หน้า 1 จากทั้งหมด 1

บัญชีเดินสะพัด เดือนกุมภา เกินดุลย์ 16 ล้านเหรียญ

โพสต์แล้ว: พุธ มี.ค. 30, 2005 1:43 pm
โดย โป้ง
ไตรมาสแรกส่อขาดดุลเดินสะพัด ก.พ.เกินแค่16ล.เหรียญ

โดย ผู้จัดการรายวัน 30 มีนาคม 2548 00:09 น.

ผวาดุลบัญชีเดินสะพัดไตรมาสแรกปีนี้ติดลบ ปัจจัยหลักอยู่ที่ราคาน้ำมันโลกที่ปรับตัวต่อเนื่องแถมบาทอ่อน ชี้แผ่นดินไหวในหมู่เกาะสุมาตราอาจส่งผลให้นักท่องเที่ยวต่างประเทศที่เตรียมเข้ามาเที่ยวในไทยชะลอการเดินทาง ฉุดรายได้จากภาคบริการลดลง เผยตัวเลขก.พ.เกินดุลแค่ 16 ล้านเหรียญสหรัฐ "หอการค้าไทย" ระบุเสี่ยงสูงหากส่งออกขยายตัวไม่ถึง 15% ส่วนแนวโน้มดุลการค้าทั้งปีติดลบ 4 พันล้านเหรียญ ส.อ.ท.เผยดัชนีความเชื่อมั่นเดือนก.พ.ต่ำสุดในรอบ 2 ปี

นางสาวอุสรา วิไลพิชญ์ นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ธนาคารสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปีนี้มีความเสี่ยงที่อาจทำให้ดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุล เนื่องจากปัญหาราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยในเดือนมีนาคมได้ทำสถิติสูงสุดที่ 56 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล จากการประเมินเบื้องต้นพบว่าในเดือนกุมภาพันธ์ ดุลบัญชีเดินสะพัดคาดว่าจะเกินดุลเพียง 16 ล้านดอลลาร์สหรัฐเท่านั้น

การเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันส่งผลให้มูลค่าการนำเข้าสินค้าในรูปเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐปรับตัวเพิ่มขึ้น ส่งผลโดยตรงกับตัวเลขดุลบัญชีเดินสะพัด ซึ่งจะส่งผลกระทบโดยตรงกับตัวเลขดุลบัญชีเดินสะพัดในเดือนมี.ค.

ส่วนผลกระทบที่เกิดขึ้นจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวในหมู่เกาะสุมาตรา นายสาวอุสรา กล่าวว่า ส่งผลกระทบโดยตรงกับความมั่นใจในการเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย หลังจากที่ก่อนหน้านักท่องเที่ยวเริ่มกลับมาเที่ยวในหมู่เกาะชายฝั่งทะเลอันดามัน ซึ่งจะทำให้แนวโน้มรายได้จากภาคการท่องเที่ยวลดลงในช่วงไตรมาส 2 ของปีนี้ และทำให้แนวโน้มดุลบริการลดลงตาม เนื่องจากกว่า 60% ของดุลบริการมาจากภาคการท่องเที่ยว

นอกเหนือ จากปัจจัยเสี่ยงเรื่องราคาน้ำมัน รายได้จากภาคการท่องเที่ยวแล้ว ยังมีปัจจัยเสี่ยงในเรื่องของอัตราดอกเบี้ย ที่ขณะนี้มีแนวโน้มว่าธนาคารกลางสหรัฐจะประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยสูงกว่าที่คาดการณ์ก่อนหน้า ซึ่งจุดนี้จะทำให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐมีแนวโน้มแข็งค่าเมื่อเทียบกับสกุลอื่น และจะเป็นตัวกดดันให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ โดยประเมินว่าค่าเงินบาทจะเคลื่อนไหวอยู่ในระดับ 39.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ

