ขำขำ คลายเครียด
- Basketman
- Verified User
- โพสต์: 1208
- ผู้ติดตาม: 0
ขำขำ คลายเครียด
โพสต์ที่ 211
นักโทษชั้นดี
เด็ก 2 คนติดคุกด้วยข้อหาเสพยาบ้าในโรงเรียน ในวันพิจารณาโทษศาลวินิจฉัยว่าเด็กทั้งสองนั้นยังเด็กอยู่มาก และเพิ่งกระทำผิดป็นครั้งแรก แถมยังหน้าตาดี
"ศาลขอสั่งให้เธอทั้งสองไปทำความดีในวันหยุดนี้เป็นการไถ่โทษ เนื่องจากศาลเห็นว่าเธอทั้ง 2 น่าจะมีอนาคตที่ดี ศาลขอสั่งให้เธอไปชักชวนคนที่ติดยาบ้าจงเลิกเสพเลิกขายไปตลอดชีวิต ได้ความว่าอย่างไร ให้กลับมารายงานตัวในวันจันทร์นี้ด้วย"
.....ในวันจันทร์
"ตกลงว่าเธอทั้งสองได้ไปทำอะไรบ้างตามคำสั่งศาล เอ้า จำเลยคนแรกมารายงานต่อศาล"
"เอ่อ..กระผมได้ไปเกลี้ยกล่อมคนติดยาบ้า 15 คนไห้เลิกเสพตลอดชีวิตเลยครับใต้เท้า"
"โอ้..amazing มาก แล้วเธอทำอย่างไรล่ะ เล่าให้ศาลฟังซิ"
"กระผมใช้แผนภาพครับผม" แล้วก็วาดวงกลมสองวง ใหญ่วง และวงเล็กๆอีก 1 วง (ชี้ไปที่วงกลมใหญ่ก่อน) "กระผมบอกว่า นี่เป็นขนาดสมองของพวกคุณก่อนเสพยาบ้า และนี่เป็นขนาดสมองของคุณหลังจากที่เสพยาบ้าแล้ว"
(ศาลตบมือด้วยความชื่นชม) "ดีมาก เอ้าแล้วจำเลยคนที่สองล่ะ เธอไปทำอะไรมาบ้างล่ะ"
"เอ่อ กระผมได้ไปชักชวนคนที่เสพยาบ้า 150 คนให้เลิกเสพไปตลอดชีวิตเลยครับผม"
(เสียงฮือฮาในศาล)...."โอ้ว...ศาลแปลกใจมาก เธอไปทำวิธีไหนล่ะ ถึงเกลี้ยกล่อมคนได้ตั้ง 150 คน"
"เอ่อ กระผมใช้วิธีคล้ายกันนี่แหละครับ" (ชี้ไปที่วงกลมเล็กๆ) "ผมพูดว่า นี่คือขนาดของรูตูดของคุณก่อนที่จะโดนจับเข้าคุก และนี่ขนาดของรูตูดเมื่อเข้าคุกไปแค่วันเดียว"
ระดับของการเมา
สถาบันด๊อกเตอร์มาร์ตินได้แบ่งระดับความเมาเหล้าของมนุษย์ไว้ 5 ระดับด้วยกัน คือ:
ระดับที่ 1: SMART (ฉลาด)
เมื่อคนดื่มเหล้าเข้าไปเมาจนถึงระดับนี้ซึ่งเป็นระดับแรกจะรอบรู้ทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาล และมักจะชอบเผื่อแผ่ความรู้ให้ทุกๆ คนในบาร์ความเป็นจริงทุกอย่างในจักรวาลจะถูกนำออกมาเปิดเผยหมด ไม่ว่าใครจะพูดเรื่องอะไรคุณจะกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านนั้นพอดิบพอดีและคุณจะรู้สึกว่าทุกๆ อย่างที่คนอื่นพูดมา จะเป็นเรื่องผิดไปหมด ไม่ตรงกับข้อมูลที่คุณมี จึงจะมีการเริ่มตั้งข้อโต้แย้งต่างๆกัน
ระดับที่ 2: GOOD LOOKING (ดูดี)
คุณจะเริ่มค้นพบว่า คุณมีรูปร่างหน้าตาที่ดูดีที่สุดในละแวกนั้น และทุกๆ คนเริ่มที่จะหันมาสนใจคุณ เพราะคุณดูดี แน่นอนคุณสามารถเดินไปคุยกับทุกๆ คนได้ทุกๆ เรื่องด้วย เพราะคุณทั้งดูดีและฉลาด
ระดับที่ 3: RICH (รวย)
เมื่อเมาถึงระดับนี้คุณจะค้นพบว่าตัวเองนั้นมีเงินมหาศาล คุณสามารถที่จะเลี้ยงเหล้าทุกคนในบาร์ได้ เพราะคุณมีเงินมหาศาล และถ้าใครพูดอะไรผิดหู คุณสามารถที่จะท้าพนันได้ทุกเรื่อง เพราะคุณยังฉลาดกว่าด้วย นอกจากนี้คุณยังดูดีมากๆด้วย
ระดับที่ 4: BULLET PROOF (คงกระพัน)
เมื่อเมาถึงระดับนี้ ตัวคุณจะมีวิชาคงกระพันแก่กล้ากว่าคนทั่วไป และพร้อมที่จะเข้าห้ำหั่นกับทุกๆ คนได้ เพราะไม่มีใครจะทำอันตรายคุณได้ คุณสามารถท้าพนันตีต่อยกับเพื่อนคุณก็ได้ และคุณก็ไม่กลัวแพ้ด้วย เพราะว่าคุณทั้งฉลาด, ทั้งดูดี, ทั้งรวยและต่อสู้เก่งระดับนักมวยอาชีพ
ระดับที่ 5: INVISIBLE (หายตัว)
ระดับความเมาสุดยอด คุณต้องดื่มมากจึงจะเมาถึงระดับนี้ได้ ด้วยความเมาที่ระดับนี้ คุณสามารถทำอะไรก็ได้ เพราะไม่มีใครเห็นคุณ, จะไปเต้นรำบนโต๊ะ, แหกปากร้องเพลงกลางถนน, ไล่ตีหัวคนอื่นก็ทำได้ เพราะไม่มีใครเห็นคุณ
แล้วคุณหล่ะ อยู่ในระดับที่เท่าไหร่...
เด็ก 2 คนติดคุกด้วยข้อหาเสพยาบ้าในโรงเรียน ในวันพิจารณาโทษศาลวินิจฉัยว่าเด็กทั้งสองนั้นยังเด็กอยู่มาก และเพิ่งกระทำผิดป็นครั้งแรก แถมยังหน้าตาดี
"ศาลขอสั่งให้เธอทั้งสองไปทำความดีในวันหยุดนี้เป็นการไถ่โทษ เนื่องจากศาลเห็นว่าเธอทั้ง 2 น่าจะมีอนาคตที่ดี ศาลขอสั่งให้เธอไปชักชวนคนที่ติดยาบ้าจงเลิกเสพเลิกขายไปตลอดชีวิต ได้ความว่าอย่างไร ให้กลับมารายงานตัวในวันจันทร์นี้ด้วย"
.....ในวันจันทร์
"ตกลงว่าเธอทั้งสองได้ไปทำอะไรบ้างตามคำสั่งศาล เอ้า จำเลยคนแรกมารายงานต่อศาล"
"เอ่อ..กระผมได้ไปเกลี้ยกล่อมคนติดยาบ้า 15 คนไห้เลิกเสพตลอดชีวิตเลยครับใต้เท้า"
"โอ้..amazing มาก แล้วเธอทำอย่างไรล่ะ เล่าให้ศาลฟังซิ"
"กระผมใช้แผนภาพครับผม" แล้วก็วาดวงกลมสองวง ใหญ่วง และวงเล็กๆอีก 1 วง (ชี้ไปที่วงกลมใหญ่ก่อน) "กระผมบอกว่า นี่เป็นขนาดสมองของพวกคุณก่อนเสพยาบ้า และนี่เป็นขนาดสมองของคุณหลังจากที่เสพยาบ้าแล้ว"
(ศาลตบมือด้วยความชื่นชม) "ดีมาก เอ้าแล้วจำเลยคนที่สองล่ะ เธอไปทำอะไรมาบ้างล่ะ"
"เอ่อ กระผมได้ไปชักชวนคนที่เสพยาบ้า 150 คนให้เลิกเสพไปตลอดชีวิตเลยครับผม"
(เสียงฮือฮาในศาล)...."โอ้ว...ศาลแปลกใจมาก เธอไปทำวิธีไหนล่ะ ถึงเกลี้ยกล่อมคนได้ตั้ง 150 คน"
"เอ่อ กระผมใช้วิธีคล้ายกันนี่แหละครับ" (ชี้ไปที่วงกลมเล็กๆ) "ผมพูดว่า นี่คือขนาดของรูตูดของคุณก่อนที่จะโดนจับเข้าคุก และนี่ขนาดของรูตูดเมื่อเข้าคุกไปแค่วันเดียว"
ระดับของการเมา
สถาบันด๊อกเตอร์มาร์ตินได้แบ่งระดับความเมาเหล้าของมนุษย์ไว้ 5 ระดับด้วยกัน คือ:
ระดับที่ 1: SMART (ฉลาด)
เมื่อคนดื่มเหล้าเข้าไปเมาจนถึงระดับนี้ซึ่งเป็นระดับแรกจะรอบรู้ทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาล และมักจะชอบเผื่อแผ่ความรู้ให้ทุกๆ คนในบาร์ความเป็นจริงทุกอย่างในจักรวาลจะถูกนำออกมาเปิดเผยหมด ไม่ว่าใครจะพูดเรื่องอะไรคุณจะกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านนั้นพอดิบพอดีและคุณจะรู้สึกว่าทุกๆ อย่างที่คนอื่นพูดมา จะเป็นเรื่องผิดไปหมด ไม่ตรงกับข้อมูลที่คุณมี จึงจะมีการเริ่มตั้งข้อโต้แย้งต่างๆกัน
ระดับที่ 2: GOOD LOOKING (ดูดี)
คุณจะเริ่มค้นพบว่า คุณมีรูปร่างหน้าตาที่ดูดีที่สุดในละแวกนั้น และทุกๆ คนเริ่มที่จะหันมาสนใจคุณ เพราะคุณดูดี แน่นอนคุณสามารถเดินไปคุยกับทุกๆ คนได้ทุกๆ เรื่องด้วย เพราะคุณทั้งดูดีและฉลาด
ระดับที่ 3: RICH (รวย)
เมื่อเมาถึงระดับนี้คุณจะค้นพบว่าตัวเองนั้นมีเงินมหาศาล คุณสามารถที่จะเลี้ยงเหล้าทุกคนในบาร์ได้ เพราะคุณมีเงินมหาศาล และถ้าใครพูดอะไรผิดหู คุณสามารถที่จะท้าพนันได้ทุกเรื่อง เพราะคุณยังฉลาดกว่าด้วย นอกจากนี้คุณยังดูดีมากๆด้วย
ระดับที่ 4: BULLET PROOF (คงกระพัน)
เมื่อเมาถึงระดับนี้ ตัวคุณจะมีวิชาคงกระพันแก่กล้ากว่าคนทั่วไป และพร้อมที่จะเข้าห้ำหั่นกับทุกๆ คนได้ เพราะไม่มีใครจะทำอันตรายคุณได้ คุณสามารถท้าพนันตีต่อยกับเพื่อนคุณก็ได้ และคุณก็ไม่กลัวแพ้ด้วย เพราะว่าคุณทั้งฉลาด, ทั้งดูดี, ทั้งรวยและต่อสู้เก่งระดับนักมวยอาชีพ
ระดับที่ 5: INVISIBLE (หายตัว)
ระดับความเมาสุดยอด คุณต้องดื่มมากจึงจะเมาถึงระดับนี้ได้ ด้วยความเมาที่ระดับนี้ คุณสามารถทำอะไรก็ได้ เพราะไม่มีใครเห็นคุณ, จะไปเต้นรำบนโต๊ะ, แหกปากร้องเพลงกลางถนน, ไล่ตีหัวคนอื่นก็ทำได้ เพราะไม่มีใครเห็นคุณ
แล้วคุณหล่ะ อยู่ในระดับที่เท่าไหร่...
"สุขภาพดีไม่มีขาย อยากได้ต้องไปปั่นเอาเอง"
- Basketman
- Verified User
- โพสต์: 1208
- ผู้ติดตาม: 0
ขำขำ คลายเครียด
โพสต์ที่ 212
ไก่กรูเป็นเกย์
ชาวไร่คนหนึ่งตัดสินใจว่าได้เวลาที่จะซื้อพ่อไก่ตัวใหม่แล้ว
เพราะถึงแม้ว่าพ่อไก่ตัวเก่าจะยังทำหน้าที่ได้ดี
อยู่แต่มันก็มีอายุมากแล้ว
และการที่จะมีพ่อไก่ตัวใหม่อีกสักตัวก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร
ดังนั้นเมื่อได้พ่อไก่หนุ่มมา
เขาก็เอามันไปปล่อยไว้ในเล้าไก่ร่วมกับแม่ไก่อีกหลายตัวและพ่อไก่แก่ตัวเดิม
พ่อไก่แก่เห็นพ่อไก่หนุ่มผู้มาใหม่
มันรู้สึกกังวลถึงอนาคตของตัวเอง
ดูท่า เขาจะเอามันมาแทนเราแน่
มันคิดสงสัยต้องทำอะไรสักอย่าง
มันเดินไปหาพ่อไก่หนุ่มแล้วพูด
"ไง ไอ้หน้าใหม่ แกคงคิดว่าแกแน่ล่ะสิ
ถึงข้าจะแก่แต่ข้าก็ยังคิดว่าข้ายังแน่กว่าแก
แน่จริงมาแข่งวิ่งรอบเล้ากันไหมล่ะ
ถ้าแกวิ่งรอบเล้าได้ครบสิบรอบก่อนข้า
แกเอาพวกสาวๆพวกนี้ไปได้หมดเลย"
พ่อไก่หนุ่มมั่นใจมาก
มันคิดว่าพ่อไก่แก่นี่ไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อด้วยซ้ำ
"ได้เลย" มันตอบ
"แต่อย่างลุงนี่
ผมต่อให้ก่อนครึ่งรอบ ผมยังชนะสบายเลย"
ดังนั้นทั้งสองตัวจึงเริ่มวิ่งแข่งกัน
พ่อไก่หนุ่มต่อให้พ่อไก่แก่ครึ่งรอบ
โดยมีแม่ไก่ทั้งเล้าเป็นกองเชียร์
หลังจากรอบแรก
พ่อไก่แก่ยังคงนำอยู่
พอรอบที่สองระยะนำเริ่มร่นลงมา
แต่พ่อไก่แก่ก็ยังฮึดสู้อยู่ แต่ว่า
แต่ละรอบที่ผ่านไประยะก็ร่นหเลือน้อยลงเรื่อยๆ
จนกระทั่งถึงรอบที่ห้าพ่อไก่แก่ก็นำพ่อไก่หนุ่มอยู่เพียงนิดเดียว
ตอนนั้นเอง
ชาวไร่ได้ยินเสียงวุ่นวายดังมาจากเล้าไก่
เขาคว้าปืนลูกซองแล้ววิ่งมาดู
เมื่อมาถึง
เขาเห็นพ่อไก่สองตัววิ่งไล่กันไปรอบๆเล้าไก่
โดยมีพ่อไก่แก่วิ่งนำอยู่
เขายกปืนลูกซองขึ้นมาเล็งแล้วยิงเปรี้ยง
พ่อไก่หนุ่มถูกยิงกระจุยอยู่ตรงนั้น
ชาวไร่หันหลังเดินกลับไปที่บ้านแล้วบ่นกับตัวเอง
เฮงซวยจริงๆ ซื้อพ่อไก่ตุ๊ดมาซะได้
แซวหนัง
spiderman...ผู้ชายลายแมงมุม
riding in cars with boys...ขับรถเล่นกับเด็กชายหลายคน
vanilla sky..ท้องฟ้าน่าอร่อย
the queen of the damned....ราชินีของคำพูดหยาบคาย
hannibal...ห่า-นี่-บ้า
true lies...สัจจะโกหก
The mummy returns : มัมมี่กลับมาแล้ว The Mummy Returns มัมมี่ตีวง
james bond : นักสืบหื่นกาม
Titanic - ชู้รักเรือล่ม
Titanic เรือล่มปากอ่าว
The story of us เรื่องของผมใครอย่ายุ่ง
The X-file รูปโป๊
Star wars ไอศกรีมรูปดาว
the matrix เลขคณิตคิดจนตาย
Psi เลขคณิตคิดจนตาย สอง
Perfect storm พายุคลั่ง
The X-men ผู้ชายขายรัก
Nothing Hill เขาหัวโล้น
Chinken run KFC รสชาดใหม่ วิ่ง เพื่อชีวิต
Mercury raising จันทร์ ฉาย
Deep Impact กระแทกลึก
as good as it get แค่นี้ก้อดีตาย อ่า แล้ว
Face off ออกนอกหน้า
Drive Me Crazy : ขับฉันอย่างบ้าคลั่ง
Con Air : แอร์ขอนแก่น
Runaway Bride : เจ้าสาวที่วิ่งหนี (ตามชู้) ไป
Runaway Bride --- วิ่งสิจ๊ะ..ชะนี
From Hell --- นรก...บ้านกรู
the lord of the ring --- อภินิหารแหวนทองเหลือง
Braveheart ใจกล้า(จังเลยพี่)
Fear กลัว(เหมือนกันแหละน้อง)
U-571 อู๊ !!! เลขเด็ด
Dr. dolittle คุณหมอทำเล็กๆ
never been kissed ยังไม่เคยโดน
never been kissed หนูอยากจังเลยค่ะ
il mare มารีป่วย(ill mare)
step mom ท่าเต้นของแม่(โอ้โฮ้ dance กระจาย)
scary movie กลัวโคตรๆ
sex and the city พัฒน์พงษ์
the powder ผู้ชายสไตรล์แคร์
babe โอ้ ที่รัก
mars attack ชวนกันซักผ้า
uve got mail ไม่ fwd mail ก็รูปโป๊
return of the jedi บักเจไดเลี้ยวรถ
harry potter ++เเฮรี่หน้าหม้อ
I know what you did last summer - ข้อยฮู้สูเฮ็ดอิหยังหน้าฮ้อนก่อน
I still know what you did last summer -ข้อยก็หยังฮู้สูเฮ็ดอิหยังหน้าฮ้อนก่อนสิ
Eyes Wide Shut : จะอายทำไม ก็เห็นอยู่ชัดๆ
A Beautiful Mind ใจดีจัง
Farewell to My Concubine เมียน้อยจ๋าผัวลาก่อน
Someone Like You คนอย่างแก
Friends เสี่ยว
The Parents Trap กับดักบุพการี
Braveheart ใจกล้าหน้าด้าน
The Scorpion King เจ้าพ่อแมงป่อง
The Thin Red Line เส้นเล็กเย็นตาโฟ
ชาวไร่คนหนึ่งตัดสินใจว่าได้เวลาที่จะซื้อพ่อไก่ตัวใหม่แล้ว
เพราะถึงแม้ว่าพ่อไก่ตัวเก่าจะยังทำหน้าที่ได้ดี
อยู่แต่มันก็มีอายุมากแล้ว
และการที่จะมีพ่อไก่ตัวใหม่อีกสักตัวก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร
ดังนั้นเมื่อได้พ่อไก่หนุ่มมา
เขาก็เอามันไปปล่อยไว้ในเล้าไก่ร่วมกับแม่ไก่อีกหลายตัวและพ่อไก่แก่ตัวเดิม
พ่อไก่แก่เห็นพ่อไก่หนุ่มผู้มาใหม่
มันรู้สึกกังวลถึงอนาคตของตัวเอง
ดูท่า เขาจะเอามันมาแทนเราแน่
มันคิดสงสัยต้องทำอะไรสักอย่าง
มันเดินไปหาพ่อไก่หนุ่มแล้วพูด
"ไง ไอ้หน้าใหม่ แกคงคิดว่าแกแน่ล่ะสิ
ถึงข้าจะแก่แต่ข้าก็ยังคิดว่าข้ายังแน่กว่าแก
แน่จริงมาแข่งวิ่งรอบเล้ากันไหมล่ะ
ถ้าแกวิ่งรอบเล้าได้ครบสิบรอบก่อนข้า
แกเอาพวกสาวๆพวกนี้ไปได้หมดเลย"
พ่อไก่หนุ่มมั่นใจมาก
มันคิดว่าพ่อไก่แก่นี่ไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อด้วยซ้ำ
"ได้เลย" มันตอบ
"แต่อย่างลุงนี่
ผมต่อให้ก่อนครึ่งรอบ ผมยังชนะสบายเลย"
ดังนั้นทั้งสองตัวจึงเริ่มวิ่งแข่งกัน
พ่อไก่หนุ่มต่อให้พ่อไก่แก่ครึ่งรอบ
โดยมีแม่ไก่ทั้งเล้าเป็นกองเชียร์
หลังจากรอบแรก
พ่อไก่แก่ยังคงนำอยู่
พอรอบที่สองระยะนำเริ่มร่นลงมา
แต่พ่อไก่แก่ก็ยังฮึดสู้อยู่ แต่ว่า
แต่ละรอบที่ผ่านไประยะก็ร่นหเลือน้อยลงเรื่อยๆ
จนกระทั่งถึงรอบที่ห้าพ่อไก่แก่ก็นำพ่อไก่หนุ่มอยู่เพียงนิดเดียว
ตอนนั้นเอง
ชาวไร่ได้ยินเสียงวุ่นวายดังมาจากเล้าไก่
เขาคว้าปืนลูกซองแล้ววิ่งมาดู
เมื่อมาถึง
เขาเห็นพ่อไก่สองตัววิ่งไล่กันไปรอบๆเล้าไก่
โดยมีพ่อไก่แก่วิ่งนำอยู่
เขายกปืนลูกซองขึ้นมาเล็งแล้วยิงเปรี้ยง
พ่อไก่หนุ่มถูกยิงกระจุยอยู่ตรงนั้น
ชาวไร่หันหลังเดินกลับไปที่บ้านแล้วบ่นกับตัวเอง
เฮงซวยจริงๆ ซื้อพ่อไก่ตุ๊ดมาซะได้
แซวหนัง
spiderman...ผู้ชายลายแมงมุม
riding in cars with boys...ขับรถเล่นกับเด็กชายหลายคน
vanilla sky..ท้องฟ้าน่าอร่อย
the queen of the damned....ราชินีของคำพูดหยาบคาย
hannibal...ห่า-นี่-บ้า
true lies...สัจจะโกหก
The mummy returns : มัมมี่กลับมาแล้ว The Mummy Returns มัมมี่ตีวง
james bond : นักสืบหื่นกาม
Titanic - ชู้รักเรือล่ม
Titanic เรือล่มปากอ่าว
The story of us เรื่องของผมใครอย่ายุ่ง
The X-file รูปโป๊
Star wars ไอศกรีมรูปดาว
the matrix เลขคณิตคิดจนตาย
Psi เลขคณิตคิดจนตาย สอง
Perfect storm พายุคลั่ง
The X-men ผู้ชายขายรัก
Nothing Hill เขาหัวโล้น
Chinken run KFC รสชาดใหม่ วิ่ง เพื่อชีวิต
Mercury raising จันทร์ ฉาย
Deep Impact กระแทกลึก
as good as it get แค่นี้ก้อดีตาย อ่า แล้ว
Face off ออกนอกหน้า
Drive Me Crazy : ขับฉันอย่างบ้าคลั่ง
Con Air : แอร์ขอนแก่น
Runaway Bride : เจ้าสาวที่วิ่งหนี (ตามชู้) ไป
Runaway Bride --- วิ่งสิจ๊ะ..ชะนี
From Hell --- นรก...บ้านกรู
the lord of the ring --- อภินิหารแหวนทองเหลือง
Braveheart ใจกล้า(จังเลยพี่)
Fear กลัว(เหมือนกันแหละน้อง)
U-571 อู๊ !!! เลขเด็ด
Dr. dolittle คุณหมอทำเล็กๆ
never been kissed ยังไม่เคยโดน
never been kissed หนูอยากจังเลยค่ะ
il mare มารีป่วย(ill mare)
step mom ท่าเต้นของแม่(โอ้โฮ้ dance กระจาย)
scary movie กลัวโคตรๆ
sex and the city พัฒน์พงษ์
the powder ผู้ชายสไตรล์แคร์
babe โอ้ ที่รัก
mars attack ชวนกันซักผ้า
uve got mail ไม่ fwd mail ก็รูปโป๊
return of the jedi บักเจไดเลี้ยวรถ
harry potter ++เเฮรี่หน้าหม้อ
I know what you did last summer - ข้อยฮู้สูเฮ็ดอิหยังหน้าฮ้อนก่อน
I still know what you did last summer -ข้อยก็หยังฮู้สูเฮ็ดอิหยังหน้าฮ้อนก่อนสิ
Eyes Wide Shut : จะอายทำไม ก็เห็นอยู่ชัดๆ
A Beautiful Mind ใจดีจัง
Farewell to My Concubine เมียน้อยจ๋าผัวลาก่อน
Someone Like You คนอย่างแก
Friends เสี่ยว
The Parents Trap กับดักบุพการี
Braveheart ใจกล้าหน้าด้าน
The Scorpion King เจ้าพ่อแมงป่อง
The Thin Red Line เส้นเล็กเย็นตาโฟ
"สุขภาพดีไม่มีขาย อยากได้ต้องไปปั่นเอาเอง"
- Basketman
- Verified User
- โพสต์: 1208
- ผู้ติดตาม: 0
ขำขำ คลายเครียด
โพสต์ที่ 213
ถ้าคุณได้เป็นนางเอก ละครไทย
1.หมั่นซ้อมบทผู้ชายไว้
คุณอาจต้องปลอมตัว
2.ทุกคนจะโง่ไม่รู้ว่าคุณเป็นหญิง
ทั้งที่นมตูมและคิ้วบางขนาดนั้น
3.ถ้าเป็นสาวแก่น
จ้องนายอำเภอหรือปลัดไว้ นั่นล่ะพระเอก
4.คุณจะเกิดมาเพียบพร้อมไปด้วยรูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติและชาติตระกูล
ถ้าไม่ใช่อย่ากังวล สุดท้ายคุณจะเป็นทายาทหรือได้ผัวรวย
5.นอกจากบทผู้ชายแล้วให้ซ้อมบทคนใช้ไว้
เพราะคุณอาจต้องปลอมตัวเพื่อ
สืบอะไรบางอย่าง/ทำวิทยานิพนธ์/เขียนบทละคร/หาชาติกำเนิด
6.คุณบางคนอาจเติบโตมาในซ่อง
แต่ไม่เป็นไรคุณจะบริสุทธิ์ผุดผ่องและใฝ่ดีอยู่เสมอ
7.ถ้าผู้ร้ายปล้ำอย่าตกใจ
เดี๋ยวพระเอกจะมาช่วยเอง
ไม่ยุติธรรมนี่นา
หนุ่มหนึ่งไปเป็นชู้กับเมียชาวบ้าน..พอผัวเขารู้เข้า หนุ่มก็ถูกยิงตาย
ในการพิพากษาในนรก....!
มัจจุราช--- เจ้าเป็นชู้ สมสู่กับเมียชาวบ้าน.. ถูกลงโทษปีนต้นงิ้วเป็น
เวลา10 ปีนรก... เจ้าจะยอมรับหรือไม่
หนุ่ม--- ยอมครับ.. จากนั้นหนุ่มก็ถูกยมทูตพาตัวไปปีนต้นงิ้ว..
ขณะที่กำลังเริ่มปีนอยู่นั้น หนุ่มก็แหงนไปเห็นหนุ่ม 4 คนกำลังรุมโทรม
หญิงนางหนึ่งอยู่ข้างๆ ต้นงิ้ว..ด้วยความสงสัย หนุ่มจึงหันไปถามยมทูต..
หนุ่ม--- ท่านยมทูตครับ..พวกนั้นเขาทำผิดอะไร ถึงมีโทษเช่นนั้นครับ
ยมทูต--- อ๋อ! ความผิดเหมือนเจ้านั่นแหละ ผิดลูกผิดเมียชาวบ้านน่ะ.
หนุ่ม--- โอ้โห..งั้นก็ไม่ยุติธรรมสิครับ..ทำไมผมถึงต้องปีนต้นงิ้วด้วยล่ะ.
แต่ พวกนั้น. โห! สบายเลย..ผมขอเปลี่ยนเป็นแบบนั้นดีกว่า..
ยมทูต--- เอ๊ย! ไม่ได้ มันผิดระเบียบ..
หนุ่ม--- ถ้าไม่ได้..อืม! เดี๋ยวผมจะไปฟ้องท่านมัจจุราช.. แล้วท่านจะหนาว
ยมทูต--- เออๆๆ..ข้ายอมเอ็งแล้ว..
พลางท่านยมทูตหันไปพูดกับหนุ่มพวกนั้น..
ยมทูต--- เอ๊ยๆ..พวกเอ็ง
เลิกข่มขืนนางนั่นได้แล้ว..เอานางนั่นไปปีนต้นงิ้ว
แล้วพวกเอ็งมารุมข่มขืนไอ้นี่แทน..มันขอข้าว่ะ ผั๊บผ่าสิ.!
ไทย vs พม่า
ชาวไทยครับ พม่า เป็นประเทศที่ฉลาดกว่าไทยจริงๆ?
ด้านการค้า
ไทยส่งสินค้าไปขาย พม่าส่งยาบ้าเข้ามาขาย กำไรกว่า
ได้เปรียบดุลการค้ามหาศาล
แถมยังเป็นบ่อนทำลายกำลังพลของไทยด้วย
ด้านการทหาร
ไทยส่งหน่วยสอดแนม เข้าไปพม่า 20 คน
พม่าส่งหน่วยจารกรรม สอดแนม มาเป้นคนงาน กว่า 600,000 คน
เข้าไปทั่วทุกจังหวัดของประเทศไทย แม้กระทั้งในคุก
ด้านการลงทุน
นักธุรกิจไทยนำเงินและวิชาการบริหารไปให้พม่าฟรีๆ
เพียงแต่พม่าให้เช่าที่ดินทำบ่อนการพนันเท่านั้น
การต่างประเทศ
พม่าอยู่เฉยๆ ไทยก็ต้องเข้าไปหา
ไปรายงานตัวเหมือนเป็นเมืองขึ้น
ถ้าไทยมีผู้นำคนใหม่
จะต้องรีบไปรายงายตัวกับพม่าเป็นประเทศแรก
ด้านประมง
ไทยส่งเรือไปจับปลาที่พม่า
ส่วนพม่าด้านเงินค้าสัมประทานฟรีๆ
แถมถ้าอยากได้ปลา ก็ส่งเรือรบมายึดเรือประมงไป
ได้ทั้งเงินค่าสัมประทาน
ได้ทั้งเรือ ได้ทั้งปลา ได้ทั้งลุกเรือชาวประมง
(อะไรจะฉลาดปานนั้น)
ด้านยุทธวิธีการรบ
ไทยยิงกระสุนไปที่พม่าหลายนัด ลงไปตกในพงหญ้า ป่าเขา
ส่วนพม่ายิงนัดเดียว ลงในเมือง
ไทยต้องสั่งปิดพรมแดนทันที
แทบจะยกธงขาวก็ว่าได้ ต้องอพยพชาวบ้านกันอุตลุด
ระส่ำระสายไม่เป็นอันได้หลับได้นอน และทำมาหากินกันเลย
แถมยังทำให้ไทยต้องกัดกันเองด้วย
เมื่อยแล้วครับ ... ขอพักก่อน มีอีกเยอะ ถ้าเรื่องซ้ำต้องขออภัยด้วยครับ 8)
1.หมั่นซ้อมบทผู้ชายไว้
คุณอาจต้องปลอมตัว
2.ทุกคนจะโง่ไม่รู้ว่าคุณเป็นหญิง
ทั้งที่นมตูมและคิ้วบางขนาดนั้น
3.ถ้าเป็นสาวแก่น
จ้องนายอำเภอหรือปลัดไว้ นั่นล่ะพระเอก
4.คุณจะเกิดมาเพียบพร้อมไปด้วยรูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติและชาติตระกูล
ถ้าไม่ใช่อย่ากังวล สุดท้ายคุณจะเป็นทายาทหรือได้ผัวรวย
5.นอกจากบทผู้ชายแล้วให้ซ้อมบทคนใช้ไว้
เพราะคุณอาจต้องปลอมตัวเพื่อ
สืบอะไรบางอย่าง/ทำวิทยานิพนธ์/เขียนบทละคร/หาชาติกำเนิด
6.คุณบางคนอาจเติบโตมาในซ่อง
แต่ไม่เป็นไรคุณจะบริสุทธิ์ผุดผ่องและใฝ่ดีอยู่เสมอ
7.ถ้าผู้ร้ายปล้ำอย่าตกใจ
เดี๋ยวพระเอกจะมาช่วยเอง
ไม่ยุติธรรมนี่นา
หนุ่มหนึ่งไปเป็นชู้กับเมียชาวบ้าน..พอผัวเขารู้เข้า หนุ่มก็ถูกยิงตาย
ในการพิพากษาในนรก....!
มัจจุราช--- เจ้าเป็นชู้ สมสู่กับเมียชาวบ้าน.. ถูกลงโทษปีนต้นงิ้วเป็น
เวลา10 ปีนรก... เจ้าจะยอมรับหรือไม่
หนุ่ม--- ยอมครับ.. จากนั้นหนุ่มก็ถูกยมทูตพาตัวไปปีนต้นงิ้ว..
ขณะที่กำลังเริ่มปีนอยู่นั้น หนุ่มก็แหงนไปเห็นหนุ่ม 4 คนกำลังรุมโทรม
หญิงนางหนึ่งอยู่ข้างๆ ต้นงิ้ว..ด้วยความสงสัย หนุ่มจึงหันไปถามยมทูต..
หนุ่ม--- ท่านยมทูตครับ..พวกนั้นเขาทำผิดอะไร ถึงมีโทษเช่นนั้นครับ
ยมทูต--- อ๋อ! ความผิดเหมือนเจ้านั่นแหละ ผิดลูกผิดเมียชาวบ้านน่ะ.
หนุ่ม--- โอ้โห..งั้นก็ไม่ยุติธรรมสิครับ..ทำไมผมถึงต้องปีนต้นงิ้วด้วยล่ะ.
แต่ พวกนั้น. โห! สบายเลย..ผมขอเปลี่ยนเป็นแบบนั้นดีกว่า..
ยมทูต--- เอ๊ย! ไม่ได้ มันผิดระเบียบ..
หนุ่ม--- ถ้าไม่ได้..อืม! เดี๋ยวผมจะไปฟ้องท่านมัจจุราช.. แล้วท่านจะหนาว
ยมทูต--- เออๆๆ..ข้ายอมเอ็งแล้ว..
พลางท่านยมทูตหันไปพูดกับหนุ่มพวกนั้น..
ยมทูต--- เอ๊ยๆ..พวกเอ็ง
เลิกข่มขืนนางนั่นได้แล้ว..เอานางนั่นไปปีนต้นงิ้ว
แล้วพวกเอ็งมารุมข่มขืนไอ้นี่แทน..มันขอข้าว่ะ ผั๊บผ่าสิ.!
ไทย vs พม่า
ชาวไทยครับ พม่า เป็นประเทศที่ฉลาดกว่าไทยจริงๆ?
ด้านการค้า
ไทยส่งสินค้าไปขาย พม่าส่งยาบ้าเข้ามาขาย กำไรกว่า
ได้เปรียบดุลการค้ามหาศาล
แถมยังเป็นบ่อนทำลายกำลังพลของไทยด้วย
ด้านการทหาร
ไทยส่งหน่วยสอดแนม เข้าไปพม่า 20 คน
พม่าส่งหน่วยจารกรรม สอดแนม มาเป้นคนงาน กว่า 600,000 คน
เข้าไปทั่วทุกจังหวัดของประเทศไทย แม้กระทั้งในคุก
ด้านการลงทุน
นักธุรกิจไทยนำเงินและวิชาการบริหารไปให้พม่าฟรีๆ
เพียงแต่พม่าให้เช่าที่ดินทำบ่อนการพนันเท่านั้น
การต่างประเทศ
พม่าอยู่เฉยๆ ไทยก็ต้องเข้าไปหา
ไปรายงานตัวเหมือนเป็นเมืองขึ้น
ถ้าไทยมีผู้นำคนใหม่
จะต้องรีบไปรายงายตัวกับพม่าเป็นประเทศแรก
ด้านประมง
ไทยส่งเรือไปจับปลาที่พม่า
ส่วนพม่าด้านเงินค้าสัมประทานฟรีๆ
แถมถ้าอยากได้ปลา ก็ส่งเรือรบมายึดเรือประมงไป
ได้ทั้งเงินค่าสัมประทาน
ได้ทั้งเรือ ได้ทั้งปลา ได้ทั้งลุกเรือชาวประมง
(อะไรจะฉลาดปานนั้น)
ด้านยุทธวิธีการรบ
ไทยยิงกระสุนไปที่พม่าหลายนัด ลงไปตกในพงหญ้า ป่าเขา
ส่วนพม่ายิงนัดเดียว ลงในเมือง
ไทยต้องสั่งปิดพรมแดนทันที
แทบจะยกธงขาวก็ว่าได้ ต้องอพยพชาวบ้านกันอุตลุด
ระส่ำระสายไม่เป็นอันได้หลับได้นอน และทำมาหากินกันเลย
แถมยังทำให้ไทยต้องกัดกันเองด้วย
เมื่อยแล้วครับ ... ขอพักก่อน มีอีกเยอะ ถ้าเรื่องซ้ำต้องขออภัยด้วยครับ 8)
"สุขภาพดีไม่มีขาย อยากได้ต้องไปปั่นเอาเอง"
-
- Verified User
- โพสต์: 1468
- ผู้ติดตาม: 0
เพราะแบบนี้ถึงควรลงทุนกะบริษัทแขกบ้างนิ อิ อิ
โพสต์ที่ 216
ชายอินเดียคนหนึ่งย้ายไปอยู่ที่มอนทรีล
เขาไปสมัครงานที่ห้างใหญ่แห่งหนึ่ง
ผู้จัดการถามเขาว่า:
" คุณเคยมีประสบการณ์ด้านการขายมาบ้างไม๊ ?"
