ตอบคุณ peaceful ว่าด้วยเรื่องการทำใจให้ถือหุ้นได้นานๆ
โพสต์แล้ว: ศุกร์ มี.ค. 18, 2005 12:35 pm
พอคุณพีซฟูลถามคำถามนี้ขึ้นมา
ผมรู้สึกว่าน่าสนใจมากๆ
ไม่เคยมีใครถามผมในประเด็นนี้มาก่อนเลย
พยายามมานั่งคิดว่า ทำไมเราสามารถถือหุ้นได้นานๆ
โดยไม่ได้ใช้หลักการของวีไอแท้ๆ
ว่าด้วยการคาดคะเนผลประกอบการในอนาคต
ก็เลยขอตั้งเป็นกระทู้ใหม่
เผื่อผู้ที่สนใจอยากอ่าน
จะได้รู้วิธีการทำใจแบบมวยวัด ที่ทำให้ถือหุ้นได้นานๆ
ทั้งๆที่ ราคาหุ้นขึ้นไปเรื่อยๆแบบ ชวนให้อยากขายมากๆ
ผมมาลองนึกย้อนหลังดู
ก็พอจะหาเหตุผลที่สามารถถือหุ้นได้นานๆดังนี้
1 ไม่มีสภาพแวดล้อมจากจิตวิทยามวลชนคอยกดดันให้ซื้อๆขายๆ
มานั่งนึกย้อนหลัง
สมัยที่ผมนั่งเล่นหุ้นแบบเกาะติดสถานการณ์ "ตามห้องค้า"
ซึ่งเป็นช่วงปี 2520 - 2522
ผมไม่เคยถือหุ้นตัวไหน จนมีกำไรเกินสามสิบเปอร์เซนต์เลย
เพราะว่าจิตวิทยามวลชนในห้องค้ามีสูงมากๆ
สูงจนเราไม่สามารถทำตัวแตกต่างจากคนอื่นๆได้
คนส่วนใหญ่ที่นั่งตามห้องค้า
จะซื้อๆขายๆกันแบบเป็นรายนาที รายชั่วโมง หรือไม่ก็รายวัน
ไอ้เราจะไปนั่งเป็นอาทิตย์โดยที่ไม่ได้ซื้อขายเลย
จิตวิทยามวลชนมันจะชักนำให้เราต้องลงมือซื้อขายตามมวลชน
ดังนั้น เหตุผลข้อแรกที่ทำให้ผมสามารถถือหุ้นได้นานๆขึ้นคือ
สภาพแวดล้อมหลังจากช่วงนั้น
ไม่มีจิตวิทยามวลชนคอยกดดัน
พอเจ๊งหุ้นจนหมดตัว
แต่ไม่เป็นหนี้ สมัยราชาเงินทุน
ผมก็ไม่ค่อยจะได้ไปนั่งห้องค้าอีกแล้ว
ที่น่าสังเกตุคือ
พอผมไปนั่งห้องค้า ในช่วงที่ห้องค้าไม่มีใครไปเลย
คือทั้งห้องค้า มีพนักงานอยู่สองคน
เขียนกระดานหนึ่งคน รับโทรศัพท์กับรับออเดอร์หนึ่งคน
ผมสามารถเก็บหุ้นทุ่งคาไว้ขาย โดยรอจนมีกำไรถึงห้าสิบเปอร์เซนต์
จากการซื้อตามข่าวเรื่องลงทุนเหมืองทอง
(บริษัทนี้ ใช้ข่าวเรื่องเหมืองทอง หากินมามากกว่ายี่สิบปีแล้ว)
เทรดเดอร์ในตอนนั้นจำผมได้แม่น
เพราะช่วงนั้น จะหาหุ้นที่มีกำไรเกินสิบเปอร์เซนต์ยังยากมากเลย
ในห้องค้ามีผมนั่งอยู่เพียงคนเดียว
จึงไม่มีแรงกดดันต้องให้ทำตามคนอื่น
2 ตั้งแต่เล่นหุ้นมาจนทุกวันนี้ ผมมีแต่เทรดเดอร์ ไม่เคยมีมาร์เก็ตติ้ง
ผมมีข้อเสียหรืออาจจะเป็นข้อดีก็ได้ อยู่ข้อหนึ่ง ฮาๆๆ
คือจะไม่ค่อยยอมให้ใครมาชี้แนะเรื่องหุ้น
แม้แต่ตอนนั่งห้องค้า ผมก็ไม่เคยขอความเห็นจากเทรดเดอร์
ช่วงนั้น นับว่ายังโชคดี
