Thai VI

แล้วใครจะซื้อต่อครับ สงสัยว่าจะมีใครต้องการซื้อ
เช่น BEC เนี่ยจะมีคนสนใจซื้อไหมครับ

ความเห็นแตกต่าง จึงมีการซื้อขาย ความเห็นว่าน่าขาย ก็ต้องมีความเห็นว่าน่าซื้อ

เราก็เห็นเพียงกรอบที่เราอยู่เท่านั้น ในกรอบที่แตกต่างอาจจะมีอีกมุมมอง

เคยอ่านมาแล้วครับ โบรคเดียวกัน ภาษาอังกฤษให้ซื้อ ภาษาไทยให้ขาย

แปลว่า........

ผมว่านะโบรกฯ ทุกสำนักที่มาบอกว่าตัวนั้นควรซื้อ ตัวนี้ต้องขาย อย่าไปเชื่อครับ!!! เพราะว่าในวงการนี้ไม่มีใครพูดความจริง เพราะว่าไม่มีใครรู้ความจริงหรอกครับ ถ้ารู้ก็รวยตาย.....แล้วจะมานั่งวิเคราะห์หุ้นให้ชาวบ้านทำไม? เราเป็นนักลงทุนที่เน้นคุณค่า (Value investor) ต้องดูที่คุณค่าคือความสามารถในการแข่งขันทั้งปัจจุบันและอนาคต อย่าสนใจคำวิเคราะห์ซึ่งเปลี่ยนรายวันมากนักเลยครับ

หุ้นที่มีกำไร และจ่ายปันผลได้ต่อเนื่อง ผมถือว่าเป็นบริษัทที่ "ดีพอใช้" ทั้งนั้นแหละ
ครับ ถ้าไม่ถึงกับเหี่ยวลงๆ จนหมดแรงตายไปเสียก่อน

อยู่ที่ว่า ซื้อได้มาที่ราคาเท่าไรเท่านั้นแหละครับ
หุ้นที่จ่ายปันผล 4-5 สตางค์ทุกปีๆ จากการดำเนินงานจริงๆ ของบริษัท
แต่ถ้าผมซื้อได้สลึงเดียว ผมก็โอเคครับ :lol: :lol: :lol:

อยากจะบอกว่าเลิกอ่านเถอะบทวิเคราะห์

คล้ายๆคบเด็กสร้างบ้าน

ถ้านักวิเคราะห์คนไหน วิเคราะห์ถูกแล้วรวยจากหุ้น คุณคุณคนนั้นเขาก็ลาออกไปเล่นหุ้น ไม่มานั่งก้มหน้าก้มตา วิเคราะห์กินเงินเดือนหรอก

โดยส่วนตัวผมคิดว่า นักวิเคราะห์ เป็นโครงสร้างที่ผิดพลาดของตลาดทุน

น่าจะยกเลิก แล้วให้ไปสัมภาษณ์ คนที่เล่นหุ้นแล้วประสบความสำเร็จ ว่ามีมุมมองอย่างไรมากกว่า

หรืออย่างมาก ก็เป็นได้แค่เพียง ผู้บอกข่าว ว่าบริษัทนั้น ดี ไม่ดีอย่างไร แต่เรื่องซื้อเรื่องขาย ปล่อยให้เจ้าตัวคิดเอง

การที่บทวิเคราะห์สามารถแนะนำให้คนซื้อคนขาย เคยทำวิจัยกันอย่างจริงจังหรือไม่ ว่าพาคนไปตายกันแล้วกี่รอบ กี่บาท ในระยะเวลากี่ปี

ที่สำคัญปัจจุบัน คนที่ร่ำรวยจากหุ้นมหาศาล มีคนไหนบ้างที่มีประวัติเป็นนักวิเคราะห์

ผมไม่ได้ดูถูก แต่ลักษณะงาน ทำให้ ผู้คนเสียหาย รวมทั้งตัวนักวิเคราะห์เอง

สงสัยว่าจะมีใครต้องการซื้อ

ผมเอง ผมจะรอซื้อ

BEC ช่ายมะ 555 ถ้าลงมา 10 บาทละก็ เงินปันผลจะเป็น 9% เลยทีเดียว

บทวิเคราะห์เป็นเหมือนสิ่งเร้ากระตุ้นอารมณ์อยากซื้ออยากขาย เป็นส่วนหนึ่งของเกมส์ ถ้าไม่มีบทวิเคราะห์ เกมส์ก็ไม่สนุก รายได้จากค่าคอมมิชชั่นจะลดลง เพราะไม่ค่อยมีการซื้อการขาย นักวิเคราะห์ก็โดนลดเงินเดือนหรือมากเข้าๆ ตกงานนะซิครับ

