taladhoon.com กำลังหยุดปรับปรุง เชิญ เพื่อนๆ มาคุยกันที่นี้
โพสต์แล้ว: จันทร์ มี.ค. 10, 2003 8:13 am
อ่าน วาทะ วอร์เรน บัฟเฟทท์ ไปพลางๆก่อน รอเพื่อนๆ จาก Taladhoon.com แวะเข้า มาเข้ามาคุยด้วย ใครเข้ามาแล้ว ส่งข้อความมาให้ทราบ ด้วย ครับ
ไม่ได้คุยกัน แล้วคิดถึง ใจจะขาด
รัก
%%%%%%%%%%%%%
ปรัชญา การลงทุน ของ วอร์เรน บัฟเฟทท์
กฎ ข้อ 1 : อย่ายอมเสียเงิน กฎ ข้อ 2 : อย่าลืมกฎข้อ 1
บัฟเฟทท์แวะเวียนกลับไปหาเบน เกรแฮมอย่างสม่ำเสมอ
ผมคิดว่ามีคำสามคำที่เป็นพื้นฐานในการลงทุน หากคุณนำสามคำนี้ไปเป็นรากฐานในโครงสร้างความคิดของคุณแล้วละก็ ผมมองไม่เห็นเลยว่าคุณจะมีปัญหาตรงไหน คุณจะเป็นนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จได้ในระดับหนึ่งเลยที่เดียว มันไม่มีอะไรที่สลับซับซ้อน มันไม่ต้องการความสามารถพิเศษทางคณิตศาสตร์ หรืออะไรทำนองนั้น เกรแฮม บอกว่า
คุณควรมองหุ้นว่าเป็นชิ้นส่วนเล็กๆ ในธุรกิจ มองการเปลี่ยนแปลง (ของตลาด) ฉันมิตรไม่ใช่เป็นศัตรู ทำกำไรจากสิ่งที่ดูโง่เขลา แทนที่จะมีส่วนร่วมกับมัน
และ เขาบอกว่า มีคำที่สำคัญที่สุด อยู่สามคำในการลงทุนคือ
Margin of Safety ส่วนที่เผื่อเอาไว้เพื่อความปลอดภัย
ผมคิดว่าอีกสัก 100 ปีต่อจากนี้ไป แนวคิดนี้ก็ยังจะเป็นรากฐานสำคัญของการลงทุนที่ถูกต้อง
บัฟเฟทท์สรุปความคิดของเกรแฮมไว้ว่า
เมื่อใดที่คุณมีสภาวะจิตใจที่เหมาะสม ประกอบกับสติปัญญาที่ดี เมื่อนั้นแหละ คุณจะประพฤติตัวอย่างมีเหตุมีผล
บัฟเฟทท์ไม่ได้กังวลเลยว่าหลักการของเขาจะเป็นสิ่งที่ล้าสมัย
ถ้าหลังการสามารถหมดอายุได้ มันไม่ใช่หลักการแล้ว
(จากหน้าที่ 88-89 หนังสือ ของ สำนักพิมพ์ บริษัท ซัคเซส มีเดีย จำกัด เรื่อง วาทะ ของ วอร์เรน บัฟเฟทท์ เจเน็ต โลว์ เขียน เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์ แปล ครรชิต ไพศาล พิมพ์ส่งมาให้อ่าน เพื่อนๆ ไปซื้อหามาอ่านกัน จะได้ประโยชน์อย่างมากครับ)
พบกับ มิสเตอร์มาร์เก็ต
มิสเตอร์มาร์เก็ต เป็นตัวละครที่เกรแฮมสมมุติขึ้นมา เพื่อให้ความกระจ่างในความคิดของนักศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรมของตลาด เกรแฮมกล่าวว่า เราควรมองตลาดหุ้นว่าเป็นหุ้นส่วนที่งุ่นง่านอยู่ตลอดเวลา หุ้นส่วนคนนี้ก็คือ มิสเตอร์มาร์เก็ต ผู้ที่มาแสดงตัวทุกวันพรอมกับเสนอราคาที่เขาจะซื้อหรือขายหุ้น ให้กับคุณ ไม่ว่าเขาจะเสนอราคาอย่างไร้เหตุไร้ผลขนาดไหน และไม่ว่าคุณจะปฏิเสธมันบ่อยครั้งเท่าใด มิสเตอร์มาร์เก็ตคนนี้ก็จะกลับมาหาคุณในวันต่อไป พร้อมด้วยข้อเสนอใหม่ๆเสมอ บัฟเฟทท์กล่าวว่าเรื่องที่สอนให้รู้ว่า
