ข่าว ชาเขียว
โพสต์แล้ว: เสาร์ เม.ย. 02, 2005 10:30 pm
คุณตัน ให้สัมภาษณ์ กับ นสพ.ประชาชาติธุรกิจ
ปีที่ 28 ฉบับที่ 3675 (2875)
เปิดบันทึก "ตัน ภาสกรนที" ฝ่าวิกฤตชาเขียว ถึงรวยฟ้าผ่า
สัมภาษณ์
ถือเป็นชีวิตที่ "ไม่มีทางตัน" อย่างแท้จริงก็ว่าได้ ขณะที่ใครๆ พากันมองว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับ "โออิชิ กรีนที" ของผู้ชายที่ชื่อ "ตัน ภาสกรนที" เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ดูจะกลายเป็นสถานการณ์ที่หนักหนาสาหัส
หนักหนากว่าที่เคยประสบพบพานมาทั้งหมด
แม้แต่ "ตัน" เองก็ยังยอมรับกับผู้คนรอบข้างว่า นึกว่าโออิชิ กรีนที จะเอาตัวไม่รอดเสียแล้ว
ทว่าท้ายที่สุดสถานการณ์ของโออิชิกลับพลิกผัน จากร้ายกลายเป็นดี
แถมยังดีกว่าที่เจ้าตัวจะคาดคิดไว้เสียอีก
"ประชาชาติธุรกิจ" มีโอกาสเปิดอกสัมภาษณ์กับต้นตำรับ ชีวิตที่ไม่มีทางตัน "ตัน ภาสกรนที" ถึงลำดับขั้นการจัดการสถานการณ์วิกฤตที่เกิดขึ้น
- ตอนนี้กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่อง crisis management ไปแล้ว
จริงๆ แล้ว ผมไม่เคยรู้จักคำคำนี้มาก่อน ไม่รู้มาก่อนว่ามีบริษัทที่ปรึกษาด้านนี้ (หัวเราะ) และ crisis management ก็ไม่เคยอยู่ในหัวสมองของผมเลย ที่ผ่านมาหากนักลงทุนถามว่า โออิชิอาจมีความเสี่ยง หรือ crisis คืออะไร ผมจะคิดถึงเรื่องการสต๊อกสินค้า โรงงานไฟไหม้ เพราะจะส่งผลกระทบทั้งหมด โรงงานของผมจึงมี "ดับเบิล เซฟตี้" ทั้งในและนอกโรงงาน แต่หากเป็น crisis แบบศัตรูที่มองไม่เห็น ผมไม่เคยคิด เราไม่เคยเจออะไรแบบนี้ และไม่เคยให้ร้ายใคร เราไม่เคยคิดถึงจุดนี้
จนถึงขณะนี้ ผมก็ยังไม่ได้มองว่าเก่งกาจในการแก้วิกฤต แม้จะมีหลายคนเชิญให้ไปบรรยายเต็มไปหมด ผมคิดว่าข้อดีของผมคือเป็นคนตัดสินใจเร็วและกล้าได้กล้าเสีย เพราะผมจริงใจ ผมไม่ได้มัวห่วงใยแต่เรื่องเงิน หรือกลัวว่าข่าวออกมาไม่ดี
- แต่ก่อนหน้านี้ก็เคยจัดการกับปัญหามาแล้ว (ไฟลวก ส.ส.ที่มากินอาหารในโออิชิบุฟเฟต์)
เคสนี้มันแตกต่างกัน นั่นเกิดขึ้นกับคนคนเดียว พอเราแสดงความรับผิดชอบ ดูแลเขาอย่างรวดเร็วและใกล้ชิดก็จบ ผมเองเป็นคนไม่กลัวปัญหา อันที่จริงเรียกว่าชอบปัญหาด้วยซ้ำไป แต่เวลามีปัญหา คนส่วนใหญ่ชอบที่จะหนี แต่ผมชอบเดินเข้าหาปัญหา เพราะการหนีทำให้ปัญหายิ่งยากขึ้น แต่การเดินเข้าไปหาปัญหา ถึงยังแก้ไม่หมด หรือแก้ไม่ได้ มันก็บรรเทาลง
- ได้มุมมองอะไรบ้างจากปัญหาที่เกิดขึ้น
เรื่องกรดเกลือที่มาอยู่ในขวดชาเขียว ไม่เคยอยู่ในสมองของผมเลย เพราะเครื่องจักรที่ใช้ถือเป็นระบบที่ดีที่สุด และเราเป็นรายแรกที่ใช้ระบบนี้ (ฮอต ฟิลด์) ปัญหาแบบนี้ที่เคยเกิดจะเป็นพวกเครื่องสำอาง อาหารแห้ง แต่จากการที่ผมไม่รู้ ทำให้ไม่เคยอยู่ในสมอง หรือเตรียมการใดๆ ทั้งสิ้น ไม่เคยมีแผนการ และไม่เคยเผื่อใจในเรื่องนี้ มันจึงยากมาก
