รุ้งกินน้ำ
- por_jai
- Verified User
- โพสต์: 14338
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รุ้งกินน้ำ
โพสต์ที่ 5373
ลอกมาจากพี่iSpursห้องsncขำ ขำ ดีครับ
โอ้..มายก้อด พอร์ทของผม ซมซานหนัก
เคยคึกคัก หุ้น S ซิ่ง วิ่งนักหนา
SNC SVI นิวไฮมา
ยังมีป้า SPALI ไปด้วยกัน
ถึงวันนี้ ใครขายอีก ผมไม่สน
สมองคิด อย่าลุกลน แก้ปัญหา
เงินหมดแล้ว เอาไงดี พิจารณา
เมียจ๊ะจ๋า พี่จะมา ขอเบิกทุน
"ชั้นบอกแล้ว ว่าให้เธอ เล่นหุ้นใหญ่
เก็บทองแท่ง KGOLD ไว้ ไปศึกษา
หุ้น VI ซื้อทำไม ไร้ราคา
แล้วตอนนี้ ยังมีหน้า มาขอตัง"
อ้าว..ที่รัก นี่คุณลืม ไปแล้วหรือ
ผมเคยถือ ได้เป็นเด้ง เฮงนักหนา
หุ้นผ้าอ้อม, ROBINS ไง กำไรมา
SC ด้วย คุณอย่ามา ทำเป็นเนียน
โอ้..มายก้อด พอร์ทของผม ซมซานหนัก
เคยคึกคัก หุ้น S ซิ่ง วิ่งนักหนา
SNC SVI นิวไฮมา
ยังมีป้า SPALI ไปด้วยกัน
ถึงวันนี้ ใครขายอีก ผมไม่สน
สมองคิด อย่าลุกลน แก้ปัญหา
เงินหมดแล้ว เอาไงดี พิจารณา
เมียจ๊ะจ๋า พี่จะมา ขอเบิกทุน
"ชั้นบอกแล้ว ว่าให้เธอ เล่นหุ้นใหญ่
เก็บทองแท่ง KGOLD ไว้ ไปศึกษา
หุ้น VI ซื้อทำไม ไร้ราคา
แล้วตอนนี้ ยังมีหน้า มาขอตัง"
อ้าว..ที่รัก นี่คุณลืม ไปแล้วหรือ
ผมเคยถือ ได้เป็นเด้ง เฮงนักหนา
หุ้นผ้าอ้อม, ROBINS ไง กำไรมา
SC ด้วย คุณอย่ามา ทำเป็นเนียน
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
- por_jai
- Verified User
- โพสต์: 14338
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รุ้งกินน้ำ
โพสต์ที่ 5374
นี่ก็ได้จากห้องบางจาก
ทั้งนี้ จะส่งผลให้ราคาน้ำมันตามสถานีบริการของปตท.และบางจากฯ ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลวันพรุ่งนี้ เป็นดังนี้ เบนซิน 91 อยู่ที่ลิตรละ 34.77 บาท ดีเซลลิตรละ 26.99 บาท
ส่วนราคาน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 คงเดิมที่ 37.04 บาท/ลิตร แก๊สโซฮอล์ 91 คงเดิม ที่ 34.54 บาท/ลิตร ,E20 คงเดิมที่ 33.04 บาท/ลิตร และ E85 คงเดิมที่ 21.92 บาท/ลิตร
ทั้งนี้ จะส่งผลให้ราคาน้ำมันตามสถานีบริการของปตท.และบางจากฯ ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลวันพรุ่งนี้ เป็นดังนี้ เบนซิน 91 อยู่ที่ลิตรละ 34.77 บาท ดีเซลลิตรละ 26.99 บาท
ส่วนราคาน้ำมันแก๊สโซฮอล์ 95 คงเดิมที่ 37.04 บาท/ลิตร แก๊สโซฮอล์ 91 คงเดิม ที่ 34.54 บาท/ลิตร ,E20 คงเดิมที่ 33.04 บาท/ลิตร และ E85 คงเดิมที่ 21.92 บาท/ลิตร
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
- Packy_Kittiworawut
- Verified User
- โพสต์: 242
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รุ้งกินน้ำ
โพสต์ที่ 5376
แย่เลย ปั๊มอย่างบางจากเป็นปั๊มเอทานอลจะไปรอดเหรอครับเนี่ย โครงการพลังงานทางเลือกลงทุนไปไม่น้อยนี่นา...
- Fon^^
- Verified User
- โพสต์: 604
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รุ้งกินน้ำ
โพสต์ที่ 5377
ขอบคุณพี่ป้อมแนะนำหนังสือ "คำตอบใน facebook" นะคะ
ฝนกำลังอ่าน รู้อะไรขึ้นมากมาย
ตอนนี้กำลังอ่านให้จบแล้วหาหนังสือเล่มอื่นๆมาอ่านบ้างค่ะ
แต่จิตก็ยังฟุ้งซ่านอยู่ ขณะอ่านก็ยังตามจิตไม่ค่อยทันค่ะ
ฝนกำลังอ่าน รู้อะไรขึ้นมากมาย
ตอนนี้กำลังอ่านให้จบแล้วหาหนังสือเล่มอื่นๆมาอ่านบ้างค่ะ
แต่จิตก็ยังฟุ้งซ่านอยู่ ขณะอ่านก็ยังตามจิตไม่ค่อยทันค่ะ
ผิดหนึ่งพึงจดไว้.....ในสมอง
เร่งระวังผิดสอง.....ภายหน้า
สามผิดเร่งคิดตรอง จงหนัก.....เพื่อนเอย
ถึงสี่อีกทีห้า.....หกซ้ำ อภัยไฉน
เร่งระวังผิดสอง.....ภายหน้า
สามผิดเร่งคิดตรอง จงหนัก.....เพื่อนเอย
ถึงสี่อีกทีห้า.....หกซ้ำ อภัยไฉน
- por_jai
- Verified User
- โพสต์: 14338
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รุ้งกินน้ำ
โพสต์ที่ 5378
ถ้าอ่านหนังสือแล้วรู้เรื่องที่คนเขียนต้องการสื่อ
จะบอกว่าเราฟุ้งซ่านไม่ได้นะ
เพราะถ้าฟุ้งซ่านจะอ่านไม่รู้เรื่อง
คนที่อ่านรู้เรื่องจนจบเล่ม
ก็ต้อง ถือว่ามีสมาธิดีระดับนึง
สมาธิ กับ ฟุ้งนี่
ก็ต้องว่ากันเป็นช่วงช่วงไปนะ
คนส่วนใหญ่แม้อยากฟุ้งก็ไม่สามารถฟุ้งได้ตลอดเวลา
