ดร.นิเวศน์ เตือน บิ๊กแคป ยังไม่ก้นเหว
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. เม.ย. 14, 2005 8:32 pm
http://www.bangkokbizweek.com/20050402/ ... 44677.html
ดร.นิเวศน์ เตือน บิ๊กแคป ยังไม่ก้นเหว
ดักหุ้น "ผิดราคา"...มีสิทธิ "ติดดอย"(ยาว)
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ผู้เชี่ยวชาญวิชาการสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ในฐานะวิทยากรรับเชิญ งานสัมมนา "ร่อนตะแกรง...หุ้นพื้นฐาน เลือก 'หุ้นดี' มีชัยไปกว่าครึ่ง" จัดโดย กรุงเทพธุรกิจ BizWeek ร่วมกับ บลจ.ธนชาติ เตือนบรรดาผู้ลงทุนรายย่อยเน้นความรอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน และอยู่บนความระมัดระวังโดยเฉพาะในยามที่ตลาดหุ้นกำลังป่วนอย่างหนัก
เพราะสถานการณ์เศรษฐกิจกำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ หลังปะทะกับปัจจัยเสี่ยงรอบด้าน กระทบเป็นแรงเหวี่ยงที่สร้างความผันผวนถึงดัชนีตลาดหุ้น แต่หลายคนกลับยังเชื่อมั่นในประสบการณ์โดดลงไปดักหุ้น "บิ๊กแคป" ท่ามกลางภาวะภาพลวงตาแบบ...ดอยซ้อนดอย ซึ่งผู้เชี่ยวชาญประเมินว่าราคาที่ร่วงหล่นมานั้นก็ยังลง "ไม่สุดทาง"
ดร.นิเวศน์ แสดงทรรศนะถึงความเคลื่อนไหวของหุ้นที่มีมูลค่าตลาดขนาดใหญ่ หรือ "หุ้นบิ๊กแคป" โดยยกตัวอย่างหุ้นของ "ปูนซิเมนต์ไทย" (SCC) ซึ่งราคาล่าสุดวูบลงมาอยู่แถวๆ 245 บาท
"ตอนนี้ผมถือว่าราคา SCC ยังลงมาน้อยเกินไป หรือยังไม่ต่ำพอ แต่ก็อาจเป็นราคาที่พอลงทุนได้ ภายใต้เงื่อนไขว่าเราต้องอดทนรอได้อีกสัก 20 ปี...ถ้ารอไหวก็ซื้อเลย"
เนื่องจากก่อนหน้านั้นราคา SCC ดีดตัวขึ้นไปสูงมากๆ จากประเภท "หุ้นพื้นฐาน" กลับกลายเป็นหุ้นที่ "ร้อนแรง" นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมนักลงทุนประเภท Value Investor (นักลงทุนแบบเน้นคุณค่า) ถึงไม่สนใจ SCC
"ปูนใหญ่มีความสมบูรณ์พร้อมทุกด้าน แต่เพราะผลการดำเนินงานในปัจจุบันเริ่มไปอิงกับธุรกิจปิโตรเคมีมากเกินไป จึงทำให้ความเคลื่อนไหวของราคาหุ้น SCC ออกจะดูวูบวาบมากเกินไป...แตกต่างจากธุรกิจปูนซีเมนต์ ซึ่งถือเป็นพื้นฐานที่ดีที่สามารถเติบโตไปได้เรื่อยๆ"
เช่นเดียวกันกับหุ้นของบริษัทขนาดใหญ่ (บิ๊กแคป) แห่งอื่นๆ ที่ก่อนหน้านั้นก็ถูกดันราคาขึ้นไปจนสูง แต่ราคาก็ทยอยปรับลงมาพร้อมๆกัน จนทำให้นักลงทุนจำนวนมากแห่มารอซื้อที่ "แนวรับ" ต่างๆ
จุดนี้เอง ที่นักลงทุนต้องอาศัยความรอบคอบและต้องดูว่าเป็นราคาที่เหมาะสมแก่การลงทุนแน่นอนแล้ว เพราะถ้าสามารถซื้อได้ "ถูกราคา" ก็คงไม่ต้องกลัวว่าอนาคตหุ้นมันจะลง