เขาตอบว่า ตอนอยู่ที่บ้านเดิมเคยเป็นพนักงานขาย ผู้จัดการจึงรับเข้าทำงาน
" ยูมาเริ่มงานพรุ่งนี้เลยนะ หลังจากปิดร้าน
ไอจะลงมาตรวจ ว่ายูทำอะไรไปบ้าง แต่ ขอแนะนำอะไรหน่อยนะ
อย่างถ้าลูกค้ามาซื้อยาสีฟัน นายก็น่าจะแนะนำให้เขาซื้อแปรงสีฟัน
และครีมโกนหนวดไปด้วย อะไรประมาณนี้นะ เข้าใจไม๊ ?"
" ชัวร์ อีนี้ ฉานเข้าใจครับ"
การทำงานวันแรกแม้จะยากแต่แขกบ้าคนนี้ก็ผ่านมันมาได้
หลังจากปิดร้านผู้จัดการก็มาดู "เป็นไง ได้ลูกค้ากี่รายวันนี้? "
" อีนี้ รายเดียวขอรับ"ผู้จัดการร้องลั่น "หา !!!!! รายเดียวเองเหรอ?
รู้ไม๊ว่า ทั่วไปเค้า ขายกันได้เฉลี่ยวันละ20 หรือ 30
รายเชียวนะ....... ... แล้ว ยูขายได้เงินมาเท่าใหร่ฟะ "
ผู้จัดการเริ่มออกอาการไม่พอใจ ขนาดหนัก
แขกตอบว่า " 201,237 ดอลล่าร์ครับ" ผู้จัดการตกใจ "หา? 201,237 ดอลล่าร์
เหรอ?
" ท่าน" ขายอะไรให้เค้าไปน่ะ ?" ( สรรพนามเริ่มเปลี่ยนทันที)
" ทีแรกก็เบ็ดตกปลาขนาดเล็ก แล้วก็เบ็ดขนาดกลาง แล้วก็เบ็ดขนาดใหญ่
จากนั้นพอ ฉาน ถามเขาว่าจะไปตกปลาที่ไหน เขาตอบว่าจะไปที่ชายฝั่ง
ฉานเลยเสนอว่า เขาน่าจะมีเรือสักลำ เราเลยลงไปดูที่แผนกเรือ
แล้วก็ขายเรือ Chris เครื่องยนต์คู่ให้เขา
แล้วเขาก็บอกว่า สงสัยรถ Honda Civic ของเขาคงจะลากเรือลำนี้ไม่ ไหว
ฉานเลยพาเขาลงไป ที่แผนกรถยนต์แล้วก็ขาย TOYOTA LAND CRUISER 4X4
ให้เขาไปได้อีกคันครับ"
ผู้จัดการถามว่า:
" หมายความว่ามีชายคนนึงมาที่นี่เพื่อที่จะซื้อขอเบ็ดอันเดียว
แต่ท่านขายเรือกับรถกระบะให้เค้าได้งั้นเหรอ ?"
แขกก็ตอบว่า:
" โอ้ โนๆๆๆ อีนี้เปล่าครับ เปล่า เขาแค่มาซื้อผ้าอนามัยให้เมีย
แต่อีนี้ฉาน เลยบอกเขาว่า " ถ้างั้นไหนๆสุดสัปดาห์นี้
ยังไงนายก็ไม่ได้จู๋จี๋กะเมียแน่ๆ
ดังนั้น อีนี้ อย่าช้า ไปตกปลาดีกว่ามั้ง!! ... "
เขาไปสมัครงานที่ห้างใหญ่แห่งหนึ่ง
ผู้จัดการถามเขาว่า:
" คุณเคยมีประสบการณ์ด้านการขายมาบ้างไม๊ ?"
เขาตอบว่า ตอนอยู่ที่บ้านเดิมเคยเป็นพนักงานขาย ผู้จัดการจึงรับเข้าทำงาน
" ยูมาเริ่มงานพรุ่งนี้เลยนะ หลังจากปิดร้าน
ไอจะลงมาตรวจ ว่ายูทำอะไรไปบ้าง แต่ ขอแนะนำอะไรหน่อยนะ
อย่างถ้าลูกค้ามาซื้อยาสีฟัน นายก็น่าจะแนะนำให้เขาซื้อแปรงสีฟัน
และครีมโกนหนวดไปด้วย อะไรประมาณนี้นะ เข้าใจไม๊ ?"
" ชัวร์ อีนี้ ฉานเข้าใจครับ"
การทำงานวันแรกแม้จะยากแต่แขกบ้าคนนี้ก็ผ่านมันมาได้
หลังจากปิดร้านผู้จัดการก็มาดู "เป็นไง ได้ลูกค้ากี่รายวันนี้? "
" อีนี้ รายเดียวขอรับ"ผู้จัดการร้องลั่น "หา !!!!! รายเดียวเองเหรอ?
รู้ไม๊ว่า ทั่วไปเค้า ขายกันได้เฉลี่ยวันละ20 หรือ 30
รายเชียวนะ....... ... แล้ว ยูขายได้เงินมาเท่าใหร่ฟะ "
ผู้จัดการเริ่มออกอาการไม่พอใจ ขนาดหนัก
แขกตอบว่า " 201,237 ดอลล่าร์ครับ" ผู้จัดการตกใจ "หา? 201,237 ดอลล่าร์
เหรอ?
" ท่าน" ขายอะไรให้เค้าไปน่ะ ?" ( สรรพนามเริ่มเปลี่ยนทันที)
" ทีแรกก็เบ็ดตกปลาขนาดเล็ก แล้วก็เบ็ดขนาดกลาง แล้วก็เบ็ดขนาดใหญ่
จากนั้นพอ ฉาน ถามเขาว่าจะไปตกปลาที่ไหน เขาตอบว่าจะไปที่ชายฝั่ง
ฉานเลยเสนอว่า เขาน่าจะมีเรือสักลำ เราเลยลงไปดูที่แผนกเรือ
แล้วก็ขายเรือ Chris เครื่องยนต์คู่ให้เขา
แล้วเขาก็บอกว่า สงสัยรถ Honda Civic ของเขาคงจะลากเรือลำนี้ไม่ ไหว
ฉานเลยพาเขาลงไป ที่แผนกรถยนต์แล้วก็ขาย TOYOTA LAND CRUISER 4X4
ให้เขาไปได้อีกคันครับ"
ผู้จัดการถามว่า:
" หมายความว่ามีชายคนนึงมาที่นี่เพื่อที่จะซื้อขอเบ็ดอันเดียว
แต่ท่านขายเรือกับรถกระบะให้เค้าได้งั้นเหรอ ?"
แขกก็ตอบว่า:
" โอ้ โนๆๆๆ อีนี้เปล่าครับ เปล่า เขาแค่มาซื้อผ้าอนามัยให้เมีย
แต่อีนี้ฉาน เลยบอกเขาว่า " ถ้างั้นไหนๆสุดสัปดาห์นี้
ยังไงนายก็ไม่ได้จู๋จี๋กะเมียแน่ๆ
ดังนั้น อีนี้ อย่าช้า ไปตกปลาดีกว่ามั้ง!! ... "
..สักวันจะเก่งเหมือนพี่บ้าง..
-
- Verified User
- โพสต์: 1468
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ไม่รู้จะแปะที่ไหน (อีกแระ)
โพสต์ที่ 217
น่าอ่านอีกแหละ แต่ยาวววววมากๆ เลย
จากเบื่อหุ้น อ่านจะเบื่อบอร์ดไปเลย อิอิ
อาจารย์ที่เขียนก็คนเดิม "thaihypn"
มหกรรม พ่อแม่รังแกฉัน
หลายสิบราย ที่พ่อแม่พาลูกๆ มีตั้งแต่อายุ 12-13 ไปจนถึง 24-25 มาพบผม ขอให้ช่วยว่าทำไงให้พูดกันรู้เรื่อง ให้มีความรับผิดชอบ
และให้เรียนหนังสือเก่งๆ ให้กลับมาเป็นผู้เป็นคน ผมก็ช่วยได้บ้างช่วยไม่ได้บ้างตามแต่ว่าใครไปไกลเลยเถิดเกินแก้ไข
และบางทีพ่อแม่เป็นอย่างไรก็ได้ลูกอย่างนั้น หรือพ่อแม่บ่มเพาะนิสัยร้ายๆของลูกโดยที่ตัวเองไม่รู้
ต้องแก้ที่พ่อแม่ก่อนถึงจะแก้ลูกได้ แต่ถ้าพ่อแม่เองยังไม่ยอมรับ ว่าตัวเองนั่นแหละเป็นต้นเหตุของปัญหา ก็ได้แต่กลุ้มใจแทนลูก
ว่ามีกรรมโดยแท้ที่เกิดมาได้พ่อแม่อย่างนี้
เด็กชายอารมณ์เอ็กซ์
รายแรกเป็นเด็กชายวัย 11 ปี โดนไล่ออกมาแล้ว 3 โรงเรียน เพราะชอบบู๊ และทำผิดซ้ำซากไม่รู้จักหลาบจำ
ครั้งแรกฉุดนักเรียนหญิงเข้าไปขังในห้องน้ำ (ไม่รู้ว่าตั้งใจจะทำอะไร) เผอิญคนเห็นกันเยอะเลยไปช่วยนักเรียนหญิงและ
จับตัวเด็กชายมาได้ พ่อแม่เขาจะเอาเรื่องอย่างหนัก โรงเรียนจึงไล่ออกทันที ครั้งที่สองจับกลุ่มตีกันกับเด็กในโรงเรียน
ตีครั้งแรกถูกภาคฑัณฑ์ ยังไม่ข้ามเดือนไปตีกันอีก จึงโดนไล่ออก ครั้งสุดท้ายไปเปิดกระโปรงนักเรียนหญิง
เผอิญที่โรงเรียนเดียวกันก็มีนักเรียนคนหนึ่งที่มีพฤติกรรมคล้ายกัน คือชอบไปเปิดกระโปรงนักเรียนหญิง เด็กบอกว่าจิตใจไม่ได้นึกอะไร
แต่พอเห็นนักเรียนหญิงนุ่งกระโปรงแล้วอยากไปเปิดทุกที แม่พามาให้ผมสะกดจิตไป 3 ครั้ง แกบอกว่าเดี๋ยวนี้รู้สึกเฉยๆ
พ่อแม่รายนั้นเลยแนะนำให้แม่ของเด็กชายอายุ 11 ที่โดนไล่ออกให้มาหาพบบ้าง
รายนี้คุณแม่เลิกกับคุณพ่อตั้งแต่เด็กยังเล็กๆ คุณแม่หันไปคบทอมเป็นแฟน คุณแม่มีอารมณ์ขึ้นๆลงๆ ขี้โมโห เจ้าอารมณ์
และเลิกกับสามีเพราะสามีเป็นคนอารมณ์รุนแรง และชอบทำร้ายร่างกายลูกและภรรยา
เหล่านี้คือสิ่งที่ปลูกฝังและซึมซับเข้าในจิตใต้สำนึกของลูกชาย ทำไมลูกชายรู้สึกว้าเหว่โดยไม่รู้ตัว และเป็นคนก้าวร้าว
ขาดความยับยั้งช่างใจ ซึ่งทั้งหมดเกิดจากพฤติกรรมซ้ำซากที่เห็นและสัมผัสจากการใช้ชีวิตของผู้คนรอบข้าง คนที่เลี้ยงดู
เราใช้การสะกดจิตแก้ปัญหารายนี้อยู่ระยะหนึ่ง เห็นว่าเขามีความยับยั้งช่างใจเพิ่มมากขึ้น และตัวแม่สารภาพว่า
เพิ่งเข้าใจและเห็นจริงว่าตัวเองมีส่วนสำคัญกับอารมณ์และความรู้สึกของลูก เพราะพอลูกชายมีอารมณ์สงบ ก็จะเริ่มอยู่ติดบ้านมากขึ้น
ตัวแม่เสียอีกที่พอมีโอกาสอยู่ใกล้ลูกชายมากขึ้น กลับแสดงความฉุนเฉียวใส่ลูก คุณแม่รายนี้จึงขอรับการสะกดจิต
เพื่อเรียนรู้วิธีการไปแก้ปัญหากับตัวเองบ้าง
จะประชดแม่จนตัวตายเลยหรือไง
รายที่สอง เป็นวัยรุ่น อายุ 17 ปี วันที่แม่พามาเจ้าตัวจะกลับบ้านท่าเดียว ญาติที่พามาด้วยล็อคประตูไม่ให้ออก
(พอดีห้องที่ผมจัดไว้ให้ ล็อคประตูจากด้านนอกได้) ทีนี้พ่อเลยถีบประตูหลายโครมเพื่อให้ได้ออกไป แม่เข้าไปห้ามถึงขนาดตะคอกแม่ว่า
xxxx กูบอกมึงแล้วไงว่ากูไม่คุยกับใครทั้งสิ้น อีxxx
แม่บอกว่า ลูกชายตอนเด็กๆน่ารัก หล่อด้วย เรียนเก่ง เคยถ่ายแบบโฆษณา จู่ๆ 2-3 ปีหลังก็เริ่มมีพฤติกรรมก้าวร้าว
ไม่เชื่อฟังพ่อแม่ เมื่อวานเพิ่งต่อยกับพ่อ พ่อเป็นคนใจดี ลูกขออะไรก็ให้หมด อยากได้เงินอยากได้ของอะไรก็ให้ ไม่รู้จะทำไงแล้ว
ให้ไปเรียนก็ไม่ไปเรียน ตอนนี้ก็ห้ามไม่ให้ออกจากบ้าน กลัวไปคบเพื่อนไม่ดี (อื่นๆอีกมากมาย) ฯลฯ
คุณลูกชายก็ไม่มีทีท่าว่าอยากจะคุยกับผมเลย
มีประโยคหนึ่งที่ผมถามและเขาอึ้งไปพักใหญ่ คำถามนั้นก็คือ
ที่ทำอยู่นี้ประชดแม่อยู่หรือเปล่า
คนอายุ 17 ปี ย่อมรู้ว่าพฤติกรรมแบบไหนมีประโยชน์ต่อตัวเอง ไม่มีใครไม่อยากเป็นคนดี ไม่มีใครไม่อยากมีความสุขหรอก
คุณทำอย่างนี้คุณมีความสุขหรือ ไม่อยากแก้ปัญหาหรือ ต้องมีใครสักคนที่เราพอจะคุยได้ และสักทางที่จะแก้ปัญหาของเราได้
หลังจากเขานิ่งไปพักหนึ่ง ผมจึงบอกกับแม่ว่าขอผมอยู่กับลูกชาย ให้คุณแม่ออกไปก่อน คุณแม่ปฏิเสธ ลูกชายจึงเริ่มอาละวาด
มากขึ้น และจบลงด้วยผมต้องบอกให้กลับไป เพราะกลัวประตูพัง
หลังจากนั้นเธอก็แวะมาปรึกษา ผมบอกเธอตรงๆว่า
พูดตรงๆ พฤติกรรมของคนเราไม่มีคำว่าจู่ๆเป็นอย่างนั้นอย่างนี้หรอกครับ มีสาเหตุทั้งนั้น ส่วนใหญ่เกิดจากการเลี้ยงดู
ผมอยากบอกตรงๆว่า คุณแม่อาจเข้าใจไปเองว่าตอนเด็กๆทำไมลูกเป็นเด็กดี น่ารัก เรียนหนังสือเก่ง เชื่อฟังพ่อแม่
พอโตแล้วทำไมถึงเปลี่ยนไปขนาดนี้ เป็นเพราะว่าเราไม่เปิดโอกาสให้เขาแสดงความเป็นตัวตนของตัวเองให้เราเห็นหรือเปล่า
หรือเราพยายามที่จะไม่เห็นไม่มอง
ผมแนะนำคุณแม่ให้มาอบรม เพื่อเรียนรู้กระบวนการ และเข้าใจหลักการของจิต เพื่อสแวงหาวิธีที่เหมาะสมในการ
แก้ปัญหาลูกชายด้วยตัวเอง
เธอยอมมารับการอบรมด้วยดี เมื่อเข้าใจอะไรต่ออะไรแล้ว ก็ยอมรับกับผมว่า
หลังจากมาอบรมกับอาจารย์แล้ว ดิฉันยอมรับเลยว่าตัวเองเป็นแม่ที่ไม่ได้เรื่อง เพราะทุกอย่างที่อาจารย์พูดและแสดง
ให้เห็นถึงต้นเหตุที่ทำให้ลูกเป็นคนมีปัญหา ดิฉันทำทุกข้อเลยค่ะ
ตอนนี้น้ำตาไหลเอ่อนองแก้มทั้งสอง
ดิฉันชอบเปรียบเทียบลูกชายกับลูกคนอื่นที่เก่งๆ เพราะเข้าใจว่าจะทำให้ลูกอยากเป็นคนเก่งบ้าง ดิฉันปิดบังอาจารย์ว่า
ครอบครัวมีความสุขดี จริงๆแล้วดิฉันกับสามีทะเลาะกันตั้งแต่ยังสาวๆ ตอนนั้นฉันชอบด่าว่าพ่อเด็กให้ลูกฟังเสมอ
เพราะคิดว่าลูกจะได้ไม่เอาอย่างพ่อ และก็เพื่อความสะใจด้วย ไม่ได้คิดว่าจะเป็นการสร้างปมลึกในใจของลูก
ฉันตะหวาดตะคอกลูกเป็นประจำ เพราะตัวเองก็โมโหง่าย อารมณ์เสียง่าย ฉันไม่รู้จะทำยังไงแล้วจริงๆ อาจารย์ขา
บอกฉันมาเถอะค่ะ จะทำยังไงถึงจะได้ลูกกลับมา ชีวิตทั้งชีวิตของฉันก็เพื่อลูกนี่แหละค่ะ ถ้าลูกชายยังเป็นอยู่อย่างนี้
ฉันคงมีความสุขไปไม่ได้ เงินทองที่ทำมาหากินมาอย่างเหนื่อยยากก็จะไม่มีประโยชน์อะไรเลย
ทั้งเสียงและน้ำตา หลั่งไหล พรั่งพรู สั่นเครือ
ผมบอกเธอว่า โชคดีแล้ว ที่วันนี้เธอรู้และเข้าใจที่มาของปัญหา อย่างน้อยเราจะได้เริ่มได้ถูกทาง ผมแนะนำให้เธอย้อนรอยเดิม
และกลับไปทำและปฏิบัติต่อลูกเสียใหม่ในทางที่ถูกต้อง
สิ่งแรกคือ เริ่มที่ตัวเธอเอง จงฝึกฝนจนเป็นนิสัย ให้ตัวเอง สุขภาพจิตดี ยิ้มง่าย เป็นมิตร โมโหยาก และให้อภัยกับสิ่งต่างๆรอบตัว
แม้แต่ที่หลอกล่อให้ลูกมาพบผมก็จงเลิก เพราะเป็นการสร้างบรรยากาศของความไม่ไว้วางใจกัน ทำให้เกิดการต่อต้าน
และทำให้ลูกรู้สึกว่า แม่ไม่ให้เกียรติ แม่ปฏิบัติกับลูกเหมือนคนไม่มีสติปัญญา และแม่เป็นคนไว้ใจไม่ได้ เชื่อถือไม่ได้
จงยอมรับในสิ่งที่เขาเป็น และส่งเสริมในสิ่งที่เขามี ให้อภัยกับความผิดพลาด สอนอย่างเมตตาในความไม่รู้
ใส่ใจเขาอย่างที่เขาเป็นผู้ใหญ่คนหนึ่ง ให้เกียรติเขาในความเป็นตัวของตัวเองของเขา แล้วคุณจะเห็นความมหัศจรรย์
บังเกิดขึ้นกับตาอย่างแน่นอน อาจนานแรมเดือนหรือเป็นแรมปี คุณต้องอดทน
ผมมอบคัมภีร์แห่งการเลี้ยงลูกแก่เธอ
ให้บอกและพูดคุยกันตรงๆ ว่าทุกคนกำลังพยายามแก้ปัญหา เราผิดเราขอโทษลูก ไม่ใช่เรื่องเสียหาย เราทำไม่ถูก
เราเปลี่ยนวิธีเสียใหม่ ไม่ใช่เรื่องเสียหน้า ลูกของเราถ้าไม่รักลูกอย่างถูกทาง และไม่ทำให้ลูกรักพ่อแม่อย่างถูกต้อง
แล้วชีวิตนี้จะมีอะไรที่ทรงคุณค่าที่จะทำอีก
เธอกล่าวขอบคุณทั้งน้ำตา บอกว่าจะพยายาม จะพยายามเป็นอย่างยิ่ง ผมสำทับว่าจงพยายามเถิด ผมเห็นมามากแล้ว
ลูกที่ยอมประชดพ่อแม่จนตัวตายมีถมไป
หลังจากนั้นอีกสามเดือนเศษ คุณแม่วัยกลางคนโทรมาหาผม บอกว่าเมื่อวาน ลูกชายวัย 17 เดินเข้ามากอดเธอด้วยตัวเองเป็นครั้งแรก
น้ำเสียงของเธอสั่นเครือ แต่มันเปื้อนไปด้วยความปิติระคนความขอบคุณจากเบื้องลึกของจิตใจ
รักนรกแฟนคลับ
อ๊อดเป็นเด็กชายวัย 13 ขวบ ติดเกมส์รักนรก (Ragnarok) คุณพ่อเป็นนายแพทย์ และมีภรรยาหลายคน คุณแม่เสียแล้ว
ตั้งแต่ตัวเองยังเด็กๆ พ่อมีลูกคนนี้ตอนอายุประมาณ 50 กว่าแล้ว จึงยกลูกให้ป้าซึ่งเป็นสาวโสดไม่มีสามีคอยเลี้ยงดู
อ๊อดการเรียนตกต่ำเมื่อเริ่มโตเป็นวัยรุ่น ติดร้านเล่นเกมส์จนสี่ห้าทุ่มถึงจะกลับบ้าน บางวันป้าต้องไปตามที่ร้านเกมส์
ป้าเลยซื้อคอมพิวเตอร์ให้ ด้วยหวังว่าหลานชายจะได้ไม่ต้องไปอยู่นอกบ้านทั้งวัน พฤติกรรมหลานชายจึงเปลี่ยนไป
คือเลิกเรียนแล้วรีบกลับบ้าน แต่ทีนี้หมกตัวอยู่แต่ในห้องนอน บางวันเลยเล่นเกมส์จนเช้า
รายนี้ผมถามว่าตอนเด็กๆปล่อยมากน้อยแค่ไหน ยกตัวอย่างเช่น เวลากลับมาจากโรงเรียนแล้วปล่อยให้นั่งดูทีวีจนสว่างหรือไม่
คุณป้าบอกใช่เลย เพราะสงสาร เห็นว่าไม่มีคุณแม่ เลยไม่อยากไปบังคับกะเกณฑ์ ให้รับผิดชอบเรื่องเรียนหนังสือ
อย่างเดียว พูดบอกทุกวันให้ขยันเรียนจะได้เก่งๆเหมือนพ่อเหมือนป้า และทุกๆคนในตระกูล
ผมบอกว่านี่คือสาเหตุหนึ่งของปัญหา ทั้งคุณพ่อและคุณป้าบอกว่าไม่น่าใช่
พวกฉัน (คุณพ่อและคุณป้า) ก็ถูกเลี้ยงมาอย่างนี้
ทำไมไม่เห็นเป็น
เดี๋ยวนี้ก้าวร้าวด้วยนะ เถียงป้า บางวันก็ว่าป้าแรงๆ กลับจากโรงเรียนไม่ยอมทักกัน
ผมได้ฟังก็อึ้ง อยากจะบอกว่าเพราะพ่อแม่ของคุณทั้งสองคงทำมาหากินไปเลี้ยงลูกไป บางทีการเลี้ยงดูลูกตามมีตามเกิด
ของคนสมัยก่อน กลับดีกว่าคนสมัยนี้ โดยเฉพาะชีวิตของพ่อและป้าไม่เหมือนลูกคนนี้ ที่พ่อไปทาง แม่ก็ตาย
มีป้าสาวแก่ที่คอยเลี้ยงหลาน สาวโสดอายุมากๆ ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าคงเลี้ยงหลานเหมือนลูกแหง่ และนั่งเฝ้าทุกลมหายใจ
ใครที่ถูกเลี้ยงดูมาอย่างนี้ อย่าว่าแต่คนเลย หมีแพนด้าก็ยังเครียด
อย่างไรผมก็ยังยืนยันว่าเกมส์รักนรกไม่ใช่ต้นเหตุของปัญหา แต่มันก็เป็นตัวปัญหาอันหนึ่ง เราต้องแก้หรือกันที่ต้นเหตุ
ปัญหาก็จะไม่เกิด ปัญหาของเด็กคนนี้คือ ขาดระเบียบวินัย ขาดความรับผิดชอบ มีความเครียด ไม่รู้จะหาอะไรเป็นทางออก
จึงไปเล่นเกมส์เป็นทางออก
ขาดระเบียบวินัยและความรับผิดชอบ เพราะถูกเลี้ยงอย่างคุณหนูคุณชาย ไม่ต้องช่วยเหลือตัวเองอะไรเลย เสียงพ่อและป้า
พูดกรอกหูทุกวัน ว่าสนใจแต่เรื่องเรียนพอแล้ว อย่างอื่นไม่ต้องยุ่ง คำพูดแบบนี้ไม่ได้สร้างสรรค์อะไรเลย เป็นคำพูด
ที่จะสร้างผู้ใหญ่ที่มีแต่ความเศร้าในอนาคต เพราะชีวิตคนเรายุ่งแต่เรื่องเรียนอย่างเดียวไม่ได้ ต้องเรียนรู้ความรับผิดชอบ
และการมีวินัยในตัวเองแต่ต้น ไม่ใช่นั่งรอให้พ่อแม่มาคอยกำกับ
ส่วนความเครียดของเขา มีหลายสาเหตุ การที่ไม่ได้อยู่พร้อมหน้าพ่อแม่ลูกก็ประเด็นหนึ่ง การที่มีคุณป้าเลี้ยง
เลี้ยงแบบเซเว่นอีเลเว่น (นั่งเฝ้าตลอด 24 ชั่วโมง) ก็ประเด็นหนึ่ง
ธรรมชาติของคนเราเหมือนอากาศในลูกโป่ง มันต้องมีทางออก มันต้องมีที่ไป ไปบีบไปกดตรงนี้ มันก็จะไปปูดที่อื่น
ไม่มีวันควบคุมได้หรอก ถ้าบีบคั้นมากไปก็จะเกิดการระเบิด
อ๊อดถือว่ากำลังจะพ้นจากวัยเด็กมาเป็นวัยรุ่นแล้ว เขาเริ่มเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น เริ่มที่จะเลือกว่าตัวเองจะมีชีวิตแบบไหน
เข้าสู่วัยที่ต้องการอิสระ วัยที่ต้องการการยอมรับ
คนเราต้องมีความเป็นตัวของตัวเอง ต้องแสดงบุคลิกลักษณะของตัวเอง การเลี้ยงดูนั้นทำได้อย่างมากก็สร้างไม้บรรทัด
ให้เดินตามเท่านั้น เขาจะเดินตามหรือไม่ก็เรื่องหนึ่ง ส่วนจะเดินช้าเดินเร็ว เดินกระเผลกหรือสง่าผ่าเผยไม่มีวันควบคุมได้หรอก
พ่อแม่ส่วนใหญ่จึงพยายามกระชากลากถูลูกของตัวเองให้เดินตาม หรือควบคุมบังคับให้เดินได้อย่างพ่อแม่ และก็พบว่า
ช่องว่างระหว่างความรักก็จะห่างกันมากขึ้นทุกที สร้างปมชีวิตให้ลูก ให้เป็นคนมีปัญหา เก็บกด แสดงออกพิลึก
เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่เขาก็จะทำซ้ำ สร้างเงื่อนไขเดิมๆกับลูกตัวเอง ในขณะเดียวกันก็นึกโกรธและทำร้ายตัวเอง ว่าทำไมไปทำร้ายจิตใจลูก
ได้ลงคอ เหมือนที่เคยถูกพ่อแม่ตัวเองทำร้ายจิตใจมาแล้วในวัยเด็ก
รายนี้ เวลาผมพูดอะไรประมาณว่าจะกระทบกับวิธีการเลี้ยงดูของคุณป้า สีหน้าของคุณพ่อก็ดูดีขึ้นมาหน่อยหนึ่ง
ทำให้ผมรู้สึกได้ ว่างานนี้คุณหมอขอยืมปากผมสอนพี่สาวตัวเอง
ผมใคร่ครวญแล้วก็คิดว่าเป็นไปได้สูงทีเดียว ประการแรกคนนี้เป็นป้าของเด็ก ประการที่สองฝากให้เลี้ยงลูกแต่เล็กจนโต
ก็มีบุญคุณกันโขอยู่ ประการที่สาม ลักษณะเป็นคนที่มีความเชื่อมั่นในตัวเองสูงกันทั้งบ้าน จะสอนกันเองคงลำบาก
มาให้คนแปลกหน้าสอนหน่อยเหอะ
ทุกครั้งที่คนกลุ่มนี้มาพบผม ผมจึงเบนเนื้อหาหลักอ บังอาจแนะนำคุณป้าถึงวิธีเลี้ยงหลาน เธอบอกว่าหลานเล่นเกมส์
จนไม่รู้จักกินจักนอน ผมบอกว่าไม่น่าเชื่อ ไม่มีใครเล่นเกมส์จนยอมอดตายหรอก เธอบอกว่าต้องเอาข้าวไปส่งถึงในห้องนอนทุกมื้อ
อีกชั่วโมงก็จะไปเก็บจานออกมา ถ้ากินไม่หมดก็จะนั่งเฝ้าบังคับให้กินจนหมด เวลานอนก็จะไปนั่งเฝ้าเซ้าซี้ให้นอน
มีหนหนึ่งคุณป้ากับหลานนั่งอยู่ด้วยกัน ผมถามหลานชายว่า
รู้มั้ย สบู่อยู่ไหน
หลานชายก็ทำหน้างง ผมจึงถามใหม่ว่า
ถ้าอาบน้ำอยู่แล้วสบู่หมด รู้มั้ย่ว่าจะไปหยิบตรงไหน
หลานชายบอกว่าไม่รู้ เพราะสบู่ไม่เคยหมดจากห้องน้ำ
ผมฟังอย่างนี้ก็บอกกับคุณป้าว่า
ไม่ต่างอะไรกับเด็กที่เพิ่งมีข่าวว่าเขายิ่งคนอื่นตายและฆ่าตัวตายหลังจากนั้น เพราะแม่บอกว่าลูกชายไม่รู้ว่าเม็ดฝรั่งหน้าตาเป็นยังไง
พ่อแม่ไม่เคยฝึกให้ลูกช่วยเหลือตัวเอง คิดเองทำเอง ใช้วิจารณญาณของตัวเอง รับผิดชอบตัวเอง สอนแต่วิธีบำรุงบำเรอ
ความสุขให้ตัวเอง ให้ลืมสภาพแวดล้อม ลืมความเป็นอยู่ เพราะพ่อแม่แสวงหาทุกอย่างมาให้ เมื่อได้ลูกที่โตขึ้นเป็นผู้ใหญ่
ที่ไม่สมบูรณ์แล้ว ไม่ควรโทษใคร นอกจากโทษตัวเอง
ผมบอกคุณป้าหลังจากหลานชายไม่ได้นั่งตรงนั้นแล้ว
หลานอายุ 13 แล้ว ลองไม่ใส่ใจมันสัก 15 วันคิดว่าจะตายมั้ยครับ
คุณป้างง พร้อมถามผมว่า
หมายถึงใคร หลานจะตายเหรอ
เปล่า คุณป้านั่นแหละ ลองไม่ใส่ใจหลานดู คิดว่าคุณป้าจะตายมั้ยครับ
เธอทำสีหน้าเคืองจัด แต่ก็รักษาความเป็นผู้ดีมีมารยาท ถามผมว่า
อาจารย์จะให้เดี๊ยนทำไงคะ
ก็ปล่อยให้เล่นเกมส์ไปเรื่อยๆครับ มันหิวเดี๋ยวก็ออกมากินเองแหละ กับค่งกับข้าวไม่ต้องทำนะครับ จะให้ไปซื้อกิน
หรือคุณป้าจะให้หลานทำกินเองในครัวก็ได้ ถ้าเด็กมันจะเล่นเกมส์จนรุ่งเช้าไม่อาบน้ำอาบท่า ไม่ไปเรียนหนังสือก็ปล่อยมันครับ..