อืม ถ้าจะพัฒนาตลาดทุน เพื่อให้เกิดการส่งเสริม ให้กิจการที่ดี มีเงินทุนเพียงพอในการบริหารกิจการ

ไม่จำเป็นต้องมีบทวิเคราะห์เพื่อกระต้นการซื้อขาย ไม่จำเป็นต้องไปเดินตามก้นฝรั่ง

สร้างตลาดหุ้น ที่ไม่ต้องมีนักวิเคราะห์ ไม่ต้องมีโบรกเกอร์ที่มีรายได้จากค่าคอม

แต่ให้มีโบรกเกอร์ ที่มีรายได้ จากการที่คนมาลงทุนแล้วได้กำไร ( เช่น โบรกเกอร์ ในฐานะผู้แนะนำ ได้รับ 20 % จากกำไร จากพอร์ตโดยรวม )

สัดส่วนในรายละเอียดก็ไปว่ากัน

ประเทศไทย จะได้เป็นประเทศแรกๆในโลก ที่คนทั่วโลกแห่มาลงทุน เพราะเน้นการทำกำไรจากกิจการ ไม่เน้นการทำกำไรจากส่วนต่างราคา

แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อกิจการมีกำไร อย่างต่อเนื่อง ราคาซื้อขายก็จะมาก ทำให้ได้กำไรจากราคาเอง

หมายเหตุ เม็ดเงินส่วนใหญ่ ที่พร้อมจะลงทุน แต่ไม่กล้ามาลง เพราะดูๆไปแล้ว ตลาดไม่เอื้อให้กิจการดีๆเข้าตลาด เพราะถ้าเข้าอาจจะโดนเทคโอเวอร์ได้จากการปั่นราคา และกิจการดีๆ ก็เพียงต้องการเงินทุน เพื่อขยายงาน เพราะฉะนั้น การเข้ามาระดมทุนถูกต้องแล้ว แต่การซื้อขายมากเกินไปนี่ซิ คือปัญหา

การตั้งกฎระเบียบ พร้อมบทวิเคราะห์เพื่อให้เกิดการซื้อขาย ยิ่งทำให้ตลาดหุ้นมีปัญหาเข้าไปอีก

โดยภาพรวมแล้ว เม็ดเงินส่วนใหญ่ ไม่ได้เข้ามาในตลาดหุ้น แต่เม็ดเงินส่วนใหญ่ กลับวิ่งไปลงทุนกับกิจการต่างๆมากมาย ที่พร้อมๆจะเจ๊งและล้มหายตายจากกันไป ถึงเวลาจะขาย ก็ขายไม่ได้ ไม่ใช่กิจการไม่ดีมาก แต่เพราะไม่ได้อยู่ในตลาด ไม่มีสภาพคล่อง

Peter Lynch ก่อนจะมาเป็น Fund Manager ก็เป็น Analyst ให้กองทุนมาก่อนนี่ครับ

Jim Rogers ถ้าจำไม่ผิดก็เคยเป็น Analyst มาก่อนเหมือนกัน ก่อนที่จะไปทำงานกับ Hedge Fund ของ Soros แล้วก็เกษียณตัวเองมาเดินทางรอบโลกแทน

นักวิเคราะ์ห์กับบทวิเคราะห์ดีๆ มีเยอะแยะ อย่างคุณ Invisible Hand ก็เป็นนักวิเคราะห์คนนึงเหมือนกันนะครับ