- ตั้งสติได้ตอนไหน
กว่าผมจะตั้งสติได้ เมื่อวันที่ 3 เพราะ 2 วันแรกรับโทรศัพท์จนเบลอ ไม่ได้นอนด้วย พอถึงวันที่ 3 เริ่มคิดว่าจะแก้อย่างนี้ไม่ได้ จึงเรียกทีมงานทั้งหมดมาประชุมแบ่งงานกันเป็นทีมๆ หลังจากนั้นเริ่มมองว่าเวลามีปัญหาเกิดขึ้น ไม่ใช่วิ่งไปแก้ปัญหาอย่างเดียว แต่ควรปรึกษาด้วย ตอนแรกผมก็คิดว่าจะไปจัดงานดื่มโออิชิฟรี จะได้พิสูจน์ว่าดื่มแล้วไม่เป็นไร จะเอาญาติพี่น้อง ลูกน้อง หุ้นส่วนไปด้วย คิดอีกทีก็ได้แค่ภาพภาพหนึ่งเท่านั้น หรือประกาศว่าใครดื่มแล้วเจ็บคอจะให้ 1 ล้านเหมือนกินไก่ ผมก็ว่าไม่ใช่อีก ดูเหมือนใช่แต่ไม่ใช่ เพราะไม่ใช่ต้นเหตุ เพราะที่จริงแล้ว ผู้บริโภคกังวลว่าดื่มแล้วจะเป็นอะไร ตายแล้วได้เงินมีประโยชน์อะไร
- ปัญหาที่ประสบในขณะนั้น
ตอนนั้นไม่ได้นอนหลายวัน เช้าขึ้นมาต้องมาคอยดูข่าว วิ่งไปซื้อหนังสือพิมพ์ตั้งแต่ตี 4 พอเริ่มมีขวดที่ 2 ที่ 3 พบชาเปลี่ยนสี รู้ถึงสถานการณ์ทันที พอแปดโมงลูกค้าเริ่มโทร.มาแล้ว ร้านค้าเริ่มโทร.มา ยี่ปั๊วก็โทร.มาถามว่าจะคืนของได้ไหม เซเว่นฯขอคืนทั้งลอต เราก็บอกไม่เป็นไร จริงๆ แล้วชาเปลี่ยนสีเป็นเรื่องธรรมชาติ แต่ถ้าจะคืนก็คืน
- กระทบยอดขายมากไหม
ช่วงนั้นเราไม่ได้ส่งของเลย เพราะมีแต่คนอยากคืนของ แต่หยุดชั่วคราวไม่เป็นไร อาทิตย์แรกยอดขายลดลงทันที แต่อาทิตย์ต่อมาเมื่อเราแถลงข่าวแล้วเริ่มดีขึ้น แต่ก็ไม่ได้ดีเหมือนเดิม ยอดยังไม่กลับคืน แต่ก็เริ่มดีขึ้น จริงๆ ยอดขายเดือนกุมภาพันธ์ไม่ตก แต่ไม่ขึ้นตามเป้า ทั้งๆ ที่เราทุ่มเม็ดเงินโฆษณาไปถึง 39 ล้านบาท ในเดือนมกราคม ถือว่าเสียหายเหมือนกัน
- ตัดสินใจแถลงข่าว
ตอนนั้นแต่ละคนคิดไม่เหมือนกัน จริงๆ แล้ว ผมเองอยากแถลงข่าว แต่ก็ยังคิดไม่ออกว่าแถลงแล้วได้อะไร รู้ว่าต้องสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า ตอนนั้นเราก็เบลอ จนวินาทีสุดท้าย พอดีผมมีที่ปรึกษาระบบไคเซ็นของโรงงานเป็นคนญี่ปุ่น เขาบอกว่ามีเครื่องมือเป็นที่สแกนน้ำกับเอกซเรย์ฝา ถ้าเจอขวดไหนผิดปกติ เครื่องจะหยุดทำงาน ผมตัดสินใจซื้อเครื่องนี้ทันที นอกจากนี้ยังตัดสินใจใส่เงินอีกร้อยล้าน ใส่ดับเบิล เซฟตี้ เข้าไป
ถ้าไม่เกิดวิกฤต ผมไม่รู้จักเครื่องนี้แน่ หลังจากแถลงออกไปยอดคืนเริ่มน้อยลงเรื่อยๆ
- สภาพจิตใจขณะนั้นเป็นอย่างไรบ้าง
บอกตรงๆ คือกุมภาพันธ์ผมแย่มาก ทั้งยอดขาย กำลังใจ และชีวิตส่วนตัว เพราะฉะนั้นเวลาเกิดวิกฤตจึงอย่าท้อแท้ พอถึงเดือนมีนาคมยอดขายกลับมา ผมก็ไม่ลืมตัว พอได้มาก็แบ่งปันให้คนที่เดือดร้อน (ตันเพิ่งจะบริจาคเงินให้โครงการฝนหลวงเป็นจำนวน 10 ล้านบาท)