ดร.นิเวศน์ อธิบายเทคนิคการเลือกหุ้นในมุมมองของ Value Investor ว่า เราต้องพยายามมองหาหุ้นที่ไม่อยู่ในกระแส แต่สามารถเดินราคาไปได้อย่างราบเรียบ
โดยในเบื้องต้นก่อนเลือกหุ้นให้ตั้งใจไว้ก่อนว่าจะถือยาวไปอีก 5 ปี เพราะถือเป็นเครื่องมือกลั่นกรองที่ดี หลังจากนั้น 1-2 ปี เราก็สามารถขายได้เมื่ออยากขาย
แต่สำคัญที่สุดคือไม่ควรไปแตะหุ้นที่กำลังฟีเวอร์ หรืออยู่ในช่วงที่ร้อนแรง
"เพราะเรารู้อยู่แล้วว่าอะไรที่เกี่ยวกับแฟชั่น หรือความร้อนแรงที่กำลังเกิดอยู่นั้น อีก 5 ปีข้างหน้ามันเลิกหมดแล้ว"
ยกตัวอย่างในธุรกิจเครื่องดื่ม "ชาเขียว" ที่สินค้ากำลังได้รับความนิยมและเข้ากับกระแสหรือทันแฟชั่น แต่นักลงทุนควรวิเคราะห์โดยประเมินดูว่า ในอีก 5 ปีข้างหน้า เครื่องดื่มชาเขียวจะยังคงได้รับความนิยมอยู่หรือไม่
ฉะนั้นข้อสำคัญอันดับแรกให้พิจารณาที่ความ "เข้มแข้ง" ของตัวบริษัทก่อน จากนั้นให้เช็ค "ผลกำไร" ที่ต้องมีความสม่ำเสมอ และต่อเนื่องอย่างน้อยๆ 3-4 ปีติดต่อกัน
"ไม่ควรเป็นบริษัทที่มีกำไรเยอะเกินไป เพราะเงินทุนของเราจะเสี่ยงต่อกำไรในอนาคต ที่ลดลง"
ดร.นิเวศน์ ยังตั้งข้อสังเกตไว้ถึงกรณีที่บริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในตลาดหุ้นไทยขณะนี้ ส่วนใหญ่จะมีกำไรที่สูงสุดยอด...จนผิดปกติ ตลาดหุ้นทั่วโลกผมว่าไม่มีประเทศไหนสู้ประเทศไทยได้ในตอนนี้
ทำไม บจ. ในประเทศไทยถึงกำไรดีมากได้ขนาดนี้ โดยเฉพาะบริษัทขนาดใหญ่หรือประเภท "บิ๊กแคป" ...กำไรมหาศาลทีเดียว
"ตอนนี้กำไรของ บจ. โดยรวมดีผิดปกติมากๆ และยังไม่เคยมีใครออกมาพูดถึงประเด็นนี้ บริษัทหลายแห่งมีสัดส่วนกำไรมากกว่า 20% ขึ้นไปเมื่อเทียบกับยอดขาย ขณะที่บริษัทยักษ์ใหญ่หรือหุ้นใหญ่ๆ ในตลาดหุ้นสหรัฐ มีกำไรต่อยอดขายประมาณ 5-6% เท่านั้น"
จึงต้องมองกันว่า กำไรที่เกิดขึ้นเป็นความ "บังเอิญ" หรือไม่ ซึ่งในระยะสั้นการมีกำไรมากๆ ก็เป็นไปได้ เพราะบังเอิญว่าสินค้านั้นๆ มีราคาดี ...บังเอิญว่าไม่ต้องเสียภาษี หรือบังเอิญว่าบริษัทมีอำนาจในการควบคุมตลาด
"กำไรที่เกิดขึ้นย่อมมีที่มาที่แตกต่าง แต่ต้องคิดเผื่อด้วยว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนี้จะยังคงอยู่ในอีก 5 ปีข้างหน้า"
เพราะที่สุดแล้ว โอกาสที่คู่แข่งทางการค้ารายใหม่ๆ จะเข้ามาแข่งขันก็จะเปิดกว้างขึ้น เพราะเห็นว่าธุรกิจนั้นมีกำไรดีจึงอยากเข้ามาแบ่ง ถือเป็นอีกปัจจัยที่จะเข้ามาทำลายอำนาจของหุ้นที่เราลงทุนไว้
...และเป็นอีกความเสี่ยงที่นักลงทุนต้อง...ระวัง!