นายอัทธ์ พิศาลวานิช ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอกาค้าไทย กล่าวว่า แนวโน้มดุลบัญชีเดินสะพัดในปีนี้คาดว่าอยู่ในภาวะเสี่ยงต่อการขาดดุล เนื่องจากมีปัจจัยเสี่ยงจาก 2 ตัวแปรที่สำคัญคือ ตัวเลขดุลการค้าที่เริ่มมีแนวโน้มขาดดุล และคาดว่าในปีนี้ดุลการค้าเฉลี่ยทั้งปีจะขาดดุลประมาณ 4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

"รัฐบาลจำเป็นต้องมีการกำหนดยุทธศาสตร์การบริหารจัดการภาคการส่งออก และการนำเข้าให้ดี เพื่อลดผลกระทบการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด เพราะหากตัวเลขการส่งออกในปีนี้ขยายตัวไม่ถึง 15% เชื่อว่าจะทำให้มีความเสี่ยงกับการตัวเลขการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด"

สำหรับตัวเลขเบื้องต้นที่มหาลัยหอกาค้าไทย ประเมินในปีนี้คาดว่า ดุลบัญชีเดินสะพัดยังคงเกินดุลประมาณ 917 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ตั้งอยู่บนสมมติฐานการส่งออกต้องขยายตัวเฉลี่ยสูงกว่า 15% ส่วนราคาน้ำมันเฉลี่ยทั้งปีอยู่ที่ 50 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล และแนวโน้มค่าเงินบาทอยู่ในระดับ 38.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ

นายสมภพ มานะรังสรรค์ อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ตัวแปรสำคัญที่ทำให้ไทยเสี่ยงต่อภาวะการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดคือ ปัญหาการนำเข้าที่มีสัดส่วนสูง โดยเฉพาะการนำเข้าน้ำมัน โดยในเดือนมกราคมที่ผ่านมายอดการนำเข้าสูงถึง 17.5% ของมูลค่านำเข้าสินค้าทั้งหมด ขณะที่ช่วงเดียวกันของปีก่อนมีการนำเข้าน้ำมันเพียง 14% ของมูลค่าการนำเข้า

นอกจากนี้ การนำเข้าสินค้าที่เกี่ยวข้องกับชิ้นส่วนอุตสาหกรรม เพื่อการส่งออกมีมูลค่ากว่า 50% ซึ่งถือเป็นเรื่องน่าห่วง เพราะสะท้อนให้เห็นถึงการพึ่งพาสินค้านำเข้าเพื่อการส่งออก และมีต้นทุนผันแปรตามค่าเงินดอลลาร์ ซึ่งรัฐบาลต้องเร่งแก้ไขปัญหา โดยหันมาพึ่งพาสินค้าที่ผลิตในประเทศ เพื่อป้องกันปัญหาขาดดุลการค้า

นายสมภพกล่าวว่า ตัวแปรที่จะเป็นอัศวินมาขาวในปีนี้คือ ภาคการท่องเที่ยว แต่เหตุการณ์แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้น ยิ่งทำให้ความเสี่ยงในการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดมีมากขึ้น เพราะจำนวนนักท่องเที่ยวที่จะเข้ามาเที่ยวในทะเลชายฝั่งอันดามันลดลง

"รัฐบาลควรจัดทำแผนเชิงปฏิบัติการ เพื่อป้องกันผลกระทบที่อาจทำให้ดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุล โดยเร่งขยายตลาดส่งออก และเพิ่มรายได้ให้กับภาคการท่องเที่ยว และลดการพึ่งพาการนำเข้าสินค้า"

