Thai VI

ผมเพิ่งเล่นมาได้มานานครับ 2 เดือนเอง ยังไม่รู้ต้องทำไงในสถานการณ์แบบนี้
ผลประกอบการลดลง 2 ไตรมาสแล้ว แถมลดเยอะด้วย

Quarter 2 For 6 Months

Year 2003 2002 2003 2002

Net profit (loss) 47,055 56,819 64,174 87,911
EPS (baht) 1.96 2.37 2.67 3.66


ถ้าเป็น Buffet จะทำไงครับ

ถ้าเป็น buffet ก่อนเขาจะซื้อหุ้นของบริษัทไหน เขาจะศึกษามาอย่างดีแล้วแยกบริษัทในตลาดออกเป็น 2 แบบ คือ Durable competitive advantage กับ Price competitive ซึ่งเขาจะไม่ซื้อหุ้นของบริษัทที่เป็น Price compettitve

หลังจากได้เลือกกิจการที่ดี กำไรเติบโตต่อเนื่อง เมื่อราคาตกลงมาจากข่าวร้ายเช่น ผลประกอบการออกมาไม่ดี

เขาจะซื้อเพิ่มครับ

อย่าเชื่อผมนะครับ

เพราะผมไม่รู้ว่า CPL ดีจริงหรือเปล่า และผมก็ไม่ได้มีหุ้นตัวนั้น

ถ้าดีจริง ราคาลงซื้อเพิ่ม

ถ้าไม่ดี ถึงราคาขึ้น ก็ขายทิ้งครับ

เป็นความคิดส่วนตัวของผมนะครับ โปรดใช้วิจารณาณ

CPL เป็นธุรกิจที่ดี ครับ ปันผล ประมาณ 50% ของกำไรทุกปีไม่ได้ขาด

ปีนี้ EPS คงจะ 5 -6 บาท ปันผลก็ 2.5-3 บาท

แต่สำคัญว่าเราไปซื้อไว้ที่ราคาเท่าไร

ส่วนของผมซื้อไว้นานแล้วที่ราคา 26.15 แต่จำนวนไม่มาก

ปันผลระดับนี้ ถือแทนเงินฝากได้สบายใจครับ

ถ้าราคาลดลงมา และถ้ามีเงินเหลือ ก็อยากจะเก็บเพิ่มอยู่เหมือนกัน


NAME ราคา14/11/02 LAST11/8/03 +/-(%) EPS P/E P/BV D/P%
CPL 32.25 45.00 39.53 5.34 8.43 1.34 8.89

หนี้สิน ผู้ถือหุ้น หนี้/EQ ทุน ROA(%) ROE(%) PM(%) PAR
410.27 805.11 0.51 240 10.54 15.92 3.90 10

เติบโต% EPS03 EPS02 EPS01 EPS00 EPS99
-27.05 5.34 7.32 4.58 4.12 5.16

ขอบคุณมากครับ สำหรับทุกความเห็น ทำให้ผมได้ข้อคิดใหม่ๆครับ

ผมว่าพื้นฐานมันเปลี่ยนแล้วนะครับ
ลองไปดูที่งบดีๆก่อนครับว่ากำไรตกเพราะอะไร
ต้นทุนเพิ่ม ยอดขายหด หรือว่ารายการพิเศษ
ถ้าพื้นฐานเปลี่ยนแล้วเป็น buffet ก็ขายไปหมดแล้วมั๊งครับ
แต่จริงๆแล้วถ้าเป็ย buffet คงไม่ซื้อตั้งแต่แรกแล้วมั๊ง
ตามเหตุผลที่พี่เจ๋งว่ามา

พี่ไม่ได้หมายความว่าแบบนี้นะ >>>yoyo


พีกำลังจะบอกว่า ถ้าคิดว่าหุ้นดีก็ซื้อเพิ่ม ถ้าคิดว่าหุ้นไม่ดี ก็ขาย แค่นั้นเองครับผม

แต่เท่าที่รู้มาเพราะต้นทุนเพิ่มนะครับ แต่ไม่แน่ใจเหมือนกัน

อ๋อที่ผมว่า buffet จะไม่ซื้อเพราะ
เป็นมันไม่เป็น durable นะครับออกจะไปในแนว price compet นิดๆด้วย

ถ้าผมจำไม่ผิด CPL เป็นผู้ฟอกหนังคุณภาพดีที่ได้รับการรับรอง ส่งให้กับ รองเท้าหนัง Timberland นะครับ ราคาหนังดิบอาจจะแกว่งไปมาตามสถานการณ์โรควัวบ้า แต่หนังฟอกคงไม่ได้ปรับตามต้นทุนจริงก็เลยต้องแบกรับภาระไปด้วย