ขณะเดียวกัน นักลงทุนก็ไม่ควรมองแต่เพียงกำไรสุทธิ เพราะกว่าที่ บจ. จะได้ตัวเลขออกมา เราไม่อาจรู้ได้ว่าผ่านขั้นตอนอะไรมาบ้าง และควรหันไปพิจารณาจาก "งบกระแสเงินสด"
"เพราะฉะนั้น ถ้าหุ้นตัวไหนแสดงกำไรที่หวือหวามากๆ แค่เพียง 1- 2 ปี งานเลี้ยงก็ต้องเลิกรา"
หรือแม้แต่หุ้นในกลุ่ม "วัสดุก่อสร้าง" ที่ได้รับผลดีจากการลงทุนใน "เมกะโปรเจ็กต์" ของภาครัฐ จึงทำให้หุ้นไปได้อีกอย่างน้อยๆ 1-2 ปี แต่ถ้ามองยาวไปถึง 5 ปี...ก็คงจบ เพราะยังไม่รู้ว่ารัฐบาลชุดไหนจะเข้ามาบริหารประเทศต่อ
ดังนั้น ในระยะยาวแล้วก็ยัง "มองไม่เห็น" ว่าความเข้มแข็งของหุ้นในกลุ่มวัสดุก่อสร้าง อยู่ตรงไหน
...ประเด็นหลักๆ แนวนี้ถือเป็นอีกเกมการลงทุนแบบ Value Investment และเป็นพื้นฐานที่สำคัญสำหรับนักลงทุนระยะยาว
อย่างไรก็ตาม หากวิเคราะห์ตามการลงทุนแบบเล่นเพื่อ "เก็งกำไร" ก็ถือเป็นมุมมองอีกด้าน เป็นคนละเกมกับ Value Investor เพราะหากจะซื้อหุ้นเพื่อลงทุนแค่วันสองวัน หรือเดือนสองเดือน ก็จะไปสนใจตัวธุรกิจทำไม
แม้กระทั่งกลุ่มธุรกิจ "เดินเรือ" ที่นักลงทุนกำลังพุ่งไปที่หุ้นของ "โทรีเซนไทย เอเจนซี่" (TTA) และต้องยอมรับว่าถือเป็นธุรกิจประเภทรุ่งก็รุ่งสุดๆ...แต่ถ้าแย่ก็แย่จริงๆ
"ธุรกิจเดินเรือถือเป็นวัฏจักรที่มีขึ้นมีลง และตอนนี้ก็ขึ้นมาจวนสุดทางแล้ว เพราะผู้ประกอบการทุกรายต่างเร่งขยายกำลังด้วยการต่อเรือกันมากขึ้น หากวันหนึ่งจำนวนกองเรือมีมากเกินสวนทางกับความต้องการใช้บริการที่ลดลง ธุรกิจก็เข้าตาจน"
ดร.นิเวศน์ กล่าวปิดท้ายได้อย่างน่าสนใจว่า "หุ้นหลายๆ ตัวที่นักวิเคราะห์เชียร์ๆ กันอยู่ตอนนี้ หากมองในมุมของ Value Investor แล้ว...ไม่มีหุ้นตัวใดน่าสนใจสักตัว"
ดร.นิเวศน์ เตือน บิ๊กแคป ยังไม่ก้นเหว
ดักหุ้น "ผิดราคา"...มีสิทธิ "ติดดอย"(ยาว)
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ผู้เชี่ยวชาญวิชาการสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ในฐานะวิทยากรรับเชิญ งานสัมมนา "ร่อนตะแกรง...หุ้นพื้นฐาน เลือก 'หุ้นดี' มีชัยไปกว่าครึ่ง" จัดโดย กรุงเทพธุรกิจ BizWeek ร่วมกับ บลจ.ธนชาติ เตือนบรรดาผู้ลงทุนรายย่อยเน้นความรอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน และอยู่บนความระมัดระวังโดยเฉพาะในยามที่ตลาดหุ้นกำลังป่วนอย่างหนัก