แล้วก็
อยากมีสมาธิก็ไม่ได้มีสมาิธิตลอดเวลาเช่นกัน
จะบอกว่าเราฟุ้งซ่านไม่ได้นะ
เพราะถ้าฟุ้งซ่านจะอ่านไม่รู้เรื่อง
คนที่อ่านรู้เรื่องจนจบเล่ม
ก็ต้อง ถือว่ามีสมาธิดีระดับนึง
สมาธิ กับ ฟุ้งนี่
ก็ต้องว่ากันเป็นช่วงช่วงไปนะ
คนส่วนใหญ่แม้อยากฟุ้งก็ไม่สามารถฟุ้งได้ตลอดเวลา
แล้วก็
อยากมีสมาธิก็ไม่ได้มีสมาิธิตลอดเวลาเช่นกัน
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
- picatos
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 3227
- ผู้ติดตาม: 4
Re: รุ้งกินน้ำ
โพสต์ที่ 5379
เป็นการแสดงถึงสภาวะอนัตตาของจิตใช่ไหมครับพี่?por_jai เขียน: ถ้าอ่านหนังสือแล้วรู้เรื่องที่คนเขียนต้องการสื่อ
จะบอกว่าเราฟุ้งซ่านไม่ได้นะ
เพราะถ้าฟุ้งซ่านจะอ่านไม่รู้เรื่อง
คนที่อ่านรู้เรื่องจนจบเล่ม
ก็ต้อง ถือว่ามีสมาธิดีระดับนึง
สมาธิ กับ ฟุ้งนี่
ก็ต้องว่ากันเป็นช่วงช่วงไปนะ
คนส่วนใหญ่แม้อยากฟุ้งก็ไม่สามารถฟุ้งได้ตลอดเวลา
แล้วก็
อยากมีสมาธิก็ไม่ได้มีสมาิธิตลอดเวลาเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม จิตที่ฝึกมาดีแล้ว จะตั้งมั่นได้ง่ายขึ้น ทำจิตให้เป็นสมาธิได้บ่อยขึ้น ซึ่งได้มาจากประสบการณ์ในการตะล่อมจิตในรูปแบบต่างๆ ในการเจริญภาวนา
วันคืนล่วงไปๆ บัดนี้เรากำลังทำอะไรอยู่?
- por_jai
- Verified User
- โพสต์: 14338
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รุ้งกินน้ำ
โพสต์ที่ 5383
เรานั่งอ่านหนังสืออยู่
จิตดวงแรกอยากอ่านหนังสือ
อ่านๆไป
จิตอีกดวงแว่บไปคิดเรื่องหุ้น
ถามว่าเราสั่งเขาให้คิดหรือเขาคิดของเขาเองได้
ถ้าใครตอบว่าเขาคิดของเขาเองได้
นั่นแหละครับ อนัตตาแห่งจิต มาให้เห็นกระจ่างใจแล้ว
คนฝึกมาก็รู้
คนไม่ฝึกมาก็เผลอๆเพลินอ่านมั่งคิดมั่งหนุกดี...ฮ่า...
คนฝึกมารู้้บ่อยๆเข้าก็รู้แล้วว่า
จิตไม่ใช่เรา
เพราะถ้าใช่เราๆก็ต้องควบคุมได้
นี่เขาเป็นตัวของเขาเองแน่ๆ
เพราะเขาคิดเอง มาเอง ไปเอง
อิสระยิ่งกว่าใครๆทั้งนั้น...ฮ่า...
จิตดวงแรกอยากอ่านหนังสือ
อ่านๆไป
จิตอีกดวงแว่บไปคิดเรื่องหุ้น
ถามว่าเราสั่งเขาให้คิดหรือเขาคิดของเขาเองได้
ถ้าใครตอบว่าเขาคิดของเขาเองได้
นั่นแหละครับ อนัตตาแห่งจิต มาให้เห็นกระจ่างใจแล้ว
คนฝึกมาก็รู้
คนไม่ฝึกมาก็เผลอๆเพลินอ่านมั่งคิดมั่งหนุกดี...ฮ่า...
คนฝึกมารู้้บ่อยๆเข้าก็รู้แล้วว่า
จิตไม่ใช่เรา
เพราะถ้าใช่เราๆก็ต้องควบคุมได้
นี่เขาเป็นตัวของเขาเองแน่ๆ
เพราะเขาคิดเอง มาเอง ไปเอง
อิสระยิ่งกว่าใครๆทั้งนั้น...ฮ่า...
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
- Packy_Kittiworawut
- Verified User
- โพสต์: 242
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รุ้งกินน้ำ
โพสต์ที่ 5386
Best use for an iPad so far...
- por_jai
- Verified User
- โพสต์: 14338
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รุ้งกินน้ำ
โพสต์ที่ 5387
ขอโพสเก็บไว้อ่านหลายๆรอบหน่อย....
ทศวรรษแห่ง VI
โลกในมุมมองของ Value Investor 3 กันยายน 54
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ผมเริ่มเป็นวิทยากรที่พูดเกี่ยวกับการลงทุนในตลาดหุ้น__แบบเน้นคุณค่า หรือ Value Investment มานานนับสิบปีแล้ว สิ่งที่ผมสังเกตเห็นก็คือ จำนวนคนที่สนใจเข้าฟังนั้น เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และแทบจะเรียกว่า “อัดแน่น” ในช่วงหลัง ๆ และแม้แต่ในช่วงปี 2551 หลังจากภาวะวิกฤติซับไพร์มในอเมริกาที่ทำให้ตลาดหุ้นตกลงมาอย่างหนัก คนฟังก็ไม่ได้ลดลงมาซักเท่าไร ซึ่งแตกต่างจากอดีตที่เคยเป็นว่า เมื่อหุ้นขึ้นคนก็แห่กันมาฟังล้นห้อง แต่ในยามที่หุ้นตก ห้องสัมมนาก็แทบจะร้าง ปรากฏการณ์นี้ทำให้ผมคิดว่า สังคมของการลงทุนของคนไทยน่าจะกำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างลึกซึ้ง และการเปลี่ยนแปลงนี้เริ่มเกิดขึ้นหลังภาวะวิกฤติเศรษฐกิจในปี 2540 หรือจะพูดให้ถูกต้องขึ้นไปอีกก็คือประมาณปี 2543 ที่เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวและราคาหุ้นตกต่ำถึงพื้น อะไรคือการเปลี่ยนแปลงที่ว่านี้?
