More Story krub.
http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews ... 0000049144
ญี่ปุ่นรุกล็อบบี้ทักษิณ ยื่นข้อเสนอใหม่บีบเสรีเหล็ก
โดย ผู้จัดการรายวัน 11 เมษายน 2548 00:12 น.
ผู้จัดการรายวัน - ญี่ปุ่นล็อบบี้ฝ่ายการเมืองไทยหนัก บิ๊กอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนฯ ตบเท้าเข้าพบ ทักษิณ หวังโน้มน้าวให้รัฐบาลยอมรับข้อเสนอใหม่เพื่อให้ทันลงนามปลายเดือนนี้ เผยปลัดมิติดอดเข้าพบ ทนง ยื่นข้อเสนอใหม่ ลดเงื่อนไขเปิดเสรีเหล็กเอฟทีเอไทย-ญี่ปุ่นเป็นภายใน 6 ปี ขณะที่เตรียมสอดไส้จัดเจรจาระดับรัฐมนตรีอีกครั้งที่ญี่ปุ่นวันนี้ ด้านบีโอไอยันเอฟทีเอไทย-ญี่ปุ่นไม่กระทบแผนลงทุนของญี่ปุ่นในไทย
หลังจากการเจรจาอย่างเป็นทางการเพื่อจัดทำความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจญี่ปุ่น-ไทย (JTEPA) หรือ การเปิดเขตการค้าเสรี(เอฟทีเอ)ญี่ปุ่น-ไทย รอบที่ 7 เมื่อวันที่ 29 มี.ค.ถึง 1 เม.ย. 2548 ที่อำเภอเขาใหญ่ นครราชสีมา ยุติลงโดยทิ้งปัญหาการเจรจาในประเด็นเปิดเสรีเหล็กให้ฝ่ายการเมืองเป็นผู้ตัดสินใจ
ล่าสุด ในวันนี้(11เม.ย.) เวลาประมาณ14.00น. บุคคลสำคัญของอุตสาหกรรมยานยนต์ญี่ปุ่นประกอบด้วย นายอิตารุ โคเอดะ ประธานร่วมบริษัทนิสสัน มอเตอร์ ในฐานะ ประธานสมาคมผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่น(JAMA) นายฮิโรมุ โอคาเบะ ประธานสมาคมอุตสา หกรรมชิ้นส่วนรถยนต์ญี่ปุ่น(JAPIA) นายโยชิยาสุ นาโอะ กรรมการผู้จัดการและอุปนายกJAMA นายโตโยฮิโกะ ชิมาดะ อุปนายกและกรรมการผู้จัดการ JAPIA นายมาซามิจิ โอซาวะ ผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายกิจการภายนอกและกิจการรัฐบาล บริษัทนิสสัน มอเตอร์ และนายเซจิ นางาสึเกะ ผู้อำนวยการกองรถยนต์ กระทรวงเศรษฐกิจ การค้าและอุตสาหกรรม เป็นต้น จะเข้าพบพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี
แหล่งข่าวจากทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยว่า การเข้าพบดังกล่าวฝ่ายญี่ปุ่นจะหยิบยกประเด็นการเปิดเสรีเหล็กที่จะเกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมยานยนต์ และชิ้นส่วนที่ยังเป็นปัญหาอยู่มาขอหารือกับพ.ต.ท.ทักษิณ หลังการเจรจาในระดับคณะผู้แทนของสองฝ่ายไม่สามารถตกลงกันได้ โดยคาดหวังว่ารัฐบาลไทยจะยอมรับกับข้อเสนอของฝ่ายญี่ปุ่น ซึ่งจะทำให้ความตกลงเป็นหุ้นส่วนกันนำไปสู่การสรุปและลงนามได้ทันในปลายเดือนนี้