เพราะสถานการณ์เศรษฐกิจกำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ หลังปะทะกับปัจจัยเสี่ยงรอบด้าน กระทบเป็นแรงเหวี่ยงที่สร้างความผันผวนถึงดัชนีตลาดหุ้น แต่หลายคนกลับยังเชื่อมั่นในประสบการณ์โดดลงไปดักหุ้น "บิ๊กแคป" ท่ามกลางภาวะภาพลวงตาแบบ...ดอยซ้อนดอย ซึ่งผู้เชี่ยวชาญประเมินว่าราคาที่ร่วงหล่นมานั้นก็ยังลง "ไม่สุดทาง"
ดร.นิเวศน์ แสดงทรรศนะถึงความเคลื่อนไหวของหุ้นที่มีมูลค่าตลาดขนาดใหญ่ หรือ "หุ้นบิ๊กแคป" โดยยกตัวอย่างหุ้นของ "ปูนซิเมนต์ไทย" (SCC) ซึ่งราคาล่าสุดวูบลงมาอยู่แถวๆ 245 บาท
"ตอนนี้ผมถือว่าราคา SCC ยังลงมาน้อยเกินไป หรือยังไม่ต่ำพอ แต่ก็อาจเป็นราคาที่พอลงทุนได้ ภายใต้เงื่อนไขว่าเราต้องอดทนรอได้อีกสัก 20 ปี...ถ้ารอไหวก็ซื้อเลย"
เนื่องจากก่อนหน้านั้นราคา SCC ดีดตัวขึ้นไปสูงมากๆ จากประเภท "หุ้นพื้นฐาน" กลับกลายเป็นหุ้นที่ "ร้อนแรง" นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมนักลงทุนประเภท Value Investor (นักลงทุนแบบเน้นคุณค่า) ถึงไม่สนใจ SCC
"ปูนใหญ่มีความสมบูรณ์พร้อมทุกด้าน แต่เพราะผลการดำเนินงานในปัจจุบันเริ่มไปอิงกับธุรกิจปิโตรเคมีมากเกินไป จึงทำให้ความเคลื่อนไหวของราคาหุ้น SCC ออกจะดูวูบวาบมากเกินไป...แตกต่างจากธุรกิจปูนซีเมนต์ ซึ่งถือเป็นพื้นฐานที่ดีที่สามารถเติบโตไปได้เรื่อยๆ"
เช่นเดียวกันกับหุ้นของบริษัทขนาดใหญ่ (บิ๊กแคป) แห่งอื่นๆ ที่ก่อนหน้านั้นก็ถูกดันราคาขึ้นไปจนสูง แต่ราคาก็ทยอยปรับลงมาพร้อมๆกัน จนทำให้นักลงทุนจำนวนมากแห่มารอซื้อที่ "แนวรับ" ต่างๆ
จุดนี้เอง ที่นักลงทุนต้องอาศัยความรอบคอบและต้องดูว่าเป็นราคาที่เหมาะสมแก่การลงทุนแน่นอนแล้ว เพราะถ้าสามารถซื้อได้ "ถูกราคา" ก็คงไม่ต้องกลัวว่าอนาคตหุ้นมันจะลง
ดร.นิเวศน์ อธิบายเทคนิคการเลือกหุ้นในมุมมองของ Value Investor ว่า เราต้องพยายามมองหาหุ้นที่ไม่อยู่ในกระแส แต่สามารถเดินราคาไปได้อย่างราบเรียบ
โดยในเบื้องต้นก่อนเลือกหุ้นให้ตั้งใจไว้ก่อนว่าจะถือยาวไปอีก 5 ปี เพราะถือเป็นเครื่องมือกลั่นกรองที่ดี หลังจากนั้น 1-2 ปี เราก็สามารถขายได้เมื่ออยากขาย