มิสเตอร์มาร์เก็ตเป็นคนรับใช้ของคุณ เขาไม่ใช่ผู้นำทางของคุณ
ในเดือนมีนาคม ปี 1989 เมื่อตลาดหุ้นได้ทะยานขึ้นอีก บัฟเฟทท์ บันทึกไว้ว่า
เราไม่รู้ว่าส่วนเกินนี้จะอยู่ได้นานสักเท่าไร และเราไม่รู้ว่าอะไรจะเปลี่ยนทัศนคติของรัฐบาล ผู้ให้กู้เงิน และผู้ซื้อ ซึ่งเป็นผู้กระพือไฟให้กับตลาด
แต่เรารู้ว่าเมื่อผู้คนขาดความรอบคอบในการปฏิบัติภารกิจของพวกเขามากขึ้นเท่าไร
เราต้องเพิ่มความรอบคอบในการปฏิบัติภารกิจของเราให้มากขึ้นเท่านั้น
ผมไม่เคยพยายามทำเงินจากการ ซื้อ-ขาย ในตลาดหุ้น ผมซื้อมันด้วยสมมุติฐานที่ว่า ตลาดอาจจะถูกปิดในวันรุ่งขึ้น และไม่เปิดอีกเลยเป็นเวลา ห้าปี
ต่อ คำถามที่ว่า นักลงทุนจะมั่นใจได้อย่างไร ว่าราคาหุ้นในตลาดที่ต่ำกว่าความเป็นจริงจะปรับตัวสูงขึ้นในที่สุด ?
สมัยที่ผมทำงานให้กับ เกรแฮม-นิวแมน ผมได้ถามเบน เกรแฮมซึ่งเป็นเจ้านายของผมในขณะนั้นเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาเพียงแต่ยักไหล่ และบอกว่าในที่สุด ตลาดจะทำให้ราคาสูงขึ้น เขาพูดถูก ในระยะสั้นตลาดเป็นเหมือนเครื่องซาวเสียงที่เปลี่ยนไปตามกระแสของคน แต่ในระยะยาวมันจะเป็นเหมือนเครื่องชั่งน้ำหนักที่วันสาระของสิ่งนั้นจริงๆ
ความเป็นจริงนั้นคือ เราสามารถคาดเดาได้เลยว่า คนนั้นเต็มไปด้วย ความโลภ ความกลัว และ ความโงเขลา
แต่ผลลัพธ์ของการที่คนเป็นเช่นนั้น เป็นสิ่งที่ยากที่จะคาดเดา
ตลาดเปรียบเหมือนเช่นพระเจ้าที่จะช่วยคนที่ช่วยตัวเอง
(จากหน้าที่ 98-99 หนังสือ ของ สำนักพิมพ์ บริษัท ซัคเซส มีเดีย จำกัด เรื่อง วาทะ ของ วอร์เรน บัฟเฟทท์ เจเน็ต โลว์ เขียน เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์ แปล ครรชิต ไพศาล พิมพ์ส่งมาให้อ่าน เพื่อนๆ ไปซื้อหามาอ่านกัน จะได้ประโยชน์อย่างมากครับ)
อย่าไปใส่ใจกับอารมณ์ของ Mr. Market
ชาลีและผมไม่เคยแสดงความคิดเห็นอะไรเกี่ยวกับเรื่องตลาดหุ้น เพราะนอกจากมันจะไม่ทำให้อะไรดีขึ้นแล้ว มันยังมารบกวนความคิดเห็นที่ดี ๆ ของเราด้วย
คุณไม่สามารถจะร่ำรวยขึ้นได้ด้วยการดูลูกศรชีทิศทางสภาพอากาศ
ตลาดหุ้น (ดัชนี ตลาดหลักทรัพย์) มีไว้เพียงเพื่อเป็นตัวอ้างอิงว่ามีใครทำอะไรโง่ ๆ หรือไม่ เพราะเมื่อเราลงทุนในหุ้นใด ๆ นั้น เราได้ลงทุนในธุรกิจของบริษัทนั้น ๆ (ไม่ได้ลงทุนใน ดัชนี ตลาดหลักทรัพย์)