**ความเชื่อมั่นอุตฯต่ำสุดรอบ 2 ปี

ขณะที่นายสันติ วิลาสศักดานนท์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยผลการสำรวจความเชื่อมั่นของภาคอุตสาหกรรมไทย (Thai Industries Sentiment Index: TISI) ในเดือนกุมภาพันธ์2548 ที่ได้จากการสำรวจกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 483 ตัวอย่าง ครอบคลุมทั้ง 33 กลุ่มอุตสาหกรรมของส.อ.ท.พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับ 96.9 จาก 104.8 ในเดือนม.ค.48 ที่ผ่านมา ซึ่งค่าดัชนีต่ำกว่า 100 เป็นครั้งแรกในรอบ 7 เดือน นับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2547 ที่ผ่านมา และเป็นค่าดัชนีที่อยู่ในระดับที่ต่ำที่สุดในรอบเกือบ 2 ปี นับตั้งแต่เดือนเมษายน 2546 แสดงให้เห็นว่าผู้ประกอบการมีความเชื่อมั่นต่อภาวะการณ์อุตสาหกรรมในระดับที่ไม่ดีนัก

สำหรับสาเหตุหลักที่มีผลต่อดัชนีรวมลดต่ำลงกว่า 100 เนื่องจากขณะทำการสำรวจรัฐบาลได้มีนโยบายประกาศเปลี่ยนแปลงราคาดีเซลโดยปรับเพดานเพิ่มอีก 3 บาทต่อลิตรมา อยู่ที่ 18.19 บาทต่อลิตรจากเดิมอยู่ที่ 15.19 บาทต่อลิตร

"การที่ดีเซลปรับขึ้นอีก 3 บาทต่อลิตรในส่วนของภาคอุตสาหกรรมไม่มีผลต่อต้นทุนการผลิตในภาคอุตสาหกรรมมากนัก แต่จะไปมีผลทางอ้อมต่อค่าขนส่งสินค้ามากขึ้น ซึ่งเรื่องดังกล่าวโรงงานขนาดใหญ่ส่วนมากจะมีการจำหน่ายราคาหน้าโรงงานบวกค่าขนส่งไปแล้ว แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงและกระทรวงพาณิชย์ควรจะติดตามควรจะอยู่ที่ราคาสินค้าที่จะถึงมือผู้บริโภคมากกว่าเนื่องจากบรรดายี่ปั๊ว และซาปั๊วจะนำค่าขนส่งไปบวกเพิ่มเข้าไปและบางครั้งเกินความจริง"

บัญชีเดินสะพัด เดือนกุมภา เกินดุลย์ 16 ล้านเหรียญ

โพสต์แล้ว: พุธ มี.ค. 30, 2005 2:16 pm
โดย โอ@
ถ้าปีนี้ขาดดุลทุกเดือน ด้วยข้อความที่ว่า "ไม่ต้องเป็นห่วงเป็นเพราะการขยายกำลังผลิต" มันจะซ้ำรอยวิกฤตครั้งเก่าหรือเปล่าครับ

สถานการณ์ตอนนี้กับตอนนั้นมีอะไรที่ต่างกันบ้างครับ
- ค่าเงินไม่ได้ตรึงไว้เหมือนเดิมแล้ว
- การเครื่องไหวเงินถูกจับตาโดยรัฐบาลมากขึ้น
- สินเชื่อปล่อยได้ไม่หละหลวมเหมือนเก่า (หรือเปล่า)

ผมว่าข้อสามเรื่องสินเชื่อนี่น่ากลัวสุดเลย ถ้ามีอะไรซุกอยู่ใต้พรมอีก

บัญชีเดินสะพัด เดือนกุมภา เกินดุลย์ 16 ล้านเหรียญ

โพสต์แล้ว: พุธ มี.ค. 30, 2005 11:25 pm
โดย chatchai
การขาดดุลครั้งนี้ ยังคงเป็นช่วงที่เพิ่งเกิดครับ ต่างจากครั้งก่อนเป็นการขาดดุลการค้าและขาดดุลบัญชีเดินสะพัดต่อเนื่องและเรื้อรังครับ