แต่อีกสิ่งต้องทำควบคู่กันไป อย่างเช่น พอเห็นหลานเดินออกมาจากครัว ก็ชวนกันทำกับข้าวสองป้าหลาน
หรือชวนกันออกไปกินข้าว ลงทุนหน่อยครับ มีฐานะอย่างนี้ พาแกไปกินดีๆแพงๆ เบี่ยงเบนแก หรือจะเรียกว่าเอาอย่างอื่นเข้าล่อก็ได้
กินข้าวเสร็จถามหลานว่าอยากเล่นกีฬาอะไรไหม ไปซื้อกัน ไม้ปิงปอง ไม้เทนนิส โรลเลอร์เบลด ซื้อไปเหอะ
อยู่ดีๆไปห้ามเล่นเกมส์อย่างเดียวไม่ได้หรอก ต้องหาอย่างอื่นมาทดแทนด้วย และให้แกได้มีสังคม ได้มีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนๆ
ในโลกของความเป็นจริง จะออกจากบ้าน
เขาอยากได้อะไร อยากไปเที่ยวไหน ให้อยู่ในการตัดสินใจของเขา คุณป้าอย่าร่วมตัดสินใจ เพราะด้วยความเป็นเด็ก
เขาก็จะรู้สึกว่าถูกควบคุมอยู่ตลอดเวลา สู้ไปเล่นรักนรกไม่ได้ เพราะเขาได้เป็นนายตัวเอง มีโอกาสเลือกและเป็นอิสระ
มากกว่าอยู่ในชีวิตจริง
เธอทำสีหน้าเดือดดาลแต่ก็ยอมรับปากจนผมเองยังแปลกใจ เธอหายไป 2 สัปดาห์และกลับมาหาผมอีก
เดี๊ยนสงสารเค้า ไม่ถึงกับให้ออกไปซื้อข้าวกินเองหรอกนะคะ ก็ทำไว้ให้แล้วไปบอกว่าให้มาเอาข้าวในครัว ส่วนเรื่องปล่อยให้เล่น
ทำไม่ได้หรอกค่ะ เดี๊ยนนั่งเฝ้าเค้าทั้งวันทั้งคืนจะปล่อยให้เล่นทั้งวันทั้งคืนได้ยังไง
เธอบอกกับผม พร้อมทำสีหน้าประมาณว่า
เนี่ย พยายามอย่างสุดชีวิตแล้วนะ
ผมบอกกับเธอตรงๆว่า คนที่ควรใช้วิธีการสะกดจิตอีกคนก็คือคุณป้า จะได้ทำใจว่างๆ ดูหลานอยู่ห่างๆ ไม่ไปเจ้ากี้เจ้าการ
ในชีวิตเขามากจนเกินไป หากิจกรรมอย่างอื่นทำ ไม่ไปนั่งเฝ้าหลานตลอดเวลา แล้วเธอจะมีโอกาสได้เห็นความเปลี่ยนแปลง
แน่นอน ไม่ว่าจะความสัมพันธ์ระหว่างป้ากับหลาน หรือการเป็นคนรับผิดชอบตัวเองมากขึ้นของหลาน
เธอทำสีหน้าหงุดหงิดแล้วจากไป ไม่มาอีกเลย นี่ก็เป็นคนตอบว่า เธอเห็นด้วยหรือไม่ และยอมรับหรือไม่ ว่าตัวเองนั่นแหละ
เป็นตัวปัญหา ในปัญหาของตัวเอง
อยากจะเปลี่ยนคนอื่น แต่ไม่ยอมเปลี่ยนตัวเอง เชอะ
คุณแม่เฮงซวยยังกลับตัวได้
ตี๋เล็ก เด็กชายอายุ 14 ปี หนีเรียน ใช้เงินเก่ง ไม่มีความรับผิดชอบในตัวเองเลย สอบตกมาสองหนแล้ว หนหน้าจะต้องถูกไล่ออก
รายนี้คุณแม่โวยวายว่าพาไปพบนักจิตวิทยาชื่อดัง จ่ายเงินจ่ายทองไปมากมาย แต่ไม่เห็นทำอะไร ยังไม่ทันได้เจอหน้า
ก็จ่ายไปแล้วหลายพัน ให้เข้าอบรม อบรมแล้วก็ไม่ได้อะไร ไม่ได้ช่วยอะไร บอกว่าให้พ่อแม่ทำใจ
รายนี้ผมสะกดจิตลูกชายแล้ว ให้เทปไปและก็ให้กลับมาอีกภายใน 7 วัน เมื่อกลับมาอีกครั้งคุณแม่บอกว่ารู้สึกดีขึ้น
ตื่นนอนและลุกขึ้นมาด้วยตัวเอง (ทุกครั้งต้องไปปลุกและลากจากเตียง) แต่ไม่ได้ให้ฟังเทป เพราะเครื่องเล่นเสียพอดี
ผมจึงบอกว่าให้เร่งทำด้วยวิธีใดก็ได้ให้ฟังเทปได้ คุณแม่รับปาก ครั้งนี้ผมให้มาอีกภายใน 7 วันเช่นกัน
ปรากฏว่าคุณแม่พาลูกชายมาอีกครั้งหลังจากการพบครั้งล่าสุดห่างกันถึง 20 วัน คุณแม่บอกว่าพอดีพาตี๋เล็กไปเที่ยวญี่ปุ่น 10 วัน
ก่อนไปก็ยุ่งๆ กลับมาก็เหนื่อยๆ หายเหนื่อยแล้วค่อยพามา บอกว่าลูกชายไม่ดีขึ้น เทปไม่ค่อยได้ฟังเพราะไปเที่ยว
ครั้งนี้ผมให้มาอีกภายใน 7 วัน
การมาพบครั้งที่ 4 ห่างจากการพบครั้งที่แล้ว 15 วัน คุณแม่บอกว่าพอดีมีญาติมาจากอเมริกา ก็เลยพาไปเที่ยวภูเก็ต
เลยพาตี๋เล็กไปด้วย เทปไม่ได้ฟังเพราะมัวแต่ไปเที่ยว
เนี่ย พาลูกมาหาอาจารย์ตั้ง 3 ครั้งแล้ว ทำไมลูกฉันยังไม่ดีขึ้นสักที
ผมถามคุณแม่ว่า
แต่ละปีพาตี๋เล็กไปเที่ยวเมืองนอก หรือไปเที่ยวไกลๆหลายๆวันบ่อยไหม
คุณแม่บอกว่า
ไม่บ่อย ปีละสองครั้งสามครั้ง
ปีนี้ถ้าไม่พาตี๋เล็กไปเที่ยวคิดว่าจะตายมั้ยครับ ผมมองหน้าคุณแม่แล้วถามซื่อๆ
หมายถึงยังไง คงไม่มีใครตายหรอก เธอทำสีหน้างงกับคำถามของผม
นั่นซีครับ บอกตรงๆ ปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงเดือนกว่ามานี้ สรุปได้ว่า คุณแม่ต่างหากที่เป็นคนขาดระเบียบวินัย
และยังไม่มีความสามารถในการตัดสินใจในสิ่งที่ถูกต้อง ว่าอะไรควรทำไม่ควรทำ เปรียบ เหมือนตี๋เล็กป่วยอยู่ คุณพาตี๋เล็กมาหาผม
ขอให้ผมช่วย แต่ไม่เคยทำตามคำแนะนำสักข้อเดียว ให้เทปไปม้วนเดียวเอาไปฟัง ตั้งเดือนกว่ายังตั้งท่าฟังไม่ได้
บอกว่าไม่ได้ให้ฟังเพราะมัวแต่พาลูกไปเที่ยว บอกให้มาเป็นประจำทุกสัปดาห์ ก็มาไม่ได้ กลับมีข้ออ้างแปลกๆ
แล้วจะเรียกร้องขอให้คนอื่นช่วย คุณยังไม่พยายามช่วยตัวเอง ลักษณะอย่างนี้นี่ก็ถ่ายทอดมาที่ลูก คิดว่าที่ลูกเป็นอย่างนี้เกิดจากอะไรครับ
เธอถึงกับหน้าเปลี่ยนสี หลังจากวันนั้นเธอไม่กลับมาอีก แต่ให้คนขับรถเป็นคนพาลูกชายมาพบผมเป็นประจำทุกสัปดาห์
มาอยู่ 5 สัปดาห์ ตี๋เล็กบอกว่าเดี๋ยวนี้รู้สึกเบื่อยาก กระตือรือล้นขึ้น แถมตื่นเช้าทุกวัน กลางคืนก็ง่วงนอนง่าย หลับสนิท
จริงๆแล้ว ปัญหาของตี๋เล็กไม่มีอะไรมากเลย เมื่อนอนเพียงพอ ก็ไปโรงเรียนเช้าได้ เรียนหนังสือรู้เรื่อง การบ้านก็มีเวลาทำส่งครูอาจารย์
ข้อสอบก็ทำได้ ทำให้ไม่ท้อแท้มีกำลังใจเรียน เมื่อเรียนตามเพื่อนทัน ทำข้อสอบได้ ก็คิดว่าชีวิตมีค่า จึงไม่อยากหันเหไปทำอย่างอื่น
ขอข้อเดียวเท่านั้นเอง คุณแม่คุณพ่อช่วยเป็นตัวอย่างที่ดีหน่อยเหอะ
ผมจึงบอกตี๋เล็กว่าไม่ต้องมาอีกแล้ว และฝากขอโทษคุณแม่ด้วย ฝากบอกว่าเหตุการณ์เมื่อ 5 สัปดาห์ที่แล้วเป็นการสะกดจิตขั้นสูง ไ
ม่งั้น คงไม่มีตี๋เล็กอย่างในวันนี้อย่างแน่นอน
รายสุดท้าย คุณแม่มากับคุณป้า(คุณป้าแนะนำให้มา) ไม่ได้พาลูกมาด้วย ผมยังไม่รู้เลยว่าลูกที่ว่านี่เป็นชายหรือหญิง
และอายุเท่าไหร่ เพราะคุยกับคุณแม่ยังไม่ถึง 10 นาทีเลย
คุณแม่ ลูกเมื่อก่อนเป็นเด็กดี ว่านอนสอนง่าย เรียนหนังสือเก่ง ได้ที่หนึ่งของห้อง เคยสอบชิงทุนได้ ครอบครัวก็ไม่มีปัญหาอะไร
คุณพ่อรวย มีตำแหน่งใหญ่โต ประสบความสำเร็จในชีวิตมาก ใครๆก็นับหน้าถือตา คุณแม่ก็เก่ง มีญาติพี่น้องเก่งๆรวยๆทั้งนั้น
ลูกอยากได้อะไรก็หามาให้ได้ อยากซื้ออะไรก็ซื้อให้หมด พาไปเที่ยวเมืองนอกเป็นว่าเล่น ให้เรียน(มหาวิทยาลัยเอกชนที่แพงๆ)
แพงเท่าไหร่ก็มีปัญญาจ่าย
เดี๋ยวนี้ไม่เชื่อฟัง ชอบคบเพื่อน ไปเที่ยวกลับดึกๆ การเรียนตกต่ำ ชอบคุยโทรศัพท์ทั้งคืน พ่อแม่ห้ามก็โกรธ ด่าว่าพ่อแม่
ยึดกุญแจรถไม่ให้ไปเที่ยวก็หนีออกไป พ่อแม่ตามไปเรียกกลับบ้านก็โกรธไม่พอใจ ไม่มีความรับผิดชอบ ไม่เอาใจใส่การเรียน
ไม่สนใจพ่อแม่ คนมันเลว ไม่รักตัวเอง คบเพื่อนไม่ดี ไม่เหมือนลูกคนนั้นคนนี้ที่เรียนเก่ง (อื่นๆอีกมากมาย ฯลฯ)
ผม ช่วยเล่าถึงวิธีการเลี้ยงดูให้ฟังได้มั้ยครับ
คุณแม่ หน้าตึงทันที และตะคอกใส่ผม
ถามอย่างนี้หมายความว่าฉันเลี้ยงลูกไม่เป็นหรือยังไง พูดอย่างนี้ได้ไง พ่อแม่มีตำแหน่งใหญ่โต ผู้คนนับหน้าถือตา
ทั้งรวยทั้งเก่งด้วยกันทั้งคุ่ ลูกอยากได้อะไรก็หามาให้ ไม่เคยขาดตกบกพร่อง ลูกมันไม่รักดีจะมาว่าพ่อแม่ได้ไง
อาจารย์พูดอย่างนี้เดี๋ยวสวยหรอก รู้มั้ยฉันเป็นใคร เดี๋ยวไม่ตายดีแน่ (อื่นๆอีกมากมาย ฯลฯ)
ผมเลยตะเพิดมันออกไปทันที
แปลกหรือไม่ คนที่มีปัญหาเหล่านี้ มีพ่อแม่คล้ายๆกัน คือเป็นคนเก่ง ประสบความสำเร็จในชีวิต เชื่อมั่นในตัวเองสูงมาก
เลี้ยงลูกด้วยเงิน หรือไม่ก็มีอารมณ์แปรปรวน และรักลูกอย่างไม่ถูกต้อง ปรนเปรอทุกอย่าง ไม่วางระเบียบวินัย
บางทีพ่อแม่ยังเป็นเสียเอง ฯลฯ นิยมยกย่องว่าดีงามแต่เฉพาะไอคิว คือชมชอบความเก่งความฉลาด ไม่นิยมยกย่อง อีคิว
คือความสามารถในการบริหารอารมณ์และการตัดสินใจของเด็ก
ที่เห็นพฤติกรรมของเด็กเปลี่ยนไป ไม่ใช่เพราะเปลี่ยนหรอก วัยเด็กจนถึง 13 ปี เขาอยู่ในวัยกำลังถูกปลูกฝังเท่านั้นเอง
เมื่อถึงวัยที่จะมีโอกาสแสดงพฤติกรรมและเป็นตัวของตัวเองแล้ว ความเป็นตัวเขาที่พ่อแม่ฟูมฟักถึงได้แสดงออกมา
บางคนจนอายุเลยวัยรุ่นแล้วยังพูดด้วยไม่รู้เรื่อง ขาดความรับผิดชอบ ก็เพราะพ่อแม่ไม่เคยให้รับผิดชอบอะไร และไม่เคยอนุญาต
ให้ลูกใช้เหตุผล ให้ทำอย่างที่พ่อแม่ต้องการเป็นพอ
ไม่เคยปลูกฝังความเป็นคนดี ความเป็นคนเสียสละ และความเป็นคนรับผิดชอบ ปลูกฝังแต่ว่าบอกอะไรแล้วให้ทำตาม(ไม่ต้องคิด)
ไม่ต้องสนใจอย่างอื่นในชีวิต ไม่ต้องสนใจเรื่องของคนอื่น เรียนเก่งก็ใช้ได้แล้วและมีรางวัลให้ ปรนเปรอลูกๆแบบโง่ๆ
เด็กจึงเรียนรู้เพียงแต่ว่า ทำอะไรแล้วจะได้อะไร รู้เพียงแต่ว่าการมีชีวิตก็เพื่อการแสวงหาความสุขให้กับตัวเองด้วยการใช้จ่ายเงินเท่านั้น
ไม่รู้และไม่สนใจอะไรไปมากกว่านี้ เพราะพ่อแม่ไม่เคยบอกให้สนใจ หรืออาจเคยบอกว่าไม่ต้องไปสนใจด้วย มีหน้าที่เรียนอย่างเดียว
เด็กคนไหนเรียนไหวก็เรียนมันเข้าไป (แก่ตัวลงก็จะเป็นคนมีปัญหาอีกแบบหนึ่ง) เด็กคนไหนเรียนไม่ไหวก็หาทางออก
ด้วยการเป็นปฏิปักษ์กับพ่อแม่
ไม่เคยสนใจว่าลูกจะคิดอย่างไร ไม่เคยสงสัยว่าลูกรู้สึกอย่างไร และไม่เคยถามว่าลูกมีความสุขไหม เห็นมันเล่นของมันทั้งวัน
หรือเห็นมันเอาแต่เรียนหนังสือ ไม่ใช่เพราะมันมีความสุขหรอก เป็นเพราะมันไม่รู้จะทำอะไรมากไปกว่านี้ต่างหาก
จากเบื่อหุ้น อ่านจะเบื่อบอร์ดไปเลย อิอิ
อาจารย์ที่เขียนก็คนเดิม "thaihypn"
มหกรรม พ่อแม่รังแกฉัน
หลายสิบราย ที่พ่อแม่พาลูกๆ มีตั้งแต่อายุ 12-13 ไปจนถึง 24-25 มาพบผม ขอให้ช่วยว่าทำไงให้พูดกันรู้เรื่อง ให้มีความรับผิดชอบ
และให้เรียนหนังสือเก่งๆ ให้กลับมาเป็นผู้เป็นคน ผมก็ช่วยได้บ้างช่วยไม่ได้บ้างตามแต่ว่าใครไปไกลเลยเถิดเกินแก้ไข
และบางทีพ่อแม่เป็นอย่างไรก็ได้ลูกอย่างนั้น หรือพ่อแม่บ่มเพาะนิสัยร้ายๆของลูกโดยที่ตัวเองไม่รู้
ต้องแก้ที่พ่อแม่ก่อนถึงจะแก้ลูกได้ แต่ถ้าพ่อแม่เองยังไม่ยอมรับ ว่าตัวเองนั่นแหละเป็นต้นเหตุของปัญหา ก็ได้แต่กลุ้มใจแทนลูก
ว่ามีกรรมโดยแท้ที่เกิดมาได้พ่อแม่อย่างนี้
เด็กชายอารมณ์เอ็กซ์
รายแรกเป็นเด็กชายวัย 11 ปี โดนไล่ออกมาแล้ว 3 โรงเรียน เพราะชอบบู๊ และทำผิดซ้ำซากไม่รู้จักหลาบจำ
ครั้งแรกฉุดนักเรียนหญิงเข้าไปขังในห้องน้ำ (ไม่รู้ว่าตั้งใจจะทำอะไร) เผอิญคนเห็นกันเยอะเลยไปช่วยนักเรียนหญิงและ
จับตัวเด็กชายมาได้ พ่อแม่เขาจะเอาเรื่องอย่างหนัก โรงเรียนจึงไล่ออกทันที ครั้งที่สองจับกลุ่มตีกันกับเด็กในโรงเรียน
ตีครั้งแรกถูกภาคฑัณฑ์ ยังไม่ข้ามเดือนไปตีกันอีก จึงโดนไล่ออก ครั้งสุดท้ายไปเปิดกระโปรงนักเรียนหญิง
เผอิญที่โรงเรียนเดียวกันก็มีนักเรียนคนหนึ่งที่มีพฤติกรรมคล้ายกัน คือชอบไปเปิดกระโปรงนักเรียนหญิง เด็กบอกว่าจิตใจไม่ได้นึกอะไร
แต่พอเห็นนักเรียนหญิงนุ่งกระโปรงแล้วอยากไปเปิดทุกที แม่พามาให้ผมสะกดจิตไป 3 ครั้ง แกบอกว่าเดี๋ยวนี้รู้สึกเฉยๆ
พ่อแม่รายนั้นเลยแนะนำให้แม่ของเด็กชายอายุ 11 ที่โดนไล่ออกให้มาหาพบบ้าง
รายนี้คุณแม่เลิกกับคุณพ่อตั้งแต่เด็กยังเล็กๆ คุณแม่หันไปคบทอมเป็นแฟน คุณแม่มีอารมณ์ขึ้นๆลงๆ ขี้โมโห เจ้าอารมณ์
และเลิกกับสามีเพราะสามีเป็นคนอารมณ์รุนแรง และชอบทำร้ายร่างกายลูกและภรรยา
เหล่านี้คือสิ่งที่ปลูกฝังและซึมซับเข้าในจิตใต้สำนึกของลูกชาย ทำไมลูกชายรู้สึกว้าเหว่โดยไม่รู้ตัว และเป็นคนก้าวร้าว
ขาดความยับยั้งช่างใจ ซึ่งทั้งหมดเกิดจากพฤติกรรมซ้ำซากที่เห็นและสัมผัสจากการใช้ชีวิตของผู้คนรอบข้าง คนที่เลี้ยงดู
เราใช้การสะกดจิตแก้ปัญหารายนี้อยู่ระยะหนึ่ง เห็นว่าเขามีความยับยั้งช่างใจเพิ่มมากขึ้น และตัวแม่สารภาพว่า
เพิ่งเข้าใจและเห็นจริงว่าตัวเองมีส่วนสำคัญกับอารมณ์และความรู้สึกของลูก เพราะพอลูกชายมีอารมณ์สงบ ก็จะเริ่มอยู่ติดบ้านมากขึ้น
ตัวแม่เสียอีกที่พอมีโอกาสอยู่ใกล้ลูกชายมากขึ้น กลับแสดงความฉุนเฉียวใส่ลูก คุณแม่รายนี้จึงขอรับการสะกดจิต
เพื่อเรียนรู้วิธีการไปแก้ปัญหากับตัวเองบ้าง
จะประชดแม่จนตัวตายเลยหรือไง
รายที่สอง เป็นวัยรุ่น อายุ 17 ปี วันที่แม่พามาเจ้าตัวจะกลับบ้านท่าเดียว ญาติที่พามาด้วยล็อคประตูไม่ให้ออก
(พอดีห้องที่ผมจัดไว้ให้ ล็อคประตูจากด้านนอกได้) ทีนี้พ่อเลยถีบประตูหลายโครมเพื่อให้ได้ออกไป แม่เข้าไปห้ามถึงขนาดตะคอกแม่ว่า
xxxx กูบอกมึงแล้วไงว่ากูไม่คุยกับใครทั้งสิ้น อีxxx
แม่บอกว่า ลูกชายตอนเด็กๆน่ารัก หล่อด้วย เรียนเก่ง เคยถ่ายแบบโฆษณา จู่ๆ 2-3 ปีหลังก็เริ่มมีพฤติกรรมก้าวร้าว
ไม่เชื่อฟังพ่อแม่ เมื่อวานเพิ่งต่อยกับพ่อ พ่อเป็นคนใจดี ลูกขออะไรก็ให้หมด อยากได้เงินอยากได้ของอะไรก็ให้ ไม่รู้จะทำไงแล้ว
ให้ไปเรียนก็ไม่ไปเรียน ตอนนี้ก็ห้ามไม่ให้ออกจากบ้าน กลัวไปคบเพื่อนไม่ดี (อื่นๆอีกมากมาย) ฯลฯ
คุณลูกชายก็ไม่มีทีท่าว่าอยากจะคุยกับผมเลย
มีประโยคหนึ่งที่ผมถามและเขาอึ้งไปพักใหญ่ คำถามนั้นก็คือ
ที่ทำอยู่นี้ประชดแม่อยู่หรือเปล่า
คนอายุ 17 ปี ย่อมรู้ว่าพฤติกรรมแบบไหนมีประโยชน์ต่อตัวเอง ไม่มีใครไม่อยากเป็นคนดี ไม่มีใครไม่อยากมีความสุขหรอก
คุณทำอย่างนี้คุณมีความสุขหรือ ไม่อยากแก้ปัญหาหรือ ต้องมีใครสักคนที่เราพอจะคุยได้ และสักทางที่จะแก้ปัญหาของเราได้
หลังจากเขานิ่งไปพักหนึ่ง ผมจึงบอกกับแม่ว่าขอผมอยู่กับลูกชาย ให้คุณแม่ออกไปก่อน คุณแม่ปฏิเสธ ลูกชายจึงเริ่มอาละวาด
มากขึ้น และจบลงด้วยผมต้องบอกให้กลับไป เพราะกลัวประตูพัง
หลังจากนั้นเธอก็แวะมาปรึกษา ผมบอกเธอตรงๆว่า
พูดตรงๆ พฤติกรรมของคนเราไม่มีคำว่าจู่ๆเป็นอย่างนั้นอย่างนี้หรอกครับ มีสาเหตุทั้งนั้น ส่วนใหญ่เกิดจากการเลี้ยงดู
ผมอยากบอกตรงๆว่า คุณแม่อาจเข้าใจไปเองว่าตอนเด็กๆทำไมลูกเป็นเด็กดี น่ารัก เรียนหนังสือเก่ง เชื่อฟังพ่อแม่
พอโตแล้วทำไมถึงเปลี่ยนไปขนาดนี้ เป็นเพราะว่าเราไม่เปิดโอกาสให้เขาแสดงความเป็นตัวตนของตัวเองให้เราเห็นหรือเปล่า
หรือเราพยายามที่จะไม่เห็นไม่มอง
ผมแนะนำคุณแม่ให้มาอบรม เพื่อเรียนรู้กระบวนการ และเข้าใจหลักการของจิต เพื่อสแวงหาวิธีที่เหมาะสมในการ
แก้ปัญหาลูกชายด้วยตัวเอง
เธอยอมมารับการอบรมด้วยดี เมื่อเข้าใจอะไรต่ออะไรแล้ว ก็ยอมรับกับผมว่า
หลังจากมาอบรมกับอาจารย์แล้ว ดิฉันยอมรับเลยว่าตัวเองเป็นแม่ที่ไม่ได้เรื่อง เพราะทุกอย่างที่อาจารย์พูดและแสดง
ให้เห็นถึงต้นเหตุที่ทำให้ลูกเป็นคนมีปัญหา ดิฉันทำทุกข้อเลยค่ะ
ตอนนี้น้ำตาไหลเอ่อนองแก้มทั้งสอง
ดิฉันชอบเปรียบเทียบลูกชายกับลูกคนอื่นที่เก่งๆ เพราะเข้าใจว่าจะทำให้ลูกอยากเป็นคนเก่งบ้าง ดิฉันปิดบังอาจารย์ว่า
ครอบครัวมีความสุขดี จริงๆแล้วดิฉันกับสามีทะเลาะกันตั้งแต่ยังสาวๆ ตอนนั้นฉันชอบด่าว่าพ่อเด็กให้ลูกฟังเสมอ
เพราะคิดว่าลูกจะได้ไม่เอาอย่างพ่อ และก็เพื่อความสะใจด้วย ไม่ได้คิดว่าจะเป็นการสร้างปมลึกในใจของลูก
ฉันตะหวาดตะคอกลูกเป็นประจำ เพราะตัวเองก็โมโหง่าย อารมณ์เสียง่าย ฉันไม่รู้จะทำยังไงแล้วจริงๆ อาจารย์ขา
บอกฉันมาเถอะค่ะ จะทำยังไงถึงจะได้ลูกกลับมา ชีวิตทั้งชีวิตของฉันก็เพื่อลูกนี่แหละค่ะ ถ้าลูกชายยังเป็นอยู่อย่างนี้
ฉันคงมีความสุขไปไม่ได้ เงินทองที่ทำมาหากินมาอย่างเหนื่อยยากก็จะไม่มีประโยชน์อะไรเลย
ทั้งเสียงและน้ำตา หลั่งไหล พรั่งพรู สั่นเครือ
ผมบอกเธอว่า โชคดีแล้ว ที่วันนี้เธอรู้และเข้าใจที่มาของปัญหา อย่างน้อยเราจะได้เริ่มได้ถูกทาง ผมแนะนำให้เธอย้อนรอยเดิม
และกลับไปทำและปฏิบัติต่อลูกเสียใหม่ในทางที่ถูกต้อง
สิ่งแรกคือ เริ่มที่ตัวเธอเอง จงฝึกฝนจนเป็นนิสัย ให้ตัวเอง สุขภาพจิตดี ยิ้มง่าย เป็นมิตร โมโหยาก และให้อภัยกับสิ่งต่างๆรอบตัว
แม้แต่ที่หลอกล่อให้ลูกมาพบผมก็จงเลิก เพราะเป็นการสร้างบรรยากาศของความไม่ไว้วางใจกัน ทำให้เกิดการต่อต้าน
และทำให้ลูกรู้สึกว่า แม่ไม่ให้เกียรติ แม่ปฏิบัติกับลูกเหมือนคนไม่มีสติปัญญา และแม่เป็นคนไว้ใจไม่ได้ เชื่อถือไม่ได้
จงยอมรับในสิ่งที่เขาเป็น และส่งเสริมในสิ่งที่เขามี ให้อภัยกับความผิดพลาด สอนอย่างเมตตาในความไม่รู้
ใส่ใจเขาอย่างที่เขาเป็นผู้ใหญ่คนหนึ่ง ให้เกียรติเขาในความเป็นตัวของตัวเองของเขา แล้วคุณจะเห็นความมหัศจรรย์
บังเกิดขึ้นกับตาอย่างแน่นอน อาจนานแรมเดือนหรือเป็นแรมปี คุณต้องอดทน
ผมมอบคัมภีร์แห่งการเลี้ยงลูกแก่เธอ
ให้บอกและพูดคุยกันตรงๆ ว่าทุกคนกำลังพยายามแก้ปัญหา เราผิดเราขอโทษลูก ไม่ใช่เรื่องเสียหาย เราทำไม่ถูก
เราเปลี่ยนวิธีเสียใหม่ ไม่ใช่เรื่องเสียหน้า ลูกของเราถ้าไม่รักลูกอย่างถูกทาง และไม่ทำให้ลูกรักพ่อแม่อย่างถูกต้อง
แล้วชีวิตนี้จะมีอะไรที่ทรงคุณค่าที่จะทำอีก
เธอกล่าวขอบคุณทั้งน้ำตา บอกว่าจะพยายาม จะพยายามเป็นอย่างยิ่ง ผมสำทับว่าจงพยายามเถิด ผมเห็นมามากแล้ว
ลูกที่ยอมประชดพ่อแม่จนตัวตายมีถมไป
หลังจากนั้นอีกสามเดือนเศษ คุณแม่วัยกลางคนโทรมาหาผม บอกว่าเมื่อวาน ลูกชายวัย 17 เดินเข้ามากอดเธอด้วยตัวเองเป็นครั้งแรก
น้ำเสียงของเธอสั่นเครือ แต่มันเปื้อนไปด้วยความปิติระคนความขอบคุณจากเบื้องลึกของจิตใจ
รักนรกแฟนคลับ
อ๊อดเป็นเด็กชายวัย 13 ขวบ ติดเกมส์รักนรก (Ragnarok) คุณพ่อเป็นนายแพทย์ และมีภรรยาหลายคน คุณแม่เสียแล้ว
ตั้งแต่ตัวเองยังเด็กๆ พ่อมีลูกคนนี้ตอนอายุประมาณ 50 กว่าแล้ว จึงยกลูกให้ป้าซึ่งเป็นสาวโสดไม่มีสามีคอยเลี้ยงดู
อ๊อดการเรียนตกต่ำเมื่อเริ่มโตเป็นวัยรุ่น ติดร้านเล่นเกมส์จนสี่ห้าทุ่มถึงจะกลับบ้าน บางวันป้าต้องไปตามที่ร้านเกมส์
ป้าเลยซื้อคอมพิวเตอร์ให้ ด้วยหวังว่าหลานชายจะได้ไม่ต้องไปอยู่นอกบ้านทั้งวัน พฤติกรรมหลานชายจึงเปลี่ยนไป
คือเลิกเรียนแล้วรีบกลับบ้าน แต่ทีนี้หมกตัวอยู่แต่ในห้องนอน บางวันเลยเล่นเกมส์จนเช้า
รายนี้ผมถามว่าตอนเด็กๆปล่อยมากน้อยแค่ไหน ยกตัวอย่างเช่น เวลากลับมาจากโรงเรียนแล้วปล่อยให้นั่งดูทีวีจนสว่างหรือไม่
คุณป้าบอกใช่เลย เพราะสงสาร เห็นว่าไม่มีคุณแม่ เลยไม่อยากไปบังคับกะเกณฑ์ ให้รับผิดชอบเรื่องเรียนหนังสือ
อย่างเดียว พูดบอกทุกวันให้ขยันเรียนจะได้เก่งๆเหมือนพ่อเหมือนป้า และทุกๆคนในตระกูล
ผมบอกว่านี่คือสาเหตุหนึ่งของปัญหา ทั้งคุณพ่อและคุณป้าบอกว่าไม่น่าใช่
พวกฉัน (คุณพ่อและคุณป้า) ก็ถูกเลี้ยงมาอย่างนี้
ทำไมไม่เห็นเป็น
เดี๋ยวนี้ก้าวร้าวด้วยนะ เถียงป้า บางวันก็ว่าป้าแรงๆ กลับจากโรงเรียนไม่ยอมทักกัน
ผมได้ฟังก็อึ้ง อยากจะบอกว่าเพราะพ่อแม่ของคุณทั้งสองคงทำมาหากินไปเลี้ยงลูกไป บางทีการเลี้ยงดูลูกตามมีตามเกิด
ของคนสมัยก่อน กลับดีกว่าคนสมัยนี้ โดยเฉพาะชีวิตของพ่อและป้าไม่เหมือนลูกคนนี้ ที่พ่อไปทาง แม่ก็ตาย
มีป้าสาวแก่ที่คอยเลี้ยงหลาน สาวโสดอายุมากๆ ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าคงเลี้ยงหลานเหมือนลูกแหง่ และนั่งเฝ้าทุกลมหายใจ
ใครที่ถูกเลี้ยงดูมาอย่างนี้ อย่าว่าแต่คนเลย หมีแพนด้าก็ยังเครียด
อย่างไรผมก็ยังยืนยันว่าเกมส์รักนรกไม่ใช่ต้นเหตุของปัญหา แต่มันก็เป็นตัวปัญหาอันหนึ่ง เราต้องแก้หรือกันที่ต้นเหตุ
ปัญหาก็จะไม่เกิด ปัญหาของเด็กคนนี้คือ ขาดระเบียบวินัย ขาดความรับผิดชอบ มีความเครียด ไม่รู้จะหาอะไรเป็นทางออก
จึงไปเล่นเกมส์เป็นทางออก
ขาดระเบียบวินัยและความรับผิดชอบ เพราะถูกเลี้ยงอย่างคุณหนูคุณชาย ไม่ต้องช่วยเหลือตัวเองอะไรเลย เสียงพ่อและป้า
พูดกรอกหูทุกวัน ว่าสนใจแต่เรื่องเรียนพอแล้ว อย่างอื่นไม่ต้องยุ่ง คำพูดแบบนี้ไม่ได้สร้างสรรค์อะไรเลย เป็นคำพูด
ที่จะสร้างผู้ใหญ่ที่มีแต่ความเศร้าในอนาคต เพราะชีวิตคนเรายุ่งแต่เรื่องเรียนอย่างเดียวไม่ได้ ต้องเรียนรู้ความรับผิดชอบ
และการมีวินัยในตัวเองแต่ต้น ไม่ใช่นั่งรอให้พ่อแม่มาคอยกำกับ
ส่วนความเครียดของเขา มีหลายสาเหตุ การที่ไม่ได้อยู่พร้อมหน้าพ่อแม่ลูกก็ประเด็นหนึ่ง การที่มีคุณป้าเลี้ยง
เลี้ยงแบบเซเว่นอีเลเว่น (นั่งเฝ้าตลอด 24 ชั่วโมง) ก็ประเด็นหนึ่ง
ธรรมชาติของคนเราเหมือนอากาศในลูกโป่ง มันต้องมีทางออก มันต้องมีที่ไป ไปบีบไปกดตรงนี้ มันก็จะไปปูดที่อื่น
ไม่มีวันควบคุมได้หรอก ถ้าบีบคั้นมากไปก็จะเกิดการระเบิด
อ๊อดถือว่ากำลังจะพ้นจากวัยเด็กมาเป็นวัยรุ่นแล้ว เขาเริ่มเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น เริ่มที่จะเลือกว่าตัวเองจะมีชีวิตแบบไหน
เข้าสู่วัยที่ต้องการอิสระ วัยที่ต้องการการยอมรับ
คนเราต้องมีความเป็นตัวของตัวเอง ต้องแสดงบุคลิกลักษณะของตัวเอง การเลี้ยงดูนั้นทำได้อย่างมากก็สร้างไม้บรรทัด
ให้เดินตามเท่านั้น เขาจะเดินตามหรือไม่ก็เรื่องหนึ่ง ส่วนจะเดินช้าเดินเร็ว เดินกระเผลกหรือสง่าผ่าเผยไม่มีวันควบคุมได้หรอก
พ่อแม่ส่วนใหญ่จึงพยายามกระชากลากถูลูกของตัวเองให้เดินตาม หรือควบคุมบังคับให้เดินได้อย่างพ่อแม่ และก็พบว่า
ช่องว่างระหว่างความรักก็จะห่างกันมากขึ้นทุกที สร้างปมชีวิตให้ลูก ให้เป็นคนมีปัญหา เก็บกด แสดงออกพิลึก
เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่เขาก็จะทำซ้ำ สร้างเงื่อนไขเดิมๆกับลูกตัวเอง ในขณะเดียวกันก็นึกโกรธและทำร้ายตัวเอง ว่าทำไมไปทำร้ายจิตใจลูก
ได้ลงคอ เหมือนที่เคยถูกพ่อแม่ตัวเองทำร้ายจิตใจมาแล้วในวัยเด็ก
รายนี้ เวลาผมพูดอะไรประมาณว่าจะกระทบกับวิธีการเลี้ยงดูของคุณป้า สีหน้าของคุณพ่อก็ดูดีขึ้นมาหน่อยหนึ่ง
ทำให้ผมรู้สึกได้ ว่างานนี้คุณหมอขอยืมปากผมสอนพี่สาวตัวเอง
ผมใคร่ครวญแล้วก็คิดว่าเป็นไปได้สูงทีเดียว ประการแรกคนนี้เป็นป้าของเด็ก ประการที่สองฝากให้เลี้ยงลูกแต่เล็กจนโต
ก็มีบุญคุณกันโขอยู่ ประการที่สาม ลักษณะเป็นคนที่มีความเชื่อมั่นในตัวเองสูงกันทั้งบ้าน จะสอนกันเองคงลำบาก
มาให้คนแปลกหน้าสอนหน่อยเหอะ
ทุกครั้งที่คนกลุ่มนี้มาพบผม ผมจึงเบนเนื้อหาหลักอ บังอาจแนะนำคุณป้าถึงวิธีเลี้ยงหลาน เธอบอกว่าหลานเล่นเกมส์
จนไม่รู้จักกินจักนอน ผมบอกว่าไม่น่าเชื่อ ไม่มีใครเล่นเกมส์จนยอมอดตายหรอก เธอบอกว่าต้องเอาข้าวไปส่งถึงในห้องนอนทุกมื้อ
อีกชั่วโมงก็จะไปเก็บจานออกมา ถ้ากินไม่หมดก็จะนั่งเฝ้าบังคับให้กินจนหมด เวลานอนก็จะไปนั่งเฝ้าเซ้าซี้ให้นอน
มีหนหนึ่งคุณป้ากับหลานนั่งอยู่ด้วยกัน ผมถามหลานชายว่า
รู้มั้ย สบู่อยู่ไหน
หลานชายก็ทำหน้างง ผมจึงถามใหม่ว่า
ถ้าอาบน้ำอยู่แล้วสบู่หมด รู้มั้ย่ว่าจะไปหยิบตรงไหน
หลานชายบอกว่าไม่รู้ เพราะสบู่ไม่เคยหมดจากห้องน้ำ
ผมฟังอย่างนี้ก็บอกกับคุณป้าว่า
ไม่ต่างอะไรกับเด็กที่เพิ่งมีข่าวว่าเขายิ่งคนอื่นตายและฆ่าตัวตายหลังจากนั้น เพราะแม่บอกว่าลูกชายไม่รู้ว่าเม็ดฝรั่งหน้าตาเป็นยังไง
พ่อแม่ไม่เคยฝึกให้ลูกช่วยเหลือตัวเอง คิดเองทำเอง ใช้วิจารณญาณของตัวเอง รับผิดชอบตัวเอง สอนแต่วิธีบำรุงบำเรอ
ความสุขให้ตัวเอง ให้ลืมสภาพแวดล้อม ลืมความเป็นอยู่ เพราะพ่อแม่แสวงหาทุกอย่างมาให้ เมื่อได้ลูกที่โตขึ้นเป็นผู้ใหญ่
ที่ไม่สมบูรณ์แล้ว ไม่ควรโทษใคร นอกจากโทษตัวเอง
ผมบอกคุณป้าหลังจากหลานชายไม่ได้นั่งตรงนั้นแล้ว
หลานอายุ 13 แล้ว ลองไม่ใส่ใจมันสัก 15 วันคิดว่าจะตายมั้ยครับ
คุณป้างง พร้อมถามผมว่า
หมายถึงใคร หลานจะตายเหรอ
เปล่า คุณป้านั่นแหละ ลองไม่ใส่ใจหลานดู คิดว่าคุณป้าจะตายมั้ยครับ
เธอทำสีหน้าเคืองจัด แต่ก็รักษาความเป็นผู้ดีมีมารยาท ถามผมว่า
อาจารย์จะให้เดี๊ยนทำไงคะ
ก็ปล่อยให้เล่นเกมส์ไปเรื่อยๆครับ มันหิวเดี๋ยวก็ออกมากินเองแหละ กับค่งกับข้าวไม่ต้องทำนะครับ จะให้ไปซื้อกิน
หรือคุณป้าจะให้หลานทำกินเองในครัวก็ได้ ถ้าเด็กมันจะเล่นเกมส์จนรุ่งเช้าไม่อาบน้ำอาบท่า ไม่ไปเรียนหนังสือก็ปล่อยมันครับ..