ที่เทรดเดอร์เป็นระบบกินเงินเดือนหมด
ไม่ใช่กินค่าคอม ตามวอลุ่มซื้อขายของเรา
เขาจึงไม่จำเป็นที่จะต้องยุให้ซื้อๆขายๆจนเกินงาม
ผิดกับในตอนนี้
ซึ่งมาร์เก็ตติ้งส่วนใหญ่ มีรายได้จากการกินเปอร์เซนต์ค่าคอม
มีคนตั้งข้อสังเกตุไว้
ซึ่งผมเห็นด้วยมาก
เขาว่ามาร์เก็ตติ้งที่กินเปอร์เซนต์ค่าคอม
จะไม่แนะนำให้ลูกค้าอยู่เฉยๆ
คือไม่เชียร์ให้ซื้อ ก็จะเชียร์ให้ขาย เพื่อกินเปอร์เซนต์ค่าคอม
พอผมไม่เคยขอคำแนะนำจากมาร์เก็ตติ้ง
มาร์เก็ตติ้งก็จะมีสถานภาพแค่เป็นเทรดเดอร์
ที่คอยรับคำสั่งซื้อขายเท่านั้น
มาร์เก็ตติ้งใหม่ๆที่ยังไม่รู้จักเราดี
แรกๆก็จะแนะนำให้ซื้อหรือไม่ก็ขาย
ถ้าเห็นหุ้นที่เราถืออยู่มีกำไรเป็นร้อยๆเปอร์เซนต์
ก็จะโทรมาแบบเลียบๆเคียงว่าควรขายได้แล้ว
ถ้าเรายืนยันให้เหมือนเดิมทุกครั้งว่า
เราจะขอตัดสินใจเอง
มาร์เก็ตติ้งทุกคนที่ผมเคยติดต่อ
จะยอมรับความจริงข้อนี้
และไม่ให้คำแนะนำให้ซื้อๆขายๆอีกเลย
ดังนั้น ผมจึงสามารถเก็บหุ้นได้นานๆ
โดยไม่ต้องมีมาร์เก็ตติ้งโทรมากดดันให้เราซื้อๆขายๆ
เวลาอ่านเจอ นักเล่นหุ้นโวยวายเรื่องมาร์เก็ตติ้งยุให้ซื้อขายทีไร
ผมต้องนึกในใจ
ก็เพราะคุณอยากได้ข่าววงใน ข่าวเด็ด
อยากได้กำไรง่ายๆโดยไม่ต้องเสียเวลาคิดนั่นแหละ
คุณถึงยอมทำตามที่มาร์เก็ตติ้งแนะนำ
ลองคุณยืนยันทุกครั้งว่า จะตัดสินใจเอง
ผมแน่ใจมากๆว่า
จะไม่มีมาร์เก็ตติ้งคนไหนมาตอแยกับเราอีก
๓ การที่ไม่มีเรียลไทม์ให้ดู
ในช่วงที่เราเริ่มสามารถฝึกการเก็บหุ้นได้นานๆ
ได้ส่งผลดีมาจนทุกวันนี้
ช่วงก่อนมีอินเตอร์เนต มีทางเดียวที่จะดูเรียลไทม์คือ
ไปที่ห้องสังเกตุการณ์ของตลาดฯ หรือไม่ก็ห้องค้า
ซึ่งผมก็ไปแค่นานๆครั้ง ในเวลาที่เบื่อๆไม่มีที่จะไป
ช่วงนั้น ที่ทำเป็นประจำคือ
การอยู่บ้าน ฟังการถ่ายทอดแห้งผ่านวิทยุ และดูทางโทรทัศน์
บางทีสิบห้านาที คอยรู้ราคาหุ้นตัวที่เราถืออยู่
ผลที่ตามมาคือ เราไม่ต้องติดตามหุ้นแบบเอาเป็นเอาตาย
รู้แต่ว่ามันขึ้น ก็เก็บไปเรื่อยๆ
นานๆเข้า มันก็สะสมเป็นความเคยชินที่หยั่งรากลึก
จนแม้แต่ทุกวันนี้ ถึงมีหุ้นเรียลไทม์ให้ดู
ผมก็ดูทุกวัน เหมือนกับเป็นงานอดิเรกสลับกับการเล่นเวปบอร์ดหุ้น
เพราะว่านิสัยการเก็บหุ้นได้เป็นเวลานานๆ
มันได้ฝังรากลึกไปเรียบร้อยแล้ว
จนแม้สภาพแวดล้อมจะเปลี่ยนไป
เราก็ยังสามารถเก็บหุ้นได้นานเหมือนเดิม
ในช่วงปี 2527 - 2530
ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นในการสามารถเก็บหุ้นได้นานๆ
ไม่มีเรียลไทม์ให้ดู
ไม่มีจิตวิทยามวลชนคอยบีบให้เราทำตามมวลชน
ไม่มีมาร์เก็ตติ้งคอยยุให้ขาย
ผมสามารถเก็บ
pr csc tig tcmc ฯลฯ เป็นปีๆหรือสองปี
จนได้ขายทำกำไรตั้งแต่
หนึ่งร้อยถึงสี่ร้อยเปอร์เซนต์
ผลสะสมของมูลค่าหุ้นดี ที่ท่วมมูลค่าศูนย์ของหุ้นเน่า
ทำให้ผมสามารถอยู่ในตลาดหุ้นมาได้จนทุกวันนี้
ปีที่แล้วคนอื่น บ่นกันพึม
พอร์ตผมกลับพยายามไต่ขึ้นมาทำเรคคอร์ดไฮตลอดเวลา
4 เงินลงทุนของเรา บีบให้เราต้องได้กำไรหนักๆต่อครั้ง
คือหลังจากเจ๊งไปตอนราชาเงินทุน
ผมไม่กล้าทุ่มเงินแบบหมดหน้าตักเพื่อเล่นหุ้น
ประเภทเล่นมาร์จิ้น
หรือเอาบ้านไปจำนองมาเล่น
คงต้องรอชาติหน้าวันที่ 30 กุมภาพันธ์ ฮาๆๆ
ดังนั้นมีทางเดียวที่เราจะสามารถสร้างรายได้จากหุ้น
อย่างเป็นกอบเป็นกำคือ
ทนถือให้มันขึ้นมาหลายเท่าตัว เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้พอร์ต
ผมจะเสียดายเงินมากๆ
ประเภทเราได้กำไรหนึ่งล้าน จ่ายเป็นค่าคอมไปตั้งสี่ห้าแสน
เรื่องอะไรเราต้องไปแบ่ง ให้กับใครก็ไม่รู้
ที่ไม่ได้รักพอร์ตเราจริง เป็นจำนวนเงินมากมายขนาดนั้น
พิมพ์มายาวพอสมควร หวังว่าคงจะได้ประโยชน์บ้าง ฮาๆๆ
ผมรู้สึกว่าน่าสนใจมากๆ
ไม่เคยมีใครถามผมในประเด็นนี้มาก่อนเลย
พยายามมานั่งคิดว่า ทำไมเราสามารถถือหุ้นได้นานๆ
โดยไม่ได้ใช้หลักการของวีไอแท้ๆ
ว่าด้วยการคาดคะเนผลประกอบการในอนาคต
ก็เลยขอตั้งเป็นกระทู้ใหม่
เผื่อผู้ที่สนใจอยากอ่าน
จะได้รู้วิธีการทำใจแบบมวยวัด ที่ทำให้ถือหุ้นได้นานๆ
ทั้งๆที่ ราคาหุ้นขึ้นไปเรื่อยๆแบบ ชวนให้อยากขายมากๆ
ผมมาลองนึกย้อนหลังดู
ก็พอจะหาเหตุผลที่สามารถถือหุ้นได้นานๆดังนี้
1 ไม่มีสภาพแวดล้อมจากจิตวิทยามวลชนคอยกดดันให้ซื้อๆขายๆ
มานั่งนึกย้อนหลัง
สมัยที่ผมนั่งเล่นหุ้นแบบเกาะติดสถานการณ์ "ตามห้องค้า"
ซึ่งเป็นช่วงปี 2520 - 2522
ผมไม่เคยถือหุ้นตัวไหน จนมีกำไรเกินสามสิบเปอร์เซนต์เลย
เพราะว่าจิตวิทยามวลชนในห้องค้ามีสูงมากๆ
สูงจนเราไม่สามารถทำตัวแตกต่างจากคนอื่นๆได้
คนส่วนใหญ่ที่นั่งตามห้องค้า
จะซื้อๆขายๆกันแบบเป็นรายนาที รายชั่วโมง หรือไม่ก็รายวัน
ไอ้เราจะไปนั่งเป็นอาทิตย์โดยที่ไม่ได้ซื้อขายเลย
จิตวิทยามวลชนมันจะชักนำให้เราต้องลงมือซื้อขายตามมวลชน
