอนาคต คนออกจากโภคภัณฑ์ไม่ทันก็ติดดอยไป
ช่วงที่ 4
เป็นช่วงเศรษฐกิจซึมเซาอีกครั้งหนึ่ง กำไรของบริษัทต่างๆ ลดลงฮวบฮาบ นักลงทุนส่วนใหญ่อาจเจ็บเนื้อเจ็บตัวอยู่เลยไม่ค่อยมีใครมาเก็งกำไร อัตราเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยจะไหลลงไปจูบพื้นด้วยกัน เมื่ออัตราดอกเบี้ยไม่ลดลงแล้วมูลค่าส่วนต่างของพันธบัตรก็จะไม่เหลือ นักลงทุนที่ชาญฉลาดก็จะขายทิ้งฟันกำไรไปเรียบร้อยแต่เพราะเศรษฐกิจยังซึม หุ้นก็เลยซบ โภคภัณฑ์ก็เน่ามาหมาดๆ นักลงทุนไม่รู้จะทำอะไรก็เก็บเงินสดไปก่อน ช่วงนี้ก็ศึกษาหาความรู้เพื่อเตรียมรับมือขาขึ้นของเศรษฐกิจที่จะกลับมาอีก ครั้งหนึ่ง
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
- Fon^^
- Verified User
- โพสต์: 604
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รุ้งกินน้ำ
โพสต์ที่ 5403
ฝนเคยผ่านอุปสรรคมาบ้าง ถึงจะเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ขอเอามาแลกเปลี่ยนนะคะpor_jai เขียน:วันก่อนจิตผม
เขานึกไงไม่รู้
ร้องเพลงรักฉันนั้นเพื่อเธอของวิชัย ปุญญยันต์วงพิ๊งแพนเธอร์ขึ้นมา
ใจผมไพล่ไปคิดถึงคนๆนึง
ผมคิดว่าเพื่อนผมคนนี้ยิ่งใหญ่เหมือนขุนเขาในความคิดของกระผม
มีหรือจะไปสนต่อลมฝนฟ้าดิน
จริงไหมครับหมอบำรุง...
ความทุกข์นี้ดีอย่างนะคะ
ตอนที่เรามีความสุข อ่านหนังสือธรรมะ ฝึกรู้สติ
ฝนก็คิดว่าแค่จิตไม่เที่ยง ทุกข์ สุข ธรรมดา ทำไมฝนจะทำไม่ได้ ฮาๆ
แต่... ความคิดขณะนั้น เกิดขึ้นขณะจิตฝนที่อยู่ในภาวะเป็นสุข
แล้วบททดสอบก็มาถึง เมื่อเกิดเหตุแห่งทุกข์ จิตอยู่ในภาวะทุกข์
เพื่อมาทดสอบว่าเราเป็นคนที่ปล่อยได้จริงๆแล้วรึยังค่ะ
สุดท้ายฝนก็ปล่อยไม่ได้อยู่ดี ฮาๆๆ
ได้ดูโทรทัศน์ครั้งหนึ่ง บังเอิญมีประโยคผ่านเข้าหู จำไม่ได้ว่าเป็นคำสอนของใคร
"ถ้าพื้นสกปรก เราใช้น้ำสกปรกราด พื้นก็ยังสกปรก
ถ้าพื้นสกปรก เราใช้น้ำสะอาดราด พื้นจึงจะสะอาด" ฝนฟังแล้วจี๊ดเลยค่ะ
พยายามคิด ถ้าความหมายเชิงโลก น่าจะสิ่งรอบข้างสกปรก เราต้องให้อภัยทาน
แต่ถ้าลึกซึ้งขึ้นหน่อย หมายถึงใจเราหม่นมัว เราต้องใช้ใจตื่นรู้จากการยึดมั่นจึงจะผ่องใส
จบด้วยประโยคเดิม
แต่สุดท้ายฝนก็ปล่อยไม่ได้อยู่ดี
ผิดหนึ่งพึงจดไว้.....ในสมอง
เร่งระวังผิดสอง.....ภายหน้า
สามผิดเร่งคิดตรอง จงหนัก.....เพื่อนเอย
ถึงสี่อีกทีห้า.....หกซ้ำ อภัยไฉน
เร่งระวังผิดสอง.....ภายหน้า
สามผิดเร่งคิดตรอง จงหนัก.....เพื่อนเอย
ถึงสี่อีกทีห้า.....หกซ้ำ อภัยไฉน
-
- Verified User
- โพสต์: 1165
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รุ้งกินน้ำ
โพสต์ที่ 5405
ชอบประโยคนี้ครับพี่ป้อม..
หลุดสมมุติก็เป็นวิมุติ..
พระท่านว่าชีวิตคนเราก็เหมือนคนหาไปในบึงใหญ่
ครับ..กว่าจะได้ปลามาแต่ละตัวมันก็เหนื่อย..พออาศัย
ได้อิ่มปากอิ่มท้องไม่กี่มื้อ..ก็ต้องเหนื่อยอยากออกไป
หามาเลี้ยงปากเลี้ยงท้องอีกแล้ว..ได้ไม่คุ้มเหนื่อย
ก็มันติดอยู่ในโลกสมมุติมันก็ต้องวนๆเวียน..
ก็ไม่รู้จะโทษใครนอกจากตัวเอง..
หลุดสมมุติก็เป็นวิมุติ..
พระท่านว่าชีวิตคนเราก็เหมือนคนหาไปในบึงใหญ่
ครับ..กว่าจะได้ปลามาแต่ละตัวมันก็เหนื่อย..พออาศัย
ได้อิ่มปากอิ่มท้องไม่กี่มื้อ..ก็ต้องเหนื่อยอยากออกไป
หามาเลี้ยงปากเลี้ยงท้องอีกแล้ว..ได้ไม่คุ้มเหนื่อย
ก็มันติดอยู่ในโลกสมมุติมันก็ต้องวนๆเวียน..
ก็ไม่รู้จะโทษใครนอกจากตัวเอง..
ควรทุ่มเทเจริญให้มาก..ในงานที่เป็นประโยชน์อย่างแท้จริง..