แต่อีกสิ่งต้องทำควบคู่กันไป อย่างเช่น พอเห็นหลานเดินออกมาจากครัว ก็ชวนกันทำกับข้าวสองป้าหลาน
หรือชวนกันออกไปกินข้าว ลงทุนหน่อยครับ มีฐานะอย่างนี้ พาแกไปกินดีๆแพงๆ เบี่ยงเบนแก หรือจะเรียกว่าเอาอย่างอื่นเข้าล่อก็ได้
กินข้าวเสร็จถามหลานว่าอยากเล่นกีฬาอะไรไหม ไปซื้อกัน ไม้ปิงปอง ไม้เทนนิส โรลเลอร์เบลด ซื้อไปเหอะ
อยู่ดีๆไปห้ามเล่นเกมส์อย่างเดียวไม่ได้หรอก ต้องหาอย่างอื่นมาทดแทนด้วย และให้แกได้มีสังคม ได้มีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนๆ
ในโลกของความเป็นจริง จะออกจากบ้าน
เขาอยากได้อะไร อยากไปเที่ยวไหน ให้อยู่ในการตัดสินใจของเขา คุณป้าอย่าร่วมตัดสินใจ เพราะด้วยความเป็นเด็ก
เขาก็จะรู้สึกว่าถูกควบคุมอยู่ตลอดเวลา สู้ไปเล่นรักนรกไม่ได้ เพราะเขาได้เป็นนายตัวเอง มีโอกาสเลือกและเป็นอิสระ
มากกว่าอยู่ในชีวิตจริง
เธอทำสีหน้าเดือดดาลแต่ก็ยอมรับปากจนผมเองยังแปลกใจ เธอหายไป 2 สัปดาห์และกลับมาหาผมอีก
เดี๊ยนสงสารเค้า ไม่ถึงกับให้ออกไปซื้อข้าวกินเองหรอกนะคะ ก็ทำไว้ให้แล้วไปบอกว่าให้มาเอาข้าวในครัว ส่วนเรื่องปล่อยให้เล่น
ทำไม่ได้หรอกค่ะ เดี๊ยนนั่งเฝ้าเค้าทั้งวันทั้งคืนจะปล่อยให้เล่นทั้งวันทั้งคืนได้ยังไง
เธอบอกกับผม พร้อมทำสีหน้าประมาณว่า
เนี่ย พยายามอย่างสุดชีวิตแล้วนะ
ผมบอกกับเธอตรงๆว่า คนที่ควรใช้วิธีการสะกดจิตอีกคนก็คือคุณป้า จะได้ทำใจว่างๆ ดูหลานอยู่ห่างๆ ไม่ไปเจ้ากี้เจ้าการ
ในชีวิตเขามากจนเกินไป หากิจกรรมอย่างอื่นทำ ไม่ไปนั่งเฝ้าหลานตลอดเวลา แล้วเธอจะมีโอกาสได้เห็นความเปลี่ยนแปลง
แน่นอน ไม่ว่าจะความสัมพันธ์ระหว่างป้ากับหลาน หรือการเป็นคนรับผิดชอบตัวเองมากขึ้นของหลาน
เธอทำสีหน้าหงุดหงิดแล้วจากไป ไม่มาอีกเลย นี่ก็เป็นคนตอบว่า เธอเห็นด้วยหรือไม่ และยอมรับหรือไม่ ว่าตัวเองนั่นแหละ
เป็นตัวปัญหา ในปัญหาของตัวเอง
อยากจะเปลี่ยนคนอื่น แต่ไม่ยอมเปลี่ยนตัวเอง เชอะ
คุณแม่เฮงซวยยังกลับตัวได้
ตี๋เล็ก เด็กชายอายุ 14 ปี หนีเรียน ใช้เงินเก่ง ไม่มีความรับผิดชอบในตัวเองเลย สอบตกมาสองหนแล้ว หนหน้าจะต้องถูกไล่ออก
รายนี้คุณแม่โวยวายว่าพาไปพบนักจิตวิทยาชื่อดัง จ่ายเงินจ่ายทองไปมากมาย แต่ไม่เห็นทำอะไร ยังไม่ทันได้เจอหน้า
ก็จ่ายไปแล้วหลายพัน ให้เข้าอบรม อบรมแล้วก็ไม่ได้อะไร ไม่ได้ช่วยอะไร บอกว่าให้พ่อแม่ทำใจ
รายนี้ผมสะกดจิตลูกชายแล้ว ให้เทปไปและก็ให้กลับมาอีกภายใน 7 วัน เมื่อกลับมาอีกครั้งคุณแม่บอกว่ารู้สึกดีขึ้น
ตื่นนอนและลุกขึ้นมาด้วยตัวเอง (ทุกครั้งต้องไปปลุกและลากจากเตียง) แต่ไม่ได้ให้ฟังเทป เพราะเครื่องเล่นเสียพอดี
ผมจึงบอกว่าให้เร่งทำด้วยวิธีใดก็ได้ให้ฟังเทปได้ คุณแม่รับปาก ครั้งนี้ผมให้มาอีกภายใน 7 วันเช่นกัน
ปรากฏว่าคุณแม่พาลูกชายมาอีกครั้งหลังจากการพบครั้งล่าสุดห่างกันถึง 20 วัน คุณแม่บอกว่าพอดีพาตี๋เล็กไปเที่ยวญี่ปุ่น 10 วัน
ก่อนไปก็ยุ่งๆ กลับมาก็เหนื่อยๆ หายเหนื่อยแล้วค่อยพามา บอกว่าลูกชายไม่ดีขึ้น เทปไม่ค่อยได้ฟังเพราะไปเที่ยว
ครั้งนี้ผมให้มาอีกภายใน 7 วัน
การมาพบครั้งที่ 4 ห่างจากการพบครั้งที่แล้ว 15 วัน คุณแม่บอกว่าพอดีมีญาติมาจากอเมริกา ก็เลยพาไปเที่ยวภูเก็ต
เลยพาตี๋เล็กไปด้วย เทปไม่ได้ฟังเพราะมัวแต่ไปเที่ยว
เนี่ย พาลูกมาหาอาจารย์ตั้ง 3 ครั้งแล้ว ทำไมลูกฉันยังไม่ดีขึ้นสักที
ผมถามคุณแม่ว่า
แต่ละปีพาตี๋เล็กไปเที่ยวเมืองนอก หรือไปเที่ยวไกลๆหลายๆวันบ่อยไหม
คุณแม่บอกว่า
ไม่บ่อย ปีละสองครั้งสามครั้ง
ปีนี้ถ้าไม่พาตี๋เล็กไปเที่ยวคิดว่าจะตายมั้ยครับ ผมมองหน้าคุณแม่แล้วถามซื่อๆ
หมายถึงยังไง คงไม่มีใครตายหรอก เธอทำสีหน้างงกับคำถามของผม
นั่นซีครับ บอกตรงๆ ปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงเดือนกว่ามานี้ สรุปได้ว่า คุณแม่ต่างหากที่เป็นคนขาดระเบียบวินัย
และยังไม่มีความสามารถในการตัดสินใจในสิ่งที่ถูกต้อง ว่าอะไรควรทำไม่ควรทำ เปรียบ เหมือนตี๋เล็กป่วยอยู่ คุณพาตี๋เล็กมาหาผม
ขอให้ผมช่วย แต่ไม่เคยทำตามคำแนะนำสักข้อเดียว ให้เทปไปม้วนเดียวเอาไปฟัง ตั้งเดือนกว่ายังตั้งท่าฟังไม่ได้
บอกว่าไม่ได้ให้ฟังเพราะมัวแต่พาลูกไปเที่ยว บอกให้มาเป็นประจำทุกสัปดาห์ ก็มาไม่ได้ กลับมีข้ออ้างแปลกๆ
แล้วจะเรียกร้องขอให้คนอื่นช่วย คุณยังไม่พยายามช่วยตัวเอง ลักษณะอย่างนี้นี่ก็ถ่ายทอดมาที่ลูก คิดว่าที่ลูกเป็นอย่างนี้เกิดจากอะไรครับ
เธอถึงกับหน้าเปลี่ยนสี หลังจากวันนั้นเธอไม่กลับมาอีก แต่ให้คนขับรถเป็นคนพาลูกชายมาพบผมเป็นประจำทุกสัปดาห์
มาอยู่ 5 สัปดาห์ ตี๋เล็กบอกว่าเดี๋ยวนี้รู้สึกเบื่อยาก กระตือรือล้นขึ้น แถมตื่นเช้าทุกวัน กลางคืนก็ง่วงนอนง่าย หลับสนิท
จริงๆแล้ว ปัญหาของตี๋เล็กไม่มีอะไรมากเลย เมื่อนอนเพียงพอ ก็ไปโรงเรียนเช้าได้ เรียนหนังสือรู้เรื่อง การบ้านก็มีเวลาทำส่งครูอาจารย์
ข้อสอบก็ทำได้ ทำให้ไม่ท้อแท้มีกำลังใจเรียน เมื่อเรียนตามเพื่อนทัน ทำข้อสอบได้ ก็คิดว่าชีวิตมีค่า จึงไม่อยากหันเหไปทำอย่างอื่น
ขอข้อเดียวเท่านั้นเอง คุณแม่คุณพ่อช่วยเป็นตัวอย่างที่ดีหน่อยเหอะ
ผมจึงบอกตี๋เล็กว่าไม่ต้องมาอีกแล้ว และฝากขอโทษคุณแม่ด้วย ฝากบอกว่าเหตุการณ์เมื่อ 5 สัปดาห์ที่แล้วเป็นการสะกดจิตขั้นสูง ไ
ม่งั้น คงไม่มีตี๋เล็กอย่างในวันนี้อย่างแน่นอน
รายสุดท้าย คุณแม่มากับคุณป้า(คุณป้าแนะนำให้มา) ไม่ได้พาลูกมาด้วย ผมยังไม่รู้เลยว่าลูกที่ว่านี่เป็นชายหรือหญิง
และอายุเท่าไหร่ เพราะคุยกับคุณแม่ยังไม่ถึง 10 นาทีเลย
คุณแม่ ลูกเมื่อก่อนเป็นเด็กดี ว่านอนสอนง่าย เรียนหนังสือเก่ง ได้ที่หนึ่งของห้อง เคยสอบชิงทุนได้ ครอบครัวก็ไม่มีปัญหาอะไร
คุณพ่อรวย มีตำแหน่งใหญ่โต ประสบความสำเร็จในชีวิตมาก ใครๆก็นับหน้าถือตา คุณแม่ก็เก่ง มีญาติพี่น้องเก่งๆรวยๆทั้งนั้น
ลูกอยากได้อะไรก็หามาให้ได้ อยากซื้ออะไรก็ซื้อให้หมด พาไปเที่ยวเมืองนอกเป็นว่าเล่น ให้เรียน(มหาวิทยาลัยเอกชนที่แพงๆ)
แพงเท่าไหร่ก็มีปัญญาจ่าย
เดี๋ยวนี้ไม่เชื่อฟัง ชอบคบเพื่อน ไปเที่ยวกลับดึกๆ การเรียนตกต่ำ ชอบคุยโทรศัพท์ทั้งคืน พ่อแม่ห้ามก็โกรธ ด่าว่าพ่อแม่
ยึดกุญแจรถไม่ให้ไปเที่ยวก็หนีออกไป พ่อแม่ตามไปเรียกกลับบ้านก็โกรธไม่พอใจ ไม่มีความรับผิดชอบ ไม่เอาใจใส่การเรียน
ไม่สนใจพ่อแม่ คนมันเลว ไม่รักตัวเอง คบเพื่อนไม่ดี ไม่เหมือนลูกคนนั้นคนนี้ที่เรียนเก่ง (อื่นๆอีกมากมาย ฯลฯ)
ผม ช่วยเล่าถึงวิธีการเลี้ยงดูให้ฟังได้มั้ยครับ
คุณแม่ หน้าตึงทันที และตะคอกใส่ผม
ถามอย่างนี้หมายความว่าฉันเลี้ยงลูกไม่เป็นหรือยังไง พูดอย่างนี้ได้ไง พ่อแม่มีตำแหน่งใหญ่โต ผู้คนนับหน้าถือตา
ทั้งรวยทั้งเก่งด้วยกันทั้งคุ่ ลูกอยากได้อะไรก็หามาให้ ไม่เคยขาดตกบกพร่อง ลูกมันไม่รักดีจะมาว่าพ่อแม่ได้ไง
อาจารย์พูดอย่างนี้เดี๋ยวสวยหรอก รู้มั้ยฉันเป็นใคร เดี๋ยวไม่ตายดีแน่ (อื่นๆอีกมากมาย ฯลฯ)
ผมเลยตะเพิดมันออกไปทันที
แปลกหรือไม่ คนที่มีปัญหาเหล่านี้ มีพ่อแม่คล้ายๆกัน คือเป็นคนเก่ง ประสบความสำเร็จในชีวิต เชื่อมั่นในตัวเองสูงมาก
เลี้ยงลูกด้วยเงิน หรือไม่ก็มีอารมณ์แปรปรวน และรักลูกอย่างไม่ถูกต้อง ปรนเปรอทุกอย่าง ไม่วางระเบียบวินัย
บางทีพ่อแม่ยังเป็นเสียเอง ฯลฯ นิยมยกย่องว่าดีงามแต่เฉพาะไอคิว คือชมชอบความเก่งความฉลาด ไม่นิยมยกย่อง อีคิว
คือความสามารถในการบริหารอารมณ์และการตัดสินใจของเด็ก
ที่เห็นพฤติกรรมของเด็กเปลี่ยนไป ไม่ใช่เพราะเปลี่ยนหรอก วัยเด็กจนถึง 13 ปี เขาอยู่ในวัยกำลังถูกปลูกฝังเท่านั้นเอง
เมื่อถึงวัยที่จะมีโอกาสแสดงพฤติกรรมและเป็นตัวของตัวเองแล้ว ความเป็นตัวเขาที่พ่อแม่ฟูมฟักถึงได้แสดงออกมา
บางคนจนอายุเลยวัยรุ่นแล้วยังพูดด้วยไม่รู้เรื่อง ขาดความรับผิดชอบ ก็เพราะพ่อแม่ไม่เคยให้รับผิดชอบอะไร และไม่เคยอนุญาต
ให้ลูกใช้เหตุผล ให้ทำอย่างที่พ่อแม่ต้องการเป็นพอ
ไม่เคยปลูกฝังความเป็นคนดี ความเป็นคนเสียสละ และความเป็นคนรับผิดชอบ ปลูกฝังแต่ว่าบอกอะไรแล้วให้ทำตาม(ไม่ต้องคิด)
ไม่ต้องสนใจอย่างอื่นในชีวิต ไม่ต้องสนใจเรื่องของคนอื่น เรียนเก่งก็ใช้ได้แล้วและมีรางวัลให้ ปรนเปรอลูกๆแบบโง่ๆ
เด็กจึงเรียนรู้เพียงแต่ว่า ทำอะไรแล้วจะได้อะไร รู้เพียงแต่ว่าการมีชีวิตก็เพื่อการแสวงหาความสุขให้กับตัวเองด้วยการใช้จ่ายเงินเท่านั้น
ไม่รู้และไม่สนใจอะไรไปมากกว่านี้ เพราะพ่อแม่ไม่เคยบอกให้สนใจ หรืออาจเคยบอกว่าไม่ต้องไปสนใจด้วย มีหน้าที่เรียนอย่างเดียว
เด็กคนไหนเรียนไหวก็เรียนมันเข้าไป (แก่ตัวลงก็จะเป็นคนมีปัญหาอีกแบบหนึ่ง) เด็กคนไหนเรียนไม่ไหวก็หาทางออก
ด้วยการเป็นปฏิปักษ์กับพ่อแม่
ไม่เคยสนใจว่าลูกจะคิดอย่างไร ไม่เคยสงสัยว่าลูกรู้สึกอย่างไร และไม่เคยถามว่าลูกมีความสุขไหม เห็นมันเล่นของมันทั้งวัน
หรือเห็นมันเอาแต่เรียนหนังสือ ไม่ใช่เพราะมันมีความสุขหรอก เป็นเพราะมันไม่รู้จะทำอะไรมากไปกว่านี้ต่างหาก
..สักวันจะเก่งเหมือนพี่บ้าง..
- por_jai
- Verified User
- โพสต์: 14338
- ผู้ติดตาม: 0
ขำขำ คลายเครียด
โพสต์ที่ 218
A new vacuum cleaner salesman knocked on the door on the first house of the street. A tall lady answered the door.
Before she could speak, the enthusiastic salesman barged into the living room and opened a big black plastic bag and poured all the cow droppings onto the carpet.
"Madam, if I could not clean this up with the use of this new powerful vacuum cleaner, I will EAT all this s...!" exclaimed the eager salesman.
"Do you need chilli sauce or ketchup with that" asked the lady.
The bewildered salesman asked, "Why, madam?"
"There's no electricity in the house..." said the lady
Before she could speak, the enthusiastic salesman barged into the living room and opened a big black plastic bag and poured all the cow droppings onto the carpet.
"Madam, if I could not clean this up with the use of this new powerful vacuum cleaner, I will EAT all this s...!" exclaimed the eager salesman.
"Do you need chilli sauce or ketchup with that" asked the lady.
The bewildered salesman asked, "Why, madam?"
"There's no electricity in the house..." said the lady
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
- กระทิงแดง
- Verified User
- โพสต์: 952
- ผู้ติดตาม: 0
ขำขำ คลายเครียด
โพสต์ที่ 219
ของพี่กล้วยทอด อ่านแล้วดีมากเลยครับ ทำให้มองกลับมาถึงวิธีการเลี้ยงลูกของเราเหมือนกัน
ของพี่ป้อมนี่ ขำมากครับ... :lol: :lol: :lol:
ของพี่ป้อมนี่ ขำมากครับ... :lol: :lol: :lol:
"The enemy is a very good teacher" Dalai Lama
"Confidence doesn't come from being right all the time; it comes
from surviving the many occasions of being wrong." B.N. Steenbarger
"Luck is where preparation meets opportunity"
"Confidence doesn't come from being right all the time; it comes
from surviving the many occasions of being wrong." B.N. Steenbarger
"Luck is where preparation meets opportunity"
-
- Verified User
- โพสต์: 1468
- ผู้ติดตาม: 0
ไม่รู้จะแปะตรงไหนค่ะ
โพสต์ที่ 220
เค้าว่าคุณหมอคนนี้ไม่มีตัวตน อ่านมาหลายหนแล้วหล่ะ แต่ก็ยังอ่านซ้ำได้อยู่นะ
เรื่องดี ๆ ของเจ้าหัวโขมย
หลายวันก่อนผมได้รับ forward mail ฉบับหนึ่งครับ เล่าถึงเรื่องราวดี ๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างสองแม่ลูก และเจ้าเด็กหัวขโมยคนหนึ่ง
เนื้อหามีอยู่ว่า ครั้งหนึ่งระหว่างที่สองแม่ลูก กำลังจับจ่ายซื้อของอยู่ในตลาด ก็ไปเห็นเจ้าเด็กหัวโขมยตัวน้อย ที่ถูกชาวบ้านตามจับมาได้หลังจากเข้าไปขโมยยาธาตุในร้านขายของชำ
เมื่อแม่มองดูหน้าขโมยแล้วก็พบว่า เป็นลูกชายของแม่ค้าที่รู้จักมักคุ้นกัน จึงได้ยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือ โดยการจ่ายสตางค์ค่ายาธาตุให้กับเจ้าของร้านชำ และเมื่อถามไถ่ถึงเรื่องที่เกิดขึ้น ก็ทำให้ทราบว่าแม่ของเด็กกำลังไม่สบายอย่างหนัก แต่ด้วยความที่ไม่มีเงิน และอยากจะรักษาแม่ให้หาย จึงต้องทำแบบนี้
พอฟังจบ แม่จึงซื้อยาแก้ปวดและส้มให้เด็กผู้ชายไป 1 ถุง พร้อมบอกว่าคนไม่สบายทานส้มเยอะ ๆ จะได้หายไว ๆ อีกทั้งถ้าคราวหลังต้องการเงินทองไปรักษาแม่แล้วขาดเหลืออย่างไร ก็ให้มาบอกตนได้
เหตุการณ์คราวนั้น สร้างความประหลาดใจให้กับลูกสาวของแม่เป็นอย่างมาก เธอไม่เข้าใจว่า เพราะเหตุใด แม่จึงให้ความช่วยเหลือเจ้าหัวโขมยถึงเพียงนั้น แต่แล้วคำตอบที่ได้รับจากแม่ก็คือ "ถึงแม่จะไม่มีเงินทองมากนัก แต่การที่ได้ช่วยเหลือคนที่กำลังลำบากน่ะมันทำให้แม่มีความสุข แล้วยังได้บุญอีกด้วยนะ แค่นี้แม่ก็พอใจแล้วไม่อยากได้อะไรตอบแทนหรอก"
"จำไว้นะลูก คนเรานะต้องรู้จักให้อภัยและให้โอกาสคนอื่นแก้ตัวเสมอ อย่างเด็กคนนั้น.แม่มั่นใจว่าแกทำไปเพราะรักคุณแม่ของแกจริงๆ แม่ถึงช่วยแกเอาไว้ ลูกอาจจะบอกว่าขโมยเป็นสิ่งที่ผิด ใช่...แม่ไม่เถียง แต่บางครั้งคนเราก็ต้องมองด้านอื่นๆ บ้าง อย่าคิดแต่เรื่องทรัพย์สินเงินทอง ตอนนี้ลูกอาจจะยังฟังไม่เข้าใจ แต่แม่เชื่อว่าสักวันลูกจะเข้าใจเองแหละ"
20 ปีหลังจากนั้น ลูกสาวของแม่เรียนจบปริญญาตรีแล้วครับ เธอเป็นผู้ทำงานหาเลี้ยงตัวและแม่ แต่เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดก็มาถึง เมื่อเธอพบว่าแม่กำลังป่วยอย่างรุนแรงด้วยอาการเนื้องอกในสมอง
เธอดิ้นรนหาทางรักษาแม่ทุกวิถีทาง สุดท้ายแพทย์ที่ให้การรักษา ก็แนะนำว่าต้องเข้ารับการผ่าตัดจากแพทย์เฉพาะทางในโรงพยาบาลที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง
เธอกับแม่จึงเดินทางไปที่โรงพยาบาลแห่งนั้น และแพทย์ก็ได้ให้ความช่วยเหลือ โดยการผ่าตัดเนื้องอกในสมองของแม่ในทันที
ระหว่างที่เธอกำลังรอการผ่าตัดอยู่นั่นเอง เธอได้ทราบข้อมูลจากเพื่อน ๆ ว่า การผ่าตัดเนื้องอกในสมองนั้น มีค่าใช้จ่ายสูงมาก บางครั้งอาจะสูงถึงห้าแสนบาทด้วยซ้ำไป
ความที่เพิ่งเป็นบัณฑิตจบใหม่ เงินเดือนเริ่มต้นเพียงหมื่นกว่าบาท ทำให้เธอกลัดกลุ้มนัก ว่าจะนำเงินที่ไหนมารักษาแม่ของเธอ
ภายหลังการผ่าตัดเสร็จสิ้น แพทย์ผู้ดูแลให้แม่พักผ่อนอยู่ในโรงพยาบาลระยะหนึ่ง แล้วก็อนุญาตให้กลับบ้านได้ พร้อมกับบอกว่า เดี๋ยวจะมีหนังสือแจ้งยอดค่าใช้จ่ายจากโรงพยาบาลไปที่บ้าน ถึงตอนนั้นก็มาจ่ายสตางค์ที่โรงพยาบาลก็แล้วกัน
หลังจากนั้นไม่นาน ก็มีหนังสือแจ้งค่าใช้จ่ายไปที่บ้าน แต่พอได้เปิดอ่าน ก็ต้องประหลาดใจที่ค่าใช้จ่ายมีเพียงค่าประสานงานของโรงพยาบาลเพียงไม่กี่ร้อยบาทเท่านั้น
ทั้งสองแม่ลูกจึงพากันไปที่โรงพยาบาลอีกครั้ง เพื่อตรวจสอบดูว่าอาจจะเกิดความผิดพลาดในการแจ้งค่าใช้จ่ายดังกล่าวหรือไม่
เมื่อไปถึงโรงพยาบาลได้พบกับนางพยาบาลท่านหนึ่ง เธอบอกว่า คุณหมอที่รักษาคุณป้า ฝากจดหมายนี้เอาไว้ให้ค่ะ ส่วนค่าใช้จ่ายทั้งหมดคุณหมอแจ้งกับโรงพยาบาลว่า ท่านจะรับผิดชอบเองค่ะ
แม่ลูกทั้งสองรับจดหมายมาเปิดอ่าน ถึงกับหน้าตาคลอเบ้ากับเนื้อความด้านในที่เขียนเอาไว้ว่า
'ข้าพเจ้านายแพทย์เดชา ทองวิจิตร แพทย์ผู้ผ่าตัด นางสมพร ภู่จันทร์ ขอสรุปค่าใช้จ่ายในการผ่าตัดทั้งหมดดังนี้
ค่าผ่าตัด 0 บาท
ค่ายาทั้งหมด 0 บาท
ค่าใช้จ่ายอื่นที่เหลือ 0 บาท
รวมเป็นเงินทั้งหมด 0 บาท
ป.ล. ค่าใช้จ่ายทั้งหมดได้รับแล้ว เมื่อยี่สิบปีก่อนด้วยยาแก้ปวด ยาธาตุ ส้มหนึ่งถุง ขอให้สุขภาพแข็งแรงไปอีกนาน ๆ นะครับคุณน้า
นายแพทย์เดชา ทองวิจิตร'
อย่าว่าแต่แม่ลูกทั้งสองคนเลยครับ ผมเองก็น้ำตาคลอเบ้าเหมือนกัน
ผมไม่ทราบว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง หรือเรื่องที่แต่งขึ้นนะครับ พยายามสืบเสาะหาข้อมูลว่านพ.เดชา ทองวิจิตร มีตัวตนอยู่จริงหรือไม่ ก็ไม่ปรากฎหลักฐานแต่อย่างใด
แต่ท่านทราบหรือไม่ครับ ว่าเรื่องราวที่เพิ่งได้อ่านไปนั้น กำลังเป็นที่กล่าวถึงในโลกอินเตอร์เน็ตอย่างมากมาย ที่มากไปกว่านั้น ผมทราบมาจากรุ่นน้องที่กำลังเป็นนักเรียนแพทย์อยู่ว่า อาจารย์หมอบางท่าน ได้นำเรื่องนี้ ไปสอนว่าที่คุณหมอทั้งหลายในชั้นเรียนด้วยครับ
ซึ่งเรื่องราวระหว่างสองแม่ลูก และเจ้าเด็กหัวขโมยนี้ ล้วนมองได้จากหลายแง่หลายมุม
ผู้อ่านทั่วไปก็สามารถมองได้ในแง่ของความมีน้ำใจต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน คุณหมอเอง ก็อาจจะมอบถึงเรื่องจริยธรรม และมโนธรรมที่แพทย์ควรมีต่อคนไข้ คุณตำรวจก็อาจมองได้ในแง่ของการกระทำผิดกฎหมาย ล้วนแตกต่างกันไปตามหน้าที่และความรับผิดชอบครับ
แต่ที่ผมนำเรื่องนี้มาให้ท่านผู้อ่านได้อ่านกันก็เพราะว่า ผมมองว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องราวดี ๆ ถือได้ว่าเป็นสิ่งดีงามที่เกิดขึ้นในสังคมของเรา
ทุกวันนี้สังคมในบ้านเรากำลังเต็มไปด้วยความวุ่นวาย ผู้คนกำลังสับสนในสถานการณ์บ้านเมือง ข่าวคราวทั้งทางหน้าหนังสือพิมพ์ หรือวิทยุ โทรทัศน์ กำลังขะมักเขม้นกับการเกาะติดสถานการณ์เหล่านี้ ผลพวงที่ตามมาก็คือ ผู้รับข่าวสารอย่างเรา ๆ ก็ต้องรับเอาความหนักหน่วงของสถานการณ์นั้น ๆ มาไว้อยู่ในจิตใจของเราด้วย
ผมไม่ได้กำลังจะบอกให้ทุกท่านละทิ้งความเป็นจริง และหน้าที่ความรับผิดชอบของเราที่พึงมีต่อบ้านเมืองนะครับ เพียงแต่ว่า เมื่อเรากำลังถูกรุมล้อมด้วยปัญหาสังคม และปัญหาบ้านเมืองอย่างรอบด้าน เราจำเป็นต้องมีกำลังใจที่เข้มแข็งและดีงาม เพื่อรับมือกับสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น
หลังจากที่ผมอ่านเรื่องของแม่ลูก และคุณหมอท่านนี้จบแล้ว ผมรู้สึกอิ่มเอมอย่างไรบอกไม่ถูกครับ ทราบแต่เพียงว่าจิตใจมันพองโต ราวกับเพิ่งได้รับสารกระตุ้นช่วยให้ร่างกายสดชื่นขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
ผมอยากเชิญชวนผู้อ่านทุกท่าน ให้ลองหาเรื่องราวดี ๆ ที่เกิดขึ้นรอบตัวเรา แล้วซึมซับกับสิ่งดีงามเหล่านั้น นำเอาความรู้สึกดี ๆ ที่ได้รับรู้เรื่องราวดี ๆ เข้ามาเป็นกำลังใจในการใช้ชีวิตประจำวัน แล้วแปรเปลี่ยนกำลังใจเหล่านั้น มาเป็นพลังในการนำพาให้เราสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างมีความสุข
เพราะผมเชื่อว่า เมื่อมีความสุขเกิดขึ้นที่ใดแล้ว มันก็พร้อมที่จะแพร่กระจายไปยังทุกหนทุกแห่ง พาให้เกิดสิ่งดี ๆ เรื่องราวดี ๆ และความสุขขึ้นอีก เป็นอย่างนี้เรื่อยไปไม่มีวันจบสิ้นครับ :D
เรื่องดี ๆ ของเจ้าหัวโขมย
หลายวันก่อนผมได้รับ forward mail ฉบับหนึ่งครับ เล่าถึงเรื่องราวดี ๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างสองแม่ลูก และเจ้าเด็กหัวขโมยคนหนึ่ง
เนื้อหามีอยู่ว่า ครั้งหนึ่งระหว่างที่สองแม่ลูก กำลังจับจ่ายซื้อของอยู่ในตลาด ก็ไปเห็นเจ้าเด็กหัวโขมยตัวน้อย ที่ถูกชาวบ้านตามจับมาได้หลังจากเข้าไปขโมยยาธาตุในร้านขายของชำ
เมื่อแม่มองดูหน้าขโมยแล้วก็พบว่า เป็นลูกชายของแม่ค้าที่รู้จักมักคุ้นกัน จึงได้ยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือ โดยการจ่ายสตางค์ค่ายาธาตุให้กับเจ้าของร้านชำ และเมื่อถามไถ่ถึงเรื่องที่เกิดขึ้น ก็ทำให้ทราบว่าแม่ของเด็กกำลังไม่สบายอย่างหนัก แต่ด้วยความที่ไม่มีเงิน และอยากจะรักษาแม่ให้หาย จึงต้องทำแบบนี้
พอฟังจบ แม่จึงซื้อยาแก้ปวดและส้มให้เด็กผู้ชายไป 1 ถุง พร้อมบอกว่าคนไม่สบายทานส้มเยอะ ๆ จะได้หายไว ๆ อีกทั้งถ้าคราวหลังต้องการเงินทองไปรักษาแม่แล้วขาดเหลืออย่างไร ก็ให้มาบอกตนได้
เหตุการณ์คราวนั้น สร้างความประหลาดใจให้กับลูกสาวของแม่เป็นอย่างมาก เธอไม่เข้าใจว่า เพราะเหตุใด แม่จึงให้ความช่วยเหลือเจ้าหัวโขมยถึงเพียงนั้น แต่แล้วคำตอบที่ได้รับจากแม่ก็คือ "ถึงแม่จะไม่มีเงินทองมากนัก แต่การที่ได้ช่วยเหลือคนที่กำลังลำบากน่ะมันทำให้แม่มีความสุข แล้วยังได้บุญอีกด้วยนะ แค่นี้แม่ก็พอใจแล้วไม่อยากได้อะไรตอบแทนหรอก"
"จำไว้นะลูก คนเรานะต้องรู้จักให้อภัยและให้โอกาสคนอื่นแก้ตัวเสมอ อย่างเด็กคนนั้น.แม่มั่นใจว่าแกทำไปเพราะรักคุณแม่ของแกจริงๆ แม่ถึงช่วยแกเอาไว้ ลูกอาจจะบอกว่าขโมยเป็นสิ่งที่ผิด ใช่...แม่ไม่เถียง แต่บางครั้งคนเราก็ต้องมองด้านอื่นๆ บ้าง อย่าคิดแต่เรื่องทรัพย์สินเงินทอง ตอนนี้ลูกอาจจะยังฟังไม่เข้าใจ แต่แม่เชื่อว่าสักวันลูกจะเข้าใจเองแหละ"
20 ปีหลังจากนั้น ลูกสาวของแม่เรียนจบปริญญาตรีแล้วครับ เธอเป็นผู้ทำงานหาเลี้ยงตัวและแม่ แต่เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดก็มาถึง เมื่อเธอพบว่าแม่กำลังป่วยอย่างรุนแรงด้วยอาการเนื้องอกในสมอง
เธอดิ้นรนหาทางรักษาแม่ทุกวิถีทาง สุดท้ายแพทย์ที่ให้การรักษา ก็แนะนำว่าต้องเข้ารับการผ่าตัดจากแพทย์เฉพาะทางในโรงพยาบาลที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง
เธอกับแม่จึงเดินทางไปที่โรงพยาบาลแห่งนั้น และแพทย์ก็ได้ให้ความช่วยเหลือ โดยการผ่าตัดเนื้องอกในสมองของแม่ในทันที
ระหว่างที่เธอกำลังรอการผ่าตัดอยู่นั่นเอง เธอได้ทราบข้อมูลจากเพื่อน ๆ ว่า การผ่าตัดเนื้องอกในสมองนั้น มีค่าใช้จ่ายสูงมาก บางครั้งอาจะสูงถึงห้าแสนบาทด้วยซ้ำไป
ความที่เพิ่งเป็นบัณฑิตจบใหม่ เงินเดือนเริ่มต้นเพียงหมื่นกว่าบาท ทำให้เธอกลัดกลุ้มนัก ว่าจะนำเงินที่ไหนมารักษาแม่ของเธอ
ภายหลังการผ่าตัดเสร็จสิ้น แพทย์ผู้ดูแลให้แม่พักผ่อนอยู่ในโรงพยาบาลระยะหนึ่ง แล้วก็อนุญาตให้กลับบ้านได้ พร้อมกับบอกว่า เดี๋ยวจะมีหนังสือแจ้งยอดค่าใช้จ่ายจากโรงพยาบาลไปที่บ้าน ถึงตอนนั้นก็มาจ่ายสตางค์ที่โรงพยาบาลก็แล้วกัน
หลังจากนั้นไม่นาน ก็มีหนังสือแจ้งค่าใช้จ่ายไปที่บ้าน แต่พอได้เปิดอ่าน ก็ต้องประหลาดใจที่ค่าใช้จ่ายมีเพียงค่าประสานงานของโรงพยาบาลเพียงไม่กี่ร้อยบาทเท่านั้น
ทั้งสองแม่ลูกจึงพากันไปที่โรงพยาบาลอีกครั้ง เพื่อตรวจสอบดูว่าอาจจะเกิดความผิดพลาดในการแจ้งค่าใช้จ่ายดังกล่าวหรือไม่
เมื่อไปถึงโรงพยาบาลได้พบกับนางพยาบาลท่านหนึ่ง เธอบอกว่า คุณหมอที่รักษาคุณป้า ฝากจดหมายนี้เอาไว้ให้ค่ะ ส่วนค่าใช้จ่ายทั้งหมดคุณหมอแจ้งกับโรงพยาบาลว่า ท่านจะรับผิดชอบเองค่ะ
แม่ลูกทั้งสองรับจดหมายมาเปิดอ่าน ถึงกับหน้าตาคลอเบ้ากับเนื้อความด้านในที่เขียนเอาไว้ว่า
'ข้าพเจ้านายแพทย์เดชา ทองวิจิตร แพทย์ผู้ผ่าตัด นางสมพร ภู่จันทร์ ขอสรุปค่าใช้จ่ายในการผ่าตัดทั้งหมดดังนี้
ค่าผ่าตัด 0 บาท
ค่ายาทั้งหมด 0 บาท
ค่าใช้จ่ายอื่นที่เหลือ 0 บาท
รวมเป็นเงินทั้งหมด 0 บาท
ป.ล. ค่าใช้จ่ายทั้งหมดได้รับแล้ว เมื่อยี่สิบปีก่อนด้วยยาแก้ปวด ยาธาตุ ส้มหนึ่งถุง ขอให้สุขภาพแข็งแรงไปอีกนาน ๆ นะครับคุณน้า
นายแพทย์เดชา ทองวิจิตร'
อย่าว่าแต่แม่ลูกทั้งสองคนเลยครับ ผมเองก็น้ำตาคลอเบ้าเหมือนกัน
ผมไม่ทราบว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง หรือเรื่องที่แต่งขึ้นนะครับ พยายามสืบเสาะหาข้อมูลว่านพ.เดชา ทองวิจิตร มีตัวตนอยู่จริงหรือไม่ ก็ไม่ปรากฎหลักฐานแต่อย่างใด
แต่ท่านทราบหรือไม่ครับ ว่าเรื่องราวที่เพิ่งได้อ่านไปนั้น กำลังเป็นที่กล่าวถึงในโลกอินเตอร์เน็ตอย่างมากมาย ที่มากไปกว่านั้น ผมทราบมาจากรุ่นน้องที่กำลังเป็นนักเรียนแพทย์อยู่ว่า อาจารย์หมอบางท่าน ได้นำเรื่องนี้ ไปสอนว่าที่คุณหมอทั้งหลายในชั้นเรียนด้วยครับ
ซึ่งเรื่องราวระหว่างสองแม่ลูก และเจ้าเด็กหัวขโมยนี้ ล้วนมองได้จากหลายแง่หลายมุม
ผู้อ่านทั่วไปก็สามารถมองได้ในแง่ของความมีน้ำใจต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน คุณหมอเอง ก็อาจจะมอบถึงเรื่องจริยธรรม และมโนธรรมที่แพทย์ควรมีต่อคนไข้ คุณตำรวจก็อาจมองได้ในแง่ของการกระทำผิดกฎหมาย ล้วนแตกต่างกันไปตามหน้าที่และความรับผิดชอบครับ
แต่ที่ผมนำเรื่องนี้มาให้ท่านผู้อ่านได้อ่านกันก็เพราะว่า ผมมองว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องราวดี ๆ ถือได้ว่าเป็นสิ่งดีงามที่เกิดขึ้นในสังคมของเรา
ทุกวันนี้สังคมในบ้านเรากำลังเต็มไปด้วยความวุ่นวาย ผู้คนกำลังสับสนในสถานการณ์บ้านเมือง ข่าวคราวทั้งทางหน้าหนังสือพิมพ์ หรือวิทยุ โทรทัศน์ กำลังขะมักเขม้นกับการเกาะติดสถานการณ์เหล่านี้ ผลพวงที่ตามมาก็คือ ผู้รับข่าวสารอย่างเรา ๆ ก็ต้องรับเอาความหนักหน่วงของสถานการณ์นั้น ๆ มาไว้อยู่ในจิตใจของเราด้วย
ผมไม่ได้กำลังจะบอกให้ทุกท่านละทิ้งความเป็นจริง และหน้าที่ความรับผิดชอบของเราที่พึงมีต่อบ้านเมืองนะครับ เพียงแต่ว่า เมื่อเรากำลังถูกรุมล้อมด้วยปัญหาสังคม และปัญหาบ้านเมืองอย่างรอบด้าน เราจำเป็นต้องมีกำลังใจที่เข้มแข็งและดีงาม เพื่อรับมือกับสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น
หลังจากที่ผมอ่านเรื่องของแม่ลูก และคุณหมอท่านนี้จบแล้ว ผมรู้สึกอิ่มเอมอย่างไรบอกไม่ถูกครับ ทราบแต่เพียงว่าจิตใจมันพองโต ราวกับเพิ่งได้รับสารกระตุ้นช่วยให้ร่างกายสดชื่นขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
ผมอยากเชิญชวนผู้อ่านทุกท่าน ให้ลองหาเรื่องราวดี ๆ ที่เกิดขึ้นรอบตัวเรา แล้วซึมซับกับสิ่งดีงามเหล่านั้น นำเอาความรู้สึกดี ๆ ที่ได้รับรู้เรื่องราวดี ๆ เข้ามาเป็นกำลังใจในการใช้ชีวิตประจำวัน แล้วแปรเปลี่ยนกำลังใจเหล่านั้น มาเป็นพลังในการนำพาให้เราสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างมีความสุข
เพราะผมเชื่อว่า เมื่อมีความสุขเกิดขึ้นที่ใดแล้ว มันก็พร้อมที่จะแพร่กระจายไปยังทุกหนทุกแห่ง พาให้เกิดสิ่งดี ๆ เรื่องราวดี ๆ และความสุขขึ้นอีก เป็นอย่างนี้เรื่อยไปไม่มีวันจบสิ้นครับ :D
..สักวันจะเก่งเหมือนพี่บ้าง..