ดังนั้น เหตุผลข้อแรกที่ทำให้ผมสามารถถือหุ้นได้นานๆขึ้นคือ
สภาพแวดล้อมหลังจากช่วงนั้น
ไม่มีจิตวิทยามวลชนคอยกดดัน
พอเจ๊งหุ้นจนหมดตัว
แต่ไม่เป็นหนี้ สมัยราชาเงินทุน
ผมก็ไม่ค่อยจะได้ไปนั่งห้องค้าอีกแล้ว
ที่น่าสังเกตุคือ
พอผมไปนั่งห้องค้า ในช่วงที่ห้องค้าไม่มีใครไปเลย
คือทั้งห้องค้า มีพนักงานอยู่สองคน
เขียนกระดานหนึ่งคน รับโทรศัพท์กับรับออเดอร์หนึ่งคน
ผมสามารถเก็บหุ้นทุ่งคาไว้ขาย โดยรอจนมีกำไรถึงห้าสิบเปอร์เซนต์
จากการซื้อตามข่าวเรื่องลงทุนเหมืองทอง
(บริษัทนี้ ใช้ข่าวเรื่องเหมืองทอง หากินมามากกว่ายี่สิบปีแล้ว)
เทรดเดอร์ในตอนนั้นจำผมได้แม่น
เพราะช่วงนั้น จะหาหุ้นที่มีกำไรเกินสิบเปอร์เซนต์ยังยากมากเลย
ในห้องค้ามีผมนั่งอยู่เพียงคนเดียว
จึงไม่มีแรงกดดันต้องให้ทำตามคนอื่น
2 ตั้งแต่เล่นหุ้นมาจนทุกวันนี้ ผมมีแต่เทรดเดอร์ ไม่เคยมีมาร์เก็ตติ้ง
ผมมีข้อเสียหรืออาจจะเป็นข้อดีก็ได้ อยู่ข้อหนึ่ง ฮาๆๆ
คือจะไม่ค่อยยอมให้ใครมาชี้แนะเรื่องหุ้น
แม้แต่ตอนนั่งห้องค้า ผมก็ไม่เคยขอความเห็นจากเทรดเดอร์
ช่วงนั้น นับว่ายังโชคดี
ที่เทรดเดอร์เป็นระบบกินเงินเดือนหมด
ไม่ใช่กินค่าคอม ตามวอลุ่มซื้อขายของเรา
เขาจึงไม่จำเป็นที่จะต้องยุให้ซื้อๆขายๆจนเกินงาม
ผิดกับในตอนนี้
ซึ่งมาร์เก็ตติ้งส่วนใหญ่ มีรายได้จากการกินเปอร์เซนต์ค่าคอม
มีคนตั้งข้อสังเกตุไว้
ซึ่งผมเห็นด้วยมาก
เขาว่ามาร์เก็ตติ้งที่กินเปอร์เซนต์ค่าคอม
จะไม่แนะนำให้ลูกค้าอยู่เฉยๆ
คือไม่เชียร์ให้ซื้อ ก็จะเชียร์ให้ขาย เพื่อกินเปอร์เซนต์ค่าคอม
พอผมไม่เคยขอคำแนะนำจากมาร์เก็ตติ้ง
มาร์เก็ตติ้งก็จะมีสถานภาพแค่เป็นเทรดเดอร์
ที่คอยรับคำสั่งซื้อขายเท่านั้น
มาร์เก็ตติ้งใหม่ๆที่ยังไม่รู้จักเราดี
แรกๆก็จะแนะนำให้ซื้อหรือไม่ก็ขาย
ถ้าเห็นหุ้นที่เราถืออยู่มีกำไรเป็นร้อยๆเปอร์เซนต์
ก็จะโทรมาแบบเลียบๆเคียงว่าควรขายได้แล้ว
ถ้าเรายืนยันให้เหมือนเดิมทุกครั้งว่า
เราจะขอตัดสินใจเอง
มาร์เก็ตติ้งทุกคนที่ผมเคยติดต่อ
จะยอมรับความจริงข้อนี้
และไม่ให้คำแนะนำให้ซื้อๆขายๆอีกเลย
ดังนั้น ผมจึงสามารถเก็บหุ้นได้นานๆ
โดยไม่ต้องมีมาร์เก็ตติ้งโทรมากดดันให้เราซื้อๆขายๆ
เวลาอ่านเจอ นักเล่นหุ้นโวยวายเรื่องมาร์เก็ตติ้งยุให้ซื้อขายทีไร
ผมต้องนึกในใจ
ก็เพราะคุณอยากได้ข่าววงใน ข่าวเด็ด
อยากได้กำไรง่ายๆโดยไม่ต้องเสียเวลาคิดนั่นแหละ