ถามว่าท้อไหม ผมเหนื่อยแต่ไม่ได้ท้อ แต่มันเยอะและมาพร้อมๆ กัน เปรียบเหมือน "สึนามิ กรีน ที" แก้ยังไงก็ไม่ถูก
- กำลังใจหลักๆ ที่ได้
ตอนนั้นผมได้รับคำแนะนำจากเพื่อนๆ และลูก ค้าเต็มไปหมด พอมีคนให้กำลังใจ สมองเริ่มโปร่ง
- ข้อคิดที่ได้จากปัญหาที่เกิดขึ้น
ผมว่าการเป็น "ซีอีโอ มาร์เก็ตติ้ง" นอกจากต้องคิด ตัดสินใจ ขณะเดียวกันก็ต้องทำงานที่ต่ำกว่าคือการออกไปพบลูกค้า บางคนบอกว่าให้คนอื่นไปแทนดีกว่า เพราะหากเจ้าของบริษัทมาเองคนจะเรียกร้องมาก แต่ผมมองว่าไม่เป็นไร อย่างน้อยการที่เรามีน้ำใจไปหาเขา ผมว่าปัญหาจะแก้ไขง่ายกว่า การที่เราให้ผู้จัดการหรือลูกน้องเราไป เขาจะรู้สึกว่าบริษัทนี้ไม่ห่วงใยเขาเลย
- ถึงขนาดว่าหนักที่สุดในชีวิต
ช่วงนั้นแม่ของผมอยู่โรงพยาบาล ท่านไม่ไหวแล้ว อยู่ได้เพราะออกซิเจน แต่ผมดึงเวลาเอาไว้เพราะเป็นช่วงตรุษจีน เพราะคนจีนไม่อยากให้เสียในช่วงนี้ แล้วท่านก็เสียหลังจากที่ผมแถลงข่าว 1 วัน
- สิ่งที่ได้เรียนรู้จากเหตุการณ์นี้
ผมตั้งใจว่า วันหนึ่งหากมีปัญหาแบบเดียวกันนี้เกิดขึ้นกับคนอื่น ไม่ว่าจะเป็นสินค้าอะไรก็ตาม ผมจะไปหาเขาทันที ให้เขารู้ว่าจะต้องระวังอะไร และต้องทำอะไรก่อน เหตุการณ์นี้ทำให้ผมได้ข้อคิดเยอะมาก
ผมคิดว่า ถ้า 2 วันแรกผมไม่เบลอ ผมจะแก้ปัญหาได้ดีกว่านี้
- หากเหตุการณ์นี้มาจากผู้ไม่หวังดี
ผมไม่เคยคิดว่าแค้นนี้ต้องชำระ คนละทฤษฎีกัน ผมถูกสอนมาว่า ชนะคือแพ้ ขาดทุนเป็นกำไร แค้นไม่ต้องชำระ ผมเชื่อว่าผู้ประกอบการที่ดีไม่ทำแบบนี้ ถึงวันนี้ผมไม่โทษใครเพราะไม่มีหลักฐาน ถึงวันนี้นอกจากไม่โทษแล้วผมยังได้รับน้ำใจจากวงการเดียวกันเยอะมาก
- ทำให้เป็นที่มาของแคมเปญ "รวยฟ้าผ่า"
ไม่ใช่ สำหรับ 30 ฝา 30 ล้านบาท จริงๆ อยู่ในแผนตั้งแต่เดือนตุลาคมแล้ว ตอนนั้นโออิชิครบ 1 ปี มีแชร์ 39% ขณะที่ยูนิฟ 38% เราจึงจัดงานขึ้นมาสำหรับร้านค้า มีทองเป็นรางวัล แต่แคมเปญที่จะให้ผู้บริโภค เราไม่กล้าทำเพราะกลัวเดือนธันวาคมออกมายูนิฟจะเป็น 39% แล้วเราจะเป็น 38% เราจะหน้าแตก เพราะชนะเขาแค่ 2 เดือน แต่พอถึงเดือนธันวาคม ปรากฏว่าโออิชิ 46% ยูนิฟ 36% อันนี้ชัวร์แล้ว เราเริ่มทำหนังโฆษณา แต่พอถึงตรุษจีนก็มาเจอเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น หลายคนพูดว่า ก่อนจะ "รวยฟ้าผ่า มีซวยฟ้าผ่ามาก่อน" (หัวเราะ เสียงดัง)
จริงๆ แล้วพอเจอวิกฤต เราอยากเลื่อน แต่ขออนุญาตแล้ว เลื่อนไม่ได้ ถ้าเลื่อนเงิน 30 ล้านที่เตรียมไว้ต้องมอบให้กาชาด ผมก็ห่วงว่าคนจะรู้สึกไหมว่า พอเจอวิกฤตแล้วก็เอาเงินมาใส่ ก็เลยมีการแก้ไขรูปแบบ งานแถลงข่าวก็เปลี่ยนไปนิดหน่อย
- ทำไมต้องแค่ 30 ฝา