ประการแรกก็คือ คุณสมบัติของนักลงทุนหรือคนที่เข้ามาฟังการสัมมนา ก่อนปี 2540 นั้น คนที่ฟังการสัมมนาคือ “คนเล่นหุ้น” นี่คือกลุ่มคนที่กล้าเสี่ยง กล้าได้กล้าเสีย มักจะเป็นคนที่ประกอบการธุรกิจขนาดย่อม ซึ่งแน่นอน โดยสัญชาติญาณของความเป็นพ่อค้าย่อมที่จะกล้าเสี่ยงมากกว่าคนกลุ่มอื่น กลุ่มต่อมาก็คือ แม่บ้านที่มีฐานะปานกลางที่มีเวลาว่างหรือไม่มีอะไรทำและเข้ามาเสี่ยงโชคในตลาดหุ้น บางคนก็อาจจะชอบเล่นการพนันอย่างอื่นเช่นเล่นไพ่กับขาประจำอยู่แล้ว นี่ก็เป็นกลุ่มที่ลงทุนด้วยเงินที่ไม่มากเมื่อเทียบกับกลุ่มผู้ประกอบธุรกิจที่มักจะเป็นผู้ชายที่เล่นหุ้นอย่างเอาจริงเอาจังมากกว่า กลุ่มที่สามก็คือ กลุ่มพนักงานตามสำนักงานโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ทำงานในแวดวงการเงิน เช่นพนักงานของบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์หรือพนักงานธนาคาร ที่มีความรู้เกี่ยวกับตลาดหุ้นดีกว่าคนทั่วไปและมีข้อมูลที่มากกว่า พวกเขาเล่นหุ้นเพราะเห็นโอกาส “ทำกำไรง่าย ๆ” ที่เขาพบเห็นในบางช่วงเวลา และสุดท้ายก็คือ “เซียน” หรือกลุ่ม “ขาใหญ่” ที่มีเม็ดเงินมากและมักจะทำการซื้อขายนำเพื่อ “ทำราคาหุ้น” บางคนก็ “ปั่นหุ้น” เพื่อทำกำไรมหาศาลในเวลาอันสั้น
นักลงทุนที่ผมเห็นในที่สัมมนาใน พ.ศ. นี้ ส่วนมากน่าจะเป็นคนทำงานกินเงินเดือนที่เป็นคนชั้นกลาง พวกเขากำลังอยู่ในวัยที่กำลังทำงานเก็บเงินเพื่ออนาคตและคิดว่าการลงทุนโดยเฉพาะในหุ้นนั้น เป็นหนทางที่ดีกว่าการฝากเงินหรือลงทุนอย่างอื่น พวกเขาไม่ใช่คน “ชอบความเสี่ยง” แบบผู้ประกอบการ แต่ก็พร้อมจะเสี่ยงด้วยเงินจำนวนหนึ่ง พวกเขาเชื่อว่าการลงทุนในหุ้นเป็นสิ่งที่ “คุ้มค่ากับความเสี่ยง” และเขารับมันได้ การที่ได้เรียนรู้และจากประสบการณ์สั้น ๆ ที่ผ่านมาช่วยให้พวกเขามั่นใจและเข้ามาลงทุนในหุ้น ภาพของหุ้นที่เป็นตราสาร “เก็งกำไร” นั้นเปลี่ยนไป การลงทุนในหุ้นสำหรับคนจำนวนไม่น้อยนั้น เป็นการลงทุน “ทำธุรกิจ” พวกเขารู้และคิดว่าถ้าเราเป็น “VI” หรือเป็นนักลงทุนเน้นคุณค่า พวกเขาน่าจะปลอดภัยและได้ผลตอบแทนที่ดีพอสมควร
กลุ่มนักลงทุนรุ่นใหม่อีกกลุ่มหนึ่งก็คือกลุ่มของเจ้าของกิจการที่มีฐานะร่ำรวยพอสมควร บางคนก็ร่ำรวยมากระดับเศรษฐีหรือมหาเศรษฐี ซึ่งก็รวมถึงลูกที่เรียนจบและเริ่มทำงานหรือทำงานมาได้ระยะหนึ่งแล้ว คนกลุ่มนี้ ตั้งแต่ภาวะวิกฤติเศรษฐกิจในปี 2540 พวกเขา “รอด” มาได้ และในช่วง 10 ปีที่ผ่านมากลับรุ่งเรืองและที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ มีเงินสดเหลือมากมาย พวกเขาต้องทนฝากเงินกินดอกเบี้ยในอัตราที่ต่ำมานาน ดังนั้น เมื่อเห็นราคาหุ้นในตลาดที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ติดต่อกันมานานหลายปี เขาก็เริ่มเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น พวกเขาเริ่มเรียนรู้ว่าหุ้นก็คือธุรกิจเหมือนกับที่เขาทำอยู่ ซื้อหุ้นก็เหมือนซื้อธุรกิจ กำไรจากการลงทุนในตลาดหุ้นของพวกเขาที่ผ่านมาไม่กี่ปีนั้น ดีและเร็วกว่าธุรกิจของตนเองมาก ดังนั้น ตลาดหุ้นสำหรับพวกเขาไม่ใช่ “แหล่งการพนัน” อีกต่อไป พวกเขาอาจจะเรียกและคิดว่าตนเองเป็น “VI” ไม่ได้ซื้อหุ้นมั่ว ๆ ไม่มีพื้นฐาน และนี่ก็คือกลุ่มนักลงทุนที่มีเม็ดเงินและศักยภาพมหาศาลที่สามารถขับเคลื่อนหุ้นโดยเฉพาะที่ไม่ได้มีขนาดใหญ่มากนักได้
กลุ่มสุดท้ายก็แน่นอน ยังเป็นกลุ่มเดิม ๆ ที่เป็นแม่บ้าน และผู้ประกอบการรายย่อยจริง ๆ ที่ยังเน้นการเล่นหุ้นรายวันและมักจะอยู่ตามห้องค้า กลุ่มนี้ผมเห็นน้อยลงไปมากในห้องสัมมนา สิ่งที่เปลี่ยนไปก็คือ พวกเขาหันมาเล่นหุ้น “VI” ตามการเล่นของคนกลุ่มอื่น ๆ ประเด็นที่สำคัญสำหรับกลุ่มนักลงทุนรุ่นดั้งเดิมก็คือกลุ่มนักลงทุนที่เรียกว่า “ขาใหญ่” นั้น ในยุคสมัยใหม่นี้ ขาใหญ่จำนวนมากได้ “ล้มหายตายจาก” ไป แต่ที่ยังอยู่และยังร่ำรวยเหมือนเดิมหรือรวยยิ่งขึ้นนั้น ส่วนใหญ่ได้เปลี่ยนแปลงไป หลายคนกลายเป็น “VI เต็มตัว” หลายคนแม้ว่ายังชอบที่จะ “เล่นเร็วและไล่ราคา” แต่การทำอย่างนั้นก็มักจะทำกับหุ้นที่เป็น “VI” พวกเขายอมรับว่า VI นั้น เป็น “กระแส” ที่ไม่สามารถจะฝืนได้ การเล่นหุ้นหรือทำราคาหุ้นโดย “ไม่มีเหตุผล” ทางด้านพื้นฐานมาสนับสนุนนั้นจะสำเร็จได้ยาก