คุณถึงยอมทำตามที่มาร์เก็ตติ้งแนะนำ
ลองคุณยืนยันทุกครั้งว่า จะตัดสินใจเอง
ผมแน่ใจมากๆว่า
จะไม่มีมาร์เก็ตติ้งคนไหนมาตอแยกับเราอีก
๓ การที่ไม่มีเรียลไทม์ให้ดู
ในช่วงที่เราเริ่มสามารถฝึกการเก็บหุ้นได้นานๆ
ได้ส่งผลดีมาจนทุกวันนี้
ช่วงก่อนมีอินเตอร์เนต มีทางเดียวที่จะดูเรียลไทม์คือ
ไปที่ห้องสังเกตุการณ์ของตลาดฯ หรือไม่ก็ห้องค้า
ซึ่งผมก็ไปแค่นานๆครั้ง ในเวลาที่เบื่อๆไม่มีที่จะไป
ช่วงนั้น ที่ทำเป็นประจำคือ
การอยู่บ้าน ฟังการถ่ายทอดแห้งผ่านวิทยุ และดูทางโทรทัศน์
บางทีสิบห้านาที คอยรู้ราคาหุ้นตัวที่เราถืออยู่
ผลที่ตามมาคือ เราไม่ต้องติดตามหุ้นแบบเอาเป็นเอาตาย
รู้แต่ว่ามันขึ้น ก็เก็บไปเรื่อยๆ
นานๆเข้า มันก็สะสมเป็นความเคยชินที่หยั่งรากลึก
จนแม้แต่ทุกวันนี้ ถึงมีหุ้นเรียลไทม์ให้ดู
ผมก็ดูทุกวัน เหมือนกับเป็นงานอดิเรกสลับกับการเล่นเวปบอร์ดหุ้น
เพราะว่านิสัยการเก็บหุ้นได้เป็นเวลานานๆ
มันได้ฝังรากลึกไปเรียบร้อยแล้ว
จนแม้สภาพแวดล้อมจะเปลี่ยนไป
เราก็ยังสามารถเก็บหุ้นได้นานเหมือนเดิม
ในช่วงปี 2527 - 2530
ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นในการสามารถเก็บหุ้นได้นานๆ
ไม่มีเรียลไทม์ให้ดู
ไม่มีจิตวิทยามวลชนคอยบีบให้เราทำตามมวลชน
ไม่มีมาร์เก็ตติ้งคอยยุให้ขาย
ผมสามารถเก็บ
pr csc tig tcmc ฯลฯ เป็นปีๆหรือสองปี
จนได้ขายทำกำไรตั้งแต่
หนึ่งร้อยถึงสี่ร้อยเปอร์เซนต์
ผลสะสมของมูลค่าหุ้นดี ที่ท่วมมูลค่าศูนย์ของหุ้นเน่า
ทำให้ผมสามารถอยู่ในตลาดหุ้นมาได้จนทุกวันนี้
ปีที่แล้วคนอื่น บ่นกันพึม
พอร์ตผมกลับพยายามไต่ขึ้นมาทำเรคคอร์ดไฮตลอดเวลา
4 เงินลงทุนของเรา บีบให้เราต้องได้กำไรหนักๆต่อครั้ง
คือหลังจากเจ๊งไปตอนราชาเงินทุน
ผมไม่กล้าทุ่มเงินแบบหมดหน้าตักเพื่อเล่นหุ้น
ประเภทเล่นมาร์จิ้น
หรือเอาบ้านไปจำนองมาเล่น
คงต้องรอชาติหน้าวันที่ 30 กุมภาพันธ์ ฮาๆๆ
ดังนั้นมีทางเดียวที่เราจะสามารถสร้างรายได้จากหุ้น
อย่างเป็นกอบเป็นกำคือ
ทนถือให้มันขึ้นมาหลายเท่าตัว เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้พอร์ต
ผมจะเสียดายเงินมากๆ
ประเภทเราได้กำไรหนึ่งล้าน จ่ายเป็นค่าคอมไปตั้งสี่ห้าแสน
เรื่องอะไรเราต้องไปแบ่ง ให้กับใครก็ไม่รู้
ที่ไม่ได้รักพอร์ตเราจริง เป็นจำนวนเงินมากมายขนาดนั้น
พิมพ์มายาวพอสมควร หวังว่าคงจะได้ประโยชน์บ้าง ฮาๆๆ