จริงๆ แล้ว แคมเปญนี้ที่เป็นล้านฝา หรือแสนฝาไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องของเทคนิค เราไม่สามารถสร้างฝาขวด (ที่ทำให้คนมองไม่เห็นรางวัล) ได้เป็นแสนฝา นี่คือปัญหาบังคับให้ผมต้องทำน้อยๆ
- ปัจจัยความสำเร็จของแคมเปญนี้
คนเราก็มีขึ้นมีลง บางทีก็มีสิ่งที่ดีๆ มา ซวยบ้างก็มีเฮงบ้าง คนเราคงไม่ซวยตลอด แคมเปญนี้ดังระเบิดมาจากว่า พอมีวิกฤต ยอดไม่ถึง เราจึงนั่งคิดว่าจะทำอย่างไร ก็เทงบฯเข้าไปเต็มที่ ตอนนั้นเรียกว่าหน้ามืด เลยทุ่มเงินซื้อสื่อเต็มที่ ยิงโฆษณาทีวี ซื้อสื่อหนังสือพิมพ์แบบเต็มหน้าตลอด บวกกับช่วงวิกฤตก็ใช้เงินไปมาก เป็นข่าวมาก ถึงแม้จะเป็นข่าวที่ไม่ค่อยดีก็ตาม แต่มันก็ได้คำว่าโออิชิ กรีนที
- ยังมีปัจจัยอื่นๆ อีกหรือไม่
เราจ่ายจริงภายใน 24 ชั่วโมง และผมไปจ่ายด้วยตนเอง ที่ผ่านมาผมนั่งรถเป็นร้อยๆ กิโลฯ ข้ามภูเขา ข้ามน้ำไปเจอะลูกค้า เขาก็ประทับใจและให้การต้อนรับ รวมทั้งสื่อที่มาทำข่าว เราโชคดีอีกตรงที่ว่าคนที่ได้เงินล้านเป็นคนเก็บขยะ จึงกลายเป็นประเด็นขึ้นมา และยังมีซาเล้งเก็บของเก่า จนถึงขณะนี้เดือนมีนาคมเราผลิตไม่ทันแล้ว เพราะไม่คิดว่าจะได้รับการตอบรับดีขนาดนี้ ตอนนี้เราผลิตได้แค่วันต่อวันเท่านั้น วันหนึ่งก็ล้านขวด ต่อเดือนก็ 30 ล้านขวด 20 ล้านกล่อง
- เทียบกับปัญหาในอดีตที่เคยเจอ
หากเทียบกับช่วงปี 2540 ที่ติดหนี้สิน 100 ล้านบาทนั้น ผมว่าต่างกันฟ้ากับดิน ตอนนั้นผมไม่มีอะไร เป็นหนี้ ไม่มีก็ยึดทรัพย์ไป ฟ้องล้มละลายก็จบ ไม่มีเดือดร้อนอะไร แก้ง่าย แต่ครั้งนี้เป็นเรื่องจิตใจ มันยากกว่าเยอะ บริษัทนี่ไม่ใช่ของผมคนเดียว ยังมีพนักงานอีก 3 พันกว่าคน
แค่คืนสินค้าทั่วประเทศ ผมก็ตายแล้ว
- ฝากอะไรไว้สำหรับคนที่เจอวิกฤต
ผ่านวิกฤตมาทำให้เราแข็งแกร่งขึ้น อย่างที่ผมบอก ไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้ ไม่มีอะไรเป็นอย่างที่เราคิด ในโลกมีอะไรหลายอย่างที่เราคาดไม่ถึง ชีวิตคนเราก็มีขึ้นมีลง เวลาไปบรรยายผมก็จะพูดเรื่องนี้ เวลาล้มเหลวอย่าท้อแท้ ได้ดีอย่าลืมตัว และผมก็จะบอกว่า สุดท้ายขอให้ทุกคนเป็นคนดี
- สิ่งที่อยากทำหลังจากเหตุการณ์นี้
ผมจะทำหนังสือขึ้นมาสักเล่มหนึ่ง รวบรวมวิธีแก้ปัญหาเมื่อมีวิกฤตเกิดขึ้นทั้งหมด เพื่อใช้เป็นคู่มือในองค์กร เหมือนคู่มือเปิดร้าน ครั้งนี้เราพบหลายอย่างที่ไม่เคยเจอ ควรเก็บไว้เป็นประสบการณ์ หากทิ้งไปก็น่าเสียดาย
ผมได้รับน้ำใจจากคนอื่นมา ผมจึงคิดว่าถ้าคนอื่นประสบปัญหาแบบเดียวกัน ผมก็ควรไปช่วยเหลือเขา ผมรู้คุณค่าที่ได้รับจากคนอื่น
เพราะครั้งนี้หากแก้ไขสถานการณ์ไม่ทัน ต้องตายแน่ๆ
ผลประกอบการไตรมาส1 อาจออกมาไม่ดีเท่าที่ควร