และในช่วงสุดท้ายของครั้งก่อน การส่งออกเริ่มลดลงครับ ในขณะที่ครั้งนี้เกิดจากการนำเข้าน้ำมันที่เพิ่มมากขึ้น ดังนั้นการปรับขึ้นราคาน้ำมันดีเซลคงจะช่วยให้ประเทศขาดดุลการค้าได้มาก รวมทั้งค่าเงินบาทที่เริ่มอ่อนค่าลงก็คงจะช่วยเรื่องการขาดดุลการค้าด้วย และการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดในเดือน ม.ค. ก็คงจะเป็นผลจากนักท่องเที่ยวที่ลดลงจากซึนามิด้วยครับ ซึ่งเป็นเหตุการณ์พิเศษ และคงไม่เกิดขึ้นทุกปี

ช่วงก่อน จากอัตราแลกเปลี่ยนที่ค่อนข้างคงที่ และอัตราดอกเบี้ยที่ต่างกันมากระหว่างเงินกู้สกุลดอลล่าร์กับเงินบาท ทำให้เอกชนมีการกู้ยืมเงินนอกกันมากมาย จนทำให้ประเทศไทยมีหนี้สกุลเงินต่างชาติมากมาย และมากกว่าเงินทุนสำรองซะด้วย

แต่ขณะนี้ ประเทศไทยมีหนี้ต่างประเทศน้อยลงเยอะ เงินทุนสำรองก็สูงกว่าครับ แน่นอนว่าโอกาสที่จะเกิดการไถ่ถอนเงินออกจากประเทศจำนวนมากในระยะเวลาอันรวดเร็วคงไม่น่าจะเกิด

บริษัทเอกชนก็มีฐานะทางการเงินแข็งแกร่งกว่าช่วงครั้งก่อนมากครับ

และที่สำคัญครั้งนี้ นายกและรัฐมนตรีคลัง ให้ความสนใจและเร่งแก้ไขปัญหาอย่างจริงจังครับ

บัญชีเดินสะพัด เดือนกุมภา เกินดุลย์ 16 ล้านเหรียญ

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. มี.ค. 31, 2005 7:58 am
โดย yoyo
พี่ chatchai อธิบายเคลียร์มาเลยครับ
กำลังจะถามพอดีเลยเรื่องขาดดุลเนี่ย ว่าต่างกับรอบก่อนยังไง ...
ขอบคุณมากคร้าบ :lol:

บัญชีเดินสะพัด เดือนกุมภา เกินดุลย์ 16 ล้านเหรียญ

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. มี.ค. 31, 2005 7:59 am
โดย โป้ง
เห็นเซียนงบการเงิน มาพูดแบบนี้ สบายใจขึ้นครับ :D

บัญชีเดินสะพัด เดือนกุมภา เกินดุลย์ 16 ล้านเหรียญ

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. มี.ค. 31, 2005 8:10 am
โดย iscssn
ขอบคุณครับ

บัญชีเดินสะพัด เดือนกุมภา เกินดุลย์ 16 ล้านเหรียญ

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. มี.ค. 31, 2005 8:58 am
โดย วัวแดง
เยี่ยมครับ :D

บัญชีเดินสะพัด เดือนกุมภา เกินดุลย์ 16 ล้านเหรียญ

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. มี.ค. 31, 2005 8:20 pm
โดย Green
ผมว่าสิ่งที่น่ากลัวกว่า วิกฤติเศรษฐกิจ คราวที่แล้วนั้นอยู่ตรงที่ว่า ขณะนี้หนี้สินภาคครัวเรื่อนของประชาชนทั่วไปนั้น สูงขึ้นมากกว่าช่วงวิกฤติเศรษฐกิจ มาก ถึงแม้ว่าท่านรัฐมนตรีจะกล่าวว่า ทรัพย์สินของประชาชนนั้นมากขึ้นด้วยก็ตาม แต่ถ้าคิดกันจริงๆ แล้ว ทรัพย์สินเหล่านั้น มันก็ต้องเสื่อมกันไปตามเวลา โดยไม่ได้ก่อให้เกิดรายรับที่คุ้มค่า สรุปคือทรัพย์สินเหล่านั้นอาจจะเป็น สิ่งฟุ่มเฟือย เช่น โทรศัพท์มือถือ รถจักรยานยนต์ เป็นต้น ถ้าแม้ว่ามันอาจจะนำไปใช้ในการทำงานของพวกเขาเหล่านั้นก็ได้ แต่มันคุ้มค่ากับต้นทุนที่เขาต้องจ่ายนั้นหรือ ?

ในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจ คราวที่แล้วนั้น คนที่ได้รับผลกระทบโดยตรง และ ฉับพลัน คือ บริษัทเอกชน และ พนักงานลูกจ้าง เหล่านั้นที่ได้รับผลไปเต็มๆ เนื่องจากไปกู้เงินจากต่างประเทศมาก ส่วนพ่อค้าแม่ค้า เกษตรกร รากหญ้า ก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน แต่อย่างไรก็ดี โครงสร้างการเงินของเขาเหล่านั้นยังอยู่ในเกณฑ์ ที่ดีกว่าในปัจจุบัน

ไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจสำหรับ การขาดดุลการค้าของประเทศไทยในช่วงก่อนเกิดวิกฤติเศรษฐกิจ เพราะรัฐบาลหลายๆ ชุด ที่ผ่านๆ มาต้องการดึงเม็ดเงินลงทุนเข้าประเทศ หวังว่าจะพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ ด้วยวิธีนี้ สนับสนุนการลงทุนจากต่างชาติ เป็นเสรีทางการเงิน เป็นต้น โดยสร้างความเชื่อมั่นให้กับต่างชาติ ด้วยวิธีการ ตรึงค่าเงินบาทให้คงที่ เมื่อค่าเงินบาทที่แข็งจนเกินไป ทำให้ความสามารถทางการแข่งขันของบริษัทส่งออกทั้งหลายไม่ได้สะท้อนภาพที่แท้จริง ประเทศขาดดุลทางการค้าอย่างต่อเนื่อง พื้นฐานเศรษฐกิจอ่อนแอ ทำให้ต่างชาติ โจมตีค่าเงินได้อย่างง่ายดาย จนเกิดวิกฤติเศรษฐกิจตามมา เมื่อค่าเงินบาทลอยตัวตามกลไกของตลาดเงิน บริษัทส่งออกทั้งหลาย สะท้อนความสามารถทางการแข่งขันได้แท้จริงมากขึ้น ดุลการค้าของไทย เป็นบวกมาตลอดหลังจากช่วงเวลาหนึ่ง หลังจากการปรับให้ค่าเงินลอยตัว

สถาณการณ์ คราวนี้ ค่าเงินบาทไม่ได้ถูกตรึงไว้อย่างเข็มงวดเหมือนคราวที่แล้ว ความสามารถทางการแข่งขันของประเทศนั้นสะท้อนภาพที่แท้จริงมากยิ่งขึ้น หากปล่อยให้เกิดการขาดดุลการค้าอย่างต่อเนื่อง การแก้ปัญหาจะยากกว่าแต่ก่อนมาก เพราะเราปล่อยให้ค่าเงินลอยตัวแล้ว ตัวเลขการนำเข้าที่สูงขึ้นนั้นเกิดจากอะไร เช่นตัวเลขนำเข้าน้ำมันและเหล็กที่สูงขึ้น นอกจากเพราะว่าราคามันแพงขึ้น และปริมาณการใช้มันสูงขึ้นแค่ไหน และที่สำคัญคือ เราเอาไปทำอะไร เอาไปใช้ในการผลิต ? หรือเอาไปให้ฟุ่มเฟือย ? เช่นเติมน้ำมันรถที่เพิ่งซื้อมา (จริงๆ แล้วประหยัดหน่อยก็นั่งรถเมล์ได้ ) ถึงแม้ว่าโครงสร้างการเงินของประเทศนั้นดีขึ้น รวมถึงบริษัทเอกชนต่างๆ ที่บริหารความเสี่ยง อย่างระมัดระวังมากขึ้น ( เพราะได้รับบทเรียนอันเจ็บปวดมาแล้ว ) แต่ภาคประชาชนรากหญ้า ที่โครงสร้างการเงินอ่อนแอลง อาจจะต้องรับผลกระทบที่รุนแรงกว่าเดิมที่พวกเขาเคยได้รับมา และที่น่ากลัว มันจะส่งผลกระทบต่อคนส่วนมากของประเทศ และการแก้ปัญหาจะยากลำบากและยาวนาน