ขอบคุณครับ เพิ่งรู้

งั้นเรามาวิเคราะห์กันว่า นักวิเคราะห์คนไหน เชื่อถือได้บ้างครับ

คือเราให้ คะแนนไปเลย ว่าถ้าคนนี้วิเคราะห์แล้วละก็ใช้ได้เลย

ยกตัวอย่าง major
ผมอ่านแล้วก็อืม ต่อให้กำไร 661 ล้าน แต่ราคาทั้งบริษัทตอนนี้ 8157.21 ล้านบาท ราคาหุ้น 11.50
ดูคร่าวๆแล้วเราจะซื้อกิจการนี้ทั้งหมดหรือไม่ ในคา 8157.21 ล้านบาท เพื่ออาจจะทำกำไรได้ 661 ล้านบาท
PE 12.34
อะไรจะเกิดขึ้น ถ้าการรวมกิจการ มีเรื่องไม่เป็นไปตามคาดการ เช่น การทะเลาะของทีมผู้บริหาร
ขอเพียงแต่การทำกำไรที่ออกมาจริง ต่ำกว่า 661 ล้านบาท หุ้นก็ร่วงแน่ๆ

สมมุติเล่นๆว่า กำไร 1322 ล้านบาท เลย เอา 2 เท่าของประมาณการ

PE ก็ยัง 6.17 ในเมื่อตอนนี้เรามีหุ้น PE 5 ให้ซื้อ ไม่ต้องไปนั่งลุ้น major ว่าถ้าทำกำไรได้ 661 เราจะได้เป็นเจ้าของกิจการ PE 12

นักวิเคราะห์เขาทำหน้าที่ของเขาดีแล้ว ผมไม่ยุ่งด้วยดีกว่า

นักวิเคราะห์ก็มีทั้งดีและไม่ดี เลือกฟังเป็นคนๆดีกว่าครับ
เล่นหุ้นมานานๆก็คงจะพอๆรู้ คนไหนฟังหนุกๆ คนไหนฟังดูดี

นักวิเคราะห์คงจะหาที่ถูก 100% ยากครับ ถ้ามี ก็คงรวยมากๆ แล้วและไม่มาเป็นนักวิเคราะห์แล้ว

นักวิเคราะห์ที่ดีควรจะถูกซัก 70-80% ก็ถือว่าทำให้ลูกค้าได้กำไรเป็นส่วนใหญ่ได้ และถ้าผิดก็ควรจะไหวตัวทัน

แต่เท่าที่เห็น นักวิเคราะห์ในปัจจุบันจะถูกครึ่งผิดครึ่ง ดังนั้นหากทำตามทั้งหมดก็ไม่มี value added อะไร

ผมลองซื้อหนังสือวิเคราะห์ฟุตบอลมาดูหลายๆ สัปดาห์ พบว่าคอลัมน์วิเคราะห์บอลส่วนใหญ่จะให้ผลผิดถูกใกล้เคียงกัน คือ 50% หรือบางคนผิดมากกว่าถูกเสียอีก

ผมกำลังหาดูอยู่ครับว่านักวิเคราะห์คนไหนที่ผิดหมดหรือผิด 90% ขึ้นไปครับ เพราะคนเหล่านี้จะมี value ที่สูงมาก สูงกว่าพวกถูกครึ่งผิดครึ่งเสียอีก คือ ถ้าทำตรงกันข้ามก็จะมีโอกาสกำไร 90%

ผมว่ามันยากเหมือนกันนะที่จะวิเคราะห์ให้ถูกทั้งหมด หรือส่วนใหญ่ ผมดูๆแล้วนักวิเคราะห์มักจะถูกตอนตลาดหุ้นขึ้น ช่วงซึมๆหรือกำลังลง ไม่ค่อยมีใครถูก

แต่ว่าก็ว่าเถอะนะครับ แค่วันก่อนผมไปโลตัส วิเคราะห์ว่าช่องไหนจะจ่ายเงินได้เร็วสุดยังวิเคราะห์ผิดเลยครับ เพราะเครื่องที่ไปต่อคิว ดันเสียขึ้นมา อิอิ

Invisible hand เขียน: ผมลองซื้อหนังสือวิเคราะห์ฟุตบอลมาดูหลายๆ สัปดาห์ พบว่าคอลัมน์วิเคราะห์บอลส่วนใหญ่จะให้ผลผิดถูกใกล้เคียงกัน คือ 50% หรือบางคนผิดมากกว่าถูกเสียอีก

ผมกำลังหาดูอยู่ครับว่านักวิเคราะห์คนไหนที่ผิดหมดหรือผิด 90% ขึ้นไปครับ เพราะคนเหล่านี้จะมี value ที่สูงมาก สูงกว่าพวกถูกครึ่งผิดครึ่งเสียอีก คือ ถ้าทำตรงกันข้ามก็จะมีโอกาสกำไร 90%