เพราะเดี้ยงไป2เดือน
แต่ผมชอบนะ บริจาคให้โครงการฝนหลวงไป 10 ล้านบาทน่ะ

เปิดบันทึก "ตัน ภาสกรนที" ฝ่าวิกฤตชาเขียว ถึงรวยฟ้าผ่า
สัมภาษณ์
ถือเป็นชีวิตที่ "ไม่มีทางตัน" อย่างแท้จริงก็ว่าได้ ขณะที่ใครๆ พากันมองว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับ "โออิชิ กรีนที" ของผู้ชายที่ชื่อ "ตัน ภาสกรนที" เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ดูจะกลายเป็นสถานการณ์ที่หนักหนาสาหัส
หนักหนากว่าที่เคยประสบพบพานมาทั้งหมด
แม้แต่ "ตัน" เองก็ยังยอมรับกับผู้คนรอบข้างว่า นึกว่าโออิชิ กรีนที จะเอาตัวไม่รอดเสียแล้ว
ทว่าท้ายที่สุดสถานการณ์ของโออิชิกลับพลิกผัน จากร้ายกลายเป็นดี
แถมยังดีกว่าที่เจ้าตัวจะคาดคิดไว้เสียอีก
"ประชาชาติธุรกิจ" มีโอกาสเปิดอกสัมภาษณ์กับต้นตำรับ ชีวิตที่ไม่มีทางตัน "ตัน ภาสกรนที" ถึงลำดับขั้นการจัดการสถานการณ์วิกฤตที่เกิดขึ้น
- ตอนนี้กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่อง crisis management ไปแล้ว
จริงๆ แล้ว ผมไม่เคยรู้จักคำคำนี้มาก่อน ไม่รู้มาก่อนว่ามีบริษัทที่ปรึกษาด้านนี้ (หัวเราะ) และ crisis management ก็ไม่เคยอยู่ในหัวสมองของผมเลย ที่ผ่านมาหากนักลงทุนถามว่า โออิชิอาจมีความเสี่ยง หรือ crisis คืออะไร ผมจะคิดถึงเรื่องการสต๊อกสินค้า โรงงานไฟไหม้ เพราะจะส่งผลกระทบทั้งหมด โรงงานของผมจึงมี "ดับเบิล เซฟตี้" ทั้งในและนอกโรงงาน แต่หากเป็น crisis แบบศัตรูที่มองไม่เห็น ผมไม่เคยคิด เราไม่เคยเจออะไรแบบนี้ และไม่เคยให้ร้ายใคร เราไม่เคยคิดถึงจุดนี้
จนถึงขณะนี้ ผมก็ยังไม่ได้มองว่าเก่งกาจในการแก้วิกฤต แม้จะมีหลายคนเชิญให้ไปบรรยายเต็มไปหมด ผมคิดว่าข้อดีของผมคือเป็นคนตัดสินใจเร็วและกล้าได้กล้าเสีย เพราะผมจริงใจ ผมไม่ได้มัวห่วงใยแต่เรื่องเงิน หรือกลัวว่าข่าวออกมาไม่ดี
- แต่ก่อนหน้านี้ก็เคยจัดการกับปัญหามาแล้ว (ไฟลวก ส.ส.ที่มากินอาหารในโออิชิบุฟเฟต์)
เคสนี้มันแตกต่างกัน นั่นเกิดขึ้นกับคนคนเดียว พอเราแสดงความรับผิดชอบ ดูแลเขาอย่างรวดเร็วและใกล้ชิดก็จบ ผมเองเป็นคนไม่กลัวปัญหา อันที่จริงเรียกว่าชอบปัญหาด้วยซ้ำไป แต่เวลามีปัญหา คนส่วนใหญ่ชอบที่จะหนี แต่ผมชอบเดินเข้าหาปัญหา เพราะการหนีทำให้ปัญหายิ่งยากขึ้น แต่การเดินเข้าไปหาปัญหา ถึงยังแก้ไม่หมด หรือแก้ไม่ได้ มันก็บรรเทาลง
- ได้มุมมองอะไรบ้างจากปัญหาที่เกิดขึ้น
เรื่องกรดเกลือที่มาอยู่ในขวดชาเขียว ไม่เคยอยู่ในสมองของผมเลย เพราะเครื่องจักรที่ใช้ถือเป็นระบบที่ดีที่สุด และเราเป็นรายแรกที่ใช้ระบบนี้ (ฮอต ฟิลด์) ปัญหาแบบนี้ที่เคยเกิดจะเป็นพวกเครื่องสำอาง อาหารแห้ง แต่จากการที่ผมไม่รู้ ทำให้ไม่เคยอยู่ในสมอง หรือเตรียมการใดๆ ทั้งสิ้น ไม่เคยมีแผนการ และไม่เคยเผื่อใจในเรื่องนี้ มันจึงยากมาก