-
- Verified User
- โพสต์: 323
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รุ้งกินน้ำ
โพสต์ที่ 5406
พี่ป้อม..ขอเอาไปแปะให้น้องๆอ่านนะค่ะpor_jai เขียน: เฮียริว(เป็นนึ่ง) เคยสอนผมว่า
พี่จำไว้นะ ไซเคิลมีแค่นี้เอง
หุ้น-คอมโมดิตี้ส์-เงินเฟ้อ-พันธบัตร-เงินฝาก
มันก็ไม่ใช่ของลับ เอ๊ย ความลับอะไรนะครับ ถือเป็น cycle ปกติของการลงทุนโดยมีตัวแปรที่สำคัญคืออัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจและอัตรา ดอกเบี้ย วงจรของทั้งสองตัวนี้จะเหลื่อมกันเล็กน้อยในลักษณะที่คล้ายกับ cos wave และ sin wave ตีคู่กัน อัตราดอกเบี้ยป็น sin อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจเป็น cos โดยแบ่งวงจรนี้ออกมาได้ 4 ช่วง
ช่วงที่ 1
เป็นช่วงที่ผ่านการตกต่ำทางเศรษฐกิจมาแล้ว อัตราเงินเฟ้อจะอยู่ในระดับต่ำๆ ธนาคารกลางจะลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ดอกเบี้ยช่วงนั้นจะต่ำมากจึงเป็นปัจจัยหนุนให้กิจการห้างร้านต่างๆ มีกำไรเพิ่ม กำไรของบริษัทจดทะเบียนก็จะเพิ่มอย่างผิดหูผิดตา หุ้นก็จะวิ่งกระฉูดกลายเป็นพระเอกเรียกเสียงฮือฮาจากแมงเม่าให้หันมาสนใจ ตลาดกันอย่างคับคั่ง อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจจะอยู่ในขาขึ้น
ช่วงที่ 2
เมื่อการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงขึ้น ประชาชนก็จะเบิกบานนำไปสู่การเพิ่มการจับจ่ายใช้สอย เงินเฟ้อจะขยับขึ้น ธนาคารกลางจึงขยับอัตราดอกเบี้ยขึ้นตาม เมื่อดอกเบี้ยอยู่ในขาขึ้น กำไรของบริษัทห้างร้านต่างๆ จึงเริ่มโตช้าลงเรื่อยๆ หุ้นจะไม่ค่อยขึ้นแล้ว พระเอกในช่วงนี้จะกลายเป็นคอมโมดิตี้ส์ซึ่งราคาขายจะกระฉูดในทิศทางเดียวกัน กับเงินเฟ้อและปกติก็ขึ้นแรงกว่าเงินเฟ้อ
ช่วงที่ 3
หลังจากช่วงที่อัตราเงินเฟ้อเบ่งบานที่สุดแล้ว กำลังซื้อของบริโภคถูกบั่นทอน กำไรของบริษัทห้างร้านต่างๆ ก็จะเริ่มหดหายบ้างก็ทรงๆ ทรุดๆ ช่วงนี้หุ้นจะเริ่มร่วง ในขณะที่แมงเม่ากำลังเบิกบานอยู่กับโภคภัณฑ์นั้น ผู้มองการณ์ไกลจะทราบว่าเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยเข้าสู่จุดสูงสุดแล้ว เมื่อเงินเฟ้อลดลงการลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางก็จะตามมา เมื่ออัตราดอกเบี้ยลด พระเอกช่วงนี้จึงกลายเป็นตราสารหนี้เพราะ yield จะสูงขึ้นเมื่อเทียบกับอัตราดอกเบี้ยในอนาคต คนออกจากโภคภัณฑ์ไม่ทันก็ติดดอยไป
ช่วงที่ 4
เป็นช่วงเศรษฐกิจซึมเซาอีกครั้งหนึ่ง กำไรของบริษัทต่างๆ ลดลงฮวบฮาบ นักลงทุนส่วนใหญ่อาจเจ็บเนื้อเจ็บตัวอยู่เลยไม่ค่อยมีใครมาเก็งกำไร อัตราเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยจะไหลลงไปจูบพื้นด้วยกัน เมื่ออัตราดอกเบี้ยไม่ลดลงแล้วมูลค่าส่วนต่างของพันธบัตรก็จะไม่เหลือ นักลงทุนที่ชาญฉลาดก็จะขายทิ้งฟันกำไรไปเรียบร้อยแต่เพราะเศรษฐกิจยังซึม หุ้นก็เลยซบ โภคภัณฑ์ก็เน่ามาหมาดๆ นักลงทุนไม่รู้จะทำอะไรก็เก็บเงินสดไปก่อน ช่วงนี้ก็ศึกษาหาความรู้เพื่อเตรียมรับมือขาขึ้นของเศรษฐกิจที่จะกลับมาอีก ครั้งหนึ่ง
ขอบคุณค่ะ
อกาลิโก
-
- Verified User
- โพสต์: 463
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รุ้งกินน้ำ
โพสต์ที่ 5409
ผมกำลังอ่าน aftershock โดย david wiedmer คนเขียน america's bubble economypor_jai เขียน: เฮียริว(เป็นนึ่ง) เคยสอนผมว่า
พี่จำไว้นะ ไซเคิลมีแค่นี้เอง
หุ้น-คอมโมดิตี้ส์-เงินเฟ้อ-พันธบัตร-เงินฝาก
ซึ่งทำนายซับไพรม์ปี ๒๐๐๘-๒๐๐๙ ไว้ก่อนได้ถูกต้อง
เฮียแกคอนเฟิร์มว่า
อันแรกนั้นคือ bubbleQuake
อันต่อไปที่จะมาคือ aftershock
จะหนักหนาสาหัสกว่าหลายเท่า เพราะมันจะลุกลามไปในระดับglobal
ไซเคิลของมันก็คือ
1. the real estate bubble
2. the stock market bubble
3".the private dept bubble
4. the discreationary spending bubble
ซึ่งเราได้เจอกับมันไปแล้ว
อีก๒กระทอกที่จะตามมา
5. the dollar bubble
6. the government bubble
ข่าวดีคือ มันอาจจะอีกนาน ขึ้นกับการอัดฉีด และ qe
ข่าวร้ายก็คือ........มันมาแน่
และจะกระเทือนไปทั้งโลก
(ตัวที่จะได้เห็นเร็วๆนี้ก็คือ เงินเฟ้อ)
น่าสนใจมากครับ
ลองหามาอ่านดูกัน
(เขาบอกทางหนีทีไล่เอาไว้ด้วย)
ลงทุนแบบ อาร์ตๆ
-
- Verified User
- โพสต์: 463
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รุ้งกินน้ำ
โพสต์ที่ 5412
ดูกราฟเฮียริว แล้วเชื่อเรื่อง aftershock ละก็
เฮีย david wiedemer บอกว่า
2013 เจอกันแน่
กรุณารอคอยด้วยใจระทึกพลัน
และโปรดระวัง
เพราะว่า inflation is as hard to see as the housing bubble before it pop.