พี่ครรชิตแนะนำผมเมื่อปีก่อน แต่ตอนนั้นผมใจอ่อน กำไรนิดๆก็ขาย เสียดายครับ

แปลว่า คุณนักดูดาว เปลี่ยนเป็นไม่ขายได้ก็ไม่ขายเหรอครับ

จริงๆแล้วการที่ผลกำไรของCPLลดลงนั้นไม่น่าแปลกใจซักเท่าไหร่ครับ เพราะตลาดส่งออกส่วนใหญ่ของCPL นั้นอย่ที่จีนและฮ่องกงแถบๆนั้น ดังนั้นในไตรมาศแรกและไตรมาศสอง ผลกระทบที่ได้รับก็คือ เต็มๆครับ แต่ตอนนี้กำลังซื้อในแถบภูมิภาคนั้นเริ่มฟื้นตัวคราวนี้คงต้องมาดูกันต่อครับว่าหมู่หรือจ่า ส่วนในกรณีที่สินค้าเป็นสินค้า generic แต่ถึงแม้ว่าจะเป็นเช่นนั้น ก็ยังมีข้อได้เปรียบในส่วนของจำนวนของPlayer สิ่งนี้คือสิ่งที่ต้องพิจารณาด้วย เพราะถ้ามี player มากและสินค้านั้นเน่าเสียง่ายหรือตกรุ่นง่าย อย่างนี้ในเชิงธุรกิจค่อนข้างเสี่ยงสูง แต่สำหรับหนังฟอกนั้นค่อนข้างเป็นคอขวดของสายธุรกิจเครื่องหนัง ปศุสัตว์ ฟอกหนัง เครื่องหนัง ซึ่งทำให้อำนาจการต่อรองยังมีอยู่ แต่ข้อเสียคือราคาจะถูกกำหนดโดยกลุ่ม(ไม่ใช่ตลาดเหมือนสินค้าในตลาด perfect market แต่จะเป็นราคาที่ตกลงกันในกลุ่มผู้ฟอกหนังด้วยกัน)ซึ่งการทำความเข้าใจคงต้องไปศึกษาเศรษฐศาสตร์ของธุรกิจแบบOligopolyดูครับ

ผมซื้อตัวนี้ตั้งแต่ปี 01 ที่ 27-28 บาท เพราะเห็นว่า EPS สูง กะว่าจะจ่ายปันผลได้เยอะ (กะไว้ 3 บาทตอนนั้น) ที่ไหนได้จ่ายแค่ 2 บาทเท่านั้น เพราะเอาเงินสดไปซื้อวัตถุดิบสต๊อกไว้ ก็เลยขายไปด้วยความไร้เดียงสา พอปี 02 คือปีที่แล้วผลของการเก็บสต๊อกในราคาต่ำก็ส่งผล เพราะกำไรเพิ่มขึ้นปรู๊ดปร๊าด แล้วก็จ่ายปันผลตั้ง 4 บาท ซึ่งความจริงมีข่าวลือตั้งแต่ Q2 แล้วเรื่องว่าจะจ่ายปันผลมากนี้ พอปี 03 ผมจึงไม่แปลกใจที่ผลประกอบการจะแย่ลง เพราะสต๊อกต้นทุนต่ำหมดไปแล้ว แต่ตลาดใช้เวลาปรับตัวนานมาก ผมว่าจะกลับไปดูตัวนี้อีกที ก็ต่อเมื่อราคากลับไปแถวๆ 27-28 บาท หรือต่ำกว่านั้นแต่สำหรับคุณเจ้าของกระทู้ ผมก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไงดี เพราะซื้อไปแล้ว ตัวผมเองยังไม่ซื้อ จึงสามารถเขียนอย่างนี้ได้ คือถ้าไม่ลงก็ไม่ซื้อ แต่ไม่ได้หมายความว่าราคาจะต้องลงแน่ๆ เพราะหุ้นคือความไม่แน่นอน

ถือต่อครับ ยึดแนวพี่ครรชิตไว้ครับ ดีกว่าฝากแบงค์
ผมเคยตัดขาดทุนเพื่อไปเข้าตัวอื่น แต่สุดท้ายเปรียบเทียบกันแล้วถือต่อดีกว่า
ถ้าจะเข้าตัวต่อไปใช้เงินก้อนใหม่แล้วศึกษาเพิ่มขึ้นครับ