แต่สำคัญที่สุดคือไม่ควรไปแตะหุ้นที่กำลังฟีเวอร์ หรืออยู่ในช่วงที่ร้อนแรง
"เพราะเรารู้อยู่แล้วว่าอะไรที่เกี่ยวกับแฟชั่น หรือความร้อนแรงที่กำลังเกิดอยู่นั้น อีก 5 ปีข้างหน้ามันเลิกหมดแล้ว"
ยกตัวอย่างในธุรกิจเครื่องดื่ม "ชาเขียว" ที่สินค้ากำลังได้รับความนิยมและเข้ากับกระแสหรือทันแฟชั่น แต่นักลงทุนควรวิเคราะห์โดยประเมินดูว่า ในอีก 5 ปีข้างหน้า เครื่องดื่มชาเขียวจะยังคงได้รับความนิยมอยู่หรือไม่
ฉะนั้นข้อสำคัญอันดับแรกให้พิจารณาที่ความ "เข้มแข้ง" ของตัวบริษัทก่อน จากนั้นให้เช็ค "ผลกำไร" ที่ต้องมีความสม่ำเสมอ และต่อเนื่องอย่างน้อยๆ 3-4 ปีติดต่อกัน
"ไม่ควรเป็นบริษัทที่มีกำไรเยอะเกินไป เพราะเงินทุนของเราจะเสี่ยงต่อกำไรในอนาคต ที่ลดลง"
ดร.นิเวศน์ ยังตั้งข้อสังเกตไว้ถึงกรณีที่บริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในตลาดหุ้นไทยขณะนี้ ส่วนใหญ่จะมีกำไรที่สูงสุดยอด...จนผิดปกติ ตลาดหุ้นทั่วโลกผมว่าไม่มีประเทศไหนสู้ประเทศไทยได้ในตอนนี้
ทำไม บจ. ในประเทศไทยถึงกำไรดีมากได้ขนาดนี้ โดยเฉพาะบริษัทขนาดใหญ่หรือประเภท "บิ๊กแคป" ...กำไรมหาศาลทีเดียว
"ตอนนี้กำไรของ บจ. โดยรวมดีผิดปกติมากๆ และยังไม่เคยมีใครออกมาพูดถึงประเด็นนี้ บริษัทหลายแห่งมีสัดส่วนกำไรมากกว่า 20% ขึ้นไปเมื่อเทียบกับยอดขาย ขณะที่บริษัทยักษ์ใหญ่หรือหุ้นใหญ่ๆ ในตลาดหุ้นสหรัฐ มีกำไรต่อยอดขายประมาณ 5-6% เท่านั้น"
จึงต้องมองกันว่า กำไรที่เกิดขึ้นเป็นความ "บังเอิญ" หรือไม่ ซึ่งในระยะสั้นการมีกำไรมากๆ ก็เป็นไปได้ เพราะบังเอิญว่าสินค้านั้นๆ มีราคาดี ...บังเอิญว่าไม่ต้องเสียภาษี หรือบังเอิญว่าบริษัทมีอำนาจในการควบคุมตลาด
"กำไรที่เกิดขึ้นย่อมมีที่มาที่แตกต่าง แต่ต้องคิดเผื่อด้วยว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนี้จะยังคงอยู่ในอีก 5 ปีข้างหน้า"
เพราะที่สุดแล้ว โอกาสที่คู่แข่งทางการค้ารายใหม่ๆ จะเข้ามาแข่งขันก็จะเปิดกว้างขึ้น เพราะเห็นว่าธุรกิจนั้นมีกำไรดีจึงอยากเข้ามาแบ่ง ถือเป็นอีกปัจจัยที่จะเข้ามาทำลายอำนาจของหุ้นที่เราลงทุนไว้
...และเป็นอีกความเสี่ยงที่นักลงทุนต้อง...ระวัง!