เฮีย david wiedemer บอกว่า
2013 เจอกันแน่
กรุณารอคอยด้วยใจระทึกพลัน
และโปรดระวัง
เพราะว่า inflation is as hard to see as the housing bubble before it pop.
ลงทุนแบบ อาร์ตๆ
-
- Verified User
- โพสต์: 463
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รุ้งกินน้ำ
โพสต์ที่ 5413
the medicine becomes poison......dangerous inflation ahead
the inflation scenario has already begun in spring 2009,
the fed decide to buy huge numbers of bonds......
late 2010, the fed once again increased the money supply with qe2
[qe นี่ง่ายๆคือ พิมพ์แบงค์ ]
so now dollar has more problems, gold rises
next few years ,inflation will become more apparent, possibly moving into
4to 10 percent range. more investers will become more noticeably
skittish about dollar, and gold will go higher.
it is very likely that the fed willhave to do far more money printing
just to maintain some degree of financial stability.
และแล้วก็ massive inflation
dollar bubble และ ตามด้วย us government dept bubble
และลามเป็นลูกโซ่ไปทั่วโลก
the inflation scenario has already begun in spring 2009,
the fed decide to buy huge numbers of bonds......
late 2010, the fed once again increased the money supply with qe2
[qe นี่ง่ายๆคือ พิมพ์แบงค์ ]
so now dollar has more problems, gold rises
next few years ,inflation will become more apparent, possibly moving into
4to 10 percent range. more investers will become more noticeably
skittish about dollar, and gold will go higher.
it is very likely that the fed willhave to do far more money printing
just to maintain some degree of financial stability.
และแล้วก็ massive inflation
dollar bubble และ ตามด้วย us government dept bubble
และลามเป็นลูกโซ่ไปทั่วโลก
ลงทุนแบบ อาร์ตๆ
- por_jai
- Verified User
- โพสต์: 14338
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รุ้งกินน้ำ
โพสต์ที่ 5414
One Way Road ข้อเสียของการพยากรณ์
http://mangmaoclub.com/one-way-road/
นักเล่นหุ้นส่วนใหญ่มักตกเป็นเหยื่อของการพยากรณ์
สิ่งที่น่ากลัวที่สุดเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็คือ
พวกเรามักจะเชื่อมันอย่างโงหัวไม่ขึ้นเมื่อคำพยากรณ์นั้นยืนยันตรงกันในสิ่งที่เราต้องการได้ยิน
นี่ถือเป็นช่วงเวลาที่อันตรายที่สุดในตลาดหุ้นอย่างหนึ่งเลยทีเดียว
และมันคือจุดอ่อนทางจิตวิทยาการลงทุนที่พวกเรา
… สร้างขึ้นมาเอง
http://mangmaoclub.com/one-way-road/
นักเล่นหุ้นส่วนใหญ่มักตกเป็นเหยื่อของการพยากรณ์
สิ่งที่น่ากลัวที่สุดเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็คือ
พวกเรามักจะเชื่อมันอย่างโงหัวไม่ขึ้นเมื่อคำพยากรณ์นั้นยืนยันตรงกันในสิ่งที่เราต้องการได้ยิน
นี่ถือเป็นช่วงเวลาที่อันตรายที่สุดในตลาดหุ้นอย่างหนึ่งเลยทีเดียว
และมันคือจุดอ่อนทางจิตวิทยาการลงทุนที่พวกเรา
… สร้างขึ้นมาเอง
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
-
- Verified User
- โพสต์: 463
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รุ้งกินน้ำ
โพสต์ที่ 5416
หมีก็อยู่เฉยๆ
ไม่เคย เห็นหมีเล่นหุ้น
นิสัยหมีนั้นคุ้นคุ้น
เป็นหมีหมกหุ้น อย่ามาจุ้นกับหมี
ไม่เคย เห็นหมีเล่นหุ้น
นิสัยหมีนั้นคุ้นคุ้น
เป็นหมีหมกหุ้น อย่ามาจุ้นกับหมี
ลงทุนแบบ อาร์ตๆ
- por_jai
- Verified User
- โพสต์: 14338
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รุ้งกินน้ำ
โพสต์ที่ 5417
อ่านกี่ทีก็ไม่เบื่อ
7 เคล็ดลับใช้ชีวิตให้มีความสุข แบบเศรษฐีหมายเลข 3 ของโลก
คลุกวงใน
พิศณุ นิลกลัด
วันที่ 30 สิงหาคมที่เพิ่งผ่านมา เป็นวันคล้ายวันเกิดครบรอบ 81 ปี ของ วอร์เร็น บัฟเฟ็ตต์ ถึงอายุจะมาก แต่มหาเศรษฐีอันดับ 3 ของโลก ซึ่งมีเงิน 1 ล้าน 5 แสนล้านบาท บัฟเฟ็ตต์ก็ยังตื่นแต่เช้า แต่งตัวไปทำงานทุกวัน