แหล่งข่าว กล่าวว่า เรื่องที่ฝ่ายญี่ปุ่นจะขอหารือกับนายกฯคือข้อเสนอใหม่ ซึ่งเป็นแนวทางเดียวกันกับข้อเสนอของคณะตัวแทนของรัฐบาลญี่ปุ่นซึ่งนำโดยนาย เคซูมาสะ คูสาเกะ ปลัดกระทรวงการค้าและอุตสาหกรรม(METI) ที่นำเสนอต่อนายทนง พิทยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ไปเมื่อวันพฤหัสบดี(7 เม.ย.) ที่ผ่านมา
ทั้งนี้ ปลัดมิติได้นำข้อเสนอเกี่ยวกับการลด/เลิกภาษีเหล็ก ยานยนต์ รวมทั้งบริการที่เกี่ยวกับการผลิตที่ มิติได้ทบทวนและปรับเปลี่ยนตามคำสั่งของรัฐมนตรีมิติเพื่อนำมาแจ้งแก่ฝ่ายไทย ก่อนที่นายทนง กับนาย โชอิชิ นากาจาวา รมว.มิติ จะพบกันที่กรุงโตเกียวในวันจันทร์ที่ 11 เม.ย. นี้ โดยมีรายละเอียดดังนี้
ประเด็นเรื่อง เหล็ก ฝ่ายญี่ปุ่นได้ปรับข้อเรียกร้องโดยคำนึงถึงโครงการของผู้ผลิตเหล็กไทยที่จะตั้งโรงงานถลุงเหล็ก ซึ่งคาดว่าจะเริ่มใช้งานได้ในปีพ.ศ. 2553 โดยเสนอว่า
-เหล็กแผ่นรีดร้อนที่ไม่มีข้อขัดแย้งว่าไทยผลิตไม่ได้ ซึ่งไม่อยู่ภายใต้เอดี (ANTI DUMPING) และคิดเป็น 6 % ของตลาดเหล็กของไทย ญี่ปุ่นเสนอให้ยกเลิกภาษีทันที
-เหล็กแผ่นรีดร้อนที่มีผลิตในไทย ญี่ปุ่นเสนอให้ไทยคงภาษีไว้ 6 ปีหรือจนถึงปีพ.ศ.2555 แล้วจึงยกเลิกภาษี โดยในกลุ่มนี้ จะมีเหล็กบางชนิดที่ผู้ผลิตไทยผลิตได้ไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้ คิดเป็น 28% ของตลาดเหล็กไทย ซึ่งญี่ปุ่นเสนอให้กำหนดโควตาปลอดภาษีสำหรับเหล็กเหล่านี้และให้ทั้งสองฝ่ายตกลงปริมาณในโควตาดังกล่าวทุกๆ 3ปี โดยเน้นการนำเข้าเหล็กเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมรถยนต์(10ราย) และอุตสาหกรรมแผ่นเหล็กรีดเย็น ซึ่งเป็นบริษัทร่วมลงทุนไทย-ญี่ปุ่น(2ราย)
ทั้งนี้หากความต้องการใช้เหล็กเหล่านี้ไม่เพิ่มขึ้นก็ให้คงโควตาไว้ต่อจนครบ 6 ปืที่จะมีการยกเลิกภาษีซึ่งในช่วงเวลานี้โรงถลุงเหล็กของไทยก็จะเริ่มดำเนินงานได้ 2-3 ปีแล้วและน่าจะมีขีดความสามารถในการแข่งขันได้
-เหล็กอื่นๆที่ไม่ได้จัดว่าอ่อนไหว ญี่ปุ่นเสนอให้ยกเลิกภาษีภายใน6 ปี