- ตั้งสติได้ตอนไหน
กว่าผมจะตั้งสติได้ เมื่อวันที่ 3 เพราะ 2 วันแรกรับโทรศัพท์จนเบลอ ไม่ได้นอนด้วย พอถึงวันที่ 3 เริ่มคิดว่าจะแก้อย่างนี้ไม่ได้ จึงเรียกทีมงานทั้งหมดมาประชุมแบ่งงานกันเป็นทีมๆ หลังจากนั้นเริ่มมองว่าเวลามีปัญหาเกิดขึ้น ไม่ใช่วิ่งไปแก้ปัญหาอย่างเดียว แต่ควรปรึกษาด้วย ตอนแรกผมก็คิดว่าจะไปจัดงานดื่มโออิชิฟรี จะได้พิสูจน์ว่าดื่มแล้วไม่เป็นไร จะเอาญาติพี่น้อง ลูกน้อง หุ้นส่วนไปด้วย คิดอีกทีก็ได้แค่ภาพภาพหนึ่งเท่านั้น หรือประกาศว่าใครดื่มแล้วเจ็บคอจะให้ 1 ล้านเหมือนกินไก่ ผมก็ว่าไม่ใช่อีก ดูเหมือนใช่แต่ไม่ใช่ เพราะไม่ใช่ต้นเหตุ เพราะที่จริงแล้ว ผู้บริโภคกังวลว่าดื่มแล้วจะเป็นอะไร ตายแล้วได้เงินมีประโยชน์อะไร
- ปัญหาที่ประสบในขณะนั้น
ตอนนั้นไม่ได้นอนหลายวัน เช้าขึ้นมาต้องมาคอยดูข่าว วิ่งไปซื้อหนังสือพิมพ์ตั้งแต่ตี 4 พอเริ่มมีขวดที่ 2 ที่ 3 พบชาเปลี่ยนสี รู้ถึงสถานการณ์ทันที พอแปดโมงลูกค้าเริ่มโทร.มาแล้ว ร้านค้าเริ่มโทร.มา ยี่ปั๊วก็โทร.มาถามว่าจะคืนของได้ไหม เซเว่นฯขอคืนทั้งลอต เราก็บอกไม่เป็นไร จริงๆ แล้วชาเปลี่ยนสีเป็นเรื่องธรรมชาติ แต่ถ้าจะคืนก็คืน
- กระทบยอดขายมากไหม
ช่วงนั้นเราไม่ได้ส่งของเลย เพราะมีแต่คนอยากคืนของ แต่หยุดชั่วคราวไม่เป็นไร อาทิตย์แรกยอดขายลดลงทันที แต่อาทิตย์ต่อมาเมื่อเราแถลงข่าวแล้วเริ่มดีขึ้น แต่ก็ไม่ได้ดีเหมือนเดิม ยอดยังไม่กลับคืน แต่ก็เริ่มดีขึ้น จริงๆ ยอดขายเดือนกุมภาพันธ์ไม่ตก แต่ไม่ขึ้นตามเป้า ทั้งๆ ที่เราทุ่มเม็ดเงินโฆษณาไปถึง 39 ล้านบาท ในเดือนมกราคม ถือว่าเสียหายเหมือนกัน
- ตัดสินใจแถลงข่าว
ตอนนั้นแต่ละคนคิดไม่เหมือนกัน จริงๆ แล้ว ผมเองอยากแถลงข่าว แต่ก็ยังคิดไม่ออกว่าแถลงแล้วได้อะไร รู้ว่าต้องสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า ตอนนั้นเราก็เบลอ จนวินาทีสุดท้าย พอดีผมมีที่ปรึกษาระบบไคเซ็นของโรงงานเป็นคนญี่ปุ่น เขาบอกว่ามีเครื่องมือเป็นที่สแกนน้ำกับเอกซเรย์ฝา ถ้าเจอขวดไหนผิดปกติ เครื่องจะหยุดทำงาน ผมตัดสินใจซื้อเครื่องนี้ทันที นอกจากนี้ยังตัดสินใจใส่เงินอีกร้อยล้าน ใส่ดับเบิล เซฟตี้ เข้าไป
ถ้าไม่เกิดวิกฤต ผมไม่รู้จักเครื่องนี้แน่ หลังจากแถลงออกไปยอดคืนเริ่มน้อยลงเรื่อยๆ
- สภาพจิตใจขณะนั้นเป็นอย่างไรบ้าง
บอกตรงๆ คือกุมภาพันธ์ผมแย่มาก ทั้งยอดขาย กำลังใจ และชีวิตส่วนตัว เพราะฉะนั้นเวลาเกิดวิกฤตจึงอย่าท้อแท้ พอถึงเดือนมีนาคมยอดขายกลับมา ผมก็ไม่ลืมตัว พอได้มาก็แบ่งปันให้คนที่เดือดร้อน (ตันเพิ่งจะบริจาคเงินให้โครงการฝนหลวงเป็นจำนวน 10 ล้านบาท)