บัฟเฟ็ตต์ คิดว่าตัวเองน่าจะอายุยืนอย่างน้อย 88 ปี และตั้งใจว่าถ้าเป็นไปได้จะทำงานจนอายุเกิน 100 ปี
บัฟเฟ็ตต์ ดูกระฉับกระเฉง พูดจาฉับไวไม่เหมือนคนอายุ 80 เวลาให้สัมภาษณ์มักมีอารมณ์ขันสอดแทรกอยู่เสมอ ไม่ได้เคร่งขรึมตึงเครียดแบบมหาเศรษฐีนักธุรกิจส่วนใหญ่
คนมักจะถามบัฟเฟ็ตต์เป็นประจำว่าทำอย่างไรถึงจะประสบความสำเร็จและร่ำรวย ซึ่งบัฟเฟ็ตต์ก็ตอบเหมือนเดิมว่าให้ทำในสิ่งที่ตนรักแล้วความสำเร็จก็จะตามมาซึ่งก็รวมถึงเงินทองด้วย
เคล็ดลับในการดำเนินชีวิตอย่างมีความสุขของบัฟเฟ็ตต์นั้นเรียบง่าย แต่ให้ข้อคิดที่ลึกซึ้ง ซึ่งมีหลักๆ อยู่ 7 ข้อ
1. ทำในสิ่งที่ตนเองรัก บัฟเฟ็ตต์บอกว่าในชีวิต เขาไม่เคยต้องเลือกระหว่างเรื่องงานกับเรื่องชีวิตส่วนตัว เขามีความสุขกับการทำงานมาก ทุกวันตื่นเต้นที่ได้ไปทำงาน เรียกได้ว่าแทบจะเต้นแท็บแดนซ์เข้าออฟฟิศเลยทีเดียว และเดินเข้าออฟฟิศอย่างมีความสุขเป็นที่สุด ซึ่งการทำในสิ่งที่ตนรัก และรักในสิ่งที่ตนทำ ผลงานก็จะออกมาดีโดยธรรมชาติ
2. หาความสุขจากความเรียบง่าย บัฟเฟ็ตต์บอกว่าความสุขอย่างเรียบง่ายของเขาคือการเล่นไพ่บริดจ์ออนไลน์สัปดาห์ละ 12 ชั่วโมง ความสุขอยู่ที่ใจเป็นสิ่งที่หาได้จากสิ่งใกล้ตัว การได้พักผ่อนอยู่กับบ้านนั่งอ่านหนังสือหรือปลูกต้นไม้ก็ถือเป็นความสุขแล้ว ไม่จำเป็นต้องเสียเงินฟุ่มเฟือยทานอาหารนอกบ้าน หรือท่องเที่ยวต่างประเทศ
3. คิดและทำในสิ่งที่ไม่ซับซ้อน บัฟเฟ็ตต์บอกว่าไม่ว่าจะทำงานอะไร เขาต้องอธิบายสิ่งที่ตัวเองทำผิดพลาดได้ ดังนั้น จึงเลือกทำแต่เฉพาะสิ่งที่ตัวเองเข้าใจทะลุปรุโปร่งเพราะความเสี่ยงหรือความเสียหายเกิดจากการทำในสิ่งที่ตัวเองไม่รู้
4. ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย บัฟเฟ็ตต์กล่าวว่าในชีวิตส่วนตัวของเขาเขาไม่เคยสนใจว่าคนรวยคนอื่นๆ ทำอะไร ตัวเขาไม่ต้องการมีเรือยอชต์ขนาด 405 ฟุต เพียงเพราะว่าเศรษฐีคนอื่นมีเรือยอชต์ยาว 400 ฟุต
ทุกวันนี้ บัฟเฟ็ตต์ยังคงอยู่ในบ้านหลังเดิมขนาด 550 ตารางเมตร ซึ่งซื้อเมื่อ 43 ปีก่อน ที่เมืองโอมาฮ่า รัฐเนบราสก้า ในราคา 1.3 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันมีมูลค่าประมาณ 21 ล้านบาท บัฟเฟ็ตต์บอกว่าคนเป็นหนี้บัตรเครดิต แสดงว่าคนคนนั้นใช้ชีวิตเกินฐานะของตัวเอง
5. มีต้นแบบที่ดี ยึดถือเป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิต บัฟเฟ็ตต์เคยกล่าวไว้ว่า บอกมาเลยว่าใครคือฮีโร่ในดวงใจของคุณ ผมสามารถทำนายได้เลยว่าในอนาคตคุณจะเป็นอย่างไร เพราะคุณสมบัติของคนที่เราชื่นชมจะเป็นเครื่องนำทางไปสู่คุณสมบัติที่ตัวเราจะมี ซึ่งต้องอาศัยการฝึกฝนเข้าช่วยนิดหน่อยจนพัฒนาเป็นนิสัย
6. เลือกทำในสิ่งที่รัก ไม่ใช่เลือกทำเพราะเงินหรือผลตอบแทน บัฟเฟ็ตต์กล่าวว่า หากเราทำในสิ่งที่เรารัก เราจะทุ่มเททั้งกำลังกายและกำลังใจที่มีอย่างเต็มที่ ซึ่งผลที่ได้รับก็มักเป็นผลตอบแทนทางการเงิน
ตอนที่บัฟเฟ็ตต์เรียนจบปริญญาโท เขาไปทำงานกับ เบ็นจามิน แกรห์ม ซึ่งเป็นหุ้นส่วนบริษัทด้านการลงทุน Graham-Newman Partnership ทั้งๆ ที่ยังไม่ทราบว่าจะได้เงินเดือนเท่าไหร่ รู้แต่ว่าอยากทำงานกับเบ็น จามิน แกรห์ม เพราะพอได้ทำงานกับคนที่อยากทำ ตื่นเช้าขึ้นมาก็รู้สึกตื่นเต้นที่จะได้ทำงาน เพราะรู้ว่าเมื่อกลับถึงบ้านตอนเย็นหลังเลิกงาน ตัวเองจะฉลาดขึ้นกว่าเมื่อเช้าตอนก่อนออกจากบ้าน
7. แต่งงานกับคนที่ใช่ บัฟเฟ็ตต์บอกว่าถ้าเจอะคนที่เรารักและมั่นใจว่า "คนนี้ใช่เลย" ขอให้แต่งงานโดยไม่ต้องรีรอ
เขาบอกว่าการมีชีวิตคู่จะเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ ในชีวิต เช่น ทำให้เกิดแรงบันดาลใจ ทำให้รู้ว่าตัวเองควรทำงานด้านไหน และ ฯลฯ
การทำตัวเป็นพ่อพวงมาลัยหรือเพลย์บอยทำให้ศักยภาพในการทำงานลดลง เนื่องจากเอาเวลาทำงานไปหมกมุ่นเรื่องไม่เป็นเรื่อง แต่งงานซะทุกอย่างก็จบ
อันนี้บัฟเฟ็ตต์ ไม่ได้พูด ผมเขียนเอง !