-
- Verified User
- โพสต์: 1468
- ผู้ติดตาม: 0
ความเคยชินคร๊าบบ
โพสต์ที่ 221
"คุณจะลำบากไป ๑๐ ปี การเงินจะชักหน้าไม่ถึงหลัง สุขภาพก็จะไม่สู้ดี"
หมอดูทำนายอนาคตให้ลูกค้าคนหนึ่ง
"หลังจากนั้น ผมจะสบาย มั่งมีศรีสุขใช่ไหม หมอ?"
"เปล่า หลังจากนั้นคุณจะชินไปเอง"
ไม่ว่าความทุกข์จะมาในรูปไหน
คนเรามักมีความสามารถในการปรับตัวปรับใจให้คุ้นเคย
จนความทุกข์นั้นๆ กลายเป็นเรื่องธรรมดา
แต่ที่ทนไม่ได้นั้น ส่วนใหญ่มักเป็นเพราะมีเวลาปรับตัวน้อยเกินไป
หรือว่ายังไม่ทันปรับตัวจนคุ้นเคย ก็คิดสั้นไปเสียก่อน
คนที่ประสบเหตุจนตาบอด หูหนวก แม้จะทุกข์เพียงใด
แต่เมื่อเวลาผ่านไป จิตใจก็กลับเป็นปกติ
บางครั้งกลับมีความสุขกว่าคนปกติธรรมดาด้วยซ้ำ
ส่วนคนที่ติดคุกติดตาราง ทีแรกก็อึดอัดระทมทุกข์
แต่ไม่ช้าไม่นานจะเริ่มรู้สึกว่าคุกนั้นเป็นเสมือนบ้าน
คนที่อกหักรักคุดก็เช่นกัน สักพักก็จะทำใจได้ ยิ้มร่าได้เหมือนก่อน
ความเคยชินทำให้เรามีภูมิต้านทานต่อความทุกข์หรือสิ่งไม่พึงปรารถนา
คนที่ไปทำงานในปั๊มน้ำมันหรือเล้าหมู ใหม่ๆ จะรู้สึกเหม็นตลบอบอวล
แต่อยู่ไปนานๆ จมูกกลับไม่ได้กลิ่นเหล่านั้นเลย
ความเคยชินนั้นสามารถแปรความทุกข์ให้กลายเป็นความไม่ทุกข์
เปลี่ยนปัญหาให้กลายเป็นเรื่องธรรมดา นั่นเป็นข้อดีของความเคยชิน
แต่ข้อเสียก็มีอยู่ไม่น้อย บ่อยครั้งความเคยชินก็ทำให้ปัญหาถูกบดบังและเรื้อรัง
จนแก้ได้ยาก หรือก่อผลเสียหายในที่สุด
คนที่เคยชินกับการนั่งหรือยืนผิดท่า
จะไม่รู้ตัวเลยว่ากระดูกและกล้ามเนื้อเสียรูปไปแค่ไหนแล้ว
นานเข้าๆ โครงสร้างของร่างกายก็จะเสีย จนยากจะแก้ไข
แถมยังก่อความเจ็บปวดทรมาน
บางคนเดินตัวเอียง จนใครเห็นใครก็ทัก แต่เจ้าตัวกลับไม่รู้สึกผิดปกติ
นั่นก็เพราะเคยชินกับการเดินอย่างนั้นมานานนับสิบปี
ยิ่งวันก็ยิ่งเอียงจนเหมือนหอเอียงปิซ่า ถึงตอนนั้นก็สายเกินแก้แล้ว
เจ้านายที่เครียดเป็นกิจวัตร มักไม่ค่อยรู้ตัวว่าตนเองขี้หงุดหงิดแค่ไหน
เพราะนอกจากตัวเองจะทำเป็นนิสัยแล้ว คนรอบข้างก็เคยชินด้านชา
จนไม่รู้สึกรู้สาไปเสียแล้ว ฟังดูก็เหมือนดี แต่ที่จริงไม่ใช่เลย
เพราะนับวันท่านก็จะเครียดง่ายขึ้น ถี่ขึ้น จนโรคหัวใจถามหา
การทำหรืออยู่กับสิ่งที่เคยชินปีแล้วปีเล่า จึงไม่ใช่สิ่งที่ดีเสมอไป
บางครั้งก็มีความจำเป็นต้องเปลี่ยนไปสัมผัสกับสิ่งใหม่
หรือสภาพแวดล้อมอย่างใหม่ดูบ้าง
คนชอบเครียด ลองเปลี่ยนเพื่อนร่วมงานหรือเพื่อนเที่ยวดูบ้าง
อาจพบว่าตัวเองเอาจริงเอาจังมากเกินไป
ยิ่งอยู่กับเพื่อนที่สบายๆ ง่ายๆ มากเท่าไร
ก็ยิ่งเห็นความติดยึดหยุมหยิมขี้กังวลของตนมากเท่านั้น
แล้วจะตระหนักว่าควรรู้จักปล่อยวางเสียบ้าง
สำหรับคนที่เป็นเจ้านาย การรับลูกน้องใหม่ๆ มาทำงาน
อาจช่วยให้ตนเห็นปัญหาในหน่วยงานของตนชัดขึ้น
เพราะคนที่เข้ามาทำงานใหม่นั้น จะเห็นปัญหาที่สะสมในหน่วยงาน
ได้ชัดเจนกว่าคนที่อยู่นานจนเคยชินกับปัญหา
ของที่วางระเกะระกะในห้องนั้น คนที่คุ้นเคยย่อมไม่รู้สึกเป็นปัญหา
เพราะเดินหลบจนคล่องแคล่ว แต่ถ้าให้คนใหม่เข้ามาในห้อง
ง่ายที่เขาจะเดินเตะหรือเดินสะดุด
การลองทำสิ่งใหม่ๆ ที่ไม่คุ้นเคยดูบ้าง จะช่วยให้เราเห็นข้อจำกัดของตัวเอง
นอกจากจะทำให้เราอ่อนน้อมถ่อมตน ไม่รู้สึกอหังการ์ว่าข้าเก่งทุกเรื่องแล้ว
ยังช่วยให้เราพัฒนาศักยภาพใหม่ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อชีวิตและการทำงาน
แม้กระทั่งการเปลี่ยนเส้นทางไปที่ทำงาน จากเดิมที่ใช้ชั่วนาตาปี
ไม่เพียงแต่จะช่วยลดความจำเจ ยังอาจเปิดตาให้เราเห็นอะไรใหม่ๆ สองข้างทาง
แทนที่จะชินชากับเส้นทางเดิม
กบนั้นเก่งในการปรับตัว เอากบไปวางไว้ในหม้อที่ตั้งอยู่บนกองไฟ
มันจะปรับตัวให้ชินกับความร้อนที่เพิ่มขึ้นๆ
แต่พอถึงจุดหนึ่ง มันจะทนไม่ไหวและตายไปในที่สุด
ในสถานการณ์อย่างนี้ ทางออกที่ดีที่สุดคือกระโดดออกจากหม้อขณะที่ยังมีเวลา
ตอนนี้เราเป็นเหมือนกบในหม้อที่ร้อนระอุหรือไม่
ถ้าใช่ น่าจะคิดได้แล้วว่าถึงเวลากระโดด ออกจากหม้อหรือยัง
หมอดูทำนายอนาคตให้ลูกค้าคนหนึ่ง
"หลังจากนั้น ผมจะสบาย มั่งมีศรีสุขใช่ไหม หมอ?"
"เปล่า หลังจากนั้นคุณจะชินไปเอง"
ไม่ว่าความทุกข์จะมาในรูปไหน
คนเรามักมีความสามารถในการปรับตัวปรับใจให้คุ้นเคย
จนความทุกข์นั้นๆ กลายเป็นเรื่องธรรมดา
แต่ที่ทนไม่ได้นั้น ส่วนใหญ่มักเป็นเพราะมีเวลาปรับตัวน้อยเกินไป
หรือว่ายังไม่ทันปรับตัวจนคุ้นเคย ก็คิดสั้นไปเสียก่อน
คนที่ประสบเหตุจนตาบอด หูหนวก แม้จะทุกข์เพียงใด
แต่เมื่อเวลาผ่านไป จิตใจก็กลับเป็นปกติ
บางครั้งกลับมีความสุขกว่าคนปกติธรรมดาด้วยซ้ำ
ส่วนคนที่ติดคุกติดตาราง ทีแรกก็อึดอัดระทมทุกข์
แต่ไม่ช้าไม่นานจะเริ่มรู้สึกว่าคุกนั้นเป็นเสมือนบ้าน
คนที่อกหักรักคุดก็เช่นกัน สักพักก็จะทำใจได้ ยิ้มร่าได้เหมือนก่อน
ความเคยชินทำให้เรามีภูมิต้านทานต่อความทุกข์หรือสิ่งไม่พึงปรารถนา
คนที่ไปทำงานในปั๊มน้ำมันหรือเล้าหมู ใหม่ๆ จะรู้สึกเหม็นตลบอบอวล
แต่อยู่ไปนานๆ จมูกกลับไม่ได้กลิ่นเหล่านั้นเลย
ความเคยชินนั้นสามารถแปรความทุกข์ให้กลายเป็นความไม่ทุกข์
เปลี่ยนปัญหาให้กลายเป็นเรื่องธรรมดา นั่นเป็นข้อดีของความเคยชิน
แต่ข้อเสียก็มีอยู่ไม่น้อย บ่อยครั้งความเคยชินก็ทำให้ปัญหาถูกบดบังและเรื้อรัง
จนแก้ได้ยาก หรือก่อผลเสียหายในที่สุด
คนที่เคยชินกับการนั่งหรือยืนผิดท่า
จะไม่รู้ตัวเลยว่ากระดูกและกล้ามเนื้อเสียรูปไปแค่ไหนแล้ว
นานเข้าๆ โครงสร้างของร่างกายก็จะเสีย จนยากจะแก้ไข
แถมยังก่อความเจ็บปวดทรมาน
บางคนเดินตัวเอียง จนใครเห็นใครก็ทัก แต่เจ้าตัวกลับไม่รู้สึกผิดปกติ
นั่นก็เพราะเคยชินกับการเดินอย่างนั้นมานานนับสิบปี
ยิ่งวันก็ยิ่งเอียงจนเหมือนหอเอียงปิซ่า ถึงตอนนั้นก็สายเกินแก้แล้ว
เจ้านายที่เครียดเป็นกิจวัตร มักไม่ค่อยรู้ตัวว่าตนเองขี้หงุดหงิดแค่ไหน
เพราะนอกจากตัวเองจะทำเป็นนิสัยแล้ว คนรอบข้างก็เคยชินด้านชา
จนไม่รู้สึกรู้สาไปเสียแล้ว ฟังดูก็เหมือนดี แต่ที่จริงไม่ใช่เลย
เพราะนับวันท่านก็จะเครียดง่ายขึ้น ถี่ขึ้น จนโรคหัวใจถามหา
การทำหรืออยู่กับสิ่งที่เคยชินปีแล้วปีเล่า จึงไม่ใช่สิ่งที่ดีเสมอไป
บางครั้งก็มีความจำเป็นต้องเปลี่ยนไปสัมผัสกับสิ่งใหม่
หรือสภาพแวดล้อมอย่างใหม่ดูบ้าง
คนชอบเครียด ลองเปลี่ยนเพื่อนร่วมงานหรือเพื่อนเที่ยวดูบ้าง
อาจพบว่าตัวเองเอาจริงเอาจังมากเกินไป
ยิ่งอยู่กับเพื่อนที่สบายๆ ง่ายๆ มากเท่าไร
ก็ยิ่งเห็นความติดยึดหยุมหยิมขี้กังวลของตนมากเท่านั้น
แล้วจะตระหนักว่าควรรู้จักปล่อยวางเสียบ้าง
สำหรับคนที่เป็นเจ้านาย การรับลูกน้องใหม่ๆ มาทำงาน
อาจช่วยให้ตนเห็นปัญหาในหน่วยงานของตนชัดขึ้น
เพราะคนที่เข้ามาทำงานใหม่นั้น จะเห็นปัญหาที่สะสมในหน่วยงาน
ได้ชัดเจนกว่าคนที่อยู่นานจนเคยชินกับปัญหา
ของที่วางระเกะระกะในห้องนั้น คนที่คุ้นเคยย่อมไม่รู้สึกเป็นปัญหา
เพราะเดินหลบจนคล่องแคล่ว แต่ถ้าให้คนใหม่เข้ามาในห้อง
ง่ายที่เขาจะเดินเตะหรือเดินสะดุด
การลองทำสิ่งใหม่ๆ ที่ไม่คุ้นเคยดูบ้าง จะช่วยให้เราเห็นข้อจำกัดของตัวเอง
นอกจากจะทำให้เราอ่อนน้อมถ่อมตน ไม่รู้สึกอหังการ์ว่าข้าเก่งทุกเรื่องแล้ว
ยังช่วยให้เราพัฒนาศักยภาพใหม่ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อชีวิตและการทำงาน
แม้กระทั่งการเปลี่ยนเส้นทางไปที่ทำงาน จากเดิมที่ใช้ชั่วนาตาปี
ไม่เพียงแต่จะช่วยลดความจำเจ ยังอาจเปิดตาให้เราเห็นอะไรใหม่ๆ สองข้างทาง
แทนที่จะชินชากับเส้นทางเดิม
กบนั้นเก่งในการปรับตัว เอากบไปวางไว้ในหม้อที่ตั้งอยู่บนกองไฟ
มันจะปรับตัวให้ชินกับความร้อนที่เพิ่มขึ้นๆ
แต่พอถึงจุดหนึ่ง มันจะทนไม่ไหวและตายไปในที่สุด
ในสถานการณ์อย่างนี้ ทางออกที่ดีที่สุดคือกระโดดออกจากหม้อขณะที่ยังมีเวลา
ตอนนี้เราเป็นเหมือนกบในหม้อที่ร้อนระอุหรือไม่
ถ้าใช่ น่าจะคิดได้แล้วว่าถึงเวลากระโดด ออกจากหม้อหรือยัง
..สักวันจะเก่งเหมือนพี่บ้าง..
-
- Verified User
- โพสต์: 1468
- ผู้ติดตาม: 0
เห็นเค้าว่ามา..ชนาธิป ศิริปัญญาวงศ์ อืมมม..
โพสต์ที่ 222
เวลาเดินตามห้าง มักเห็นคนที่มาเป็นครอบครัว ประมาณว่าผู้ชายจะเดินนำหน้าเร็วมาก
จากนั้นจะเห็นเมียแก่ๆเดินตามมาข้างหลัง อาจจะมีลูกเต้าสะพายหรือกระเตงมาก
หรือไม่ก็เดินตามกันมา 2-3 คน ภาพแบบนี้ เวลามองให้ละเอียดขึ้น จะเห็นว่าหน้าตา
ของผัวกับเมียมัจะแก่โทรมพอๆกัน หรือบางทีผัวดูหน้าเด็กกว่า แบบนี้อนุมาณได้ว่า
ผัวกับเมียอายุน่าจะไล่เรี่ยกัน
ตอนเป็นหนุ่มเป็นสาวมีเมียแต่อายุน้อยก็รู้สึกมีความสุขดี แต่พอมีลูก มีหลาน เวลาผ่านไป
ปีแล้วปีเล่า 10 บ้าง 20 บ้าง 30ปีบ้าง สังขารก็ล่วงเลยกันไปตามวัย ถ้าไม่ผ่านปัญหาชีวิตมา
อย่างเหน็ดเหนื่อยมากนัก ผู้ชายมักจะดูแก่น้อยกว่าผู้หญิง อันนี้เป็นเรื่องพิสูจน์ได้
และอีกอย่างที่คนมักไม่ค่อยพูดกันคือ อารมณ์ทางเพศของผู้ชายยังสูงอยู่ เมื่อเทียบกับ
ผู้หญิงแก่ในวัยเดียวกัน นี่จึงเป็นเหตุให้ผัวมีเมียน้อย เพราะเมียบ่อลักแล้ว ตัวผัวยังเซ็กส์จัดอยู่
เป็นความจริงที่สังคมต้องเอามาตีแผ่ เมื่อสังคมไทยไม่ค่อยพูดความจริงกัน ปัญหาจึงเกิด
ถ้าชายแก่มีครอบครัวคนไหนออกมายอมรับตรงๆว่า "ผมยังเซ็กส์จัดอยู่" คงโดนตราหน้าว่าเป็น
อ้ายแก่ตัณหากลับ อ้ายเฒ่าหัวงู อ้ายแก่ไม่รู้จักปลง" คำด่า ตำหนิและค่อนแคะนี้ไม่เกิดประโยชน์อะไร
รังแต่ทำให้ผู้ชายไม่อยากพูดสิ่งที่มีอยู่ในใจ และจบลงด้วยการแอบมีเมียน้อย
อย่างว่านะ ถ้าไม่ให้แอบแล้วจะบอกให้เมียยอมรับรึ ว่าผัวยังเซ็กส์ ขอมีเมียอีกคน อย่างนี้คงไม่มีใครยอม
ผมจึงคิดของผมคนเดียว เรื่องของผม ว่าปัญหาทั้งหลายทั้งปวง สามารถแก้ได้ทั้งปัญหาสังคม
ปัญหาความต้องการทางเพศและอะไรอีกหลายเรื่อง โดยการให้ผู้ชายมีเมียที่อายุห่างกันหลายๆปี
คำถามคือหลายๆปีนี่จะเอาสักกี่ปี ต้องยอมรับความจริงว่าตอนเราเด็กๆเรียนหนังสืออยู่ เห็นรุ่นพี่
อายุห่างจากเราแค่ปีสองปีก็รู้สึกว่าเขาเหนื่อกว่าเราหลายอย่าง ทั้งวัยวุฒิ คุณวุฒิและขนาดร่างกาย
พอโตขึ้นหน่อย ถ้าเราอายุ 20 เจอคนอายุ 25 ก็รู้สึกได้ว่าเขาแก่กว่า แต่ถึงตรงนี้ก็มีผู้ชายหลายคน
เริ่มจีบคนอายุมากกว่าได้ ถ้าสวยเซ็กส์ขาดบาดใจ (และมารู้ตัวว่าคิดผิดตอนมันอายุผ่านวัย 30)
แต่พอเราอายุ 30 ปี เริ่มรู้สึกว่าคนอายุ 35 ไม่ต่างจากเราเท่าไหร่ (ยกเว้นผู้ชายที่มีเมียอายุเท่ากัน
หรือมากกว่า ย่อมรู้สึกว่าเมียดูแก่กว่าตัวเอง) แต่พอเราอายุ 40 เราจะไม่รู้สึกเลยว่าคนอายุ 45
จะต่างจากเรามากน้อยแค่ไหน และถ้าเราอายุ 50 หรือ 60 คนอายุมากกว่าเรา 10 ปีหรือน้อยกว่าเรา
10 ปีก็จะดูหง่อมๆพอๆกันหมด ไม่มีใครต่างกันเลย แต่ถ้ามีเมียอายุเท่ากัน เวลาเดินไปไหนคน
อาจคิดว่าผู้ชายเดินมากับแม่
วันก่อนเห็นนิตยสารฉบับหนึ่งมีภาพถ่ายคู่สมรสสามีภรรยาคนใหญ่โตไฮโซเมืองไทยที่ออกมา
รับพระราชทานเครื่องอิสริยาภรณ์ ยังนินทาขำๆกับคนข้างๆเวลามองรูปถ่ายบางคู่ว่า นี่เขาถ่ายรูปคู่
กับแม่หรือเมีย คือเมียจะดูแก่มากจนเป็นแม่ได้
บางคู่ผัวเป็นนายทหารนายตำรวจใหญ่โต ยังกระฉับกระเฉงหนุ่มฟ้อ แต่ที่ยืนข้างๆที่ใส่ชุดผ้าทอโบราณนี่
ดูไม่ออกว่าอันไหนเก่ากว่ากัน เหมือนมีชุดเชี่ยนหมากประดับอยู่ข้างๆในตำรวจ
บางคนคงนึกด่าผม ว่ามองแต่รูป ความรักมันอยู่ที่ใจ คนเขารักกันอยู่ด้วยกันมา 30-40 ปี มีแต่ใจให้กัน
มีแต่อคติจิตใจเป็นกุศล ชั่วช้าสารเลวที่คิดอย่างนี้ คือถ้าคิดอย่างนี้ก็จบกันอีก ไม่พูดความจริงกัน
ความรักก็เรื่องหนึ่ง แต่เรื่องความต้องการตามธรรมชาติก็เรื่องหนึ่ง ไม่ยอมคุยกันให้เข้าใจปิดหูปิดตา
หลอกตัวเองกันอยู่นั่นไง ผัวถึงได้ไปมีเมียน้อย ยิ่งใหญ่ยิ่งโตมากอาจไม่ใช่มีแค่หนึ่ง
โดยธรรมชาติแล้วผู้ชายคนไหน ต่อให้มันแก่หงำเหงือกยังไง เห็นสาวสวยหุ่นดีตรงเสปค ถ้ามันบอกว่า
ไม่รู้สึกอะไรเลย มันไม่น่าจะเป็นผู้ชาย หรือไม่ก็เหล่านั้งเคียวห่วย ตะบันน้ำกินอย่างแท้จริง (ยกวันพระ)
ถ้าเริ่มคล้อยตามให้อ่านต่อมาอีก ว่าผู้ชายกับผู้หญิงอายุห่างกันกี่ปีถึงจะถือว่ามีเมียเด็ก อันนี้ไม่บอกให้
คิดกันเอาเอง แต่ผมวิเคราะห์ว่า
มาตรฐานความเปลี่ยนแปลงในชีวิตของผู้ชายมักเป็นอย่างนี้
1. อายุ 20 ปี ยังสดใสอยู่ในวัยเรียนรู้ มีแรง มีความรู้ แต่ไร้เงินและประสบการณ์
2. อายุ 30 ปี ยังมีแรง มีความรู้ มีประสบการณ์และพอมีเงินบ้าง
3. อายุ 40 ปี พอมีแรง มีความรู้มาก ประสบการณ์แน่น เงินเต็มกระเป๋า
4. อายุ 50 ปี แรงน้อย หลงๆลืมๆ ประสบการณ์เยอะ เข้าข่ายมั่งคั่ง
5. อายุ 60 ปี หมดแรง ความจำลด ประสบการณ์ไม่มีประโยชน์ ใช้เงินไม่เป็น
6. อายุ 70 ปี ใกล้ตาย ลูกหลานแช่ง ไม่มีใครฟัง
ของผู้หญิง
1. อายุ 20 ปี ดอกไม้ผลิบานเต็มที่ ร่าเริงเบิกบาน รู้น้อย ประสบการณ์ไม่มี
2. อายุ 30 ปี ดอกไม้ใกล้โรย เครียดกับงาน หมดเงินกับการแต่งตัว
3. อายุ 40 ปี มีแต่รอยเหี่ยวช้ำ ผลาญเงินกับเครื่องสำอางค์
4. อายุ 50 ปี วัยแห่งความระแวง นอนตาไม่หลับ กินไม่อร่อย เป็นสารพัดโรค
5. อายุ 60 ปี วัยผัวแช่ง
6. อายุ 70 ปี วัยที่ทั้งผัวและลูกสะไภ้ร่วมกันแช่ง
วิธีวิเคราะห์นั้น ง่ายๆว่าถ้าเอาเลขตรงกันมาจับคู่กันหมดเลย ก็คือชายหญิงคู่ผัวเมียอายุเท่ากัน เห็นๆ
เลยว่ามีแต่ความทุกข์ เป็นวัยที่ทั้งคู่ต่างมีเหมือนกัน และไม่มีเหมือนกัน ไม่มีใครเป็นอะไรของใครได้
และไม่มีใครทดแทนให้แก่ใครได้ คู่แบบนี้เหมือนที่เราเห็นกันจนชาชิน คือพอแก่ตัวลงผัวเมียก็เลิกคุยกัน
เพราะไม่รู้จะคุยอะไรกัน ต่างคนต่างเบื่อซึ่งกันและกัน อยู่กันไปอย่างนั้นๆ และถ้าใครทนเฉาได้น้อยที่สุด
ก็เป็นฝ่ายตายก่อน
แต่ถ้าเอาเลข 1 ของชายมาคู่กับ 2 ของหญิงเป็นต้นไป
จะเห็นว่าฝ่ายชายจะมีแต่ทุกข์ทรมาน ฉะนั้นการมีเมียอายุมากกว่า จึงไม่ถูกต้องและเหมาะสมด้วยประการ
ทั้งหลายทั้งตัว
แต่ถ้าเอา 2 ของชายมาคู่กับ 1 ของหญิง จะเห็นว่าใน 10 ปีแรกเป็นปีที่มีความสุขของทั้งสองฝ่ายต่างเติมเต็ม
ให้กันและกันได้ และทดแทนในสิ่งที่อีกฝ่ายหนึ่งขาดได้
ใน 10 ปีที่สองเห็นว่าทั้งสองฝ่ายน่าจะยังรักกันอยู่ แต่ฝ่ายชายจะเริ่มเห็นว่าผู้หญิงมีหน้าที่ผลาญทรัพยากร
แต่เพียงอย่างเดียว ฉะนั้นเมื่อเข้าสู่ 10 ปีที่สามผู้ชายจะเริ่มเห็นเมียชาวบ้านสวยกว่า วัยนี้เองที่ผู้ชายเริ่ม
ออกหากิ๊ก การหย่าร้างจึงเกิดขึ้นในวัยนี้มากมาย จึงไม่ต้องดูต่อไปใน 10 ปีที่สี่ เพราะจะเหลือไม่กี่คู่
ที่ยังรักกันในช่วงนี้ แต่ที่ทนๆกันอยู่เพราะผู้ชายมันหมดแรงแล้ว ไม่มีปัญญาจะไปไหน แต่ผู้หญิงก็จะได้
แต่ร่างที่ไร้กำลังทั้งกายและใจ คุณค่ามันน้อยกว่าท่อนไม้หรือหมอนข้าง
ถ้าเอา 3 ของชายมาคู่กับ 1 ของหญิงจะเห็นว่าชายก็สุข หญิงก็สรวลสรรค์ตลอด 10 ปีแรก มาดู 10 ปีที่ 2
ชายแรงเริ่มน้อยแต่ใช้ว่าจะไม่มีแรง ก็ออกแรงกันเต็มที่ตลอด 10 ปีแรกไปแล้ว จึงมีแต่หวานชื่น เพราะผู้หญิง
นี่บานแฉ่ง ผู้ชายก็ตังค์เยอะ เงินทองใช้กันเพลิน ไม่ต้องทำงานตัวเป็นเกลียวหัวเป็นน็อต หรืออาบเหงื่อ
ต่างน้ำเลือดตาแทบกระเด็นทั้งคู่ เหมือนคู่ผัวตัวเมียอื่นๆ
มาเข้า 10 ปีที่สอง ด้วยความหลงๆลืมๆเมียจึงฉกเงินไปได้ง่าย ก็สบายเมียอีก เพราะวัยนี้ของเมีย ต้องมีเงิน
ไว้ให้แต่งตัวมากมาย เมื่อมีเงินใช้ไม่ขาดมือ ความเครียดเรื่องงานก็ไม่เกิด เมียจึงไม่บ่น เมื่อไม่บ่นผัวเมีย
ก็ยังรักกันเต็มที่ ความรักและอารมณ์ที่แจ่มใส่จะทำให้ผัวดูหนุ่มและเมียดูสาวต่อไปอีก ความรักจึงดึ๋งดั๋ง
กระเด้งหน้ากระเด้งหลังกันได้อีกพักใหญ่
เข้าสู่ 10 ปีที่ 3 ที่บอกว่าชายจะหมดแรง ก็ไม่น่าจะหมด เพราะแรงหมดเนื่องจากความเครียดและทำงานหนัก
แต่ผู้ชายไม่เครียดเลย จึงยังพอมีแรงต่อไปเรื่อยๆ ส่วนเรื่องจำอะไรไม่ค่อยได้กลับจะเป็นข้อดี เพราะเรื่องร้ายๆ
หรือข้อเสียของเมียก็จะไม่เก็บเอามาคิดเอามาบ่น และวัยนี้เริ่มใช้เงินไม่เป็นแล้ว มีเท่าไหร่ก็ยกให้เมียหมด
มีหรือเมียที่ไหนจะหน้างอ
มาดูที่ฝ่ายหญิงบ้าง พอเข้าสู่วัยที่ต้องพอกเครื่องสำอางค์ ก็มีเงินจากผัวคอยเกื้อหนุมแบบไม่บ่นอีกต่างหาก
อีกอย่างแม้ตัวจะเริ่มเหี่ยวเฉาแต่เนื่องจากผัวเริ่มจำอะไรไม่ค่อยได้ เลยจะสังเกตไม่ออกว่าเมื่อก่อนเราตึง
และกรอบร่วนขนาดไหน สีหน้าแววตาและท่าทีรังเกียจของผัวก็จะไม่เกิด โอ ชีวิตมันช่างมีความสุขนี่กระไร
บวกกับเงินทุกบาททุกสตางค์ตกเป็นของเราโดยสมบูรณ์ ยังงี้ชีวิตก็มีแต่ความหฤหรรษ์
เขาสู่ 10 ปีที่ 4 น้อยรายนักที่จะอยู่เลยช่วงนี้ ผัวมีแต่วันรอความตาย ส่วนเมียนั่งนับเงินอย่างเดียว อย่างอื่น
ไม่ต้องสนแล้ว เพราะตัวเองก็เหี่ยวได้ที่ จะไปมีความรู้สึกเซ็กส์กับใครอีกก็น้อยเต็มทน แต่ที่แน่ๆคือ ไร้ซึ่ง
ความระแวงว่าผัวจะไปมีกิ๊กมีเก็บ เพราะวัยของผัวไม่มีทางเอื้ออำนวย และตลอด 30 ปีมานี้ ด้วยความสาวของเมีย
ผัวคงนอนเฉาะทุกคืนไม่มีว่างเว้น ไม่ทันมีเวลาว่างไปหากิ๊กแน่นอน รับรองว่าวันตายของผัว คงไม่มีสาววัยรุ่น
ที่ไหนจูงลูกมาแล้วขอแบ่งสมบัติแน่นอน
ด้วยเงื่อนไขที่ครบถ้วนสมบูรณ์อย่างนี้ จึงนอนตาหลับ กินอร่อยและไม่ป่วยง่ายๆ เนื้อตัวเต่งตึงคอยปรนนิบัติรับใช้
ผัววัยไม้ใกล้ฝั่งอย่างมีความสุข ผัวที่รอวันตายก็ไม่มีความเครียด กลับจะทำให้มีเรี่ยวมีแรงกรฉับกระเฉง
ตายช้าอีกต่างหาก
โดยเฉพาะผู้ชาย ไม่ใช่พวกแก่ง่ายตายช้า ตราบใดที่ยังมีชีวิต ตราบนั้นยังอยากมีเซ็กส์อยู่ตลอด เหลือแต่เครียด
และเหนื่อยกับงานหนักมาตลอดชีวิต จู๋มันจึงปลุกไม่ค่อยขึ้น แต่ถ้าสุขภาพใจและกายแข็งแรงดีตลอด บวกกับเมีย
ของตัวเนื้อหนังยังไม่เหี่ยวย่นเหมือนผ้าขึ้ริ้ว รับรองมีแรงกระดึงกระดั๋งเผลอๆจนเลย 70 ก็ยังมีอยู่ นะจะบอกให้
จากนั้นจะเห็นเมียแก่ๆเดินตามมาข้างหลัง อาจจะมีลูกเต้าสะพายหรือกระเตงมาก
หรือไม่ก็เดินตามกันมา 2-3 คน ภาพแบบนี้ เวลามองให้ละเอียดขึ้น จะเห็นว่าหน้าตา
ของผัวกับเมียมัจะแก่โทรมพอๆกัน หรือบางทีผัวดูหน้าเด็กกว่า แบบนี้อนุมาณได้ว่า
ผัวกับเมียอายุน่าจะไล่เรี่ยกัน
ตอนเป็นหนุ่มเป็นสาวมีเมียแต่อายุน้อยก็รู้สึกมีความสุขดี แต่พอมีลูก มีหลาน เวลาผ่านไป
ปีแล้วปีเล่า 10 บ้าง 20 บ้าง 30ปีบ้าง สังขารก็ล่วงเลยกันไปตามวัย ถ้าไม่ผ่านปัญหาชีวิตมา
อย่างเหน็ดเหนื่อยมากนัก ผู้ชายมักจะดูแก่น้อยกว่าผู้หญิง อันนี้เป็นเรื่องพิสูจน์ได้
และอีกอย่างที่คนมักไม่ค่อยพูดกันคือ อารมณ์ทางเพศของผู้ชายยังสูงอยู่ เมื่อเทียบกับ
ผู้หญิงแก่ในวัยเดียวกัน นี่จึงเป็นเหตุให้ผัวมีเมียน้อย เพราะเมียบ่อลักแล้ว ตัวผัวยังเซ็กส์จัดอยู่
เป็นความจริงที่สังคมต้องเอามาตีแผ่ เมื่อสังคมไทยไม่ค่อยพูดความจริงกัน ปัญหาจึงเกิด
ถ้าชายแก่มีครอบครัวคนไหนออกมายอมรับตรงๆว่า "ผมยังเซ็กส์จัดอยู่" คงโดนตราหน้าว่าเป็น
อ้ายแก่ตัณหากลับ อ้ายเฒ่าหัวงู อ้ายแก่ไม่รู้จักปลง" คำด่า ตำหนิและค่อนแคะนี้ไม่เกิดประโยชน์อะไร
รังแต่ทำให้ผู้ชายไม่อยากพูดสิ่งที่มีอยู่ในใจ และจบลงด้วยการแอบมีเมียน้อย
อย่างว่านะ ถ้าไม่ให้แอบแล้วจะบอกให้เมียยอมรับรึ ว่าผัวยังเซ็กส์ ขอมีเมียอีกคน อย่างนี้คงไม่มีใครยอม
ผมจึงคิดของผมคนเดียว เรื่องของผม ว่าปัญหาทั้งหลายทั้งปวง สามารถแก้ได้ทั้งปัญหาสังคม
ปัญหาความต้องการทางเพศและอะไรอีกหลายเรื่อง โดยการให้ผู้ชายมีเมียที่อายุห่างกันหลายๆปี
คำถามคือหลายๆปีนี่จะเอาสักกี่ปี ต้องยอมรับความจริงว่าตอนเราเด็กๆเรียนหนังสืออยู่ เห็นรุ่นพี่
อายุห่างจากเราแค่ปีสองปีก็รู้สึกว่าเขาเหนื่อกว่าเราหลายอย่าง ทั้งวัยวุฒิ คุณวุฒิและขนาดร่างกาย
พอโตขึ้นหน่อย ถ้าเราอายุ 20 เจอคนอายุ 25 ก็รู้สึกได้ว่าเขาแก่กว่า แต่ถึงตรงนี้ก็มีผู้ชายหลายคน
เริ่มจีบคนอายุมากกว่าได้ ถ้าสวยเซ็กส์ขาดบาดใจ (และมารู้ตัวว่าคิดผิดตอนมันอายุผ่านวัย 30)
แต่พอเราอายุ 30 ปี เริ่มรู้สึกว่าคนอายุ 35 ไม่ต่างจากเราเท่าไหร่ (ยกเว้นผู้ชายที่มีเมียอายุเท่ากัน
หรือมากกว่า ย่อมรู้สึกว่าเมียดูแก่กว่าตัวเอง) แต่พอเราอายุ 40 เราจะไม่รู้สึกเลยว่าคนอายุ 45
จะต่างจากเรามากน้อยแค่ไหน และถ้าเราอายุ 50 หรือ 60 คนอายุมากกว่าเรา 10 ปีหรือน้อยกว่าเรา
10 ปีก็จะดูหง่อมๆพอๆกันหมด ไม่มีใครต่างกันเลย แต่ถ้ามีเมียอายุเท่ากัน เวลาเดินไปไหนคน