ถามว่าท้อไหม ผมเหนื่อยแต่ไม่ได้ท้อ แต่มันเยอะและมาพร้อมๆ กัน เปรียบเหมือน "สึนามิ กรีน ที" แก้ยังไงก็ไม่ถูก
- กำลังใจหลักๆ ที่ได้
ตอนนั้นผมได้รับคำแนะนำจากเพื่อนๆ และลูก ค้าเต็มไปหมด พอมีคนให้กำลังใจ สมองเริ่มโปร่ง
- ข้อคิดที่ได้จากปัญหาที่เกิดขึ้น
ผมว่าการเป็น "ซีอีโอ มาร์เก็ตติ้ง" นอกจากต้องคิด ตัดสินใจ ขณะเดียวกันก็ต้องทำงานที่ต่ำกว่าคือการออกไปพบลูกค้า บางคนบอกว่าให้คนอื่นไปแทนดีกว่า เพราะหากเจ้าของบริษัทมาเองคนจะเรียกร้องมาก แต่ผมมองว่าไม่เป็นไร อย่างน้อยการที่เรามีน้ำใจไปหาเขา ผมว่าปัญหาจะแก้ไขง่ายกว่า การที่เราให้ผู้จัดการหรือลูกน้องเราไป เขาจะรู้สึกว่าบริษัทนี้ไม่ห่วงใยเขาเลย
- ถึงขนาดว่าหนักที่สุดในชีวิต
ช่วงนั้นแม่ของผมอยู่โรงพยาบาล ท่านไม่ไหวแล้ว อยู่ได้เพราะออกซิเจน แต่ผมดึงเวลาเอาไว้เพราะเป็นช่วงตรุษจีน เพราะคนจีนไม่อยากให้เสียในช่วงนี้ แล้วท่านก็เสียหลังจากที่ผมแถลงข่าว 1 วัน
- สิ่งที่ได้เรียนรู้จากเหตุการณ์นี้
ผมตั้งใจว่า วันหนึ่งหากมีปัญหาแบบเดียวกันนี้เกิดขึ้นกับคนอื่น ไม่ว่าจะเป็นสินค้าอะไรก็ตาม ผมจะไปหาเขาทันที ให้เขารู้ว่าจะต้องระวังอะไร และต้องทำอะไรก่อน เหตุการณ์นี้ทำให้ผมได้ข้อคิดเยอะมาก
ผมคิดว่า ถ้า 2 วันแรกผมไม่เบลอ ผมจะแก้ปัญหาได้ดีกว่านี้
- หากเหตุการณ์นี้มาจากผู้ไม่หวังดี
ผมไม่เคยคิดว่าแค้นนี้ต้องชำระ คนละทฤษฎีกัน ผมถูกสอนมาว่า ชนะคือแพ้ ขาดทุนเป็นกำไร แค้นไม่ต้องชำระ ผมเชื่อว่าผู้ประกอบการที่ดีไม่ทำแบบนี้ ถึงวันนี้ผมไม่โทษใครเพราะไม่มีหลักฐาน ถึงวันนี้นอกจากไม่โทษแล้วผมยังได้รับน้ำใจจากวงการเดียวกันเยอะมาก
- ทำให้เป็นที่มาของแคมเปญ "รวยฟ้าผ่า"
ไม่ใช่ สำหรับ 30 ฝา 30 ล้านบาท จริงๆ อยู่ในแผนตั้งแต่เดือนตุลาคมแล้ว ตอนนั้นโออิชิครบ 1 ปี มีแชร์ 39% ขณะที่ยูนิฟ 38% เราจึงจัดงานขึ้นมาสำหรับร้านค้า มีทองเป็นรางวัล แต่แคมเปญที่จะให้ผู้บริโภค เราไม่กล้าทำเพราะกลัวเดือนธันวาคมออกมายูนิฟจะเป็น 39% แล้วเราจะเป็น 38% เราจะหน้าแตก เพราะชนะเขาแค่ 2 เดือน แต่พอถึงเดือนธันวาคม ปรากฏว่าโออิชิ 46% ยูนิฟ 36% อันนี้ชัวร์แล้ว เราเริ่มทำหนังโฆษณา แต่พอถึงตรุษจีนก็มาเจอเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น หลายคนพูดว่า ก่อนจะ "รวยฟ้าผ่า มีซวยฟ้าผ่ามาก่อน" (หัวเราะ เสียงดัง)
จริงๆ แล้วพอเจอวิกฤต เราอยากเลื่อน แต่ขออนุญาตแล้ว เลื่อนไม่ได้ ถ้าเลื่อนเงิน 30 ล้านที่เตรียมไว้ต้องมอบให้กาชาด ผมก็ห่วงว่าคนจะรู้สึกไหมว่า พอเจอวิกฤตแล้วก็เอาเงินมาใส่ ก็เลยมีการแก้ไขรูปแบบ งานแถลงข่าวก็เปลี่ยนไปนิดหน่อย
- ทำไมต้องแค่ 30 ฝา