7 เคล็ดลับใช้ชีวิตให้มีความสุข แบบเศรษฐีหมายเลข 3 ของโลก
คลุกวงใน
พิศณุ นิลกลัด
วันที่ 30 สิงหาคมที่เพิ่งผ่านมา เป็นวันคล้ายวันเกิดครบรอบ 81 ปี ของ วอร์เร็น บัฟเฟ็ตต์ ถึงอายุจะมาก แต่มหาเศรษฐีอันดับ 3 ของโลก ซึ่งมีเงิน 1 ล้าน 5 แสนล้านบาท บัฟเฟ็ตต์ก็ยังตื่นแต่เช้า แต่งตัวไปทำงานทุกวัน
บัฟเฟ็ตต์ คิดว่าตัวเองน่าจะอายุยืนอย่างน้อย 88 ปี และตั้งใจว่าถ้าเป็นไปได้จะทำงานจนอายุเกิน 100 ปี
บัฟเฟ็ตต์ ดูกระฉับกระเฉง พูดจาฉับไวไม่เหมือนคนอายุ 80 เวลาให้สัมภาษณ์มักมีอารมณ์ขันสอดแทรกอยู่เสมอ ไม่ได้เคร่งขรึมตึงเครียดแบบมหาเศรษฐีนักธุรกิจส่วนใหญ่
คนมักจะถามบัฟเฟ็ตต์เป็นประจำว่าทำอย่างไรถึงจะประสบความสำเร็จและร่ำรวย ซึ่งบัฟเฟ็ตต์ก็ตอบเหมือนเดิมว่าให้ทำในสิ่งที่ตนรักแล้วความสำเร็จก็จะตามมาซึ่งก็รวมถึงเงินทองด้วย
เคล็ดลับในการดำเนินชีวิตอย่างมีความสุขของบัฟเฟ็ตต์นั้นเรียบง่าย แต่ให้ข้อคิดที่ลึกซึ้ง ซึ่งมีหลักๆ อยู่ 7 ข้อ
1. ทำในสิ่งที่ตนเองรัก บัฟเฟ็ตต์บอกว่าในชีวิต เขาไม่เคยต้องเลือกระหว่างเรื่องงานกับเรื่องชีวิตส่วนตัว เขามีความสุขกับการทำงานมาก ทุกวันตื่นเต้นที่ได้ไปทำงาน เรียกได้ว่าแทบจะเต้นแท็บแดนซ์เข้าออฟฟิศเลยทีเดียว และเดินเข้าออฟฟิศอย่างมีความสุขเป็นที่สุด ซึ่งการทำในสิ่งที่ตนรัก และรักในสิ่งที่ตนทำ ผลงานก็จะออกมาดีโดยธรรมชาติ
2. หาความสุขจากความเรียบง่าย บัฟเฟ็ตต์บอกว่าความสุขอย่างเรียบง่ายของเขาคือการเล่นไพ่บริดจ์ออนไลน์สัปดาห์ละ 12 ชั่วโมง ความสุขอยู่ที่ใจเป็นสิ่งที่หาได้จากสิ่งใกล้ตัว การได้พักผ่อนอยู่กับบ้านนั่งอ่านหนังสือหรือปลูกต้นไม้ก็ถือเป็นความสุขแล้ว ไม่จำเป็นต้องเสียเงินฟุ่มเฟือยทานอาหารนอกบ้าน หรือท่องเที่ยวต่างประเทศ
3. คิดและทำในสิ่งที่ไม่ซับซ้อน บัฟเฟ็ตต์บอกว่าไม่ว่าจะทำงานอะไร เขาต้องอธิบายสิ่งที่ตัวเองทำผิดพลาดได้ ดังนั้น จึงเลือกทำแต่เฉพาะสิ่งที่ตัวเองเข้าใจทะลุปรุโปร่งเพราะความเสี่ยงหรือความเสียหายเกิดจากการทำในสิ่งที่ตัวเองไม่รู้
4. ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย บัฟเฟ็ตต์กล่าวว่าในชีวิตส่วนตัวของเขาเขาไม่เคยสนใจว่าคนรวยคนอื่นๆ ทำอะไร ตัวเขาไม่ต้องการมีเรือยอชต์ขนาด 405 ฟุต เพียงเพราะว่าเศรษฐีคนอื่นมีเรือยอชต์ยาว 400 ฟุต
ทุกวันนี้ บัฟเฟ็ตต์ยังคงอยู่ในบ้านหลังเดิมขนาด 550 ตารางเมตร ซึ่งซื้อเมื่อ 43 ปีก่อน ที่เมืองโอมาฮ่า รัฐเนบราสก้า ในราคา 1.3 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันมีมูลค่าประมาณ 21 ล้านบาท บัฟเฟ็ตต์บอกว่าคนเป็นหนี้บัตรเครดิต แสดงว่าคนคนนั้นใช้ชีวิตเกินฐานะของตัวเอง
5. มีต้นแบบที่ดี ยึดถือเป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิต บัฟเฟ็ตต์เคยกล่าวไว้ว่า บอกมาเลยว่าใครคือฮีโร่ในดวงใจของคุณ ผมสามารถทำนายได้เลยว่าในอนาคตคุณจะเป็นอย่างไร เพราะคุณสมบัติของคนที่เราชื่นชมจะเป็นเครื่องนำทางไปสู่คุณสมบัติที่ตัวเราจะมี ซึ่งต้องอาศัยการฝึกฝนเข้าช่วยนิดหน่อยจนพัฒนาเป็นนิสัย
6. เลือกทำในสิ่งที่รัก ไม่ใช่เลือกทำเพราะเงินหรือผลตอบแทน บัฟเฟ็ตต์กล่าวว่า หากเราทำในสิ่งที่เรารัก เราจะทุ่มเททั้งกำลังกายและกำลังใจที่มีอย่างเต็มที่ ซึ่งผลที่ได้รับก็มักเป็นผลตอบแทนทางการเงิน
ตอนที่บัฟเฟ็ตต์เรียนจบปริญญาโท เขาไปทำงานกับ เบ็นจามิน แกรห์ม ซึ่งเป็นหุ้นส่วนบริษัทด้านการลงทุน Graham-Newman Partnership ทั้งๆ ที่ยังไม่ทราบว่าจะได้เงินเดือนเท่าไหร่ รู้แต่ว่าอยากทำงานกับเบ็น จามิน แกรห์ม เพราะพอได้ทำงานกับคนที่อยากทำ ตื่นเช้าขึ้นมาก็รู้สึกตื่นเต้นที่จะได้ทำงาน เพราะรู้ว่าเมื่อกลับถึงบ้านตอนเย็นหลังเลิกงาน ตัวเองจะฉลาดขึ้นกว่าเมื่อเช้าตอนก่อนออกจากบ้าน
7. แต่งงานกับคนที่ใช่ บัฟเฟ็ตต์บอกว่าถ้าเจอะคนที่เรารักและมั่นใจว่า "คนนี้ใช่เลย" ขอให้แต่งงานโดยไม่ต้องรีรอ
เขาบอกว่าการมีชีวิตคู่จะเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ ในชีวิต เช่น ทำให้เกิดแรงบันดาลใจ ทำให้รู้ว่าตัวเองควรทำงานด้านไหน และ ฯลฯ
การทำตัวเป็นพ่อพวงมาลัยหรือเพลย์บอยทำให้ศักยภาพในการทำงานลดลง เนื่องจากเอาเวลาทำงานไปหมกมุ่นเรื่องไม่เป็นเรื่อง แต่งงานซะทุกอย่างก็จบ
อันนี้บัฟเฟ็ตต์ ไม่ได้พูด ผมเขียนเอง !