ถ้าจะพูดว่า “ถนนทุกสายมุ่งสู่ VI” ก็ไม่น่าจะเกินความเป็นจริง และนั่นทำให้หุ้น “VI” ค่อย ๆ ปรับตัวขึ้นไปเรื่อย ๆ หุ้นเหล่านี้มักเป็นหุ้นตัวเล็กหรืออย่างมากก็ระดับกลางค่อนไปทางเล็ก แต่เนื่องจากเม็ดเงินที่เข้ามาเล่นหรือซื้อหุ้นเหล่านี้ไม่ได้เล็ก นักลงทุนบางคนหรือบางกลุ่มนั้นมีพอร์ตการลงทุนที่สามารถซื้อหุ้นได้ทั้งบริษัทอย่างง่าย ๆ ดังนั้น หุ้น “VI” จำนวนมากจึงปรับตัวขึ้น ตัวแรกปรับขึ้นไปจนราคาขึ้นไปสูง อาจจะ “เต็มมูลค่า” จึงถูกขายไป เม็ดเงินที่ได้กำไรจากการขายหุ้นของ VI ที่ “มาก่อน” ก็เข้าไปซื้อหุ้น “VI” ตัวใหม่ ทำให้ราคาหุ้นตัวใหม่ปรับขึ้นไป สิ่งนี้ชักจูงให้เม็ดเงินใหม่จากนักลงทุนรายใหม่เข้ามาซื้อ ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นไปอีก ในไม่ช้า หุ้น “VI” ในตลาดก็เริ่มแพงขึ้นเรื่อย ๆ จนหมดสภาพเป็นหุ้น “VI” กระบวนการทั้งหมดนั้น แทบไม่ได้เกี่ยวข้องกับดัชนีตลาดเท่าไรนัก เพราะหุ้นตัวใหญ่ ๆ ที่ชี้นำดัชนีได้จริง ๆ นั้น ไม่ได้อยู่ในสายตาของเหล่านักลงทุนที่เป็น “VI” เลย ดังนั้น ผลตอบแทนที่ทำได้ของนักลงทุน VI บางคนจึงสูงกว่าดัชนีมาก และหลายครั้งก็ไม่ได้ปรับตัวตามตลาดมากนัก
ความสำเร็จของนักลงทุน VI ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมานั้น ผมอยากเรียกมันว่าเป็น “ปรากฏการณ์” โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ที่ตลาดหุ้นมีการปรับตัวขึ้นมาสูงมากกว่าร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่สำหรับ VI บางคนแล้ว พวกเขาอาจจะกำไรมากเสียจน “รวยไปเลย” VI บางคนอายุยังน้อยมากและเพิ่งเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไม่กี่ปีแต่กลับมีเงินหลายสิบล้าน บางคนมีหลายร้อยล้านจากการลงทุน บางคนที่เริ่มต้นด้วยเงินจำนวนมากจากธุรกิจที่บ้านก็กลายเป็นเศรษฐีพันล้าน ได้ในเวลาอันรวดเร็ว แต่แม้จะไม่พูดถึงคนที่รวยเป็นเรื่องเป็นราว นักลงทุน “VI” รายย่อยที่เป็นคนกินเงินเดือนและต้องเก็บเงินจากเงินเดือนมาลงทุน หลาย ๆ คนก็กลายเป็นคนที่มีเงินหลายล้านบาทและรู้สึก “แตกต่าง” จากเพื่อนที่ไม่ได้ลงทุนในตลาดหุ้นอย่างเห็นได้ชัด ข้อสรุปของผมก็คือ นี่คือยุคทองของ VI และผมอยากเรียกมันว่า 10 ปีที่ผ่านมานั้นเป็น “ทศวรรษแห่ง VI”
แต่ยุคแห่งความรุ่งเรืองนั้น วันหนึ่งก็จะต้องผ่านไป ชีวิตที่ได้เงินมามากและง่ายนั้นไม่สามารถดำรงอยู่ได้ตลอดไป เพราะคนใหม่ ๆ ก็จะเข้ามาทำบ้าง และในกระบวนการนั้นก็ทำให้วิธีการหาเงินแบบนั้นไร้ผล ผมไม่รู้ว่า “ทศวรรษแห่งความรุ่งเรืองของ VI” จบสิ้นแล้วหรือยัง เหตุการณ์หลาย ๆ อย่างที่เกิดขึ้นเร็ว ๆ นี้ชี้ให้เห็นว่า บางทีการเป็น “VI” แบบไม่ค่อยได้ศึกษาหรือลงแรงอย่างจริงจังนั้นแทนที่จะกำไรอาจจะขาดทุนอย่างหนักได้ แต่ไม่ว่ายุคสมัยจะเป็นอย่างไร VI ก็ยังเป็นแนวคิดและวิธีการที่ดีเสมอตราบที่เราใช้มันอย่างถูกต้อง
ทศวรรษแห่ง VI
โลกในมุมมองของ Value Investor 3 กันยายน 54
ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ผมเริ่มเป็นวิทยากรที่พูดเกี่ยวกับการลงทุนในตลาดหุ้น__แบบเน้นคุณค่า หรือ Value Investment มานานนับสิบปีแล้ว สิ่งที่ผมสังเกตเห็นก็คือ จำนวนคนที่สนใจเข้าฟังนั้น เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และแทบจะเรียกว่า “อัดแน่น” ในช่วงหลัง ๆ และแม้แต่ในช่วงปี 2551 หลังจากภาวะวิกฤติซับไพร์มในอเมริกาที่ทำให้ตลาดหุ้นตกลงมาอย่างหนัก คนฟังก็ไม่ได้ลดลงมาซักเท่าไร ซึ่งแตกต่างจากอดีตที่เคยเป็นว่า เมื่อหุ้นขึ้นคนก็แห่กันมาฟังล้นห้อง แต่ในยามที่หุ้นตก ห้องสัมมนาก็แทบจะร้าง ปรากฏการณ์นี้ทำให้ผมคิดว่า สังคมของการลงทุนของคนไทยน่าจะกำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างลึกซึ้ง และการเปลี่ยนแปลงนี้เริ่มเกิดขึ้นหลังภาวะวิกฤติเศรษฐกิจในปี 2540 หรือจะพูดให้ถูกต้องขึ้นไปอีกก็คือประมาณปี 2543 ที่เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวและราคาหุ้นตกต่ำถึงพื้น อะไรคือการเปลี่ยนแปลงที่ว่านี้?