แหล่งข่าว กล่าวว่า หลังจากญี่ปุ่นยื่นข้อเสนอใหม่มา นายทนง ได้แจ้งต่อฝ่ายญี่ปุ่นว่า ผู้ผลิตเหล็กของไทยต้องการเวลาประมาณ 10 ปีที่จะให้คงภาษีเหล็กแผ่นรีดร้อนไว้ในอัตราเดิม ดังนั้นจึงจำเป็นต้องหาวิธีที่จะเชื่อมช่องว่างระหว่างท่าทีของผู้ผลิตเหล็กไทยกับข้อเรียกร้องของญี่ปุ่นซึ่งปลัดมิติ เห็นว่า ตราบใดที่ความต้องการเหล็กของไทยขยายตัวมากกว่าเหล็กที่ผลิตในประเทศ และมีการควบคุมปริมาณเหล็กที่นำเข้าจากญี่ปุ่น ก็น่าจะหาทางออกได้ ทั้งนี้ ญี่ปุ่นได้นำเสนอแผนภูมิความต้องการกับขีดความสามารถในการผลิตของไทยด้วย
ประเด็นเรื่อง ยานยนต์ ฝ่ายญี่ปุ่นระบุว่า มีความตั้งใจที่จะร่วมมือเพื่อสนับสนุนโครงการดีทรอย์แห่งเอเชีย ภายใต้ชื่อ เบสต์ออฟอาเซียน ซึ่งหวังว่าจะมีการประกาศได้ก่อนการลงนามความตกลงเป็นหุ้นส่วนระหว่างไทยและญี่ปุ่น สำหรับข้อเรียกร้องของญี่ปุ่นในการเจรจานั้นได้ปรับใหม่ดังนี้
-รถยนต์นั่งต่ำกว่า 3,000 ซีซี ญี่ปุ่นเสนอให้ไทยคงภาษีไว้จนถึง ปีพ.ศ. 2553
-รถยนต์นั่งสูงกว่า 3,000 ซีซี ญญญี่ปุ่นเสนอให้ไทยกำหนดโควตาปลอดภาษีเพื่อนำเข้ารถยนต์ในกลุ่มนี้จำนวนหนึ่งที่จะไม่กระทบต่อโครงการดีทรอย์แห่งเอเชีย
ประเด็นเรื่อง ชิ้นส่วนยานยนต์ ญี่ปุ่นเสนอให้ไทยลดภาษีภายในปี 2553 โดยลดในอัตราเท่าๆกันทุกปี เพื่อสนับสนุนโครงการดีทรอยต์แห่งเอเชีย
ประเด็นเรื่อง การลงทุน ฝ่ายญี่ปุ่นเสนอให้ไทยผูกพันที่จะไม่ปรับกฎระเบียบให้เข้มงวดขึ้นสำหรับการลงทุนด้านการผลิต โดยญี่ปุ่นไม่ขอเพิ่มในเรื่องการเปิดเสรี
ประเด็นสุดท้าย เรื่องการค้าบริการ ฝ่ายญี่ปุ่นขอให้ไทยขยายข้อเสนอของไทยในบริการที่เกี่ยวกับการผลิตที่จะเปิดให้ญี่ปุ่นถือหุ้นได้ถึง 75% ในการบริการขายส่ง-ขายปลีกเฉพาะสินค้าที่บริษัทผลิตเองและรถยนต์ที่บริษัทในเครือผลิตในญี่ปุ่นและใช้ยี่ห้อเดียวกัน โดยให้ครอบคลุมถึงการถือหุ้นได้ 75% ในบริการรักษา ซ่อมแซมและการเช่า ที่มาพร้อมกับการขายส่ง-ขายปลีกด้วย รวมทั้งให้ครอบคลุมถึงสินค้าต่างๆที่ผลิตในญี่ปุ่น(ไม่ใช่เฉพาะรถยนต์) และในอาเซียน และที่ผลิตโดยบริษัทในเครือ
ทั้งนี้ปลัดมิติ ย้ำว่า ผู้ผลิตญี่ปุ่นไม่มีเจตนาที่จะเข้ามาให้บริการในรายละเอียดแต่จะช่วยบริษัทขายปลีกของไทยในการพัฒนาขีดความสามารถ