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
- por_jai
- Verified User
- โพสต์: 14338
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รุ้งกินน้ำ
โพสต์ที่ 5418
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
- Packy_Kittiworawut
- Verified User
- โพสต์: 242
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รุ้งกินน้ำ
โพสต์ที่ 5419
หาความสุขจากความเรียบง่ายได้นี่สุขสุดๆ
- Crested Jay
- Verified User
- โพสต์: 253
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รุ้งกินน้ำ
โพสต์ที่ 5420
พี่ป้อมครับ... ผมรบกวนช่วยอธิบายหน่อยว่า ตอนหมีจะมามันมีลักษณะการเตือนอย่างไรบ้าง และตอนนี้หมีกำลังจะมาหรือยังครับ
- Packy_Kittiworawut
- Verified User
- โพสต์: 242
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รุ้งกินน้ำ
โพสต์ที่ 5421
ไปเที่ยวกับครอบครัวมาครับพี่ป้อม เลยเอาคลิปมาฝาก ที่ม่อนแจ่มครับ สวยมากๆ
- por_jai
- Verified User
- โพสต์: 14338
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รุ้งกินน้ำ
โพสต์ที่ 5422
พอดีตอนนั่งกินข้าวกับก๊วนแบดวันนี้
คุยเรื่องนี้กันพอดี
ก็ถือโอกาสมาดูกราฟเรื่องนี้ด้วย
ถ้าเราลองศึกษาจากอดีตที่ใกล้ทีุ่สุด
ก็คือตอนsubprimeเมื่อปี51ที่เพิ่งผ่านมา
หุ้นค่อยๆปรับตัวลง
ถ้าันับจากกราฟวีคใช้เวลาจากวงแรกที่เริ่มลงจนถึงวงสุดท้าย
ก่อนที่setจะใช้ท่ามวยไทยหิรัญม้วนแผ่นดินวกกลับขึ้นมาจนถึงทุกวันนี้
ผมนั่งๆนับดูจากสี่เหลี่ยมสีิเขียวจนมาถึงสี่เหลี่ยมสีแดงที่วงไว้
ใช้เวลา26วีคครับ
ถ้านับเป็นเดือนก็ประมาณ6เดือน
ผมมีทฤษฎีก่อการร้ายอยู่เรื่องนึง
ผมคิดของผมเองว่่าเรื่องดีหรือไม่ดีต่างๆในโลก
เรื่องพวกนี้มีคนรู้ก่อนทั้งนั้น
อธิบายด้วยสิ่งที่เกิดขึ้นได้ด้วยรูปง่ายๆ
เบอร์1 หุ้นขึ้นมาจนถึงจุดนึง
จุดนี้บรรดาแมงเม่ามักถือครองหุ้นกันเยอะ
เบอร์2 มีการปรับตัวค่อนข้างแรงให้ตกใจเล่นเป็นครั้งแรก
บรรดาแมงเม่าก็มีทั้งที่ตัดสินใจขาย
มีบ้างบางรายก็ถือต่อ
แต่แล้วหุ้นก็วกกลับขึ้นต่อไปยังเบอร์3
อัันจะทำให้เม่าที่ตัดสินใจขายไปแล้ว
เกิดอาการอึดอัดหาวเรอเป็นอย่างยิ่ง
เพราะหุ้นขึ้นแล้วไม่มีเม่าได้ไง
ส่วนเม่าที่ยังถือครองหุ้นอยู่
ก็ได้โอกาสบินร่ายรำเฮฮา
ปากก็ส่งเสียงแซวเม่ากลุ่มแรกที่ไม่มีหุ้นอย่างเมามันว่าตกรถ ตกรถ
แซวได้ไม่ทันไร
อ้าวหุ้นดันถูกทุบตุ๊บลงไปยังเบอร์4อีกละ
แต่สัญชาติเม่ามีหรือจะกลัว
เม่ากลุ่มแรกที่เคยขายหุ้นออกไปแล้วก็ถูกแซวว่าตกรถอยู่นาน
คราวนี้บอกว่าขอตรูขึ้นรถด้วยคนสิ
คราวที่แล้วหุ้นตกลงมาแต่สุดท้ายก็ขึ้นกลับไปได้นิ กัวอะไร กัวทำไม
ก็ไล่ซื้อกันขึ้นไปจนไม้สุดท้ายอยู่แถวๆเบอร์5
อ้าว...ยังไม่ทันได้ขายเลยเพราะโลภจะไปขายแพงกว่านี้อีก
หุ้นปรับตัวลงมาอีกเยอะเลย
แต่เม่ามีหรือจะกลัว เดี๋ยวก็ปรับตัวขึ้นอีกตามเคยละน่า...ฮ่า...
ปลากดว่าคราวนี้นอกจากไม่ขึ้น
ยังจัดลงต่อซะหนักเชียว
ตอนนี้ทั้งวีไอแท้ และวีไอจำเป็นทั้งหลาย
ก็ได้มีโอกาสมีหุ้นกันเต็มมือแล้วนะซี
หุ้นก็ลงกระหน่ำซัมเมอร์เซล
แต่ละดอกที่ขายทิ้งลงมาจัดหนักจัดเต็มมาหนักๆทั้งนั้น
เรียกว่าเอาใจพวกชอบถัวเต็มที่...ฮ่า...