จริงๆ แล้ว แคมเปญนี้ที่เป็นล้านฝา หรือแสนฝาไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องของเทคนิค เราไม่สามารถสร้างฝาขวด (ที่ทำให้คนมองไม่เห็นรางวัล) ได้เป็นแสนฝา นี่คือปัญหาบังคับให้ผมต้องทำน้อยๆ
- ปัจจัยความสำเร็จของแคมเปญนี้
คนเราก็มีขึ้นมีลง บางทีก็มีสิ่งที่ดีๆ มา ซวยบ้างก็มีเฮงบ้าง คนเราคงไม่ซวยตลอด แคมเปญนี้ดังระเบิดมาจากว่า พอมีวิกฤต ยอดไม่ถึง เราจึงนั่งคิดว่าจะทำอย่างไร ก็เทงบฯเข้าไปเต็มที่ ตอนนั้นเรียกว่าหน้ามืด เลยทุ่มเงินซื้อสื่อเต็มที่ ยิงโฆษณาทีวี ซื้อสื่อหนังสือพิมพ์แบบเต็มหน้าตลอด บวกกับช่วงวิกฤตก็ใช้เงินไปมาก เป็นข่าวมาก ถึงแม้จะเป็นข่าวที่ไม่ค่อยดีก็ตาม แต่มันก็ได้คำว่าโออิชิ กรีนที
- ยังมีปัจจัยอื่นๆ อีกหรือไม่
เราจ่ายจริงภายใน 24 ชั่วโมง และผมไปจ่ายด้วยตนเอง ที่ผ่านมาผมนั่งรถเป็นร้อยๆ กิโลฯ ข้ามภูเขา ข้ามน้ำไปเจอะลูกค้า เขาก็ประทับใจและให้การต้อนรับ รวมทั้งสื่อที่มาทำข่าว เราโชคดีอีกตรงที่ว่าคนที่ได้เงินล้านเป็นคนเก็บขยะ จึงกลายเป็นประเด็นขึ้นมา และยังมีซาเล้งเก็บของเก่า จนถึงขณะนี้เดือนมีนาคมเราผลิตไม่ทันแล้ว เพราะไม่คิดว่าจะได้รับการตอบรับดีขนาดนี้ ตอนนี้เราผลิตได้แค่วันต่อวันเท่านั้น วันหนึ่งก็ล้านขวด ต่อเดือนก็ 30 ล้านขวด 20 ล้านกล่อง
- เทียบกับปัญหาในอดีตที่เคยเจอ
หากเทียบกับช่วงปี 2540 ที่ติดหนี้สิน 100 ล้านบาทนั้น ผมว่าต่างกันฟ้ากับดิน ตอนนั้นผมไม่มีอะไร เป็นหนี้ ไม่มีก็ยึดทรัพย์ไป ฟ้องล้มละลายก็จบ ไม่มีเดือดร้อนอะไร แก้ง่าย แต่ครั้งนี้เป็นเรื่องจิตใจ มันยากกว่าเยอะ บริษัทนี่ไม่ใช่ของผมคนเดียว ยังมีพนักงานอีก 3 พันกว่าคน
แค่คืนสินค้าทั่วประเทศ ผมก็ตายแล้ว
- ฝากอะไรไว้สำหรับคนที่เจอวิกฤต
ผ่านวิกฤตมาทำให้เราแข็งแกร่งขึ้น อย่างที่ผมบอก ไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้ ไม่มีอะไรเป็นอย่างที่เราคิด ในโลกมีอะไรหลายอย่างที่เราคาดไม่ถึง ชีวิตคนเราก็มีขึ้นมีลง เวลาไปบรรยายผมก็จะพูดเรื่องนี้ เวลาล้มเหลวอย่าท้อแท้ ได้ดีอย่าลืมตัว และผมก็จะบอกว่า สุดท้ายขอให้ทุกคนเป็นคนดี
- สิ่งที่อยากทำหลังจากเหตุการณ์นี้
ผมจะทำหนังสือขึ้นมาสักเล่มหนึ่ง รวบรวมวิธีแก้ปัญหาเมื่อมีวิกฤตเกิดขึ้นทั้งหมด เพื่อใช้เป็นคู่มือในองค์กร เหมือนคู่มือเปิดร้าน ครั้งนี้เราพบหลายอย่างที่ไม่เคยเจอ ควรเก็บไว้เป็นประสบการณ์ หากทิ้งไปก็น่าเสียดาย
ผมได้รับน้ำใจจากคนอื่นมา ผมจึงคิดว่าถ้าคนอื่นประสบปัญหาแบบเดียวกัน ผมก็ควรไปช่วยเหลือเขา ผมรู้คุณค่าที่ได้รับจากคนอื่น
เพราะครั้งนี้หากแก้ไขสถานการณ์ไม่ทัน ต้องตายแน่ๆ
ผลประกอบการไตรมาส1 อาจออกมาไม่ดีเท่าที่ควร
เพราะเดี้ยงไป2เดือน
แต่ผมชอบนะ บริจาคให้โครงการฝนหลวงไป 10 ล้านบาทน่ะ