ก่อนหน้านี้ คณะผู้เจรจาฝ่ายไทยประสบความสำเร็จเมื่อฝ่ายญี่ปุ่นยอมเสนอเปิดตลาดสินค้าเกษตรหลายรายการ ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับเอฟทีเอที่ญี่ปุ่นทำกับฟิลิปปินส์และเม็กซิโก ถือว่าญี่ปุ่นได้ยอมอ่อนข้อให้กับไทยค่อนข้างมาก รวมทั้งญี่ปุ่นยังมีท่าทียืดหยุ่นมากขึ้นในการส่งพ่อครัวไทยและกิจการสปาไทยไปญี่ปุ่น และ ยินยอมตกลงในความร่วมมือด้านเกษตรว่าด้วยมาตรฐานสุขอนามัย สร้างความร่วมมือระยะยาวด้านการผลิต การตลาด เทคโนโลยีและวัฒนธรรมระหว่างสหกรณ์เกษตรญี่ปุ่นกับสหกรณ์เกษตรไทย ซึ่งเป็นความร่วมมือที่ญี่ปุ่นไม่เคยทำกับประเทศอื่นใดมาก่อน
ทว่า ในทางตรงข้าม ญี่ปุ่นยังไม่ยอมรับข้อเสนอของฝ่ายไทยซึ่งต้องการคงภาษีเหล็กแผ่นรีดร้อนไว้ตามเดิมที่ 7.0-9.5% เป็นเวลา 10 ปี แล้วจึงเริ่มลดภาษีในปีที่ 11 ให้เหลือศูนย์ในปีที่ 15 ขณะที่ชิ้นส่วนรถยนต์นั้นจะลดภาษีจาก 10-30% ในปีแรกกระทั่งเป็นศูนย์ในอีก 15 ปี ส่วนรถยนต์ขนาดใหญ่นั้น ขอเลื่อนการเจรจาไป 3 ปี
ดังนั้น การเดินหน้าล็อบบี้ฝ่ายการเมืองไทยจึงถูกจับตามองจากธุรกิจเอกชนไทยเป็นอย่างมากรวมทั้งกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์จากฝั่งยุโรป ว่าฝ่ายญี่ปุ่นจะยื่นข้อเสนอใหม่ที่สมเหตุสมผลหรือไม่ อย่างไร
นอกจากนี้ การที่นายทนงและผู้แทนระดับสูงของกระทรวงพาณิชย์ เดินทางไปร่วมประชุมระดับรัฐมนตรีสมาชิกองค์การการค้าโลก หรือ WTO เพื่อหารือเรื่องการเปิดตลาดสินค้าอุตสาหกรรม (NAMA) ภายใต้กรอบ WTO ณ กรุงโตเกียว คาดว่า จะมีการหารือเรื่องเอฟทีเอไทย-ญี่ปุ่นอย่างไม่เป็นทางการด้วย เพราะมีการนัดหมายว่า จะเข้าพบรมต.เกษตรฯ รมต.มิติ และ หัวหน้าคณะเจรจาเอฟทีเอ ฝ่ายญี่ปุ่น ที่มาเจรจากับฝ่ายไทยที่เขาใหญ่ และประธาน Keidanren ซึ่งเป็นกลุ่มเอกชนญี่ปุ่นด้วย
ด้านนายสาธิต ศิริรังคมานนท์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ) กล่าวว่า จากหลายฝ่ายอาจจะกังวลกรณีการทำเขตการค้าเสรีหรือ FTA ระหว่างไทยและญี่ปุ่น จะส่งผลกระทบต่อการย้ายฐานการลงทุนจากญี่ปุ่นมาไทยเนื่องจากภาษีจะลดลงนั้น เรื่องดังกล่าวคาดว่าไม่น่าจะมีผลมากนัก เนื่องจากต้นทุนของญี่ปุ่นเองยังสูง แม้ภาษีนำเข้าของไทยจะลดลงแต่ก็ช่วยให้ต้นทุนรวมไม่ได้ต่ำลงเท่าใดนัก ขณะที่ค่าแรงของไทยก็ยังต่ำและมีฝีมือจึงเชื่อว่าญี่ปุ่นยังคงจะมาลงทุนในไทยมากขึ้น