ผมไม่อยากให้เกิดวิกฤติเศรษฐกิจ หวังว่ารัฐบาลคงไม่ดำเนินนโยบายประชานิยมมากชนเกิดไปนัก ไม่กระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศด้วยการสนับสนุนคนให้ฟุ่มเฟือย อย่างเต็มที่ ( ฟุ่มเฟือยได้ แต่ไม่มากเกินควร) ส่งเสริมการศึกษาและวิทยาศาตร์อย่างจริงจัง(ถึงแม้ว่าผลที่ได้รับอาจจะอีกนาน แต่รับรองว่าคุ้มค่าและเป็นผลดีต่อประเทศ) ส่งเสริมการทำธุรกิจ SME ส่งเสริมการส่งออก สิ่งเสริมการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตทั้งอุตสาหกรรมการผลิต และเกษตรกรรม

คนไทยที่รักคนไทยคนหนึ่ง

บัญชีเดินสะพัด เดือนกุมภา เกินดุลย์ 16 ล้านเหรียญ

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. มี.ค. 31, 2005 9:15 pm
โดย chatchai
ผมมีความเห็ฯต่างจากคุณ Green 2 ประเด็นนะครับ

1. เรื่องหนี้สินภาคครัวเรือน โดยเฉพาะแม่ค้า เกษตรกร และชาวรากหญ้า จริงแล้วการเปรียบเทียบตัวเลขในอดีตกับปัจจุบันคงจะลำบากเนื่องจาก เราไม่ทราบตัวเลขหนี้นอกระบบเป็นจำนวนเท่าไรกันแน่ ซึ่งถ้าเป็นการเข้าแหล่งเงินทุนได้ง่ายขึ้นของชาวบ้าน ทำให้พวกเขาไม่ต้องไปกู้หนี้นอกระบบซึ่งมีอัตราดอกเบี้ยมหาโหด ก็คงเป็นสิ่งที่ดีกว่าเดิมมากๆ ถึงแม้ถ้าเราพิจารณาจากหนี้ในระบบจะเห็นว่าชาวบ้านมีหนี้มากขึ้น เพราะตัวเลขไม่ได้รวมหนี้นอกระบบ

อีกจุดหนึ่งก็คือ ผมมีความเห็นว่าในช่วงนี้ สินค้าเกษตรหลายตัวก็มีราคาที่ดีขึ้นกว่าในอดีตเป็นจำนวนมาก ฐานะทางการเงินของชาวเกษตรกรก็น่าจะดีกว่าเดิมด้วย

2. เรื่องที่เราลอยตัวค่าเงินแล้ว ทำให้เราแก้ไขปัญหาเรื่องการขาดดุลการค้ายากขึ้น ผมว่าน่าจะง่ายขึ้นนะครับ เพราะถ้าเราขาดดุล ค่าเงินบาทเราก็จะอ่อนค่าลง (เหมือนช่วงนี้) สินค้าของเราก็จะถูกลงในสายตาต่างชาติ ทำให้เราส่งออกได้มากขึ้น ในขณะที่สินค้าจากต่างประเทศก็จะมีราคาสูงขึ้น ทำให้เรานำเข้าน้อยลง ดุลการค้าก็จะดีขึ้น ไม่เหมือนช่วงที่เรา Fix ค่าเงิน การจะขยายการส่งออกก็คงทำได้ลำบากมาก เพราะต้องใช้ระยะเวลานานทีเดียวในการขยายตลาดใหม่ๆ หรือพัฒนาสินค้าให้ดีขึ้น มีต้นทุนที่ต่ำลง