ประการแรกก็คือ คุณสมบัติของนักลงทุนหรือคนที่เข้ามาฟังการสัมมนา ก่อนปี 2540 นั้น คนที่ฟังการสัมมนาคือ “คนเล่นหุ้น” นี่คือกลุ่มคนที่กล้าเสี่ยง กล้าได้กล้าเสีย มักจะเป็นคนที่ประกอบการธุรกิจขนาดย่อม ซึ่งแน่นอน โดยสัญชาติญาณของความเป็นพ่อค้าย่อมที่จะกล้าเสี่ยงมากกว่าคนกลุ่มอื่น กลุ่มต่อมาก็คือ แม่บ้านที่มีฐานะปานกลางที่มีเวลาว่างหรือไม่มีอะไรทำและเข้ามาเสี่ยงโชคในตลาดหุ้น บางคนก็อาจจะชอบเล่นการพนันอย่างอื่นเช่นเล่นไพ่กับขาประจำอยู่แล้ว นี่ก็เป็นกลุ่มที่ลงทุนด้วยเงินที่ไม่มากเมื่อเทียบกับกลุ่มผู้ประกอบธุรกิจที่มักจะเป็นผู้ชายที่เล่นหุ้นอย่างเอาจริงเอาจังมากกว่า กลุ่มที่สามก็คือ กลุ่มพนักงานตามสำนักงานโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ทำงานในแวดวงการเงิน เช่นพนักงานของบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์หรือพนักงานธนาคาร ที่มีความรู้เกี่ยวกับตลาดหุ้นดีกว่าคนทั่วไปและมีข้อมูลที่มากกว่า พวกเขาเล่นหุ้นเพราะเห็นโอกาส “ทำกำไรง่าย ๆ” ที่เขาพบเห็นในบางช่วงเวลา และสุดท้ายก็คือ “เซียน” หรือกลุ่ม “ขาใหญ่” ที่มีเม็ดเงินมากและมักจะทำการซื้อขายนำเพื่อ “ทำราคาหุ้น” บางคนก็ “ปั่นหุ้น” เพื่อทำกำไรมหาศาลในเวลาอันสั้น
นักลงทุนที่ผมเห็นในที่สัมมนาใน พ.ศ. นี้ ส่วนมากน่าจะเป็นคนทำงานกินเงินเดือนที่เป็นคนชั้นกลาง พวกเขากำลังอยู่ในวัยที่กำลังทำงานเก็บเงินเพื่ออนาคตและคิดว่าการลงทุนโดยเฉพาะในหุ้นนั้น เป็นหนทางที่ดีกว่าการฝากเงินหรือลงทุนอย่างอื่น พวกเขาไม่ใช่คน “ชอบความเสี่ยง” แบบผู้ประกอบการ แต่ก็พร้อมจะเสี่ยงด้วยเงินจำนวนหนึ่ง พวกเขาเชื่อว่าการลงทุนในหุ้นเป็นสิ่งที่ “คุ้มค่ากับความเสี่ยง” และเขารับมันได้ การที่ได้เรียนรู้และจากประสบการณ์สั้น ๆ ที่ผ่านมาช่วยให้พวกเขามั่นใจและเข้ามาลงทุนในหุ้น ภาพของหุ้นที่เป็นตราสาร “เก็งกำไร” นั้นเปลี่ยนไป การลงทุนในหุ้นสำหรับคนจำนวนไม่น้อยนั้น เป็นการลงทุน “ทำธุรกิจ” พวกเขารู้และคิดว่าถ้าเราเป็น “VI” หรือเป็นนักลงทุนเน้นคุณค่า พวกเขาน่าจะปลอดภัยและได้ผลตอบแทนที่ดีพอสมควร
กลุ่มนักลงทุนรุ่นใหม่อีกกลุ่มหนึ่งก็คือกลุ่มของเจ้าของกิจการที่มีฐานะร่ำรวยพอสมควร บางคนก็ร่ำรวยมากระดับเศรษฐีหรือมหาเศรษฐี ซึ่งก็รวมถึงลูกที่เรียนจบและเริ่มทำงานหรือทำงานมาได้ระยะหนึ่งแล้ว คนกลุ่มนี้ ตั้งแต่ภาวะวิกฤติเศรษฐกิจในปี 2540 พวกเขา “รอด” มาได้ และในช่วง 10 ปีที่ผ่านมากลับรุ่งเรืองและที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ มีเงินสดเหลือมากมาย พวกเขาต้องทนฝากเงินกินดอกเบี้ยในอัตราที่ต่ำมานาน ดังนั้น เมื่อเห็นราคาหุ้นในตลาดที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ติดต่อกันมานานหลายปี เขาก็เริ่มเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น พวกเขาเริ่มเรียนรู้ว่าหุ้นก็คือธุรกิจเหมือนกับที่เขาทำอยู่ ซื้อหุ้นก็เหมือนซื้อธุรกิจ กำไรจากการลงทุนในตลาดหุ้นของพวกเขาที่ผ่านมาไม่กี่ปีนั้น ดีและเร็วกว่าธุรกิจของตนเองมาก ดังนั้น ตลาดหุ้นสำหรับพวกเขาไม่ใช่ “แหล่งการพนัน” อีกต่อไป พวกเขาอาจจะเรียกและคิดว่าตนเองเป็น “VI” ไม่ได้ซื้อหุ้นมั่ว ๆ ไม่มีพื้นฐาน และนี่ก็คือกลุ่มนักลงทุนที่มีเม็ดเงินและศักยภาพมหาศาลที่สามารถขับเคลื่อนหุ้นโดยเฉพาะที่ไม่ได้มีขนาดใหญ่มากนักได้
กลุ่มสุดท้ายก็แน่นอน ยังเป็นกลุ่มเดิม ๆ ที่เป็นแม่บ้าน และผู้ประกอบการรายย่อยจริง ๆ ที่ยังเน้นการเล่นหุ้นรายวันและมักจะอยู่ตามห้องค้า กลุ่มนี้ผมเห็นน้อยลงไปมากในห้องสัมมนา สิ่งที่เปลี่ยนไปก็คือ พวกเขาหันมาเล่นหุ้น “VI” ตามการเล่นของคนกลุ่มอื่น ๆ ประเด็นที่สำคัญสำหรับกลุ่มนักลงทุนรุ่นดั้งเดิมก็คือกลุ่มนักลงทุนที่เรียกว่า “ขาใหญ่” นั้น ในยุคสมัยใหม่นี้ ขาใหญ่จำนวนมากได้ “ล้มหายตายจาก” ไป แต่ที่ยังอยู่และยังร่ำรวยเหมือนเดิมหรือรวยยิ่งขึ้นนั้น ส่วนใหญ่ได้เปลี่ยนแปลงไป หลายคนกลายเป็น “VI เต็มตัว” หลายคนแม้ว่ายังชอบที่จะ “เล่นเร็วและไล่ราคา” แต่การทำอย่างนั้นก็มักจะทำกับหุ้นที่เป็น “VI” พวกเขายอมรับว่า VI นั้น เป็น “กระแส” ที่ไม่สามารถจะฝืนได้ การเล่นหุ้นหรือทำราคาหุ้นโดย “ไม่มีเหตุผล” ทางด้านพื้นฐานมาสนับสนุนนั้นจะสำเร็จได้ยาก