อาจคิดว่าผู้ชายเดินมากับแม่
วันก่อนเห็นนิตยสารฉบับหนึ่งมีภาพถ่ายคู่สมรสสามีภรรยาคนใหญ่โตไฮโซเมืองไทยที่ออกมา
รับพระราชทานเครื่องอิสริยาภรณ์ ยังนินทาขำๆกับคนข้างๆเวลามองรูปถ่ายบางคู่ว่า นี่เขาถ่ายรูปคู่
กับแม่หรือเมีย คือเมียจะดูแก่มากจนเป็นแม่ได้
บางคู่ผัวเป็นนายทหารนายตำรวจใหญ่โต ยังกระฉับกระเฉงหนุ่มฟ้อ แต่ที่ยืนข้างๆที่ใส่ชุดผ้าทอโบราณนี่
ดูไม่ออกว่าอันไหนเก่ากว่ากัน เหมือนมีชุดเชี่ยนหมากประดับอยู่ข้างๆในตำรวจ
บางคนคงนึกด่าผม ว่ามองแต่รูป ความรักมันอยู่ที่ใจ คนเขารักกันอยู่ด้วยกันมา 30-40 ปี มีแต่ใจให้กัน
มีแต่อคติจิตใจเป็นกุศล ชั่วช้าสารเลวที่คิดอย่างนี้ คือถ้าคิดอย่างนี้ก็จบกันอีก ไม่พูดความจริงกัน
ความรักก็เรื่องหนึ่ง แต่เรื่องความต้องการตามธรรมชาติก็เรื่องหนึ่ง ไม่ยอมคุยกันให้เข้าใจปิดหูปิดตา
หลอกตัวเองกันอยู่นั่นไง ผัวถึงได้ไปมีเมียน้อย ยิ่งใหญ่ยิ่งโตมากอาจไม่ใช่มีแค่หนึ่ง
โดยธรรมชาติแล้วผู้ชายคนไหน ต่อให้มันแก่หงำเหงือกยังไง เห็นสาวสวยหุ่นดีตรงเสปค ถ้ามันบอกว่า
ไม่รู้สึกอะไรเลย มันไม่น่าจะเป็นผู้ชาย หรือไม่ก็เหล่านั้งเคียวห่วย ตะบันน้ำกินอย่างแท้จริง (ยกวันพระ)
ถ้าเริ่มคล้อยตามให้อ่านต่อมาอีก ว่าผู้ชายกับผู้หญิงอายุห่างกันกี่ปีถึงจะถือว่ามีเมียเด็ก อันนี้ไม่บอกให้
คิดกันเอาเอง แต่ผมวิเคราะห์ว่า
มาตรฐานความเปลี่ยนแปลงในชีวิตของผู้ชายมักเป็นอย่างนี้
1. อายุ 20 ปี ยังสดใสอยู่ในวัยเรียนรู้ มีแรง มีความรู้ แต่ไร้เงินและประสบการณ์
2. อายุ 30 ปี ยังมีแรง มีความรู้ มีประสบการณ์และพอมีเงินบ้าง
3. อายุ 40 ปี พอมีแรง มีความรู้มาก ประสบการณ์แน่น เงินเต็มกระเป๋า
4. อายุ 50 ปี แรงน้อย หลงๆลืมๆ ประสบการณ์เยอะ เข้าข่ายมั่งคั่ง
5. อายุ 60 ปี หมดแรง ความจำลด ประสบการณ์ไม่มีประโยชน์ ใช้เงินไม่เป็น
6. อายุ 70 ปี ใกล้ตาย ลูกหลานแช่ง ไม่มีใครฟัง
ของผู้หญิง
1. อายุ 20 ปี ดอกไม้ผลิบานเต็มที่ ร่าเริงเบิกบาน รู้น้อย ประสบการณ์ไม่มี
2. อายุ 30 ปี ดอกไม้ใกล้โรย เครียดกับงาน หมดเงินกับการแต่งตัว
3. อายุ 40 ปี มีแต่รอยเหี่ยวช้ำ ผลาญเงินกับเครื่องสำอางค์
4. อายุ 50 ปี วัยแห่งความระแวง นอนตาไม่หลับ กินไม่อร่อย เป็นสารพัดโรค
5. อายุ 60 ปี วัยผัวแช่ง
6. อายุ 70 ปี วัยที่ทั้งผัวและลูกสะไภ้ร่วมกันแช่ง
วิธีวิเคราะห์นั้น ง่ายๆว่าถ้าเอาเลขตรงกันมาจับคู่กันหมดเลย ก็คือชายหญิงคู่ผัวเมียอายุเท่ากัน เห็นๆ
เลยว่ามีแต่ความทุกข์ เป็นวัยที่ทั้งคู่ต่างมีเหมือนกัน และไม่มีเหมือนกัน ไม่มีใครเป็นอะไรของใครได้
และไม่มีใครทดแทนให้แก่ใครได้ คู่แบบนี้เหมือนที่เราเห็นกันจนชาชิน คือพอแก่ตัวลงผัวเมียก็เลิกคุยกัน
เพราะไม่รู้จะคุยอะไรกัน ต่างคนต่างเบื่อซึ่งกันและกัน อยู่กันไปอย่างนั้นๆ และถ้าใครทนเฉาได้น้อยที่สุด
ก็เป็นฝ่ายตายก่อน
แต่ถ้าเอาเลข 1 ของชายมาคู่กับ 2 ของหญิงเป็นต้นไป
จะเห็นว่าฝ่ายชายจะมีแต่ทุกข์ทรมาน ฉะนั้นการมีเมียอายุมากกว่า จึงไม่ถูกต้องและเหมาะสมด้วยประการ
ทั้งหลายทั้งตัว
แต่ถ้าเอา 2 ของชายมาคู่กับ 1 ของหญิง จะเห็นว่าใน 10 ปีแรกเป็นปีที่มีความสุขของทั้งสองฝ่ายต่างเติมเต็ม
ให้กันและกันได้ และทดแทนในสิ่งที่อีกฝ่ายหนึ่งขาดได้
ใน 10 ปีที่สองเห็นว่าทั้งสองฝ่ายน่าจะยังรักกันอยู่ แต่ฝ่ายชายจะเริ่มเห็นว่าผู้หญิงมีหน้าที่ผลาญทรัพยากร
แต่เพียงอย่างเดียว ฉะนั้นเมื่อเข้าสู่ 10 ปีที่สามผู้ชายจะเริ่มเห็นเมียชาวบ้านสวยกว่า วัยนี้เองที่ผู้ชายเริ่ม
ออกหากิ๊ก การหย่าร้างจึงเกิดขึ้นในวัยนี้มากมาย จึงไม่ต้องดูต่อไปใน 10 ปีที่สี่ เพราะจะเหลือไม่กี่คู่
ที่ยังรักกันในช่วงนี้ แต่ที่ทนๆกันอยู่เพราะผู้ชายมันหมดแรงแล้ว ไม่มีปัญญาจะไปไหน แต่ผู้หญิงก็จะได้
แต่ร่างที่ไร้กำลังทั้งกายและใจ คุณค่ามันน้อยกว่าท่อนไม้หรือหมอนข้าง
ถ้าเอา 3 ของชายมาคู่กับ 1 ของหญิงจะเห็นว่าชายก็สุข หญิงก็สรวลสรรค์ตลอด 10 ปีแรก มาดู 10 ปีที่ 2
ชายแรงเริ่มน้อยแต่ใช้ว่าจะไม่มีแรง ก็ออกแรงกันเต็มที่ตลอด 10 ปีแรกไปแล้ว จึงมีแต่หวานชื่น เพราะผู้หญิง
นี่บานแฉ่ง ผู้ชายก็ตังค์เยอะ เงินทองใช้กันเพลิน ไม่ต้องทำงานตัวเป็นเกลียวหัวเป็นน็อต หรืออาบเหงื่อ
ต่างน้ำเลือดตาแทบกระเด็นทั้งคู่ เหมือนคู่ผัวตัวเมียอื่นๆ
มาเข้า 10 ปีที่สอง ด้วยความหลงๆลืมๆเมียจึงฉกเงินไปได้ง่าย ก็สบายเมียอีก เพราะวัยนี้ของเมีย ต้องมีเงิน
ไว้ให้แต่งตัวมากมาย เมื่อมีเงินใช้ไม่ขาดมือ ความเครียดเรื่องงานก็ไม่เกิด เมียจึงไม่บ่น เมื่อไม่บ่นผัวเมีย
ก็ยังรักกันเต็มที่ ความรักและอารมณ์ที่แจ่มใส่จะทำให้ผัวดูหนุ่มและเมียดูสาวต่อไปอีก ความรักจึงดึ๋งดั๋ง
กระเด้งหน้ากระเด้งหลังกันได้อีกพักใหญ่
เข้าสู่ 10 ปีที่ 3 ที่บอกว่าชายจะหมดแรง ก็ไม่น่าจะหมด เพราะแรงหมดเนื่องจากความเครียดและทำงานหนัก
แต่ผู้ชายไม่เครียดเลย จึงยังพอมีแรงต่อไปเรื่อยๆ ส่วนเรื่องจำอะไรไม่ค่อยได้กลับจะเป็นข้อดี เพราะเรื่องร้ายๆ
หรือข้อเสียของเมียก็จะไม่เก็บเอามาคิดเอามาบ่น และวัยนี้เริ่มใช้เงินไม่เป็นแล้ว มีเท่าไหร่ก็ยกให้เมียหมด
มีหรือเมียที่ไหนจะหน้างอ
มาดูที่ฝ่ายหญิงบ้าง พอเข้าสู่วัยที่ต้องพอกเครื่องสำอางค์ ก็มีเงินจากผัวคอยเกื้อหนุมแบบไม่บ่นอีกต่างหาก
อีกอย่างแม้ตัวจะเริ่มเหี่ยวเฉาแต่เนื่องจากผัวเริ่มจำอะไรไม่ค่อยได้ เลยจะสังเกตไม่ออกว่าเมื่อก่อนเราตึง
และกรอบร่วนขนาดไหน สีหน้าแววตาและท่าทีรังเกียจของผัวก็จะไม่เกิด โอ ชีวิตมันช่างมีความสุขนี่กระไร
บวกกับเงินทุกบาททุกสตางค์ตกเป็นของเราโดยสมบูรณ์ ยังงี้ชีวิตก็มีแต่ความหฤหรรษ์
เขาสู่ 10 ปีที่ 4 น้อยรายนักที่จะอยู่เลยช่วงนี้ ผัวมีแต่วันรอความตาย ส่วนเมียนั่งนับเงินอย่างเดียว อย่างอื่น
ไม่ต้องสนแล้ว เพราะตัวเองก็เหี่ยวได้ที่ จะไปมีความรู้สึกเซ็กส์กับใครอีกก็น้อยเต็มทน แต่ที่แน่ๆคือ ไร้ซึ่ง
ความระแวงว่าผัวจะไปมีกิ๊กมีเก็บ เพราะวัยของผัวไม่มีทางเอื้ออำนวย และตลอด 30 ปีมานี้ ด้วยความสาวของเมีย
ผัวคงนอนเฉาะทุกคืนไม่มีว่างเว้น ไม่ทันมีเวลาว่างไปหากิ๊กแน่นอน รับรองว่าวันตายของผัว คงไม่มีสาววัยรุ่น
ที่ไหนจูงลูกมาแล้วขอแบ่งสมบัติแน่นอน
ด้วยเงื่อนไขที่ครบถ้วนสมบูรณ์อย่างนี้ จึงนอนตาหลับ กินอร่อยและไม่ป่วยง่ายๆ เนื้อตัวเต่งตึงคอยปรนนิบัติรับใช้
ผัววัยไม้ใกล้ฝั่งอย่างมีความสุข ผัวที่รอวันตายก็ไม่มีความเครียด กลับจะทำให้มีเรี่ยวมีแรงกรฉับกระเฉง
ตายช้าอีกต่างหาก
โดยเฉพาะผู้ชาย ไม่ใช่พวกแก่ง่ายตายช้า ตราบใดที่ยังมีชีวิต ตราบนั้นยังอยากมีเซ็กส์อยู่ตลอด เหลือแต่เครียด
และเหนื่อยกับงานหนักมาตลอดชีวิต จู๋มันจึงปลุกไม่ค่อยขึ้น แต่ถ้าสุขภาพใจและกายแข็งแรงดีตลอด บวกกับเมีย
ของตัวเนื้อหนังยังไม่เหี่ยวย่นเหมือนผ้าขึ้ริ้ว รับรองมีแรงกระดึงกระดั๋งเผลอๆจนเลย 70 ก็ยังมีอยู่ นะจะบอกให้
..สักวันจะเก่งเหมือนพี่บ้าง..
-
- Verified User
- โพสต์: 31
- ผู้ติดตาม: 0
ขำขำ คลายเครียด
โพสต์ที่ 223
เรื่องวุ่น ๆ ของคนชอบเปลี่ยนช่องทีวี
สวัสดีครับท่านผู้ชมทุกท่าน ช่อง 3 เปิดสถานีวันนี้มาพบกับ
*เปลี่ยนช่อง
สินค้าสุขภัณฑ์ในครัวเรือนของคุณต้องได้รับการปกป้องคุ้มครองจาก....
*เปลี่ยนช่อง
กองกำลังผสม ซึ่งนำโดยสหรัฐอเมริกาและอังกฤษได้บุกเข้าสู่...
*เปลี่ยนช่อง
สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 7ร่วมกับ...
*เปลี่ยนช่อง
นางอองซาน ซูจี และสมาชิกพรรคเอ็นแอลดี ถูกกักบริเวณให้อยู่แต่ใน...
*เปลี่ยนช่อง
ทะเลทรายซาฮาร่า มีสิ่งมหัศจรรย์มากมานที่รอการ...
*เปลี่ยนช่อง
ปราบปรามกลุ่มผู้มีอิทธิพลเหล่านี้ มันถึงเวลาแล้วที่เราจะ...
*เปลี่ยนช่อง
เซเลอร์มูนเปลี่ยนร่างเป็น...
*เปลี่ยนช่อง
ประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิลยูบุช และ นายโทนี่ แบล์ได้พบปะหารือกันเพื่อ...
*เปลี่ยนช่อง
สุขภาพของลูกน้อย ผ้าอ้อมแพมเพอร์สดีต่อ...
*เปลี่ยนช่อง
หน้าฉัน เธอทำอย่างนั้นได้อย่างไร...
*เปลี่ยนช่อง
ทำได้โดยการยิงประตูขึ้นนำในนาทีที่25โดย...
*เปลี่ยนช่อง
อีหล้า!อีลูกไม่รักดี ตอนแกเกิดฉันน่าจะ...
*เปลี่ยนช่อง
โอม มะลึกกึ๊กกึ๋ย...
*เปลี่ยนช่อง
เมื่อพระสงฆ์สวดคาถาจบแล้วลำดับต่อไป...
*เปลี่ยนช่อง
เชิญพบกับข่าวต่างประเทศ เราจะเริ่มกันที่การประชุม APEC ซึ่งได้ข้อสรุปว่า...
*เปลี่ยนช่อง
แมลงสาป น่าเกลี๊ยดน่าเกลียด ไต่กันยั้วเยี้ย ทำลายข้าวของ วันนี้เรา...
*เปลี่ยนช่อง
ไม่รอให้ฟ้า ให้ดิน ลิขิต ไม่ปล่อยให้ชีวิตผ่านไป ไม่ว่า...
*เปลี่ยนช่อง
การอภิปรายไม่ไว้วางใจวันนี้ อาจมีข้อขัดแย้งอยู่บ้าง แต่ในที่สุด...
*เปลี่ยนช่อง
สหรัฐอเมริกา ก็ประกาศอิสรภาพในวันที่ 4 ก.ค. ซึ่งส่งผลให้...
*เปลี่ยนช่อง
คำตอบนะครับ ถูกต้องนะคร้าบ!!!
*เปลี่ยนช่อง
ไชโย ไชโยไชโย กินเหล้าขวดโตแล้วหาแฟนใหม่ แฟนเก่าเขา...(เป็นเพลงอ่ะ)
*เปลี่ยนช่อง
คือนักสู้ผู้ยิ่งใหญ่คือคนไทยผู้ยิ่งยง...
*เปลี่ยนช่อง
แล้วพบกันใหม่เวลา 5 นาฬิกา สำหรับตอนนี้สวัสดีครับ
*ปิดทีวี
สวัสดีครับท่านผู้ชมทุกท่าน ช่อง 3 เปิดสถานีวันนี้มาพบกับ
*เปลี่ยนช่อง
สินค้าสุขภัณฑ์ในครัวเรือนของคุณต้องได้รับการปกป้องคุ้มครองจาก....
*เปลี่ยนช่อง
กองกำลังผสม ซึ่งนำโดยสหรัฐอเมริกาและอังกฤษได้บุกเข้าสู่...
*เปลี่ยนช่อง
สถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 7ร่วมกับ...
*เปลี่ยนช่อง
นางอองซาน ซูจี และสมาชิกพรรคเอ็นแอลดี ถูกกักบริเวณให้อยู่แต่ใน...
*เปลี่ยนช่อง
ทะเลทรายซาฮาร่า มีสิ่งมหัศจรรย์มากมานที่รอการ...
*เปลี่ยนช่อง
ปราบปรามกลุ่มผู้มีอิทธิพลเหล่านี้ มันถึงเวลาแล้วที่เราจะ...
*เปลี่ยนช่อง
เซเลอร์มูนเปลี่ยนร่างเป็น...
*เปลี่ยนช่อง
ประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิลยูบุช และ นายโทนี่ แบล์ได้พบปะหารือกันเพื่อ...
*เปลี่ยนช่อง
สุขภาพของลูกน้อย ผ้าอ้อมแพมเพอร์สดีต่อ...
*เปลี่ยนช่อง
หน้าฉัน เธอทำอย่างนั้นได้อย่างไร...
*เปลี่ยนช่อง
ทำได้โดยการยิงประตูขึ้นนำในนาทีที่25โดย...
*เปลี่ยนช่อง
อีหล้า!อีลูกไม่รักดี ตอนแกเกิดฉันน่าจะ...
*เปลี่ยนช่อง
โอม มะลึกกึ๊กกึ๋ย...
*เปลี่ยนช่อง
เมื่อพระสงฆ์สวดคาถาจบแล้วลำดับต่อไป...
*เปลี่ยนช่อง
เชิญพบกับข่าวต่างประเทศ เราจะเริ่มกันที่การประชุม APEC ซึ่งได้ข้อสรุปว่า...
*เปลี่ยนช่อง
แมลงสาป น่าเกลี๊ยดน่าเกลียด ไต่กันยั้วเยี้ย ทำลายข้าวของ วันนี้เรา...
*เปลี่ยนช่อง
ไม่รอให้ฟ้า ให้ดิน ลิขิต ไม่ปล่อยให้ชีวิตผ่านไป ไม่ว่า...
*เปลี่ยนช่อง
การอภิปรายไม่ไว้วางใจวันนี้ อาจมีข้อขัดแย้งอยู่บ้าง แต่ในที่สุด...
*เปลี่ยนช่อง
สหรัฐอเมริกา ก็ประกาศอิสรภาพในวันที่ 4 ก.ค. ซึ่งส่งผลให้...
*เปลี่ยนช่อง
คำตอบนะครับ ถูกต้องนะคร้าบ!!!
*เปลี่ยนช่อง
ไชโย ไชโยไชโย กินเหล้าขวดโตแล้วหาแฟนใหม่ แฟนเก่าเขา...(เป็นเพลงอ่ะ)
*เปลี่ยนช่อง
คือนักสู้ผู้ยิ่งใหญ่คือคนไทยผู้ยิ่งยง...
*เปลี่ยนช่อง
แล้วพบกันใหม่เวลา 5 นาฬิกา สำหรับตอนนี้สวัสดีครับ
*ปิดทีวี
-
- Verified User
- โพสต์: 31
- ผู้ติดตาม: 0
ขำขำ คลายเครียด
โพสต์ที่ 224
ประวัติของ......
เจี้ยว......เดิมทีเป็นสัตว์ชนิดหนึ่ง
ตัวสีดำ.....ซึ่งเกิดมาพร้อมกับ อดัมและอีฟ....
อยู่ในสวนเอเทนนับว่าเจี้ยวเป็นสัตว์ตัวแรกของโลกก็ว่าได้.......
อีฟ......ซึ่งชอบและหลงไหลในเจี้ยวเป็นอย่างมาก.....
เวลานอนต้องนอนกอดเจี้ยว.................
กินก็ต้องกินกับเจี้ยว.....................อาบน้ำก็ต้องอาบน้ำกับเจี้ยวทุกๆ วัน.....
เวลาส่วนมากจะอยู่กับเจี้ยวทั้งสิ้น.....
อดัม......ซื่งทนไม่ได้เมื่อเห็นหญิงซึ่งเกิดมาพร้อมกับตนจะชอบเจี้ยวมากกว่าตน
ซึ่งเป็นผู้ชายแท้ๆ ความอิจฉาจึงเกิดขึ้น......
จึงได้วางแผนกำจัดเจี้ยวเสียให้พ้นทาง............
และแล้วโอกาสก็มาถึง........
วันนั้น....อีฟนั่งตกเบ็ดอยู่ที่ริมสระ.....ในสวนเอเทน......ซึ่งเจี้ยวไม่ได้อยู่กับอีฟด้วย
อดัมคิด.......เจี้ยวต้องอยู่ที่บ้านแน่นอน........
อดัมจึงตรงดิ่ง......เข้าไปที่บ้านหวังกำจัดเจี้ยวให้สิ้นซาก....
เมื่อไปถึง........เจี้ยวซึ่งนอนอยู่บนเตียง......แผ่ไข่อย่างไม่อายใคร.......
อดัมเดินย่องเข้าไปหา.........เจี้ยวได้ยินเสียงฝีเท้า....โผล่หัวจ้องมองทันที
เจี้ยวตาเดียว.....มองอดัมอย่างไม่คิดอะไร.......พาลดีใจ......
วิ่งเข้าไปหาอดัมหวังว่าอดัมคงจะหยอกตนแบบอีฟ....
และแล้วเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น......อดัม.....เอามือคว้าคอของเจี้ยวขึ้นมา.......
บิดไปบิดมา.....มืออีกมือก็จับที่ไข่ เขย่าซ้าย เขย่าขวา โยกไปมา.....
จนเจี้ยวทนไม่ไหว.......
\"เลือดสีขาวขุ่นก็ทะลักออกมาจากตาเพียงดวงเดียว......ตายคามือทันที\"
สมใจกู โดยแท้........ตายซะเถอะ ไอ้เจี้ยว!!\"
อดัมกล่าวออกมาอย่างสะใจ
เมื่อเจี้ยวตายไป.....วิญญาณ.................ได้เข้าไปหายมบาลของเจี้ยว......
ยมบาลเจี้ยว......\" เจ้าเป็นอะไรตาย \"
เจี้ยว..............\" โดนอดัมทำร้ายครับ เค้าบีบผมจนตายคามือเค้าเลย \"
ยมบาลเจี้ยว....\" เจ้ายังไม่ถึงฆาตนี่ ไป กลับไปเกิดใหม่ \"
เจี้ยว..............\" ไม่เอาแล้วท่าน กลับไปเดี๋ยวอดัมเค้าบีบผมอีก....เค้าเกลียดผมจะตาย \"
ยมบาลเจี้ยว....\" งั้นข้าจะให้พรเจ้า 3 ประการก่อนไปเกิดใหม่ ดีไหม........เอ้าเร็วขอมา \"
เจี้ยว..............\" ดีคับ.......งั้นผมขอเลยละกัน \"
1.ขอให้ผมได้ใกล้ชิดกับอดัม ให้อดัมรักและถนอมผมไม่ทำร้ายผมอีกต่อไป
2.เมื่ออดัมมีความสุข......ก็ขอให้ผมมีความสุขไปด้วย
3.และเมื่อผมมีความสุข.....ขอให้แบ่งปั่นความสุขนี้ให้อีฟด้วย
ยมบาลเจี้ยว.....\" ได้.....งั้นเจ้าไปเกิดเลยเดี๋ยวนี้..... \"
แว๊บบบบบบบบบบบ!!
เมื่อเจี้ยวไปเกิดใหม่......................
พรขอแรกก็ได้สัมฤิทธิ์ผล....เจี้ยวได้ใกล้ชิดกับอดัม....ซึ่งอยู่หว่างขาของอดัม
พรข้อสอง......เมื่ออดัมฝันเปียก...เจี้ยวก็ฝันเปียกไปด้วย...เจี้ยวจึงมีความสุขไปกับอดัม
เหลือพรข้อสาม....
เวลาผ่านไป...นานแสนนาน...พรสามข้อก็ได้สัมฤทธิ์ผล.....
อดัมและอีฟได้แอบมีอะไรกัน กลายเป็นมนุษย์คู่แรกของโลก และโดนขับไล่ออกจากสวนเอเทน..........
ปล.แต่ยังมีอดัมบางพวกที่ยังระลึกชาติได้และยังเกลียดเจี้ยวอยู่
เช่น.....
กระเทย.......เกย์......ซึ่งไม่ต้องการเจี้ยว....และได้ตัดเจี้ยวทิ้งไป
เจี้ยว......เดิมทีเป็นสัตว์ชนิดหนึ่ง
ตัวสีดำ.....ซึ่งเกิดมาพร้อมกับ อดัมและอีฟ....
อยู่ในสวนเอเทนนับว่าเจี้ยวเป็นสัตว์ตัวแรกของโลกก็ว่าได้.......
อีฟ......ซึ่งชอบและหลงไหลในเจี้ยวเป็นอย่างมาก.....
เวลานอนต้องนอนกอดเจี้ยว.................
กินก็ต้องกินกับเจี้ยว.....................อาบน้ำก็ต้องอาบน้ำกับเจี้ยวทุกๆ วัน.....
เวลาส่วนมากจะอยู่กับเจี้ยวทั้งสิ้น.....
อดัม......ซื่งทนไม่ได้เมื่อเห็นหญิงซึ่งเกิดมาพร้อมกับตนจะชอบเจี้ยวมากกว่าตน
ซึ่งเป็นผู้ชายแท้ๆ ความอิจฉาจึงเกิดขึ้น......
จึงได้วางแผนกำจัดเจี้ยวเสียให้พ้นทาง............
และแล้วโอกาสก็มาถึง........
วันนั้น....อีฟนั่งตกเบ็ดอยู่ที่ริมสระ.....ในสวนเอเทน......ซึ่งเจี้ยวไม่ได้อยู่กับอีฟด้วย
อดัมคิด.......เจี้ยวต้องอยู่ที่บ้านแน่นอน........
อดัมจึงตรงดิ่ง......เข้าไปที่บ้านหวังกำจัดเจี้ยวให้สิ้นซาก....
เมื่อไปถึง........เจี้ยวซึ่งนอนอยู่บนเตียง......แผ่ไข่อย่างไม่อายใคร.......
อดัมเดินย่องเข้าไปหา.........เจี้ยวได้ยินเสียงฝีเท้า....โผล่หัวจ้องมองทันที
เจี้ยวตาเดียว.....มองอดัมอย่างไม่คิดอะไร.......พาลดีใจ......
วิ่งเข้าไปหาอดัมหวังว่าอดัมคงจะหยอกตนแบบอีฟ....
และแล้วเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น......อดัม.....เอามือคว้าคอของเจี้ยวขึ้นมา.......
บิดไปบิดมา.....มืออีกมือก็จับที่ไข่ เขย่าซ้าย เขย่าขวา โยกไปมา.....
จนเจี้ยวทนไม่ไหว.......
\"เลือดสีขาวขุ่นก็ทะลักออกมาจากตาเพียงดวงเดียว......ตายคามือทันที\"
สมใจกู โดยแท้........ตายซะเถอะ ไอ้เจี้ยว!!\"
อดัมกล่าวออกมาอย่างสะใจ
เมื่อเจี้ยวตายไป.....วิญญาณ.................ได้เข้าไปหายมบาลของเจี้ยว......
ยมบาลเจี้ยว......\" เจ้าเป็นอะไรตาย \"
เจี้ยว..............\" โดนอดัมทำร้ายครับ เค้าบีบผมจนตายคามือเค้าเลย \"
ยมบาลเจี้ยว....\" เจ้ายังไม่ถึงฆาตนี่ ไป กลับไปเกิดใหม่ \"
เจี้ยว..............\" ไม่เอาแล้วท่าน กลับไปเดี๋ยวอดัมเค้าบีบผมอีก....เค้าเกลียดผมจะตาย \"
ยมบาลเจี้ยว....\" งั้นข้าจะให้พรเจ้า 3 ประการก่อนไปเกิดใหม่ ดีไหม........เอ้าเร็วขอมา \"
เจี้ยว..............\" ดีคับ.......งั้นผมขอเลยละกัน \"
1.ขอให้ผมได้ใกล้ชิดกับอดัม ให้อดัมรักและถนอมผมไม่ทำร้ายผมอีกต่อไป
2.เมื่ออดัมมีความสุข......ก็ขอให้ผมมีความสุขไปด้วย
3.และเมื่อผมมีความสุข.....ขอให้แบ่งปั่นความสุขนี้ให้อีฟด้วย
ยมบาลเจี้ยว.....\" ได้.....งั้นเจ้าไปเกิดเลยเดี๋ยวนี้..... \"
แว๊บบบบบบบบบบบ!!
เมื่อเจี้ยวไปเกิดใหม่......................
พรขอแรกก็ได้สัมฤิทธิ์ผล....เจี้ยวได้ใกล้ชิดกับอดัม....ซึ่งอยู่หว่างขาของอดัม
พรข้อสอง......เมื่ออดัมฝันเปียก...เจี้ยวก็ฝันเปียกไปด้วย...เจี้ยวจึงมีความสุขไปกับอดัม
เหลือพรข้อสาม....
เวลาผ่านไป...นานแสนนาน...พรสามข้อก็ได้สัมฤทธิ์ผล.....
อดัมและอีฟได้แอบมีอะไรกัน กลายเป็นมนุษย์คู่แรกของโลก และโดนขับไล่ออกจากสวนเอเทน..........
ปล.แต่ยังมีอดัมบางพวกที่ยังระลึกชาติได้และยังเกลียดเจี้ยวอยู่
เช่น.....
กระเทย.......เกย์......ซึ่งไม่ต้องการเจี้ยว....และได้ตัดเจี้ยวทิ้งไป
- por_jai
- Verified User
- โพสต์: 14338
- ผู้ติดตาม: 0
ขำขำ คลายเครียด
โพสต์ที่ 225
แม่นจนไม่น่าเชื่อ
เรื่องสนุกๆ ไม่คาดคิด ในร้านอาหารอิตาเลียนแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ นี่แหละครับ มีบัญชากับ มาลี สองสามีภรรยาเป็นเจ้าของ ทั้งสองคนช่วยกันทำมาหากินมีความสุขไปตามอัตภาพ เที่ยงวันหนึ่ง.... มี ชายตาบอด คนหนึ่งเดินเข้ามาในร้าน
บัญชาซึ่งขณะนั้นอยู่หน้าร้านพอดี
ก็รีบไปเปิดประตูต้อนรับพร้อมกับจัดที่นั่งดีที่สุด
"จะรับอะไรไม่ทราบครับ" บัญชาถาม พร้อมกับจัดเก้าอี้ให้เข้าที่เข้าทาง
"คุณก็เห็นผมตาบอด อ่านเมนูของคุณไม่ได้
คงตอบอะไรคุณไม่ได้หรอกว่าอยากกินอะไร"
ชายตาบอดตอบและ...บอกต่อไปว่า
"เอาอย่างนี้ คุณหาช้อนหรือส้อมที่ลูกค้าคนอื่นๆ
ทานเสร็จมาให้ผมด้วยก็แล้วกัน"
บัญชางง ไม่รู้ว่าชายตาบอดจะมาอีท่าไหน แต่...ก็ยอมทำโดยดี
เขาหยิบส้อมจากโต๊ะ ข้างๆ ที่เพิ่งลุกออกไป
แต่ยังไม่ได้เก็บโต๊ะมาให้ชายตาบอด
ชายตาบอดรับส้อมจากมือบัญชาแล้วนำมาจ่อที่จมูกของตัวเอง
"อืมมม... มักกะโรนีเนื้อราดด้วยซอส มะเขือเทศ " ชายตาบอดตอบเหมือนมองเห็น
"ผมเอานี่แหละช่วยทำให้ผมด้วย "
บัญชางงอีกเป็นคำรบสองเพราะไม่คาดคิดว่าชายตาบอดคนนี้จะมีความสามารถพิเศษ
ล้ำลึกถึงเพียงนี้
เขาเดินเข้าครัว แล้วเล่าเรื่องนี้ให้ มาลีฟัง
" .....มาคราวหน้าเถอะฉันจะทดสอบดูว่าจะแม่นอย่างวันนี้หรือเปล่า"
บัญชาบอกกับมาลีซึ่งเธอก็ได้แต่รับฟัง แต่...ไม่สนใจอะไรมากนัก
หลังจากวันนั้นบัญชารอลูกค้าคนเดียวของเขา ซึ่งก็คือชายตาบอด
แต่เขาต้องรอถึงสองสามอาทิตย์
และ....ทันทีที่เห็นลูกค้าคนสำคัญเข้ามาเขารีบวิ่งหาทันที
เมื่อนั่งเรียบร้อยแล้ว บัญชายืนรอคำสั่งให้ไปหาส้อมมาให้ดมเมื่อชายตาบอดบอก
"รอแป๊บหนึ่งนะครับ " บัญชา พอเห็น
.........เท่านั้นแหละบัญชารีบวิ่งเข้าไปในครัวบอกกับมาลีว่า
"มาแล้ว...มาแล้ว.....เขามาแล้ว"
มาลีงง " อะไรกัน .... "
"คนตาบอดมาแล้ว.....ฉันจะทดสอบเขาว่าคราวนี้แม่นจริงไหม และแน่ไหม...เอานี่"
บัญชาพูด พร้อมกับยื่นส้อมอันหนึ่งให้มาลี
"เธอเอามันถูกกับกางเกงในด้านหน้าของเธอนะ" มาลีรับมาอย่างงงๆ
ก่อนจะเลิกกระโปรงขึ้น เอาส้อมถูๆ ตามสามีบอกอย่างเสียมิได้
แล้วส่งคืนให้บัญชา
เมื่อได้แล้วบัญชารีบวิ่งออกมาข้างนอกแล้วส่งส้อมให้ชายตาบอด
บอดอัจฉริยะทำเหมือนครั้งก่อน คือ ดม......