คุยเรื่องนี้กันพอดี
ก็ถือโอกาสมาดูกราฟเรื่องนี้ด้วย
ถ้าเราลองศึกษาจากอดีตที่ใกล้ทีุ่สุด
ก็คือตอนsubprimeเมื่อปี51ที่เพิ่งผ่านมา
หุ้นค่อยๆปรับตัวลง
ถ้าันับจากกราฟวีคใช้เวลาจากวงแรกที่เริ่มลงจนถึงวงสุดท้าย
ก่อนที่setจะใช้ท่ามวยไทยหิรัญม้วนแผ่นดินวกกลับขึ้นมาจนถึงทุกวันนี้
ผมนั่งๆนับดูจากสี่เหลี่ยมสีิเขียวจนมาถึงสี่เหลี่ยมสีแดงที่วงไว้
ใช้เวลา26วีคครับ
ถ้านับเป็นเดือนก็ประมาณ6เดือน
ผมมีทฤษฎีก่อการร้ายอยู่เรื่องนึง
ผมคิดของผมเองว่่าเรื่องดีหรือไม่ดีต่างๆในโลก
เรื่องพวกนี้มีคนรู้ก่อนทั้งนั้น
อธิบายด้วยสิ่งที่เกิดขึ้นได้ด้วยรูปง่ายๆ
เบอร์1 หุ้นขึ้นมาจนถึงจุดนึง
จุดนี้บรรดาแมงเม่ามักถือครองหุ้นกันเยอะ
เบอร์2 มีการปรับตัวค่อนข้างแรงให้ตกใจเล่นเป็นครั้งแรก
บรรดาแมงเม่าก็มีทั้งที่ตัดสินใจขาย
มีบ้างบางรายก็ถือต่อ
แต่แล้วหุ้นก็วกกลับขึ้นต่อไปยังเบอร์3
อัันจะทำให้เม่าที่ตัดสินใจขายไปแล้ว
เกิดอาการอึดอัดหาวเรอเป็นอย่างยิ่ง
เพราะหุ้นขึ้นแล้วไม่มีเม่าได้ไง
ส่วนเม่าที่ยังถือครองหุ้นอยู่
ก็ได้โอกาสบินร่ายรำเฮฮา
ปากก็ส่งเสียงแซวเม่ากลุ่มแรกที่ไม่มีหุ้นอย่างเมามันว่าตกรถ ตกรถ
แซวได้ไม่ทันไร
อ้าวหุ้นดันถูกทุบตุ๊บลงไปยังเบอร์4อีกละ
แต่สัญชาติเม่ามีหรือจะกลัว
เม่ากลุ่มแรกที่เคยขายหุ้นออกไปแล้วก็ถูกแซวว่าตกรถอยู่นาน
คราวนี้บอกว่าขอตรูขึ้นรถด้วยคนสิ
คราวที่แล้วหุ้นตกลงมาแต่สุดท้ายก็ขึ้นกลับไปได้นิ กัวอะไร กัวทำไม
ก็ไล่ซื้อกันขึ้นไปจนไม้สุดท้ายอยู่แถวๆเบอร์5
อ้าว...ยังไม่ทันได้ขายเลยเพราะโลภจะไปขายแพงกว่านี้อีก
หุ้นปรับตัวลงมาอีกเยอะเลย
แต่เม่ามีหรือจะกลัว เดี๋ยวก็ปรับตัวขึ้นอีกตามเคยละน่า...ฮ่า...
ปลากดว่าคราวนี้นอกจากไม่ขึ้น
ยังจัดลงต่อซะหนักเชียว
ตอนนี้ทั้งวีไอแท้ และวีไอจำเป็นทั้งหลาย
ก็ได้มีโอกาสมีหุ้นกันเต็มมือแล้วนะซี
หุ้นก็ลงกระหน่ำซัมเมอร์เซล
แต่ละดอกที่ขายทิ้งลงมาจัดหนักจัดเต็มมาหนักๆทั้งนั้น
เรียกว่าเอาใจพวกชอบถัวเต็มที่...ฮ่า...
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
- por_jai
- Verified User
- โพสต์: 14338
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รุ้งกินน้ำ
โพสต์ที่ 5423
ถ้าเราดูจากกราฟ
วงแรกที่หุ้นเริ่มลง ถ้าเรารู้ก่อนก็ดีสินะ
จะได้หนีทัน
แต่ในความเป็นจริง
กว่าข่าวLehman Brothers ล้มละลาย
ที่ผมวงรีแดงๆไว้
ราวๆ18กย.2011
กว่าพวกเราจะเห็นหมีซีแบร์ตัวใหญ่ยักษ์
หุ้นก็ตกลงมาจะครึ่งทางนรกอยู่แล้ว
คิดถึงความเป็นจริงสิครับ
วีไอโดยสายพันธ์ก็เป็นพวกอึดไว้ก่อน อาจารย์สอนไว้
คัทยากคัทเย็น คัทไม่เป็นซะ้ด้วย
หุ้นลงมาซะขนาดนี้ จะคัทก็คัทไม่ลงแ้ล้วแหละครับ
สวนควันปืน ตะโกนดังๆ ไม่คกไม่คัทมันแล้วเฟ้ย
ดีนะครับที่มันเกิดที่เมืองมะริกันที่มันพิมพ์แบ๊งค์เองได้
มันก็เลยวกกลับมาเร็ว
ม่ายงั้นวีไอก็วีไอเหอะ
ฮ่า...
วงแรกที่หุ้นเริ่มลง ถ้าเรารู้ก่อนก็ดีสินะ
จะได้หนีทัน
แต่ในความเป็นจริง
กว่าข่าวLehman Brothers ล้มละลาย
ที่ผมวงรีแดงๆไว้
ราวๆ18กย.2011
กว่าพวกเราจะเห็นหมีซีแบร์ตัวใหญ่ยักษ์
หุ้นก็ตกลงมาจะครึ่งทางนรกอยู่แล้ว
คิดถึงความเป็นจริงสิครับ
วีไอโดยสายพันธ์ก็เป็นพวกอึดไว้ก่อน อาจารย์สอนไว้
คัทยากคัทเย็น คัทไม่เป็นซะ้ด้วย
หุ้นลงมาซะขนาดนี้ จะคัทก็คัทไม่ลงแ้ล้วแหละครับ
สวนควันปืน ตะโกนดังๆ ไม่คกไม่คัทมันแล้วเฟ้ย
ดีนะครับที่มันเกิดที่เมืองมะริกันที่มันพิมพ์แบ๊งค์เองได้
มันก็เลยวกกลับมาเร็ว
ม่ายงั้นวีไอก็วีไอเหอะ
ฮ่า...