ถ้าจะพูดว่า “ถนนทุกสายมุ่งสู่ VI” ก็ไม่น่าจะเกินความเป็นจริง และนั่นทำให้หุ้น “VI” ค่อย ๆ ปรับตัวขึ้นไปเรื่อย ๆ หุ้นเหล่านี้มักเป็นหุ้นตัวเล็กหรืออย่างมากก็ระดับกลางค่อนไปทางเล็ก แต่เนื่องจากเม็ดเงินที่เข้ามาเล่นหรือซื้อหุ้นเหล่านี้ไม่ได้เล็ก นักลงทุนบางคนหรือบางกลุ่มนั้นมีพอร์ตการลงทุนที่สามารถซื้อหุ้นได้ทั้งบริษัทอย่างง่าย ๆ ดังนั้น หุ้น “VI” จำนวนมากจึงปรับตัวขึ้น ตัวแรกปรับขึ้นไปจนราคาขึ้นไปสูง อาจจะ “เต็มมูลค่า” จึงถูกขายไป เม็ดเงินที่ได้กำไรจากการขายหุ้นของ VI ที่ “มาก่อน” ก็เข้าไปซื้อหุ้น “VI” ตัวใหม่ ทำให้ราคาหุ้นตัวใหม่ปรับขึ้นไป สิ่งนี้ชักจูงให้เม็ดเงินใหม่จากนักลงทุนรายใหม่เข้ามาซื้อ ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นไปอีก ในไม่ช้า หุ้น “VI” ในตลาดก็เริ่มแพงขึ้นเรื่อย ๆ จนหมดสภาพเป็นหุ้น “VI” กระบวนการทั้งหมดนั้น แทบไม่ได้เกี่ยวข้องกับดัชนีตลาดเท่าไรนัก เพราะหุ้นตัวใหญ่ ๆ ที่ชี้นำดัชนีได้จริง ๆ นั้น ไม่ได้อยู่ในสายตาของเหล่านักลงทุนที่เป็น “VI” เลย ดังนั้น ผลตอบแทนที่ทำได้ของนักลงทุน VI บางคนจึงสูงกว่าดัชนีมาก และหลายครั้งก็ไม่ได้ปรับตัวตามตลาดมากนัก
ความสำเร็จของนักลงทุน VI ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมานั้น ผมอยากเรียกมันว่าเป็น “ปรากฏการณ์” โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ที่ตลาดหุ้นมีการปรับตัวขึ้นมาสูงมากกว่าร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่สำหรับ VI บางคนแล้ว พวกเขาอาจจะกำไรมากเสียจน “รวยไปเลย” VI บางคนอายุยังน้อยมากและเพิ่งเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไม่กี่ปีแต่กลับมีเงินหลายสิบล้าน บางคนมีหลายร้อยล้านจากการลงทุน บางคนที่เริ่มต้นด้วยเงินจำนวนมากจากธุรกิจที่บ้านก็กลายเป็นเศรษฐีพันล้าน ได้ในเวลาอันรวดเร็ว แต่แม้จะไม่พูดถึงคนที่รวยเป็นเรื่องเป็นราว นักลงทุน “VI” รายย่อยที่เป็นคนกินเงินเดือนและต้องเก็บเงินจากเงินเดือนมาลงทุน หลาย ๆ คนก็กลายเป็นคนที่มีเงินหลายล้านบาทและรู้สึก “แตกต่าง” จากเพื่อนที่ไม่ได้ลงทุนในตลาดหุ้นอย่างเห็นได้ชัด ข้อสรุปของผมก็คือ นี่คือยุคทองของ VI และผมอยากเรียกมันว่า 10 ปีที่ผ่านมานั้นเป็น “ทศวรรษแห่ง VI”
แต่ยุคแห่งความรุ่งเรืองนั้น วันหนึ่งก็จะต้องผ่านไป ชีวิตที่ได้เงินมามากและง่ายนั้นไม่สามารถดำรงอยู่ได้ตลอดไป เพราะคนใหม่ ๆ ก็จะเข้ามาทำบ้าง และในกระบวนการนั้นก็ทำให้วิธีการหาเงินแบบนั้นไร้ผล ผมไม่รู้ว่า “ทศวรรษแห่งความรุ่งเรืองของ VI” จบสิ้นแล้วหรือยัง เหตุการณ์หลาย ๆ อย่างที่เกิดขึ้นเร็ว ๆ นี้ชี้ให้เห็นว่า บางทีการเป็น “VI” แบบไม่ค่อยได้ศึกษาหรือลงแรงอย่างจริงจังนั้นแทนที่จะกำไรอาจจะขาดทุนอย่างหนักได้ แต่ไม่ว่ายุคสมัยจะเป็นอย่างไร VI ก็ยังเป็นแนวคิดและวิธีการที่ดีเสมอตราบที่เราใช้มันอย่างถูกต้อง
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
- por_jai
- Verified User
- โพสต์: 14338
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รุ้งกินน้ำ
โพสต์ที่ 5388
http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/top ... 25881.html
-------------
ใครเขาจะซื้อขายก็สิทธิเขา
เขาจับมือเราให้ซื้อก็หาไม่
เมื่อซื้อเองแล้วจะโกรธจะโทษใคร
เหตุไฉนไม่คิดโกรธโทษตัวเอง
------------------
ตอนผมเล่นแบดคู่ใหม่ๆ
เล่นกันแล้วแพ้ฝ่ายตรงข้าม
ในใจผมไม่เคยคิดว่าแพ้เพราะตัวเองเลยซักครั้ง
ใจผมโทษคู่ที่เล่นด้วยกันว่าแพ้เพราะมรึงห่วยนะแหละ
ดีที่ไม่ได้พูดออกมา
แต่ภาษากายก็คงมีเล็ดลอดออกมาบ้างให้อีกฝ่ายเขารู้สึกอยู่บ้างหรอก
ผลคือ
พัฒนาการในฝีมือของผมก็ไม่มีเพราะคนอื่นเล่นไม่ดีนิ ไม่ใช่ผม
พอเล่นๆไปจับคู่กับใคร ก็แพ้เรื่อยมา
จนผมเริ่มเอะใจว่า
เอ๋ตอนผมนั่งดูเพื่อนคนนี้เล่นคู่กับคนอื่นเขาก็เล่นดี๊ดีนี่นา
พอมาคู่กะผมไหงแพ้ล่ะ
เอ...หรือที่เล่นแย่จะเป็นผมหว่า...ฮ่า...