คราวนี้เขาสูดหายใจลึกกว่าปกติ และดมหลายรอบมาก ก่อนจะยิ้มกว้างแล้วบอกว่า
"....อืมม... ผมไม่รู้มาก่อนเลยนะนี่ว่า มาลี ทำงานที่นี่ด้วย"
เรื่องสนุกๆ ไม่คาดคิด ในร้านอาหารอิตาเลียนแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ นี่แหละครับ มีบัญชากับ มาลี สองสามีภรรยาเป็นเจ้าของ ทั้งสองคนช่วยกันทำมาหากินมีความสุขไปตามอัตภาพ เที่ยงวันหนึ่ง.... มี ชายตาบอด คนหนึ่งเดินเข้ามาในร้าน
บัญชาซึ่งขณะนั้นอยู่หน้าร้านพอดี
ก็รีบไปเปิดประตูต้อนรับพร้อมกับจัดที่นั่งดีที่สุด
"จะรับอะไรไม่ทราบครับ" บัญชาถาม พร้อมกับจัดเก้าอี้ให้เข้าที่เข้าทาง
"คุณก็เห็นผมตาบอด อ่านเมนูของคุณไม่ได้
คงตอบอะไรคุณไม่ได้หรอกว่าอยากกินอะไร"
ชายตาบอดตอบและ...บอกต่อไปว่า
"เอาอย่างนี้ คุณหาช้อนหรือส้อมที่ลูกค้าคนอื่นๆ
ทานเสร็จมาให้ผมด้วยก็แล้วกัน"
บัญชางง ไม่รู้ว่าชายตาบอดจะมาอีท่าไหน แต่...ก็ยอมทำโดยดี
เขาหยิบส้อมจากโต๊ะ ข้างๆ ที่เพิ่งลุกออกไป
แต่ยังไม่ได้เก็บโต๊ะมาให้ชายตาบอด
ชายตาบอดรับส้อมจากมือบัญชาแล้วนำมาจ่อที่จมูกของตัวเอง
"อืมมม... มักกะโรนีเนื้อราดด้วยซอส มะเขือเทศ " ชายตาบอดตอบเหมือนมองเห็น
"ผมเอานี่แหละช่วยทำให้ผมด้วย "
บัญชางงอีกเป็นคำรบสองเพราะไม่คาดคิดว่าชายตาบอดคนนี้จะมีความสามารถพิเศษ
ล้ำลึกถึงเพียงนี้
เขาเดินเข้าครัว แล้วเล่าเรื่องนี้ให้ มาลีฟัง
" .....มาคราวหน้าเถอะฉันจะทดสอบดูว่าจะแม่นอย่างวันนี้หรือเปล่า"
บัญชาบอกกับมาลีซึ่งเธอก็ได้แต่รับฟัง แต่...ไม่สนใจอะไรมากนัก
หลังจากวันนั้นบัญชารอลูกค้าคนเดียวของเขา ซึ่งก็คือชายตาบอด
แต่เขาต้องรอถึงสองสามอาทิตย์
และ....ทันทีที่เห็นลูกค้าคนสำคัญเข้ามาเขารีบวิ่งหาทันที
เมื่อนั่งเรียบร้อยแล้ว บัญชายืนรอคำสั่งให้ไปหาส้อมมาให้ดมเมื่อชายตาบอดบอก
"รอแป๊บหนึ่งนะครับ " บัญชา พอเห็น
.........เท่านั้นแหละบัญชารีบวิ่งเข้าไปในครัวบอกกับมาลีว่า
"มาแล้ว...มาแล้ว.....เขามาแล้ว"
มาลีงง " อะไรกัน .... "
"คนตาบอดมาแล้ว.....ฉันจะทดสอบเขาว่าคราวนี้แม่นจริงไหม และแน่ไหม...เอานี่"
บัญชาพูด พร้อมกับยื่นส้อมอันหนึ่งให้มาลี
"เธอเอามันถูกกับกางเกงในด้านหน้าของเธอนะ" มาลีรับมาอย่างงงๆ
ก่อนจะเลิกกระโปรงขึ้น เอาส้อมถูๆ ตามสามีบอกอย่างเสียมิได้
แล้วส่งคืนให้บัญชา
เมื่อได้แล้วบัญชารีบวิ่งออกมาข้างนอกแล้วส่งส้อมให้ชายตาบอด
บอดอัจฉริยะทำเหมือนครั้งก่อน คือ ดม......
คราวนี้เขาสูดหายใจลึกกว่าปกติ และดมหลายรอบมาก ก่อนจะยิ้มกว้างแล้วบอกว่า
"....อืมม... ผมไม่รู้มาก่อนเลยนะนี่ว่า มาลี ทำงานที่นี่ด้วย"
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
-
- Verified User
- โพสต์: 1817
- ผู้ติดตาม: 0
ขำขำ คลายเครียด
โพสต์ที่ 226
ได้จาก fwd mail ครับ
ยกเลิกบัตรเครดิต-
ลองอ่านดู ตอนใกล้จบตลกดี
อย่าลืมยกเลิกบัตรเครดิตของคุณก่อนตายนะคะ มันสำคัญมาก สิ่งที่จะเล่าต่อไปนี้อาจเกิดขึ้นได้กับคนทุกคน
เพราะส่วนบริการลูกค้ามักจะเป็นเช่นนี้
นางแจ่มชัดเสียชีวิตไปเมื่อเดือนมกราคมปีนี้เอง ธนาคารซิตี้แบงค์ได้ส่งใบเรียกเงินมาเก็บค่าธรรม
เนียมประจำปีของบัตรเครดิตซึ่งมาถึงเธอในเดือนกุมภาพันธ์และมีนาคมพร้อมทั้งเรียกเก็บค่าปรับที่เธอ
ชำระช้าพร้อมดอกเบี้ยของยอดที่เรียกเก็บ ซึ่งในความเป็นจริง เธอไม่ได้ใช้บัตรนั้นมาตั้งแต่วันที่ตาย แต่
บัดนี้ยอดทั้งหมดที่เรียกเก็บกลายเป็นจำนวนสองพันกว่าบาทเข้าไปแล้ว ญาติของเธอจึงโทรศัพท์ไปยัง
ธนาคาร
เชิญอ่านการโต้ตอบ
ญาติผู้ตาย : ดิฉันโทร. มาแจ้งว่าคุณแจ่มชัดเสียชีวิตแล้วค่ะตั้งแต่เดือนมกราคม
เจ้าหน้าที่ธนาคาร : ยังไม่มีการแจ้งปิดบัญชีนะคะ ดังนั้นค่าปรับการชำระช้าจึงต้องเรียกเก็บค่ะ
ญาติผู้ตาย : งั้นช่วยยกเลิกบัตรให้ดีไหมคะ
เจ้าหน้าที่ธนาคาร : แต่มันช้ามาสองเดือนแล้วนะคะที่เรียกเก็บไม่ได้ และธนาคารได้ออกใบเรียกเก็บ
ไปแล้วค่ะ
ญาติผู้ตาย : ตามปกติถ้าลูกค้าเกิดตายไป ทางธนาคารจะจัดการอย่างไรต่อคะ
เจ้าหน้าที่ธนาคาร : เราอาจต้องแจ้งหน่วยคดีฉ้อโกงหรือไม่ก็แจ้งไปยังเครดิตบูโร
(ส่วนงานที่จะคอยเก็บประวัติการมีเครดิตของคน ประเทศไทยก็มีค่ะ) หรือไม่ก็แจ้งไปทั้งสองที่ค่ะ
ญาติผู้ตาย : แล้วยมบาลจะโกรธเธอไหมคะ? (ฉันชอบคำถามนี้ของตัวเองจริงๆ)
เจ้าหน้าที่ธนาคาร : อะไรนะคะ?
ญาติผู้เสียชีวิต : คุณได้ยินหรือเปล่าคะที่ดิฉันบอกว่าเธอตายไปแล้วน่ะค่ะ
เจ้าหน้าที่ธนาคาร : รอสักครู่ค่ะ คุยกะหัวหน้าดีกว่าค่ะ
สักครู่หัวหน้ารับโทรศัพท์ไปพูดต่อ
ญาติผู้เสียชีวิต : ดิฉันโทร.มาแจ้งให้ทราบว่า เจ้าของบัตรเสียชีวิตไปตั้งแต่เดือนมกราแล้วค่ะ
เจ้าหน้าที่ธนาคาร : ยังไม่มีการแจ้งปิดบัญชีนะครับ ดังนั้นค่าปรับการชำระช้าจึงต้องเรียกเก็บครับ
(สงสัยเป็นประโยคที่ทางธนาคารมีไว้ให้ใช้ตอบกับลูกค้า)
ญาติผู้เสียชีวิต : หมายความว่าจะต้องเรียกเก็บจากที่ดินของเธอหรือคะ
เจ้าหน้าที่ธนาคาร : (ชักเริ่มติดอ่าง) คุณเป็นทนายความของเธอหรือครับ?
ญาติผู้เสียชีวิต : เปล่าค่ะ ดิฉันเป็นเหลนของเธอน่ะค่ะ (ทนายสอนให้บอกเช่นนี้)
เจ้าหน้าที่ธนาคาร : กรุณาช่วยแฟกซ์มรณบัตรของเธอมาได้ไหมครับ
ญาติผู้เสียชีวิต : ยินดีค่ะ (ทางธนาคารแจ้งเบอร์แฟกซ์)
หลังจากได้รับแฟกซ์เรียบร้อย
เจ้าหน้าที่ธนาคาร : ทางระบบของเราไม่ได้บอกว่าจะให้จัดการอย่างไรในกรณีที่ลูกค้าเสียชีวิต ผมก็
ไม่ทราบจะช่วยเหลือได้อย่างไร
ญาติผู้เสียชีวิต : อ๋อค่ะ คิดต่อไปนะคะ ถ้ายังคิดไม่ออกก็เรียกเก็บเงินเธอไปเรื่อย ๆ แล้วกัน เธอคง
ไม่ว่าอะไรหรอกค่ะ
เจ้าหน้าที่ธนาคาร : ครับ ค่าปรับการชำระช้าก็ต้องเรียกเก็บต่อไปนะครับ
(มันเป็นห่ะอะไรของมันวะ!!!)
ญาติผู้เสียชีวิต : ไม่ทราบต้องการที่อยู่ใหม่ของคุณยายทวดไหมคะ
เจ้าหน้าที่ธนาคาร : ดีเลยครับ
ญาติผู้เสียชีวิต : ปากน้ำ แม่น้ำเจ้าพระยา สมุทรปราการค่ะ
เจ้าหน้าที่ธนาคาร : ขอประทานโทษครับ นั่นมันเป็นแม่น้ำนี่ครับ
ญาติผู้เสียชีวิต : อ้าว แล้วเวลาญาติพวกคุณตาย เอาอังคารไปลอยแถวไหนหรือคะ
จบแล้วค่ะ !
ยกเลิกบัตรเครดิต-
ลองอ่านดู ตอนใกล้จบตลกดี
อย่าลืมยกเลิกบัตรเครดิตของคุณก่อนตายนะคะ มันสำคัญมาก สิ่งที่จะเล่าต่อไปนี้อาจเกิดขึ้นได้กับคนทุกคน
เพราะส่วนบริการลูกค้ามักจะเป็นเช่นนี้
นางแจ่มชัดเสียชีวิตไปเมื่อเดือนมกราคมปีนี้เอง ธนาคารซิตี้แบงค์ได้ส่งใบเรียกเงินมาเก็บค่าธรรม
เนียมประจำปีของบัตรเครดิตซึ่งมาถึงเธอในเดือนกุมภาพันธ์และมีนาคมพร้อมทั้งเรียกเก็บค่าปรับที่เธอ
ชำระช้าพร้อมดอกเบี้ยของยอดที่เรียกเก็บ ซึ่งในความเป็นจริง เธอไม่ได้ใช้บัตรนั้นมาตั้งแต่วันที่ตาย แต่
บัดนี้ยอดทั้งหมดที่เรียกเก็บกลายเป็นจำนวนสองพันกว่าบาทเข้าไปแล้ว ญาติของเธอจึงโทรศัพท์ไปยัง
ธนาคาร
เชิญอ่านการโต้ตอบ
ญาติผู้ตาย : ดิฉันโทร. มาแจ้งว่าคุณแจ่มชัดเสียชีวิตแล้วค่ะตั้งแต่เดือนมกราคม
เจ้าหน้าที่ธนาคาร : ยังไม่มีการแจ้งปิดบัญชีนะคะ ดังนั้นค่าปรับการชำระช้าจึงต้องเรียกเก็บค่ะ
ญาติผู้ตาย : งั้นช่วยยกเลิกบัตรให้ดีไหมคะ
เจ้าหน้าที่ธนาคาร : แต่มันช้ามาสองเดือนแล้วนะคะที่เรียกเก็บไม่ได้ และธนาคารได้ออกใบเรียกเก็บ
ไปแล้วค่ะ
ญาติผู้ตาย : ตามปกติถ้าลูกค้าเกิดตายไป ทางธนาคารจะจัดการอย่างไรต่อคะ
เจ้าหน้าที่ธนาคาร : เราอาจต้องแจ้งหน่วยคดีฉ้อโกงหรือไม่ก็แจ้งไปยังเครดิตบูโร
(ส่วนงานที่จะคอยเก็บประวัติการมีเครดิตของคน ประเทศไทยก็มีค่ะ) หรือไม่ก็แจ้งไปทั้งสองที่ค่ะ
ญาติผู้ตาย : แล้วยมบาลจะโกรธเธอไหมคะ? (ฉันชอบคำถามนี้ของตัวเองจริงๆ)
เจ้าหน้าที่ธนาคาร : อะไรนะคะ?
ญาติผู้เสียชีวิต : คุณได้ยินหรือเปล่าคะที่ดิฉันบอกว่าเธอตายไปแล้วน่ะค่ะ
เจ้าหน้าที่ธนาคาร : รอสักครู่ค่ะ คุยกะหัวหน้าดีกว่าค่ะ
สักครู่หัวหน้ารับโทรศัพท์ไปพูดต่อ
ญาติผู้เสียชีวิต : ดิฉันโทร.มาแจ้งให้ทราบว่า เจ้าของบัตรเสียชีวิตไปตั้งแต่เดือนมกราแล้วค่ะ
เจ้าหน้าที่ธนาคาร : ยังไม่มีการแจ้งปิดบัญชีนะครับ ดังนั้นค่าปรับการชำระช้าจึงต้องเรียกเก็บครับ
(สงสัยเป็นประโยคที่ทางธนาคารมีไว้ให้ใช้ตอบกับลูกค้า)
ญาติผู้เสียชีวิต : หมายความว่าจะต้องเรียกเก็บจากที่ดินของเธอหรือคะ
เจ้าหน้าที่ธนาคาร : (ชักเริ่มติดอ่าง) คุณเป็นทนายความของเธอหรือครับ?
ญาติผู้เสียชีวิต : เปล่าค่ะ ดิฉันเป็นเหลนของเธอน่ะค่ะ (ทนายสอนให้บอกเช่นนี้)
เจ้าหน้าที่ธนาคาร : กรุณาช่วยแฟกซ์มรณบัตรของเธอมาได้ไหมครับ
ญาติผู้เสียชีวิต : ยินดีค่ะ (ทางธนาคารแจ้งเบอร์แฟกซ์)
หลังจากได้รับแฟกซ์เรียบร้อย
เจ้าหน้าที่ธนาคาร : ทางระบบของเราไม่ได้บอกว่าจะให้จัดการอย่างไรในกรณีที่ลูกค้าเสียชีวิต ผมก็
ไม่ทราบจะช่วยเหลือได้อย่างไร
ญาติผู้เสียชีวิต : อ๋อค่ะ คิดต่อไปนะคะ ถ้ายังคิดไม่ออกก็เรียกเก็บเงินเธอไปเรื่อย ๆ แล้วกัน เธอคง
ไม่ว่าอะไรหรอกค่ะ
เจ้าหน้าที่ธนาคาร : ครับ ค่าปรับการชำระช้าก็ต้องเรียกเก็บต่อไปนะครับ
(มันเป็นห่ะอะไรของมันวะ!!!)
ญาติผู้เสียชีวิต : ไม่ทราบต้องการที่อยู่ใหม่ของคุณยายทวดไหมคะ
เจ้าหน้าที่ธนาคาร : ดีเลยครับ
ญาติผู้เสียชีวิต : ปากน้ำ แม่น้ำเจ้าพระยา สมุทรปราการค่ะ
เจ้าหน้าที่ธนาคาร : ขอประทานโทษครับ นั่นมันเป็นแม่น้ำนี่ครับ
ญาติผู้เสียชีวิต : อ้าว แล้วเวลาญาติพวกคุณตาย เอาอังคารไปลอยแถวไหนหรือคะ
จบแล้วค่ะ !
แมงเม่าบินเข้ากลางใจ
- MO101
- Verified User
- โพสต์: 3226
- ผู้ติดตาม: 0
ขำขำ คลายเครียด
โพสต์ที่ 228
อายครูไม่รู้วิชา
อายภรรยาไม่มีบุตร
แต่ถ้าได้ครูเป็นภรรยา
จะได้ทั้งวิชาและบุตร
---------------------------------------------------
คนไทยฉลาดกว่าฝรั่ง
คนไทยฉลาดกว่าคนฝรั่งเยอะ
+++มีคนไทยอยู่ 1 คน พึ่งเรียนจบมาใหม่ๆ
+++ได้เข้าไปทำงานในบริษัทหนึ่ง ซึ่งเป็นของต่างชาติ
+++ในทุกวันเขาก็ทำงาน เหมือนเดิมทุกวัน แต่....
**มีอยู่มาวันหนึ่ง เขาได้เข้าห้องน้ำในบริษัทแล้วไปเจอ
คนฝรั่ง2 คน อยู่ในห้องน้ำ ซึ่งฝรั่งทั้ง 2 คนเป็นเพื่อนกัน ซึ่งกำลังล้างมือ หลังจาก ฉี่เสร็จ และ พอฝรั่ง 2 คนนั้นเห็นคนไทย ทั้ง2คน จึงคุยข่มคนไทย ว่า....
ฝรั่งคนที่ 1 "นายเรียนจบที่ไหนว่ะ"
ฝรั่งคนที่ 2 "เราเรียนจบที่ OXFORD จากประเทศ อังกฤษ"
(ทันใดนั้น ฝรั่งคนที่ 2 ก็ควักน้ำล้างมือมาถึงข้อศอก)
ฝรั่งคนที่ 1 เห็นก็งงแล้วถามว่า "ทำไมต้องล้างมือถึงข้อศอกด้วย"
ฝรั่งคนที่ 2 ตอบว่า " ที่อังกฤษเขาสอนให้ล้างอย่างนี้ เพราะตอนฉี่ ฉี่อาจกระเด็นมาถึงแขนก็ได้ ต้องระวังไว้ก่อน"
(ทันใดนั้น ฝรั่งคนที่1 ก็ควักน้ำมาล้างมือ เฉพาะ ที่มือ แล้วหาไม้มา แคะขี้เล็บออก)
ฝรั่งคนที่ 2 เห็นก็ถามว่า " นายจบจากที่ไหน"
ฝรั่งคนที่ 1 ตอบว่า "เราจบจาก อเมริกา ที่ STAMFORD
ที่นั่นเขาสอนให้ล้างมือเฉพาะที่สกปรก แล้วก็ แคะขี้เล็บออก เพื่อป้องกันเชื้อโรค"
ฝรั่ง 2 คนเห็นคนไทยฉี่อยู่ พอคนไทยฉี่เสร็จ ก็เดินออกจากห้องน้ำเลย
ฝรั่งทั้ง 2 คนเห็นก็ตกใจว่าทำไมไม่ล้างมือ เลยวิ่งไปถามคนไทยว่า
"นายจบจากไหน ทำไมถึงไม่ล้างมือ"
คนไทยตอบว่า "จบราม รามไม่สอนให้ฉี่รดมือตัวเอง"
---------------------------------------------------------------------
ห้องหนึ่ง ณ.หอพักอาคาร 5 มหาวิทยาลัยเกษตร์กำเเพงเเสน คืนหนึ่งของ long weekend ที่เด็กกลับบ้านเกือบหมดหอ ในปีใดไม่ปรากฎ มีนักศึกษาที่มีอาการทางประสาทคนหนึ่ง เครียดเรื่องเรียนจนคลุ้มคลั่ง และฆ่าตัวตายโดยการกรีดข้อมือ รูมเมทพบศพหลังจากกลับจากบ้าน สภาพศพ : กำลังอืด โกนหัวออกหมด นิ้วมือซ้ายถูกตัดกองอยู่แถว ๆ นั้น ทางมหาลัยสั่งปิดหอ ปิดเรื่องทุกอย่าง และนิมนต์พระมาสวดหลายครั้ง ยังมีแต่เสียงร้องไห้และเสียงกรีดร้องยามดึกที่ไม่รู้จะปิดยังไง หลายปีผ่านไป........... หอ 5 เปิดให้นักศึกษาเข้าพักอีกครั้ง มีข่าวลือเรื่องผีเหมือนกับทุกหอแต่ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น จนกระทั่ง......... คืน long weekend ที่เด็กกลับบ้านเกือบหมดหอ ณ.ห้องที่เกิดเหตุตามที่กล่าวมาตอนต้น เวลาประมาณตี 3 บรรยากาศเงียบสงัดเหมาะแก่การอ่านหนังสือในควมคิดของบางคน นักศึกษาคนหนึ่งนั่งหลังพิงเตียงอ่านหนังสือฆาตกรรมสยองขวัญอยู่คนเดียว รูมเมทกลับบ้านหมดแล้ว....... เป็นคืนที่เงียบจริงๆ......... เงียบจนได้ยินเสียงแปลกๆ เป็นเสียงกุกกักน่ารำคาญ เขาเริ่มหาที่มาของเสียง เสียงนั้นดังขึ้นเรื่อยๆ จากโต๊ะของเขา คล้ายกับมีอะไรบางอย่างพยายามดันออกมา จากในลิ้นชักโต๊ะที่ล็อกอยู่!!!! "มัน"เริ่มดันแรงขึ้นทุกที!!!!!!! เขาได้แต่นั่งตะลึงมองลิ้นชักที่สะเทือนตามแรงที่ดันออกมา จนในที่สุดก็เปิดออก!!!!!! มือที่ไม่มีนิ้วเกาะอยู่ที่ขอบลิ้นชัก แล้วหัวที่ไม่มีผมและร่างที่พองกลมก็โผล่ตูมม!!!!!!! แล้วมันก็พูดว่า "โนบิตะ นายล็อกลิ้นชักทำไม" อั๊ง อัง อัง โตะเต๊โมดอิ๊คุฉิอุ๊ โดระเอม่อน
อายภรรยาไม่มีบุตร
แต่ถ้าได้ครูเป็นภรรยา
จะได้ทั้งวิชาและบุตร
---------------------------------------------------
คนไทยฉลาดกว่าฝรั่ง
คนไทยฉลาดกว่าคนฝรั่งเยอะ
+++มีคนไทยอยู่ 1 คน พึ่งเรียนจบมาใหม่ๆ
+++ได้เข้าไปทำงานในบริษัทหนึ่ง ซึ่งเป็นของต่างชาติ
+++ในทุกวันเขาก็ทำงาน เหมือนเดิมทุกวัน แต่....
**มีอยู่มาวันหนึ่ง เขาได้เข้าห้องน้ำในบริษัทแล้วไปเจอ
คนฝรั่ง2 คน อยู่ในห้องน้ำ ซึ่งฝรั่งทั้ง 2 คนเป็นเพื่อนกัน ซึ่งกำลังล้างมือ หลังจาก ฉี่เสร็จ และ พอฝรั่ง 2 คนนั้นเห็นคนไทย ทั้ง2คน จึงคุยข่มคนไทย ว่า....
ฝรั่งคนที่ 1 "นายเรียนจบที่ไหนว่ะ"
ฝรั่งคนที่ 2 "เราเรียนจบที่ OXFORD จากประเทศ อังกฤษ"
(ทันใดนั้น ฝรั่งคนที่ 2 ก็ควักน้ำล้างมือมาถึงข้อศอก)
ฝรั่งคนที่ 1 เห็นก็งงแล้วถามว่า "ทำไมต้องล้างมือถึงข้อศอกด้วย"
ฝรั่งคนที่ 2 ตอบว่า " ที่อังกฤษเขาสอนให้ล้างอย่างนี้ เพราะตอนฉี่ ฉี่อาจกระเด็นมาถึงแขนก็ได้ ต้องระวังไว้ก่อน"
(ทันใดนั้น ฝรั่งคนที่1 ก็ควักน้ำมาล้างมือ เฉพาะ ที่มือ แล้วหาไม้มา แคะขี้เล็บออก)
ฝรั่งคนที่ 2 เห็นก็ถามว่า " นายจบจากที่ไหน"
ฝรั่งคนที่ 1 ตอบว่า "เราจบจาก อเมริกา ที่ STAMFORD
ที่นั่นเขาสอนให้ล้างมือเฉพาะที่สกปรก แล้วก็ แคะขี้เล็บออก เพื่อป้องกันเชื้อโรค"
ฝรั่ง 2 คนเห็นคนไทยฉี่อยู่ พอคนไทยฉี่เสร็จ ก็เดินออกจากห้องน้ำเลย
ฝรั่งทั้ง 2 คนเห็นก็ตกใจว่าทำไมไม่ล้างมือ เลยวิ่งไปถามคนไทยว่า
"นายจบจากไหน ทำไมถึงไม่ล้างมือ"
คนไทยตอบว่า "จบราม รามไม่สอนให้ฉี่รดมือตัวเอง"
---------------------------------------------------------------------
ห้องหนึ่ง ณ.หอพักอาคาร 5 มหาวิทยาลัยเกษตร์กำเเพงเเสน คืนหนึ่งของ long weekend ที่เด็กกลับบ้านเกือบหมดหอ ในปีใดไม่ปรากฎ มีนักศึกษาที่มีอาการทางประสาทคนหนึ่ง เครียดเรื่องเรียนจนคลุ้มคลั่ง และฆ่าตัวตายโดยการกรีดข้อมือ รูมเมทพบศพหลังจากกลับจากบ้าน สภาพศพ : กำลังอืด โกนหัวออกหมด นิ้วมือซ้ายถูกตัดกองอยู่แถว ๆ นั้น ทางมหาลัยสั่งปิดหอ ปิดเรื่องทุกอย่าง และนิมนต์พระมาสวดหลายครั้ง ยังมีแต่เสียงร้องไห้และเสียงกรีดร้องยามดึกที่ไม่รู้จะปิดยังไง หลายปีผ่านไป........... หอ 5 เปิดให้นักศึกษาเข้าพักอีกครั้ง มีข่าวลือเรื่องผีเหมือนกับทุกหอแต่ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น จนกระทั่ง......... คืน long weekend ที่เด็กกลับบ้านเกือบหมดหอ ณ.ห้องที่เกิดเหตุตามที่กล่าวมาตอนต้น เวลาประมาณตี 3 บรรยากาศเงียบสงัดเหมาะแก่การอ่านหนังสือในควมคิดของบางคน นักศึกษาคนหนึ่งนั่งหลังพิงเตียงอ่านหนังสือฆาตกรรมสยองขวัญอยู่คนเดียว รูมเมทกลับบ้านหมดแล้ว....... เป็นคืนที่เงียบจริงๆ......... เงียบจนได้ยินเสียงแปลกๆ เป็นเสียงกุกกักน่ารำคาญ เขาเริ่มหาที่มาของเสียง เสียงนั้นดังขึ้นเรื่อยๆ จากโต๊ะของเขา คล้ายกับมีอะไรบางอย่างพยายามดันออกมา จากในลิ้นชักโต๊ะที่ล็อกอยู่!!!! "มัน"เริ่มดันแรงขึ้นทุกที!!!!!!! เขาได้แต่นั่งตะลึงมองลิ้นชักที่สะเทือนตามแรงที่ดันออกมา จนในที่สุดก็เปิดออก!!!!!! มือที่ไม่มีนิ้วเกาะอยู่ที่ขอบลิ้นชัก แล้วหัวที่ไม่มีผมและร่างที่พองกลมก็โผล่ตูมม!!!!!!! แล้วมันก็พูดว่า "โนบิตะ นายล็อกลิ้นชักทำไม" อั๊ง อัง อัง โตะเต๊โมดอิ๊คุฉิอุ๊ โดระเอม่อน
-
- Verified User
- โพสต์: 1296
- ผู้ติดตาม: 1
ขำขำ คลายเครียด
โพสต์ที่ 229
วีรกรรมของผู้เสียสละ
ในเที่ยวบินผู้โดยสารเต็มลำที่น้ำมันกำลังจะหมด ผู้โดยสาร
หนุ่มโสด 4 คนซึ่งเป็นชาว ญี่ปุ่น,อเมริกัน,พม่าและไทย จำเป็น
ต้องมี 3 คนเสียสละโดดออกจากเครื่องบิน
ชาวญี่ปุ่นลุกขึ้นเป็นคนแรก ร้องด้วยเสียงอันดังว่า
" เกียรติยศนี้ขอมอบแด่ สมเด็จพระมหาจักพรรดิ์และประเทศญี่ปุ่น"
ว่าแล้วก็สละชีวิตกระโดดลงจากเครื่องบิน
ชาวอเมริกันเห็นดังนั้นก็กลัวน้อยหน้าชาวญื่ปุ่น ประกาศก้องว่า
" ข้าขอมอบชีวิตแก่ประธนาธิบดีและประเทศสหรัฐอเมริกา"
แล้วก็กระโดดลงจากเครื่องบิน
ชาวไทยเห็นดังนั้นก็หน้าแดงด้วยความรักชาติ รีบยืนขึ้นทันทีด้วย
เกรงว่าชาวพม่าจะได้เกียรติยศแห่งความเสียสละนี้ไป ร้องก้องด้วย
เสียงอันดังว่า
" การกระทำของข้านี้เพื่อกรุงศรีอยุธยาและชาวบ้านบางระจัน"
กล่าวจบแล้วก็ยกเท้าถีบชาวพม่าตกจากเครื่องบิน
ทุกคนในเครื่องบินจึงรอดชีวิต
ในเที่ยวบินผู้โดยสารเต็มลำที่น้ำมันกำลังจะหมด ผู้โดยสาร
หนุ่มโสด 4 คนซึ่งเป็นชาว ญี่ปุ่น,อเมริกัน,พม่าและไทย จำเป็น
ต้องมี 3 คนเสียสละโดดออกจากเครื่องบิน
ชาวญี่ปุ่นลุกขึ้นเป็นคนแรก ร้องด้วยเสียงอันดังว่า
" เกียรติยศนี้ขอมอบแด่ สมเด็จพระมหาจักพรรดิ์และประเทศญี่ปุ่น"
ว่าแล้วก็สละชีวิตกระโดดลงจากเครื่องบิน
ชาวอเมริกันเห็นดังนั้นก็กลัวน้อยหน้าชาวญื่ปุ่น ประกาศก้องว่า
" ข้าขอมอบชีวิตแก่ประธนาธิบดีและประเทศสหรัฐอเมริกา"
แล้วก็กระโดดลงจากเครื่องบิน
ชาวไทยเห็นดังนั้นก็หน้าแดงด้วยความรักชาติ รีบยืนขึ้นทันทีด้วย
เกรงว่าชาวพม่าจะได้เกียรติยศแห่งความเสียสละนี้ไป ร้องก้องด้วย
เสียงอันดังว่า
" การกระทำของข้านี้เพื่อกรุงศรีอยุธยาและชาวบ้านบางระจัน"
กล่าวจบแล้วก็ยกเท้าถีบชาวพม่าตกจากเครื่องบิน
ทุกคนในเครื่องบินจึงรอดชีวิต
- naris
- Verified User
- โพสต์: 6726
- ผู้ติดตาม: 0
ขำขำ คลายเครียด
โพสต์ที่ 230
พาดหัวข่าวฮือฮา อีก20ปีข้าง
--------------------------------------------------------------------------------
1. ผู้คนแตกตื่น คลื่นยักษ์ เนกิมะ กลืนหาดภูเก็ต
2. โรตีบอย คืนชีพ หลังเพิ่มสูตรคอลลีเจล และอโรวร่า สาวๆ ชอบใจ กินยังไงก็สวย
3. น้องเดียว ยอมรับ สอยกางเกงในคุณป้ามยุรา ยอมรับโรคจิตก็ใช่ แต่อยากจะเอามาคลุมจอคอมพิวเตอร์มากกว่า
4. น้ำท่วมสยามเซ็นเตอร์ แฟชั่นรองเท้าบูธกรรมกรแจ้งเกิด
5. ขสมก. แจ้งขึ้นราคารถปรับอากาศขั้นต่ำ 80 บาท ประชาชนโวย แพงไม่ว่า แต่ปรับอากาศตรงไหน แอร์เปิดตรงแต่หัวคนขับ
6. บอลไทย แห้วไปบอลโลก ฟีฟ่าสั่งปรับแพ้ เหตุมวยหมู่นักเตะญี่ปุ่น ทั้งๆ ที่นำ 4 0 ข้อหาเหยียบเท้าแล้วไม่ขอโทษ
7. ญี่ปุ่นดอง โคนัน เล่มที่ 270 รุ่นพ่อทำใจ สงสัยตอนจบต้องให้ลูกหลานเผากงเต็กไปให้อ่าน
8. คลิปฉาว เด็ก 14 นั่งทำการบ้าน ยอดดาวน์โหลดหนึ่งแสนต่อวัน ไม่เคยเห็นของแปลกแบบนี้มาก่อน
9. พินาศ รถไฟลอยฟ้าชนรถไฟใต้ดิน ผู้ว่าฯ คิดอยู่แล้วไม่เวิร์ค ทำรางรถใส่เกลียวตีลังกา แต่อยากลองเฉยๆ
10. รักพี่เสียดายน้อง AF ปี 25 นักล่าฝันแออัดล้นบ้านห้าสิบชีวิต 2 ใน 3 ตั้งใจโหวตตัวเองออก เพราะไม่รู้จะไปนอนที่ไหน ราวบันไดก็มีคนจองแล้ว
11. ลูกชายซีดาน เฮดบัดลูกชาย มาร์โก มาเตรัซซี่ สลบเหมือด หลังมีง ล้อพ่อหัวไข่ดาว
12. โจรใต้ใจบุญ สร้างโรงเรียน ก่อนจะเผาโรงเรียนเอง
13. แท๊กซี่สุดเลว ปล้น การ์ดยูกิ หน้าภิรมย์พลาซ่า
14. มติผ่าน ตั้งตู้ขายถุงยาง 3 จุดในโรงเรียนอนุบาลหมีน้อย ผู้ปกครองกุมขมับ ฝากลูกซื้อไม่ได้ เพราะไซด์ต่างกัน
15. สก็อยต์สาวดับอนาถ หล่นท้ายมอไซด์ สิบล้อทับไส้แตก เด็กแวนซ์สุดเซ็ง ตายห่าไม่ว่า ทำยางกูแบนอีก บอกแล้วให้ลดความอ้วนก็ไม่ฟัง
16. จา พนม เผยเคล็ดลับ กินนิ่วช้างสร้างสมรรถภาพ ซัมเมอร์ซอล์ทได้แม้เริ่มเข้าวัยทอง
17. ปัญหาครอบครัว แม่ส่งอีเมลล์บอกลูกชายชั้น 2 ให้ลงมากินข้าวชั้นล่าง
18. ชาวเน็ตรุมด่า พจน์ อานนท์ สาเหตุสร้างหนังโชว์ตูดผู้ชายทั้งเรื่อง ผู้กำกับชี้แจง บอกพวกนี่ไม่เข้าใจศิลปะเลย หนังอาร์ตเข้าใจไหมโว้ย ฟาย
19. Hotmail แจ้งกำหนดเก็บเงิน msn เป็นครั้งที่ 177,459 อย่าลืมส่งต่อด้วย
20. หมูแฮม ออกหนังสือชีวประวัติ เผยชอบมดแดงอเมซอนเพราะท่าแปลงร่าง ที่ขับรถชนขออภัย เพราะเห็นภาพหลอนนึกว่าสมุนยักษ์สิบหน้าดักรุมทำร้าย
21. อัศจรรย์รุ่นใหม่ โนเกีย ใช้แทนเครื่องซักผ้าได้
22. 6 โจ๋อำมหิต ข่มขืนได้แม้กระทั่งเสาไฟฟ้า คาดว่าต่อให้เมาก็ไม่น่าหื่นขนาดนี้
23. เด็ก 14 ผูกคอตาย ประชดเข้าเว็บยูทูปไม่ได้
24. สรยุทธ ถูกหามเข้า ร.พ เหตุความดันขึ้นสูงอย่างรุนแรง หลังหงส์แดงทีมรักได้แชมป์พรีเมียร์ลีค
25. ปังคุง ตัดสินใจเข้ารับสมัครตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแห่งเกาะญี่ ปุ่น ลือคะแนนเสียงอาจทิ้งขาด เพราะสมาคมคนรัก ลิง ค่าง ชะนี ที่ญี่ปุ่นก็มิใช่น้อย
26. ขายหัวเราะเฉลิมฉลอง 70 ปี มุขติดเกาะ และ โจรมุมตึก แม้จะเรียกเสียงฮาไม่ได้แล้วก็ตาม
27. พ่อแม่ร่ำไห้ ลูกสาวเส้นเลือดสมองแตก เหตุเพราะตีความนิยายวัยรุ่นยากเกินไป ตำรวจเปิดดู เห็นแต่ตัวอีโมชั่นทั้งเล่ม ^ o ^
28. คลิปหลุดว่อนเน็ต น้องโฟกัสยืนฉี่ เจ้าตัวเงียบยอมรับโดยดี
29. อากิบะ ถูกจับเป็นครั้งที่ 20 ข้อหาจำหน่ายการ์ตูนลามก ตำรวจค้นพบหลักฐานมัดตัวแน่นหนา เป็นการ์ตูนดราก้อนบอล ไม่เซ็นเซอร์หัวนมซุนโงกุน ผบ.ตำรวจยัน ดูยังไงก็อนาจาร
30. ยุบรายการ ผู้หญิงถึงผู้หญิง เหตุ 4 พิธีกรสื่อสารไม่รู้เรื่อง เนื่องจากเคี้ยวหมากไปด้วย
--------------------------------------------------------------------------------
1. ผู้คนแตกตื่น คลื่นยักษ์ เนกิมะ กลืนหาดภูเก็ต
2. โรตีบอย คืนชีพ หลังเพิ่มสูตรคอลลีเจล และอโรวร่า สาวๆ ชอบใจ กินยังไงก็สวย
3. น้องเดียว ยอมรับ สอยกางเกงในคุณป้ามยุรา ยอมรับโรคจิตก็ใช่ แต่อยากจะเอามาคลุมจอคอมพิวเตอร์มากกว่า
4. น้ำท่วมสยามเซ็นเตอร์ แฟชั่นรองเท้าบูธกรรมกรแจ้งเกิด
5. ขสมก. แจ้งขึ้นราคารถปรับอากาศขั้นต่ำ 80 บาท ประชาชนโวย แพงไม่ว่า แต่ปรับอากาศตรงไหน แอร์เปิดตรงแต่หัวคนขับ
6. บอลไทย แห้วไปบอลโลก ฟีฟ่าสั่งปรับแพ้ เหตุมวยหมู่นักเตะญี่ปุ่น ทั้งๆ ที่นำ 4 0 ข้อหาเหยียบเท้าแล้วไม่ขอโทษ
7. ญี่ปุ่นดอง โคนัน เล่มที่ 270 รุ่นพ่อทำใจ สงสัยตอนจบต้องให้ลูกหลานเผากงเต็กไปให้อ่าน
8. คลิปฉาว เด็ก 14 นั่งทำการบ้าน ยอดดาวน์โหลดหนึ่งแสนต่อวัน ไม่เคยเห็นของแปลกแบบนี้มาก่อน
9. พินาศ รถไฟลอยฟ้าชนรถไฟใต้ดิน ผู้ว่าฯ คิดอยู่แล้วไม่เวิร์ค ทำรางรถใส่เกลียวตีลังกา แต่อยากลองเฉยๆ
10. รักพี่เสียดายน้อง AF ปี 25 นักล่าฝันแออัดล้นบ้านห้าสิบชีวิต 2 ใน 3 ตั้งใจโหวตตัวเองออก เพราะไม่รู้จะไปนอนที่ไหน ราวบันไดก็มีคนจองแล้ว
11. ลูกชายซีดาน เฮดบัดลูกชาย มาร์โก มาเตรัซซี่ สลบเหมือด หลังมีง ล้อพ่อหัวไข่ดาว
12. โจรใต้ใจบุญ สร้างโรงเรียน ก่อนจะเผาโรงเรียนเอง
13. แท๊กซี่สุดเลว ปล้น การ์ดยูกิ หน้าภิรมย์พลาซ่า
14. มติผ่าน ตั้งตู้ขายถุงยาง 3 จุดในโรงเรียนอนุบาลหมีน้อย ผู้ปกครองกุมขมับ ฝากลูกซื้อไม่ได้ เพราะไซด์ต่างกัน
15. สก็อยต์สาวดับอนาถ หล่นท้ายมอไซด์ สิบล้อทับไส้แตก เด็กแวนซ์สุดเซ็ง ตายห่าไม่ว่า ทำยางกูแบนอีก บอกแล้วให้ลดความอ้วนก็ไม่ฟัง
16. จา พนม เผยเคล็ดลับ กินนิ่วช้างสร้างสมรรถภาพ ซัมเมอร์ซอล์ทได้แม้เริ่มเข้าวัยทอง
17. ปัญหาครอบครัว แม่ส่งอีเมลล์บอกลูกชายชั้น 2 ให้ลงมากินข้าวชั้นล่าง
18. ชาวเน็ตรุมด่า พจน์ อานนท์ สาเหตุสร้างหนังโชว์ตูดผู้ชายทั้งเรื่อง ผู้กำกับชี้แจง บอกพวกนี่ไม่เข้าใจศิลปะเลย หนังอาร์ตเข้าใจไหมโว้ย ฟาย
19. Hotmail แจ้งกำหนดเก็บเงิน msn เป็นครั้งที่ 177,459 อย่าลืมส่งต่อด้วย
20. หมูแฮม ออกหนังสือชีวประวัติ เผยชอบมดแดงอเมซอนเพราะท่าแปลงร่าง ที่ขับรถชนขออภัย เพราะเห็นภาพหลอนนึกว่าสมุนยักษ์สิบหน้าดักรุมทำร้าย
21. อัศจรรย์รุ่นใหม่ โนเกีย ใช้แทนเครื่องซักผ้าได้
22. 6 โจ๋อำมหิต ข่มขืนได้แม้กระทั่งเสาไฟฟ้า คาดว่าต่อให้เมาก็ไม่น่าหื่นขนาดนี้
23. เด็ก 14 ผูกคอตาย ประชดเข้าเว็บยูทูปไม่ได้
24. สรยุทธ ถูกหามเข้า ร.พ เหตุความดันขึ้นสูงอย่างรุนแรง หลังหงส์แดงทีมรักได้แชมป์พรีเมียร์ลีค
25. ปังคุง ตัดสินใจเข้ารับสมัครตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแห่งเกาะญี่ ปุ่น ลือคะแนนเสียงอาจทิ้งขาด เพราะสมาคมคนรัก ลิง ค่าง ชะนี ที่ญี่ปุ่นก็มิใช่น้อย
26. ขายหัวเราะเฉลิมฉลอง 70 ปี มุขติดเกาะ และ โจรมุมตึก แม้จะเรียกเสียงฮาไม่ได้แล้วก็ตาม
27. พ่อแม่ร่ำไห้ ลูกสาวเส้นเลือดสมองแตก เหตุเพราะตีความนิยายวัยรุ่นยากเกินไป ตำรวจเปิดดู เห็นแต่ตัวอีโมชั่นทั้งเล่ม ^ o ^
28. คลิปหลุดว่อนเน็ต น้องโฟกัสยืนฉี่ เจ้าตัวเงียบยอมรับโดยดี
29. อากิบะ ถูกจับเป็นครั้งที่ 20 ข้อหาจำหน่ายการ์ตูนลามก ตำรวจค้นพบหลักฐานมัดตัวแน่นหนา เป็นการ์ตูนดราก้อนบอล ไม่เซ็นเซอร์หัวนมซุนโงกุน ผบ.ตำรวจยัน ดูยังไงก็อนาจาร
30. ยุบรายการ ผู้หญิงถึงผู้หญิง เหตุ 4 พิธีกรสื่อสารไม่รู้เรื่อง เนื่องจากเคี้ยวหมากไปด้วย
ราคาระยะสั้นตามข่าว--ราคาระยะยาวตามผลกำไร
- por_jai
- Verified User
- โพสต์: 14338
- ผู้ติดตาม: 0
ขำขำ คลายเครียด
โพสต์ที่ 231
8) 31. เซียนนริศ เลิกแนววีไอ อ้างว่ารวยแล้วจากแนวนี้
และเห็นว่าชักช้าไม่ทันการ ทุ่มเงินซื้อหัวเวบมาบริหารเอง
32. ไทยวีไอ..ชนะเลิศ เวบให้ความรู้ทางเทคนิค
และวิเคราะห์กราฟ รวมทั้งข่าวปั่นหุ้นดีเด่น
จากสมาคมผู้ค้าหลักทรัพย์
33. พี่พอใจโดนหมอเค หมอนิว และ ก้อนหิน
ต้อนในการเล่นแบดเมื่อวานนี้ 4เซ็ทรวด
หมอเค ออกมาให้สัมภาษณ์ นสพ.สยองกีฬาว่า
ผมและก๊วนของผม รอวันนี้มา20ปี จึงบ่งแค้นสำเร็จ....