บัญชีเดินสะพัด เดือนกุมภา เกินดุลย์ 16 ล้านเหรียญ

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. มี.ค. 31, 2005 11:33 pm
โดย โอ@
ส่วนตัวผมเองคิดว่าหนี้สินภาคครัวเรือน ไม่แน่ยังน้อยกว่าที่เอกชนคนเดียวไปกู้เงินต่างชาติ หรือทุจริตกู้แบงค์เลยครับ

บัญชีเดินสะพัด เดือนกุมภา เกินดุลย์ 16 ล้านเหรียญ

โพสต์แล้ว: ศุกร์ เม.ย. 01, 2005 7:51 am
โดย มือเก่าหัดขับ
:P ความเห็นดีๆ ทุกท่านเลย ชื่นชมครับ ชื่นชม

:) คิดว่า ตอนนี้สถานะของประเทศ ต่างจากคราวที่แล้วมาก ก็หวังว่า สิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต
ควรเป็นบทเรียนที่ดีให้กับคนที่บริหารบ้านเมืองในสมัยนี้ บวกกับความรู้ความสามารถ
ทางเศรษฐกิจที่มีอยู่เหนือกว่าที่ผ่านมา น่าจะนำพาบ้านเมืองให้รอดไปได้ (จะโกง จะ
กิน ก็อย่าโกงเงินของประชาชน อย่าทำให้ให้ประเทศชาติเดือดร้อนเสียประโยชน์
ทำให้ประเทศชาติได้ประโยชน์ เข้าไว้ ผมไม่ว่าหรอก ผมพูดจริงๆ นะ แต่ถ้าไม่โกง
ไม่กิน แล้วทำงานห่วยแตกประเทศชาติบรรลัย ก็ไปไกลๆ ก็ดี)

:( เรื่องหนี้สินภาคครัวเรือน เป็นเรื่องที่ผมห่วงเหมือนกัน จริงแล้วคงไม่ถึงกับทำให้ประเทศ
เกิดปัญหาโดยตรง แต่เมื่อคนเดือดร้อน ผลผลิตรวมย่อมต้องลดลง ยิ่งคนส่วนใหญ่
ไม่สามารถแยกความแตกต่างระหว่างทรัพย์สินจากทุนของตัว และทรัพย์สินจาก
หนี้สิน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ยิ่งแยกไม่ออกระหว่างหนี้ที่ดีกับหนี้ที่เลว อันนี้น่าเป็นห่วง
มาก เงินกู้ต่างๆ หากใช้ให้ถูกวิธีก็เกิดประโยชน์ได้ แต่นี่... ดูเหมือน Portion จำนวน
มากจะไม่ใช่ ก็เป็นห่วงเหมือนกันครับ

บัญชีเดินสะพัด เดือนกุมภา เกินดุลย์ 16 ล้านเหรียญ

โพสต์แล้ว: ศุกร์ เม.ย. 01, 2005 8:07 am
โดย โป้ง
แต่การวัด การเติบโต ควรทำเรโช ระหว่าง หนี้สิน/GDP ครับ
เพราะ ถึงแม้มีหนี้สินเพิ่มทุกปี แต่ถ้า GDP โตกว่า สำหรับผมก็ยังมองประเทศไปในทิศทางที่ดี

ถ้าคิดในอัตราส่วนดังกล่าว ถือว่าประเทศไทยยังดีอย่างต่อเนื่องอยู่

ส่วนเรื่องหนี้สินภาคครัวเรือนและหนี้สาธารณะ ไม่น่ามองข้ามเช่นกัน อยากให้รัฐทำการแก้ไขอย่างเร่งด่วน (ถ้าดูตัวเลขหนี้สินก็น่ากล้วเหมือนกัน)