-------------
ใครเขาจะซื้อขายก็สิทธิเขา
เขาจับมือเราให้ซื้อก็หาไม่
เมื่อซื้อเองแล้วจะโกรธจะโทษใคร
เหตุไฉนไม่คิดโกรธโทษตัวเอง
------------------
ตอนผมเล่นแบดคู่ใหม่ๆ
เล่นกันแล้วแพ้ฝ่ายตรงข้าม
ในใจผมไม่เคยคิดว่าแพ้เพราะตัวเองเลยซักครั้ง
ใจผมโทษคู่ที่เล่นด้วยกันว่าแพ้เพราะมรึงห่วยนะแหละ
ดีที่ไม่ได้พูดออกมา
แต่ภาษากายก็คงมีเล็ดลอดออกมาบ้างให้อีกฝ่ายเขารู้สึกอยู่บ้างหรอก
ผลคือ
พัฒนาการในฝีมือของผมก็ไม่มีเพราะคนอื่นเล่นไม่ดีนิ ไม่ใช่ผม
พอเล่นๆไปจับคู่กับใคร ก็แพ้เรื่อยมา
จนผมเริ่มเอะใจว่า
เอ๋ตอนผมนั่งดูเพื่อนคนนี้เล่นคู่กับคนอื่นเขาก็เล่นดี๊ดีนี่นา
พอมาคู่กะผมไหงแพ้ล่ะ
เอ...หรือที่เล่นแย่จะเป็นผมหว่า...ฮ่า...
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
- por_jai
- Verified User
- โพสต์: 14338
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รุ้งกินน้ำ
โพสต์ที่ 5390
การ์ตูนระดับเทพ(ธิดา)
http://wan-wan.exteen.com/
http://wan-wan.exteen.com/
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
-
- Verified User
- โพสต์: 1219
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รุ้งกินน้ำ
โพสต์ที่ 5392
ผมก็มีประสบการณ์คล้ายๆพี่ป้อมตอนเล่นเทนนิสครับpor_jai เขียน: http://www.pantip.com/cafe/sinthorn/top ... 25881.html
-------------
ใครเขาจะซื้อขายก็สิทธิเขา
เขาจับมือเราให้ซื้อก็หาไม่
เมื่อซื้อเองแล้วจะโกรธจะโทษใคร
เหตุไฉนไม่คิดโกรธโทษตัวเอง
------------------
ตอนผมเล่นแบดคู่ใหม่ๆ
เล่นกันแล้วแพ้ฝ่ายตรงข้าม
ในใจผมไม่เคยคิดว่าแพ้เพราะตัวเองเลยซักครั้ง
ใจผมโทษคู่ที่เล่นด้วยกันว่าแพ้เพราะมรึงห่วยนะแหละ
ดีที่ไม่ได้พูดออกมา
แต่ภาษากายก็คงมีเล็ดลอดออกมาบ้างให้อีกฝ่ายเขารู้สึกอยู่บ้างหรอก
ผลคือ
พัฒนาการในฝีมือของผมก็ไม่มีเพราะคนอื่นเล่นไม่ดีนิ ไม่ใช่ผม
พอเล่นๆไปจับคู่กับใคร ก็แพ้เรื่อยมา
จนผมเริ่มเอะใจว่า
เอ๋ตอนผมนั่งดูเพื่อนคนนี้เล่นคู่กับคนอื่นเขาก็เล่นดี๊ดีนี่นา
พอมาคู่กะผมไหงแพ้ล่ะ
เอ...หรือที่เล่นแย่จะเป็นผมหว่า...ฮ่า...
เมื่อไหร่ที่เราหงุดหงิด คอยโทษพาร์ทเนอร์ โทษลมฟ้าอากาศ โทษผู้ชม เกมนั้นฝ่ายเราจะเล่นแย่มากๆทั้ง2คนแน่นอนครับ
แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่คอยให้กำลังใจกัน คอยช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ตั้งใจเล่นในเกมของเรา เมื่อนั้นจะเล่นกันได้อย่างสนุกมาก
และคู่ต่อสู้ก็ต้องเหนื่อยหน่อยแหละ ถึงจะเอาชนะคู่เราได้
(แฮ่...แต่ก็ยังแพ้อยู่ดีครับ )
ซื้อหุ้นตัวที่เมื่อมองไปในอนาคตแล้ว ที่ปัจจุบันราคายัง undervalue ที่สุด
- Packy_Kittiworawut
- Verified User
- โพสต์: 242
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รุ้งกินน้ำ
โพสต์ที่ 5393
ขอบคุณมากครับพี่ กำลังหาการ์ตูนอ่านพอดีเลย ติดมาจากการ์ตูนแมงเม่า เหอๆpor_jai เขียน: การ์ตูนระดับเทพ(ธิดา)
http://wan-wan.exteen.com/
- Fon^^
- Verified User
- โพสต์: 604
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รุ้งกินน้ำ
โพสต์ที่ 5394
ขอบคุณค่ะพี่ป้อม พี่สายชลsaichon เขียน:ผมก็มีประสบการณ์คล้ายๆพี่ป้อมตอนเล่นเทนนิสครับpor_jai เขียน:ตอนผมเล่นแบดคู่ใหม่ๆ
เล่นกันแล้วแพ้ฝ่ายตรงข้าม
ในใจผมไม่เคยคิดว่าแพ้เพราะตัวเองเลยซักครั้ง
ใจผมโทษคู่ที่เล่นด้วยกันว่าแพ้เพราะมรึงห่วยนะแหละ
ดีที่ไม่ได้พูดออกมา
แต่ภาษากายก็คงมีเล็ดลอดออกมาบ้างให้อีกฝ่ายเขารู้สึกอยู่บ้างหรอก
ผลคือ
พัฒนาการในฝีมือของผมก็ไม่มีเพราะคนอื่นเล่นไม่ดีนิ ไม่ใช่ผม
พอเล่นๆไปจับคู่กับใคร ก็แพ้เรื่อยมา
จนผมเริ่มเอะใจว่า
เอ๋ตอนผมนั่งดูเพื่อนคนนี้เล่นคู่กับคนอื่นเขาก็เล่นดี๊ดีนี่นา
พอมาคู่กะผมไหงแพ้ล่ะ
เอ...หรือที่เล่นแย่จะเป็นผมหว่า...ฮ่า...