ขณะเดียวกัน นักลงทุนก็ไม่ควรมองแต่เพียงกำไรสุทธิ เพราะกว่าที่ บจ. จะได้ตัวเลขออกมา เราไม่อาจรู้ได้ว่าผ่านขั้นตอนอะไรมาบ้าง และควรหันไปพิจารณาจาก "งบกระแสเงินสด"
"เพราะฉะนั้น ถ้าหุ้นตัวไหนแสดงกำไรที่หวือหวามากๆ แค่เพียง 1- 2 ปี งานเลี้ยงก็ต้องเลิกรา"
หรือแม้แต่หุ้นในกลุ่ม "วัสดุก่อสร้าง" ที่ได้รับผลดีจากการลงทุนใน "เมกะโปรเจ็กต์" ของภาครัฐ จึงทำให้หุ้นไปได้อีกอย่างน้อยๆ 1-2 ปี แต่ถ้ามองยาวไปถึง 5 ปี...ก็คงจบ เพราะยังไม่รู้ว่ารัฐบาลชุดไหนจะเข้ามาบริหารประเทศต่อ
ดังนั้น ในระยะยาวแล้วก็ยัง "มองไม่เห็น" ว่าความเข้มแข็งของหุ้นในกลุ่มวัสดุก่อสร้าง อยู่ตรงไหน
...ประเด็นหลักๆ แนวนี้ถือเป็นอีกเกมการลงทุนแบบ Value Investment และเป็นพื้นฐานที่สำคัญสำหรับนักลงทุนระยะยาว
อย่างไรก็ตาม หากวิเคราะห์ตามการลงทุนแบบเล่นเพื่อ "เก็งกำไร" ก็ถือเป็นมุมมองอีกด้าน เป็นคนละเกมกับ Value Investor เพราะหากจะซื้อหุ้นเพื่อลงทุนแค่วันสองวัน หรือเดือนสองเดือน ก็จะไปสนใจตัวธุรกิจทำไม
แม้กระทั่งกลุ่มธุรกิจ "เดินเรือ" ที่นักลงทุนกำลังพุ่งไปที่หุ้นของ "โทรีเซนไทย เอเจนซี่" (TTA) และต้องยอมรับว่าถือเป็นธุรกิจประเภทรุ่งก็รุ่งสุดๆ...แต่ถ้าแย่ก็แย่จริงๆ
"ธุรกิจเดินเรือถือเป็นวัฏจักรที่มีขึ้นมีลง และตอนนี้ก็ขึ้นมาจวนสุดทางแล้ว เพราะผู้ประกอบการทุกรายต่างเร่งขยายกำลังด้วยการต่อเรือกันมากขึ้น หากวันหนึ่งจำนวนกองเรือมีมากเกินสวนทางกับความต้องการใช้บริการที่ลดลง ธุรกิจก็เข้าตาจน"
ดร.นิเวศน์ กล่าวปิดท้ายได้อย่างน่าสนใจว่า "หุ้นหลายๆ ตัวที่นักวิเคราะห์เชียร์ๆ กันอยู่ตอนนี้ หากมองในมุมของ Value Investor แล้ว...ไม่มีหุ้นตัวใดน่าสนใจสักตัว"