คุณ IH เปลี่ยนแนวการลงทุนแล้วหรือครับเนี่ย คงต้องไปขอทีเด็ดคุณ IH ในฤดูกาลที่เหลือ อิอิ

ผมกำลังหาดูอยู่ครับว่านักวิเคราะห์คนไหนที่ผิดหมดหรือผิด 90% ขึ้นไปครับ เพราะคนเหล่านี้จะมี value ที่สูงมาก สูงกว่าพวกถูกครึ่งผิดครึ่งเสียอีก คือ ถ้าทำตรงกันข้ามก็จะมีโอกาสกำไร 90%

คุณ invisible ผมชอบคำนี้จริง ๆครับ คิดได้ไงเนี้ย ผมชอบจริง ๆๆ

ผมนี่แหละตัวจริง อยากได้ทีเด็ดส่วนตัวมาได้ แต่ไม่ขอรับผิดชอบนะ อิอิ

ยังไงก็ยังอยากให้มีบทวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ค่ะ อย่างเรื่องการตีความข่าว การมองแนวโน้มธุรกิจของบริษัท ถึงจะไม่สามารถฟันธงว่ามันจะเป็นอย่างที่เขาเขียนหรือไม่ แต่ก็พอเป็นองค์ประกอบหนึ่งที่จะตัดสินใจซื้อ ถือ หลีกเลี่ยงหรือขายหุ้นค่ะ 8)

ซื้อตามบทวิเคาะห์ทีไร เจ๊งทุกที สังเกตหลายครั้งแล้วว่าหลังออกบทวิเคราะห์แล้วหุ้นจะขึ้นสักพัก(พักเดียวจริงๆนะ) แล้วหลายๆตัวก็จะรูดมหาราชเลย แล้วสักพักก็จะออกบทวิเคราะห์ใหม่ให้ขาย
ปัจจัยพื้นฐานอะไรกันจะเปลี่ยนง่ายในข้ามเดือน
ตั้งแต่ได้ความรู้จากwebนี้ เดี่ยวนี้ไม่เคยเชื่อบทวิเคราะห์เลย แต่ดูไว้เพื่อให้ระวังตัวว่าถ้าเชียร์ให้ซื้ออาจมีการออกของในระยะอันสั้น
ข้อมูลในwebนี้ดีกว่าจากโบรกอีก ไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน

นักวิเคราะห์ที่มีอยู่จะมีซักกี่คนที่มีประสบการณ์มากเป็นสิบปี จะมีซักกี่คนที่เคยประสบความสำเร็จจากการลงทุน

ถ้าเขาเหล่านั้นไม่มีประสบการณ์ ไม่เคยประสบความสำเร็จจากการลงทุนมาก่อน แล้วจะมีความน่าเชื่อถือได้อย่างไร

คนที่มีอาชีพนี้เขาหวังอะไร หวังว่าจะประสบความสำเร็จในอาชีพนักวิเคราะห์โดยการปรับตำแหน่งไปเรื่อยๆจากอายุงาน ถ้าตลอดอายุงานไม่เคยทำอะไรผิดพลาดครั้งใหญ่หรือไม่

ถ้าใช่เขาเหล่านั้นก็วิเคราะห์ตามที่คนส่วนใหญ่เชื่อ วิเคราะห์ตามบทวิเคราะห์ส่วนใหญ่ที่เขียน วิเคราะห์กลางๆ ไม่ต้องฟันธง ปรับกลยุทธไปเรื่อยๆ แค่นี้ก็ไม่มีใครกล่าวหาพวกเขาได้ แม้การวิเคราะห์ของเขาจะผิดพลาด พานักลงทุนไปขาดทุนมากมาย พอวันเวลาผ่านไป เขาก็จะมีอายุงานนานขึ้น มีน้องใหม่ที่เพิ่งจบเข้ามาทำงาน เขาก็จะได้ปรับตำแหน่งสูงขึ้นเรื่อยๆ

ลองดูช่อง 9 สิครับ มีอยู่คนนึ่ง ถ้าวันนั้นเชียร์ตัวไหน ปริมาณซื้อขายจะมากผิดปกติในช่วงที่กำลังออกอากาศ และราคาหุ้นก็จะอยู่ในระดับสูงสุดของวันตอนนั้นพอดี