และเห็นว่าชักช้าไม่ทันการ ทุ่มเงินซื้อหัวเวบมาบริหารเอง
32. ไทยวีไอ..ชนะเลิศ เวบให้ความรู้ทางเทคนิค
และวิเคราะห์กราฟ รวมทั้งข่าวปั่นหุ้นดีเด่น
จากสมาคมผู้ค้าหลักทรัพย์
33. พี่พอใจโดนหมอเค หมอนิว และ ก้อนหิน
ต้อนในการเล่นแบดเมื่อวานนี้ 4เซ็ทรวด
หมอเค ออกมาให้สัมภาษณ์ นสพ.สยองกีฬาว่า
ผมและก๊วนของผม รอวันนี้มา20ปี จึงบ่งแค้นสำเร็จ....
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
- Basketman
- Verified User
- โพสต์: 1208
- ผู้ติดตาม: 0
ขำขำ คลายเครียด
โพสต์ที่ 233
34. "เสี่ยนริศ" กูรูหุ้นพันล้าน...มองต่างมุม "แวลู อินเวสเตอร์"
วิธีการลงทุน โดยการถือหุ้นอยู่ในพอร์ต "ตลอดเวลา"
ในมุมมองมีความเชื่อส่วนตัวว่า "มันเสี่ยงเกินไป"
35. "เด็กอ้วน"เด็กในสังกัดพี่พอใจ ออกมาให้สัมภาษณ์ นสพ.สยองกีฬาว่า
หมอเค หมอนิว และ ก้อนหิน แน่จริงมาเจอกับผมดีกว่าผมต่อให้12ลูก(เกม15)
ให้เข้ามาพร้อมกันเลยด้วย .. เด็กอ้วนกล่าวอย่างมีอารมณ์
วิธีการลงทุน โดยการถือหุ้นอยู่ในพอร์ต "ตลอดเวลา"
ในมุมมองมีความเชื่อส่วนตัวว่า "มันเสี่ยงเกินไป"
35. "เด็กอ้วน"เด็กในสังกัดพี่พอใจ ออกมาให้สัมภาษณ์ นสพ.สยองกีฬาว่า
หมอเค หมอนิว และ ก้อนหิน แน่จริงมาเจอกับผมดีกว่าผมต่อให้12ลูก(เกม15)
ให้เข้ามาพร้อมกันเลยด้วย .. เด็กอ้วนกล่าวอย่างมีอารมณ์
"สุขภาพดีไม่มีขาย อยากได้ต้องไปปั่นเอาเอง"
-
- Verified User
- โพสต์: 4596
- ผู้ติดตาม: 0
ขำขำ คลายเครียด
โพสต์ที่ 236
ขออนุญาตินำกล่าวให้พี่พอใจ 3 ครั้ง
ขอให้ทุกคนกล่าวตาม ดังนี้
"พี่พอใจ สุดยอดๆ"
สีลํ พลํ อปฺปฏิมํ สีลํ อาวุธมุตฺตมํ
สีลํ อาภรณํ เสฏฺฐํ สีลํ กวจมพฺภุตํ
ศีลเป็นกำลังไม่มีที่เปรียบ ศีลเป็นอาวุธสูงสุด
ศีลเป็นเครื่องประดับอย่างประเสริฐสุด ศีลเป็นเกราะอย่างอัศจรรย์
สีลํ อาภรณํ เสฏฺฐํ สีลํ กวจมพฺภุตํ
ศีลเป็นกำลังไม่มีที่เปรียบ ศีลเป็นอาวุธสูงสุด
ศีลเป็นเครื่องประดับอย่างประเสริฐสุด ศีลเป็นเกราะอย่างอัศจรรย์
- La Paz
- Verified User
- โพสต์: 4
- ผู้ติดตาม: 0
ขำขำ คลายเครียด
โพสต์ที่ 237
เจ้านกแก้ว
วันหนึ่ง มีชายคนหนึ่งเดินเข้าไปในร้านขายสัตว์เลี้ยงเพื่อซื้อนกแก้ว เขาเกิดถูกใจเจ้านกแก้วตัวหนึ่ง ขณะที่เขาเดินไปที่เคาน์เตอร์เพื่อจะจ่ายเงิน
พนักงานขายของก็กล่าว "เจ้าตัวนี้มันจะพูดเลียนเสียง ทุกคำที่มันได้ยิน"
ชายคนนั้น : "อืม....ก็ดีนี่"
ชายคนนั้นก็ชำระเงินแล้วก็นำนกแก้วเดินออกจากร้าน
ขณะที่เขาเดินไปตามถนน เขาเห็นตำรวจคนหนึ่งกำลังวิ่งไล่ตามคนร้าย
ตำรวจคนนั้นร้องตะโกนบอกพาร์ทเนอร์
"ยิงมันให้ร่วง ยิงมันให้ร่วง"
เจ้านกแก้วก็พูดตาม : "ยิงมันให้ร่วง ยิงมันให้ร่วง"
ชายคนนั้นก็เดินต่อไป สักครู่ก็เจอชายคนหนึ่ง กำลังใช้ชะแลงงัดรถของเขาขึ้นจากพื้น เนื่องจากถูกพวกขโมยแอบมาถอดเอาล้อไปแลกยาบ้า
ชายเจ้าของรถส่งเสียงดังๆ "เอามันขึ้นมา งัดมันขึ้นมา"
เจ้านกแก้วก็พูดตาม : "เอามันขึ้นมา งัดมันขึ้นมา"
ชายคนนั้นได้พาเจ้านกแก้วเข้าไปในงานฉลองแห่งหนึ่ง พนักงานในร้านเกมส์ปาเป้าร้านหนึ่ง ร้องตะโกนเรียกลูกค้า : "โดนเป้าใหญ่ เชิญรับรางวัล"
เจ้านกแก้วก็พูดตาม : "โดนเป้าใหญ่ เชิญรับรางวัล"
แล้วชายคนนั้นก็พานกแก้วเข้าไปในโบสถ์แห่งหนึ่ง เขานั่งลงเพื่อฟังหลวงพ่อแสดงธรรมเทศนา
หลวงพ่อ : "พระผู้เป็นเจ้านั้น ทรงประทับอยู่เบื้องบน"
เจ้านกแก้ว : "ยิงมันให้ร่วง ยิงมันให้ร่วง"
หลวงพ่อก็เทศน์ต่อ : "ซาตานนั้น มันอยู่ในขุมนรก"
เจ้านกแก้ว : "เอามันขึ้นมา งัดมันขึ้นมา"
หลวงพ่อซึ่งโมโหจนหนวดกระดิก คว้าเอาพระคัมภีร์ไบเบิลปาเข้าใส่เจ้านกแก้ว เจ้านกแก้วก้มหลบ พระคัมภีร์จึงไปโดนเอาหญิงอ้วนคนหนึ่งเข้าเต็ม ๆ
เจ้านกแก้ว : "โดนเป้าใหญ่ เชิญรับรางวัล"
------------------------------------------------------------------------------------
นักการเมืองพึงระวัง
รถบัสบรรทุกกลุ่มนักการเมือง แล่นผ่านฟาร์มของชายคนหนึ่ง คนขับมัวแต่ชื่นชมความงามของทิวทัศน์สองข้างทาง รถเกิดเสียหลักพลิกคว่ำลงไปในคูข้างทาง ชายเจ้าของฟาร์มออกมาดู ได้เห็นกลุ่มนักการเมืองจึงทำการกลบฝังเป็นที่เรียบร้อย
วันถัดมา เจ้าหน้าที่ตำรวจได้แวะมาถามชายเจ้าของฟาร์ม : "สรุปว่า คุณได้ฝังพวกเขาเรียบร้อย...ผมอยากทราบว่าในตอนนั้น พวกเขาทุกคนได้ตายแล้วใช่มั้ยครับ?"
ชายเจ้าของฟาร์ม : "เอ้อ...ก็มีบางคนนะที่บอกว่า "ผมยังไม่ตายๆ" แต่ก็อย่างที่รู้ ๆ ...คำพูดของพวกนักการเมือง"
------------------------------------------------------------------------------------
A Panda Bear
A panda bear walks into a bar, and tells the bartender that he wants to have lunch. The bartender gives him a menu and he orders.
The panda bear eats his lunch, and when he finishes, he gets up to leave. Suddenly, the panda bear pulls an AK-47 out of his fur, and shoots the bar to pieces. He then heads for the door. The shocked bartender jumps out from behide the destroyed bar and yells, "Hey, what do you think you're doing? You ate lunch, shot up my bar, and now you're just going to leave?"
The panda bear answers calmly, "I'm a panda bear." The bartender says, "Yeah, so?" The panda bear replies, "Look it up in the encyclopedia." and walks out the door.
The bartender jumps back behide the ruined bar and grabs his encyclopedia. He looks up "panda bear," and sure enough, there is a picture of the panda bear.
He reads the caption, which says, "Panda bear--a cuddly, black and white creature. Eats shoots and leaves"
: D
วันหนึ่ง มีชายคนหนึ่งเดินเข้าไปในร้านขายสัตว์เลี้ยงเพื่อซื้อนกแก้ว เขาเกิดถูกใจเจ้านกแก้วตัวหนึ่ง ขณะที่เขาเดินไปที่เคาน์เตอร์เพื่อจะจ่ายเงิน
พนักงานขายของก็กล่าว "เจ้าตัวนี้มันจะพูดเลียนเสียง ทุกคำที่มันได้ยิน"
ชายคนนั้น : "อืม....ก็ดีนี่"
ชายคนนั้นก็ชำระเงินแล้วก็นำนกแก้วเดินออกจากร้าน
ขณะที่เขาเดินไปตามถนน เขาเห็นตำรวจคนหนึ่งกำลังวิ่งไล่ตามคนร้าย
ตำรวจคนนั้นร้องตะโกนบอกพาร์ทเนอร์
"ยิงมันให้ร่วง ยิงมันให้ร่วง"
เจ้านกแก้วก็พูดตาม : "ยิงมันให้ร่วง ยิงมันให้ร่วง"
ชายคนนั้นก็เดินต่อไป สักครู่ก็เจอชายคนหนึ่ง กำลังใช้ชะแลงงัดรถของเขาขึ้นจากพื้น เนื่องจากถูกพวกขโมยแอบมาถอดเอาล้อไปแลกยาบ้า
ชายเจ้าของรถส่งเสียงดังๆ "เอามันขึ้นมา งัดมันขึ้นมา"
เจ้านกแก้วก็พูดตาม : "เอามันขึ้นมา งัดมันขึ้นมา"
ชายคนนั้นได้พาเจ้านกแก้วเข้าไปในงานฉลองแห่งหนึ่ง พนักงานในร้านเกมส์ปาเป้าร้านหนึ่ง ร้องตะโกนเรียกลูกค้า : "โดนเป้าใหญ่ เชิญรับรางวัล"
เจ้านกแก้วก็พูดตาม : "โดนเป้าใหญ่ เชิญรับรางวัล"
แล้วชายคนนั้นก็พานกแก้วเข้าไปในโบสถ์แห่งหนึ่ง เขานั่งลงเพื่อฟังหลวงพ่อแสดงธรรมเทศนา
หลวงพ่อ : "พระผู้เป็นเจ้านั้น ทรงประทับอยู่เบื้องบน"
เจ้านกแก้ว : "ยิงมันให้ร่วง ยิงมันให้ร่วง"
หลวงพ่อก็เทศน์ต่อ : "ซาตานนั้น มันอยู่ในขุมนรก"
เจ้านกแก้ว : "เอามันขึ้นมา งัดมันขึ้นมา"
หลวงพ่อซึ่งโมโหจนหนวดกระดิก คว้าเอาพระคัมภีร์ไบเบิลปาเข้าใส่เจ้านกแก้ว เจ้านกแก้วก้มหลบ พระคัมภีร์จึงไปโดนเอาหญิงอ้วนคนหนึ่งเข้าเต็ม ๆ
เจ้านกแก้ว : "โดนเป้าใหญ่ เชิญรับรางวัล"
------------------------------------------------------------------------------------
นักการเมืองพึงระวัง
รถบัสบรรทุกกลุ่มนักการเมือง แล่นผ่านฟาร์มของชายคนหนึ่ง คนขับมัวแต่ชื่นชมความงามของทิวทัศน์สองข้างทาง รถเกิดเสียหลักพลิกคว่ำลงไปในคูข้างทาง ชายเจ้าของฟาร์มออกมาดู ได้เห็นกลุ่มนักการเมืองจึงทำการกลบฝังเป็นที่เรียบร้อย
วันถัดมา เจ้าหน้าที่ตำรวจได้แวะมาถามชายเจ้าของฟาร์ม : "สรุปว่า คุณได้ฝังพวกเขาเรียบร้อย...ผมอยากทราบว่าในตอนนั้น พวกเขาทุกคนได้ตายแล้วใช่มั้ยครับ?"
ชายเจ้าของฟาร์ม : "เอ้อ...ก็มีบางคนนะที่บอกว่า "ผมยังไม่ตายๆ" แต่ก็อย่างที่รู้ ๆ ...คำพูดของพวกนักการเมือง"
------------------------------------------------------------------------------------
A Panda Bear
A panda bear walks into a bar, and tells the bartender that he wants to have lunch. The bartender gives him a menu and he orders.
The panda bear eats his lunch, and when he finishes, he gets up to leave. Suddenly, the panda bear pulls an AK-47 out of his fur, and shoots the bar to pieces. He then heads for the door. The shocked bartender jumps out from behide the destroyed bar and yells, "Hey, what do you think you're doing? You ate lunch, shot up my bar, and now you're just going to leave?"
The panda bear answers calmly, "I'm a panda bear." The bartender says, "Yeah, so?" The panda bear replies, "Look it up in the encyclopedia." and walks out the door.
The bartender jumps back behide the ruined bar and grabs his encyclopedia. He looks up "panda bear," and sure enough, there is a picture of the panda bear.
He reads the caption, which says, "Panda bear--a cuddly, black and white creature. Eats shoots and leaves"
: D
- por_jai
- Verified User
- โพสต์: 14338
- ผู้ติดตาม: 0
ขำขำ คลายเครียด
โพสต์ที่ 238
นก 3 ตัว
ท่ามกลางความอบอ้าวของตลาดนัดจตุจักร ชายหนุ่มหลุดจากความเบียดเสียดของคนที่เดินผ่านไปมาเข้าไปในร้านแห่งหนึ่งขึ้นป้ายขายนกแก้วสามตัว
ชายหนุ่ม " นกแก้วตัวนี้เท่าไหร่ครับ "
เด็กสาว " หนึ่งหมื่นบาทคะ "
ชายหนุ่ม (ตะลึง) " โอ้โห ทำไมแพงขนาดนี้ "
เด็กสาว " ไม่แพงเลยคะ กับความสามารถระดับนี้ "
ชายหนุ่ม (ยิ้มประชด) " ราคาขนาดนี้ต้องเล่นคอมพิวเตอร์เป็นแน่ๆ "
เด็กสาว " ใช่คะ ทราบได้ไงคะ "
ชายหนุ่ม " แล้วตัวนี้หละครับ หนึ่งหมื่นเหมือนกันใช่มั้ย "
เด็กสาว " สองหมื่นบาทคะ "
ชายหนุ่ม (สะดุ้ง ดึงนิ้วที่กำลังจะไปเขี่ยนกเล่นกลับคืน)
เด็กสาว " ตัวนี้ใช้ดาต้าเบสเป็นคะ "
ชายหนุ่ม - (กระพริบตา เรียกสติสัมปชัญญะตนเองกลับคืนมา) " เล่น SQL เป็น" (รำพึง)
เด็กสาว " แน่นอนคะ จะให้ใช้ dBase เหรอคะ คุณนี่เชยจัง "
ชายหนุ่ม "แล้วตัวสุดท้ายหละครับ ดูท่าทางไม่น่าจะฉลาดมาก "
เด็กสาว " สามหมื่นบาทคะ "
ชายหนุ่ม "แม่เจ้าโวย " (สุดที่จะระงับความรู้สึกได้แล้ว)
เด็กสาว " คะ "
ชายหนุ่ม " ตัวนี้ต้องเล่นเน็ตเวิร์คได้แน่เลย"
เด็กสาว " ไม่ใช่คะ "
ชายหนุ่ม " แล้วตัวสุดท้ายนี่มีความสามารถอะไร "
เด็กสาว " เอ่อ...ไม่ทราบเหมือนกันคะ "
ชายหนุ่ม "อ้าว แล้วทำไมตั้งราคาสูงกว่าสองตัวนั้นอีก "
เด็กสาว " หนูเองก็ไม่เคยเห็นกับตาว่านกตัวนี้ทำอะไรได้"
ชายหนุ่ม "..???.."
เด็กสาว " ส่วนใหญ่นกตัวนี้จะอยู่เฉยๆ ไม่เห็นทำอะไรเป็นเรื่องเป็นราว "
ชายหนุ่ม "..??.."
เด็กสาว " แต่หนูเห็นเจ้านกสองตัวแรกเรียกนกตัวนี้ว่า หัวหน้า ค่ะ
ท่ามกลางความอบอ้าวของตลาดนัดจตุจักร ชายหนุ่มหลุดจากความเบียดเสียดของคนที่เดินผ่านไปมาเข้าไปในร้านแห่งหนึ่งขึ้นป้ายขายนกแก้วสามตัว
ชายหนุ่ม " นกแก้วตัวนี้เท่าไหร่ครับ "
เด็กสาว " หนึ่งหมื่นบาทคะ "
ชายหนุ่ม (ตะลึง) " โอ้โห ทำไมแพงขนาดนี้ "
เด็กสาว " ไม่แพงเลยคะ กับความสามารถระดับนี้ "
ชายหนุ่ม (ยิ้มประชด) " ราคาขนาดนี้ต้องเล่นคอมพิวเตอร์เป็นแน่ๆ "
เด็กสาว " ใช่คะ ทราบได้ไงคะ "
ชายหนุ่ม " แล้วตัวนี้หละครับ หนึ่งหมื่นเหมือนกันใช่มั้ย "
เด็กสาว " สองหมื่นบาทคะ "
ชายหนุ่ม (สะดุ้ง ดึงนิ้วที่กำลังจะไปเขี่ยนกเล่นกลับคืน)
เด็กสาว " ตัวนี้ใช้ดาต้าเบสเป็นคะ "
ชายหนุ่ม - (กระพริบตา เรียกสติสัมปชัญญะตนเองกลับคืนมา) " เล่น SQL เป็น" (รำพึง)
เด็กสาว " แน่นอนคะ จะให้ใช้ dBase เหรอคะ คุณนี่เชยจัง "
ชายหนุ่ม "แล้วตัวสุดท้ายหละครับ ดูท่าทางไม่น่าจะฉลาดมาก "
เด็กสาว " สามหมื่นบาทคะ "
ชายหนุ่ม "แม่เจ้าโวย " (สุดที่จะระงับความรู้สึกได้แล้ว)
เด็กสาว " คะ "
ชายหนุ่ม " ตัวนี้ต้องเล่นเน็ตเวิร์คได้แน่เลย"
เด็กสาว " ไม่ใช่คะ "
ชายหนุ่ม " แล้วตัวสุดท้ายนี่มีความสามารถอะไร "
เด็กสาว " เอ่อ...ไม่ทราบเหมือนกันคะ "
ชายหนุ่ม "อ้าว แล้วทำไมตั้งราคาสูงกว่าสองตัวนั้นอีก "
เด็กสาว " หนูเองก็ไม่เคยเห็นกับตาว่านกตัวนี้ทำอะไรได้"
ชายหนุ่ม "..???.."
เด็กสาว " ส่วนใหญ่นกตัวนี้จะอยู่เฉยๆ ไม่เห็นทำอะไรเป็นเรื่องเป็นราว "
ชายหนุ่ม "..??.."
เด็กสาว " แต่หนูเห็นเจ้านกสองตัวแรกเรียกนกตัวนี้ว่า หัวหน้า ค่ะ
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
-
- Verified User
- โพสต์: 562
- ผู้ติดตาม: 0
ขำขำ คลายเครียด
โพสต์ที่ 239
แบบทดสอบว่าเป็นคนบ้าอ่ะป่าว
ขณะเข้าไปเยี่ยมชมโรงพยาบาลโรคจิต
อุดมได้ถามนายแพทย์คนหนึ่งว่ามีอะไรเป็นเครื่องวัดมั้ยว่า
คนไข้
คนไหนบ้า
สมควรเข้ารับการรักษาที่นี่
"มีครับ
เราจะเปิดน้ำใส่อ่างอาบน้ำให้เต็ม
แล้วก็มีช้อน ถ้วยกาแฟ
กับถังน้ำให้คนไข้เลือกว่าจะใช้อะไร
วิดน้ำออกจากอ่างให้หมด "
นายแพทย์บอก
"อ้อ ผมเข้าใจล่ะว่า
คนปกติธรรมดาก็จะใช้ถังใช่มั้ย
เพราะมันใหญ่กว่าช้อนกับถ้วยกาแฟ
" อุดมว่า
แล้วถ้าเป็นคุณ
คุณจะเลือกอะไร คิดให้ดีๆ
ก่อนจะไปดูคำตอบจากนายแพทย์ด้านล่าง
..
..
..
..
..
..
..
"คนธรรมดาเขาจะดึงจุกที่อุดออกต่างหาก.....ว่าแต่....คุณอยากจะได้เตียงไหนดีล่ะ
? เตียงใกล้ๆ
หน้าต่างนี่ดีมั้ย?
ขณะเข้าไปเยี่ยมชมโรงพยาบาลโรคจิต
อุดมได้ถามนายแพทย์คนหนึ่งว่ามีอะไรเป็นเครื่องวัดมั้ยว่า
คนไข้
คนไหนบ้า
สมควรเข้ารับการรักษาที่นี่
"มีครับ
เราจะเปิดน้ำใส่อ่างอาบน้ำให้เต็ม
แล้วก็มีช้อน ถ้วยกาแฟ
กับถังน้ำให้คนไข้เลือกว่าจะใช้อะไร
วิดน้ำออกจากอ่างให้หมด "
นายแพทย์บอก
"อ้อ ผมเข้าใจล่ะว่า
คนปกติธรรมดาก็จะใช้ถังใช่มั้ย
เพราะมันใหญ่กว่าช้อนกับถ้วยกาแฟ
" อุดมว่า
แล้วถ้าเป็นคุณ
คุณจะเลือกอะไร คิดให้ดีๆ
ก่อนจะไปดูคำตอบจากนายแพทย์ด้านล่าง
..
..
..
..
..
..
..
"คนธรรมดาเขาจะดึงจุกที่อุดออกต่างหาก.....ว่าแต่....คุณอยากจะได้เตียงไหนดีล่ะ
? เตียงใกล้ๆ
หน้าต่างนี่ดีมั้ย?
-
- Verified User
- โพสต์: 1468
- ผู้ติดตาม: 0
ขำขำ คลายเครียด
โพสต์ที่ 240
ทำไมคนอินเดียถึงฉลาดนัก
ชายชาวอินเดียคนหนึ่ง เดินเข้าไปในธนาคารกลางเมืองนิวยอร์ค ถามหาเจ้าหน้าที่สินเชื่อ
ชายคนนี้บอกกับเจ้าหน้าที่สินเชื่อว่า เขาจะต้องไปทำธุระที่ประเทศอินเดีย ประมาณ 2 สัปดาห์
ก็เลยจะขอกู้เงินสัก 170,000 บาท เจ้าหน้าที่สินเชื่อบอกกับเขาว่า การกู้ยืมเงินจะต้องมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน
ดังนั้นชายชาวอินเดียยื่นกุญแจรถเฟอร์รารี่รุ่นใหม่ล่าสุด ที่จอดอยู่หน้าธนาคาร พร้อมกับเสนอให้ใช้รถคันนี้
เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน เจ้าหน้าที่สินเชื่อจึงตกลงให้กู้เงินโดยใช้รถค้ำประกัน
ผู้จัดการธนาคาร กับเจ้าหน้าที่สินเชื่อต่างก็ขบขันชายชาวอินเดีย ที่เอารถเฟอร์รารี่ราคา 8,500,000 บาท
มาค้ำประกันเงินกู้เพียงแต่ 170,000 บาท หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ธนาคารก็นำรถเฟอร์รารี่ขับเข้าไปจอดที่
ลาดจอดรถชั้นใต้ดินของธนาคาร สองสัปดาห์ผ่านไป ชายชาวอินเดียก็กลับมาที่ธนาคารพร้อมด้วยเงิน
170,000 บาท และดอกเบี้ยอีก 500 บาท นำมาชำระคืนให้กับธนาคาร
เจ้าหน้าที่สินเชื่อพูดว่า "ท่านครับ เรารู้สึกดีใจมากที่คุณจัดการธุระของคุณได้เสร็จเรียบร้อย และการกู้เงิน
ในครั้งนี้ก็เสร็จสิ้นไปได้ด้วยดี แต่ผมสงสัยอะไรนิดหน่อย ตอนที่คุณไปแล้ว เราได้เช็คประวัติของคุณดู
ก็พบว่าคุณร่ำรวยเป็นอภิมหาเศรษฐีคนนึงเลย แต่ทำไมคุณถึงต้องมากู้เงินกับเราแค่ 170,000 บาทด้วยล่ะครับ"
ชาวชาวอินเดียตอบกลับไปว่า "ไม่มีที่ไหนในนิวยอร์คอีกแล้ว ที่ผมจะสามารถจอดรถทิ้งไว้ได้ถึง 2 สัปดาห์
ด้วยเงินเพียง 500 บาท พร้อมกับความมั่นใจเต็มร้อยว่ารถผมจะไม่หาย"
เออ, คนอินเดียนี่ก็ช่างคิดเสียจริง นี่แหล่ะที่เค้าว่าคนอินเดียน่ะฉลาด
ชายชาวอินเดียคนหนึ่ง เดินเข้าไปในธนาคารกลางเมืองนิวยอร์ค ถามหาเจ้าหน้าที่สินเชื่อ
ชายคนนี้บอกกับเจ้าหน้าที่สินเชื่อว่า เขาจะต้องไปทำธุระที่ประเทศอินเดีย ประมาณ 2 สัปดาห์
ก็เลยจะขอกู้เงินสัก 170,000 บาท เจ้าหน้าที่สินเชื่อบอกกับเขาว่า การกู้ยืมเงินจะต้องมีหลักทรัพย์ค้ำประกัน
ดังนั้นชายชาวอินเดียยื่นกุญแจรถเฟอร์รารี่รุ่นใหม่ล่าสุด ที่จอดอยู่หน้าธนาคาร พร้อมกับเสนอให้ใช้รถคันนี้
เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน เจ้าหน้าที่สินเชื่อจึงตกลงให้กู้เงินโดยใช้รถค้ำประกัน
ผู้จัดการธนาคาร กับเจ้าหน้าที่สินเชื่อต่างก็ขบขันชายชาวอินเดีย ที่เอารถเฟอร์รารี่ราคา 8,500,000 บาท
มาค้ำประกันเงินกู้เพียงแต่ 170,000 บาท หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ธนาคารก็นำรถเฟอร์รารี่ขับเข้าไปจอดที่
ลาดจอดรถชั้นใต้ดินของธนาคาร สองสัปดาห์ผ่านไป ชายชาวอินเดียก็กลับมาที่ธนาคารพร้อมด้วยเงิน
170,000 บาท และดอกเบี้ยอีก 500 บาท นำมาชำระคืนให้กับธนาคาร
เจ้าหน้าที่สินเชื่อพูดว่า "ท่านครับ เรารู้สึกดีใจมากที่คุณจัดการธุระของคุณได้เสร็จเรียบร้อย และการกู้เงิน
ในครั้งนี้ก็เสร็จสิ้นไปได้ด้วยดี แต่ผมสงสัยอะไรนิดหน่อย ตอนที่คุณไปแล้ว เราได้เช็คประวัติของคุณดู
ก็พบว่าคุณร่ำรวยเป็นอภิมหาเศรษฐีคนนึงเลย แต่ทำไมคุณถึงต้องมากู้เงินกับเราแค่ 170,000 บาทด้วยล่ะครับ"
ชาวชาวอินเดียตอบกลับไปว่า "ไม่มีที่ไหนในนิวยอร์คอีกแล้ว ที่ผมจะสามารถจอดรถทิ้งไว้ได้ถึง 2 สัปดาห์
ด้วยเงินเพียง 500 บาท พร้อมกับความมั่นใจเต็มร้อยว่ารถผมจะไม่หาย"
เออ, คนอินเดียนี่ก็ช่างคิดเสียจริง นี่แหล่ะที่เค้าว่าคนอินเดียน่ะฉลาด
..สักวันจะเก่งเหมือนพี่บ้าง..