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
- Packy_Kittiworawut
- Verified User
- โพสต์: 242
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รุ้งกินน้ำ
โพสต์ที่ 5424
ขอบคุณครับ
- por_jai
- Verified User
- โพสต์: 14338
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รุ้งกินน้ำ
โพสต์ที่ 5427
แป๊คครับเรื่องไปเที่ยวนี่ผมก็ชอบนะ
เรียกว่าเดือนละครั้งเป็นต้องออกตจว.ไปดูโน่นกินนี่
แต่มีที่เที่ยวอยู่อีกทีนึงครับ
ไม่ต้องไปไหน
แต่ต้องหัดฝึกสติ
เหมือนหัดเล่นหุ้นหัดเล่นกีฬานี่แหละครับ
พอได้สติมาเป็นอุปกรณ์ดูใจได้แล้ว
ที่นี้ จะอยู่ที่ไหน
ก็อยู่กับกายกับใจตัวเองจริงไหมครับ
นั่งดูใจตัวเอง วิ่งไปวิ่งมา คิดโ่น่นฟุ้งนี่
บางทีมันก็สงบมีพลัง
เห็นสาวสวยราคะเกิด นั่งดูตัวราคะ มันทำงานยังไงหนอ
เล่นแบดแพ้เกิดโทสะ นั่งดูมัน เอ๋มันไม่ใช่เรานี่นา
ไปวิ่งต่างจังหวัด ถ้าดูแต่ลมหายใจ จิตก็ไปจับที่ปวดขาไม่ได้ วิ่งไปไหงสบ๊ายสบาย
ได้หุ้นดีใจ เสียหุ้นเสียใจ เสียความมั่นใจ ความมั่นใจนี่มันอะไรหนอ
อื่นๆอีกมากมาย
สำหรับผมก็ถือว่านี่เป็นการเที่ยวชนิดนึง
เพราะใจนี่เขาเก่งนะ เขาไม่ใช่ไปได้แค่ตจว. ตปท.
เขาเดินทางข้ามเวลา ไปมาได้ทุกหนแห่ง
เก่งเกินใครทั้งนั้น
ลองเที่ยวแบบนี้ดูมั่งไหมครับ
สนุกไปอีกแบบนึงเหมือนกัน
เห็นหลวงพ่อว่าแค่นี้ได้บุญมหาศาล
แนะ่ๆๆเห็นตัวโลภอยากได้บุญไหม...
เรียกว่าเดือนละครั้งเป็นต้องออกตจว.ไปดูโน่นกินนี่
แต่มีที่เที่ยวอยู่อีกทีนึงครับ
ไม่ต้องไปไหน
แต่ต้องหัดฝึกสติ
เหมือนหัดเล่นหุ้นหัดเล่นกีฬานี่แหละครับ
พอได้สติมาเป็นอุปกรณ์ดูใจได้แล้ว
ที่นี้ จะอยู่ที่ไหน
ก็อยู่กับกายกับใจตัวเองจริงไหมครับ
นั่งดูใจตัวเอง วิ่งไปวิ่งมา คิดโ่น่นฟุ้งนี่
บางทีมันก็สงบมีพลัง
เห็นสาวสวยราคะเกิด นั่งดูตัวราคะ มันทำงานยังไงหนอ
เล่นแบดแพ้เกิดโทสะ นั่งดูมัน เอ๋มันไม่ใช่เรานี่นา
ไปวิ่งต่างจังหวัด ถ้าดูแต่ลมหายใจ จิตก็ไปจับที่ปวดขาไม่ได้ วิ่งไปไหงสบ๊ายสบาย
ได้หุ้นดีใจ เสียหุ้นเสียใจ เสียความมั่นใจ ความมั่นใจนี่มันอะไรหนอ
อื่นๆอีกมากมาย
สำหรับผมก็ถือว่านี่เป็นการเที่ยวชนิดนึง
เพราะใจนี่เขาเก่งนะ เขาไม่ใช่ไปได้แค่ตจว. ตปท.
เขาเดินทางข้ามเวลา ไปมาได้ทุกหนแห่ง
เก่งเกินใครทั้งนั้น
ลองเที่ยวแบบนี้ดูมั่งไหมครับ
สนุกไปอีกแบบนึงเหมือนกัน
เห็นหลวงพ่อว่าแค่นี้ได้บุญมหาศาล
แนะ่ๆๆเห็นตัวโลภอยากได้บุญไหม...
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
- Packy_Kittiworawut
- Verified User
- โพสต์: 242
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รุ้งกินน้ำ
โพสต์ที่ 5430
จะอยู่ที่ไหนก็อยู่กับกายกับใจตัวเอง ชอบมากเลยคำนี้por_jai เขียน: แป๊คครับเรื่องไปเที่ยวนี่ผมก็ชอบนะ
เรียกว่าเดือนละครั้งเป็นต้องออกตจว.ไปดูโน่นกินนี่
แต่มีที่เที่ยวอยู่อีกทีนึงครับ
ไม่ต้องไปไหน
แต่ต้องหัดฝึกสติ
เหมือนหัดเล่นหุ้นหัดเล่นกีฬานี่แหละครับ
พอได้สติมาเป็นอุปกรณ์ดูใจได้แล้ว
ที่นี้ จะอยู่ที่ไหน
ก็อยู่กับกายกับใจตัวเองจริงไหมครับ
นั่งดูใจตัวเอง วิ่งไปวิ่งมา คิดโ่น่นฟุ้งนี่
บางทีมันก็สงบมีพลัง
เห็นสาวสวยราคะเกิด นั่งดูตัวราคะ มันทำงานยังไงหนอ
เล่นแบดแพ้เกิดโทสะ นั่งดูมัน เอ๋มันไม่ใช่เรานี่นา
ไปวิ่งต่างจังหวัด ถ้าดูแต่ลมหายใจ จิตก็ไปจับที่ปวดขาไม่ได้ วิ่งไปไหงสบ๊ายสบาย
ได้หุ้นดีใจ เสียหุ้นเสียใจ เสียความมั่นใจ ความมั่นใจนี่มันอะไรหนอ
อื่นๆอีกมากมาย
สำหรับผมก็ถือว่านี่เป็นการเที่ยวชนิดนึง
เพราะใจนี่เขาเก่งนะ เขาไม่ใช่ไปได้แค่ตจว. ตปท.
เขาเดินทางข้ามเวลา ไปมาได้ทุกหนแห่ง
เก่งเกินใครทั้งนั้น
ลองเที่ยวแบบนี้ดูมั่งไหมครับ
สนุกไปอีกแบบนึงเหมือนกัน
เห็นหลวงพ่อว่าแค่นี้ได้บุญมหาศาล
แนะ่ๆๆเห็นตัวโลภอยากได้บุญไหม...