พอจบรายการปุ๊บ ปริมาณซื้อขายจะหดตัว แล้วราคาก็สาละวันเตี้ยลงๆ

เป็นอย่างนี้มาหลายครั้งมากๆ จนเป็นปรากฏการณ์แล้วครับ ใครไม่เคยติดตามก็ลองถามคนรู้จักที่เล่นหุ้นแล้วดูช่อง 9 นะครับ ช่วงสายๆ สัก10 โมง 11 โมง 8)

Quote:
ผมกำลังหาดูอยู่ครับว่านักวิเคราะห์คนไหนที่ผิดหมดหรือผิด 90% ขึ้นไปครับ เพราะคนเหล่านี้จะมี value ที่สูงมาก สูงกว่าพวกถูกครึ่งผิดครึ่งเสียอีก คือ ถ้าทำตรงกันข้ามก็จะมีโอกาสกำไร 90%



คุณ invisible ผมชอบคำนี้จริง ๆครับ คิดได้ไงเนี้ย ผมชอบจริง ๆๆ

พี่ IH ถ้าเจอแล้วอย่าลืมบอกผมบ้างนะครับ

ผมเนี่ยแหละ ถ้าไม่ผิด 90% ก็ถูก 90% นะ

chatchai เขียน:
คนที่มีอาชีพนี้เขาหวังอะไร หวังว่าจะประสบความสำเร็จในอาชีพนักวิเคราะห์โดยการปรับตำแหน่งไปเรื่อยๆจากอายุงาน ถ้าตลอดอายุงานไม่เคยทำอะไรผิดพลาดครั้งใหญ่หรือไม่

ถ้าใช่เขาเหล่านั้นก็วิเคราะห์ตามที่คนส่วนใหญ่เชื่อ วิเคราะห์ตามบทวิเคราะห์ส่วนใหญ่ที่เขียน วิเคราะห์กลางๆ ไม่ต้องฟันธง ปรับกลยุทธไปเรื่อยๆ แค่นี้ก็ไม่มีใครกล่าวหาพวกเขาได้ แม้การวิเคราะห์ของเขาจะผิดพลาด พานักลงทุนไปขาดทุนมากมาย พอวันเวลาผ่านไป เขาก็จะมีอายุงานนานขึ้น มีน้องใหม่ที่เพิ่งจบเข้ามาทำงาน เขาก็จะได้ปรับตำแหน่งสูงขึ้นเรื่อยๆ

เขาเรียกว่าเหยียบศพรายย่อย ขึ้นไปเป็นผู้อำนวยการ อิอิ
(คุณฉัตรชัย ชี้ให้เห็นสัจจะธรรมเลย)

แต่ยังไงก็ได้ประโยชน์จากบทความเค้าบ้างนะครับผมว่า.................

ผมอ่านบทวิเคราะห์เป็นประจำ แต่ไม่เคยซื้อตามบทวิเคราะห์แม้แต่ครั้งเดียว.........

ถ้าไม่มีบทวิเคราะห์ผมคงเหงาแย่........... :lol:

นั่นสินะครับ ผมมองว่า ในบทวิเคราะห์นั้นก็มีที่เชื่อถือได้ และ ไม่น่าเชื่อถือ แล้วแต่คร้าบ

ผมมองว่า บทวิเคราะห์ก็ดีอย่างคือ เขา รวบรวมข้อมูลให้เราว่า บริษัทลงทุนตรงไหน เท่าไร แผนยังไง รวบรวมมา ให้อ่าน

รวบรวมมาจากไหนครับ ผมว่าส่วนใหญ่ก็รวบรวมมาจากบริษัทที่ไป visit company บริษัทก็ให้ของขวัญ แล้วก็เอาแง่มุมที่อยากเปิดเผยมาบอก แง่ที่ไม่อยากเปิดก็ปิดไว้