เมื่อไหร่ที่เราหงุดหงิด คอยโทษพาร์ทเนอร์ โทษลมฟ้าอากาศ โทษผู้ชม เกมนั้นฝ่ายเราจะเล่นแย่มากๆทั้ง2คนแน่นอนครับ
แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่คอยให้กำลังใจกัน คอยช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ตั้งใจเล่นในเกมของเรา เมื่อนั้นจะเล่นกันได้อย่างสนุกมาก
และคู่ต่อสู้ก็ต้องเหนื่อยหน่อยแหละ ถึงจะเอาชนะคู่เราได้
ขอแชร์วิธีการฝนค่ะ
เวลามีเหตุการณ์ต่างๆเกิดขึ้น ทั้งที่เป็นแบบที่คิดและตรงข้าม
ฝนจะตั้งคำถามเกี่ยวกับตัวเอง เพราะว่าสามารถตอบได้แล้วก็พัฒนาต่อได้ค่ะ
ถ้าตั้งคำถามถึงคนอื่นยกเว้นตัวเอง มักจะไม่ได้คำตอบ
อย่างเช่น ทำไมพี่หรั่งทุบ ทำไมพี่หรั่งลาก - -"
เปลี่ยนมาเป็น ทำไมฝนต้องซื้อดอยขายโลว์ ทำไมคิดงบออกมาต่างกันขนาดนี้ พลาดตรงใหน
แค่คิดส่วนที่ถามตัวเองก็เยอะจะแย่แล้ว ขนาดยังไม่ไปถามโทษคนอื่นเลยนะคะ 555
ผิดหนึ่งพึงจดไว้.....ในสมอง
เร่งระวังผิดสอง.....ภายหน้า
สามผิดเร่งคิดตรอง จงหนัก.....เพื่อนเอย
ถึงสี่อีกทีห้า.....หกซ้ำ อภัยไฉน
เร่งระวังผิดสอง.....ภายหน้า
สามผิดเร่งคิดตรอง จงหนัก.....เพื่อนเอย
ถึงสี่อีกทีห้า.....หกซ้ำ อภัยไฉน
- por_jai
- Verified User
- โพสต์: 14338
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รุ้งกินน้ำ
โพสต์ที่ 5396
เผื่ออาจเกิดไม่ทันพี่แจ้
พี่แจ้ดังมาพร้อมๆกับป๋าเบิร์ดของเรานี่แหละ
สมัยนั้นพี่เิบิร์ดก็พี่เบิร์ดเหอะ
ทำอะไรพี่แจ้บ่ได้ซักกะผิว...
แต่บุญกรรมทำมาไม่เท่ากัน
พี่เบิร์ดแกก็เลือกเส้นทางนี้มาจนทุกวันนี้
หน้าก็ไม่แก่ลงเลยอ่ะ
พี่แจ้ดังมาพร้อมๆกับป๋าเบิร์ดของเรานี่แหละ
สมัยนั้นพี่เิบิร์ดก็พี่เบิร์ดเหอะ
ทำอะไรพี่แจ้บ่ได้ซักกะผิว...
แต่บุญกรรมทำมาไม่เท่ากัน
พี่เบิร์ดแกก็เลือกเส้นทางนี้มาจนทุกวันนี้
หน้าก็ไม่แก่ลงเลยอ่ะ
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
- Fon^^
- Verified User
- โพสต์: 604
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รุ้งกินน้ำ
โพสต์ที่ 5398
ชอบเพลงนี้ค่ะ ที่สุดของหัวใจ กับ เทวดาเดินดิน
แต่ถ้าพรุ่งนี้ ดวงใจยังโกรธฉันโทษใครได้
เป็นกรรมของใจพบเธอโดนผลักไส ทำอย่างไรพรุ่งนี้
นับช้ำมากี่ครั้งหัวใจยังไม่จำ ซ้ำยังยอมให้ทำ
เพราะรักมากไปเพราะซื่อสัตย์ไป จึงช้ำใจ ... อินๆๆๆ
(ทำกระทู้พี่ป้อมเลอะเลยค่ะ อินๆๆๆๆ)
แต่ถ้าพรุ่งนี้ ดวงใจยังโกรธฉันโทษใครได้
เป็นกรรมของใจพบเธอโดนผลักไส ทำอย่างไรพรุ่งนี้
นับช้ำมากี่ครั้งหัวใจยังไม่จำ ซ้ำยังยอมให้ทำ
เพราะรักมากไปเพราะซื่อสัตย์ไป จึงช้ำใจ ... อินๆๆๆ
(ทำกระทู้พี่ป้อมเลอะเลยค่ะ อินๆๆๆๆ)
ผิดหนึ่งพึงจดไว้.....ในสมอง
เร่งระวังผิดสอง.....ภายหน้า
สามผิดเร่งคิดตรอง จงหนัก.....เพื่อนเอย
ถึงสี่อีกทีห้า.....หกซ้ำ อภัยไฉน
เร่งระวังผิดสอง.....ภายหน้า
สามผิดเร่งคิดตรอง จงหนัก.....เพื่อนเอย
ถึงสี่อีกทีห้า.....หกซ้ำ อภัยไฉน
- por_jai
- Verified User
- โพสต์: 14338
- ผู้ติดตาม: 0
Re: รุ้งกินน้ำ
โพสต์ที่ 5399
วันก่อนจิตผม
เขานึกไงไม่รู้
ร้องเพลงรักฉันนั้นเพื่อเธอของวิชัย ปุญญยันต์วงพิ๊งแพนเธอร์ขึ้นมา
ใจผมไพล่ไปคิดถึงคนๆนึง
ผมคิดว่าเพื่อนผมคนนี้ยิ่งใหญ่เหมือนขุนเขาในความคิดของกระผม
มีหรือจะไปสนต่อลมฝนฟ้าดิน
จริงไหมครับหมอบำรุง...
เขานึกไงไม่รู้
ร้องเพลงรักฉันนั้นเพื่อเธอของวิชัย ปุญญยันต์วงพิ๊งแพนเธอร์ขึ้นมา
ใจผมไพล่ไปคิดถึงคนๆนึง
ผมคิดว่าเพื่อนผมคนนี้ยิ่งใหญ่เหมือนขุนเขาในความคิดของกระผม
มีหรือจะไปสนต่อลมฝนฟ้าดิน
จริงไหมครับหมอบำรุง...
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า