อยากให้หุ้นลง ก็เปิดแผลให้เห็น ว่ามันกำลังจะเน่า

อยากให้ขึ้น ก็เปิดโอกาสให้เห็นว่ามีโครงการอีกเพรียบ

มันมีหลักอยู่อย่างครับ

หุ้นที่นักวิเคราะห์เปลี่ยนคำแนะนำจาก " ซื้อ " เป็น " ถือ " จริงๆ แล้วนักลงทุนต้องขายครับ เพราะหากเปลี่ยนคำแนะนำจาก " ซื้อ " เป็น " ขาย " ทันที นักวิเคราะห์คนนั้นจะโดนเจ้านาย sale marketing และลูกค้าด่าครับ เพราะลูกค้าบางคนเพิ่งซื้อเมื่อเดือนก่อนจะให้ขายขาดทุนได้ยังไง ก็ต้องให้ถือไปก่อน ทั้งๆ นักวิเคราะห์คนนั้นอยากจะเปลี่ยนเป็น " ขาย " ใจจะขาด เพราะรู้ว่าธุรกิจเริ่มไม่ดีแล้ว กำไรจะลดลง

แต่หากเปลี่ยนจากคำแนะนำจาก " ถือ " เป็น " ขาย " เมื่อไหร่ แสดงว่าหุ้นตัวนั้นซึมลงมานาน ไม่มีใครสนใจแล้วก็เลยแอบเปลี่ยนคำแนะนำอย่างเงียบๆ กรณีนี้นักลงทุนก็อาจจะไม่ต้องขายตามครับ เพราะมันอาจจะลงมาเสียจนไม่รู้จะลงยังไงแล้ว หรือธุรกิจอาจจะใกล้ถึงจุดกลับตัวแล้ว

และหุ้นตัวเดิม เมื่อธุรกิจเริ่มดีขึ้นแล้ว หุ้นเริ่มขึ้น ถ้านักวิเคราะห์คนนั้นเปลี่ยนคำแนะนำจากที่เคย " ขาย " มา " ถือ " นักลงทุนควรจะเริ่มพิจารณาซื้อ ครับ เพราะใจจริงอยากเปลี่ยนเป็น " ซื้อ " เลยแทบแย่ แต่ก็จะกลัวลูกค้าที่เพิ่งขาย cut loss ตามบทวิเคราะห์เมื่อสัปดาห์ก่อนด่า แถม sale marketing ของโบรกฯ ที่โดนลูกค้าด่ามา ก็จะมาด่านักวิเคราะห์คนนั้นต่ออีกที และเจ้านายก็ด่าซ้ำอีกครับ บางทีอาจจะจำทางกลับบ้านไม่ถูกได้เลย

และหุ้นตัวเดิมอีกนั่นแหละ และนักวิเคราะห์คนเดิมอีก เปลี่ยนจาก " ถือ " เป็น " ซื้อ " เพราะเห็นว่าได้เวลาอันควร ก็ให้นักลงทุนเริ่มระวัง เตรียมตัวขายได้แล้วครับ และถ้าจะซื้อก็ไม่ควรซื้อเพิ่มมาก

และเมือไหร่ คำแนะนำเปลี่ยนจาก " ซื้อ " เป็น " ซื้ออย่างแข็งแกร่ง " หรือภาษา research เขียนว่า " strong buy " แล้วล่ะก็ นักลงทุนควรขายหุ้นตัวนั้นแล้วไปหาหุ้นตัวอื่นเล่นจะดีกว่า เพราะหุ้นตัวนั้นจะถึงจุด peak ในไม่ช้า ถึงไม่ลงในช่วงสั้นๆ แต่ก็ไม่ค่อยมี upside เหลือเท่าไหร่แล้ว

ก็คงใช้ไม่ได้กับหุ้นทุกตัวและกับนักวิเคราะห์ทุกคนครับ แต่เห็นอย่างนี้มาบ่อยจริงๆ ครับ

เห็นมั้ยล่ะครับ ชีวิตนักวิเคราะห์ก็น่าสงสารนะครับ หลายคนไม่ยอมมีครอบครัว เพราะโดนทั้งลูกค้า เจ้านาย sale marketing ด่ามาทั้งวัน ถ้ากลับบ้านโดนเมียด่าอีกคงไม่ไหวครับ : )

อ่านมันส์จริงๆความเห็นของท่าน IH น่าคิดมากครับ

:lol: :lol: :lol: :lol:

ตกลงว่า ท่าน IH ก็เลยยังไม่มีครอบครัวเหรอคับ ระวังมีลูกตอนอายุมาก ไม่ค่อยดีนะครับ

อ้อ....ไหนจะนอนดึกอีก สมรรถภาพก็ลดลงอีก ไวอากร้าก็มีผลข้างเคียงเยอะอีก

กรรม........

อิอิอิ.....

:lol: :lol: :lol: :lol:

สุดยอดครับ