หากเราพบกิจการที่เราพึงพอใจ สภาวะของตลาดจะไม่มีผลกระทบอะไรต่อการตัดสินใจของเรา เราตัดสินใจซื้อหุ้นเป็นกิจการ ๆ ไป เราไม่เสียเวลาคิดเกี่ยวกับปัจจัยของเศรษฐศาสตร์มหภาค หรืออาจกล่าวได้ว่า ถ้าใครส่งการคาดการของนักวิชาการที่เป็นที่นับถือมากที่สุดให้เรา คาดการณ์เรื่องตัวเลขการว่างงาน หรืออัตราดอกเบี้ย หรืออะไรก็แล้วแต่ที่จะเกิดขึ้นในอีกสองปีข้างหน้า เราคงไม่ให้ความสนใจกับมันเท่าไร เราเพียงแต่พยายามที่จะมุ่งเน้น ในกิจการที่เราคิดว่าเราเข้าใจดี และธุรกิจที่เราชอบใจในราคาและการบริหาร(ที่ดี) เมื่อเราเห็นอะไรที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่เกิดขึ้นในรัฐสภา เราไม่ได้สนใจแม้แต่จะอ่านมัน เราคิดว่ามันไม่มีประโยชน์อะไรที่จะไปพิจารณาสิ่งเหล่านั้น
(จอห์น เมย์นาร์ด) เคนส์ บอกไว้ว่า สิ่งสำคัญคือ อย่าพยายามคิดอะไรเกี่ยวกับความเป็นไปในตลาด แต่จงพิจารณาธุรกิจที่คุณมีความเข้าใจและที่คุณจดจ่ออยู่กับมัน
ด้วยเหตุผลบ้างประการ คนจะยึดติดอยู่กับการเปลี่ยนแปลงของราคา มากกว่าจะคิดถึงมูลค่า สิ่งที่ไม่ได้ผลดีเลยคือ การที่คุณลงทุนในหุ้นที่คุณไม่รู้จัก หรือลงทุนเพราะหุ้นนั้นทำกำไรให้กับคนบางคนเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เหตุผลที่ทึ่มที่สุดในโลกคือ การซื้อหุ้นเพราะราคามันเพิ่งเขยิบตัวสูงขึ้น
อนาคตไม่เคยมีอะไรแน่นอน คุณจ่ายเงินมากขึ้นเพราะตลาดหุ้นกำลังได้รับความนิยม (การซื้อ หุ้นเมื่อตลาดพุ่งขึ้น) ความไม่แน่นอนเป็นมิตรแท้ของผู้ที่ซื้อหุ้นด้วยการมองมูลค่าในระยะยาว
(จากหน้าที่ 100-101 หนังสือ ของ สำนักพิมพ์ บริษัท ซัคเซส มีเดีย จำกัด เรื่อง วาทะ ของ วอร์เรน บัฟเฟทท์ เจเน็ต โลว์ เขียน เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์ แปล ครรชิต ไพศาล พิมพ์ส่งมาให้อ่าน เพื่อนๆ ไปซื้อหามาอ่านกัน จะได้ประโยชน์อย่างมากครับ)
ไม่ได้คุยกัน แล้วคิดถึง ใจจะขาด
รัก
%%%%%%%%%%%%%
ปรัชญา การลงทุน ของ วอร์เรน บัฟเฟทท์
กฎ ข้อ 1 : อย่ายอมเสียเงิน กฎ ข้อ 2 : อย่าลืมกฎข้อ 1
บัฟเฟทท์แวะเวียนกลับไปหาเบน เกรแฮมอย่างสม่ำเสมอ
ผมคิดว่ามีคำสามคำที่เป็นพื้นฐานในการลงทุน หากคุณนำสามคำนี้ไปเป็นรากฐานในโครงสร้างความคิดของคุณแล้วละก็ ผมมองไม่เห็นเลยว่าคุณจะมีปัญหาตรงไหน คุณจะเป็นนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จได้ในระดับหนึ่งเลยที่เดียว มันไม่มีอะไรที่สลับซับซ้อน มันไม่ต้องการความสามารถพิเศษทางคณิตศาสตร์ หรืออะไรทำนองนั้น เกรแฮม บอกว่า
คุณควรมองหุ้นว่าเป็นชิ้นส่วนเล็กๆ ในธุรกิจ มองการเปลี่ยนแปลง (ของตลาด) ฉันมิตรไม่ใช่เป็นศัตรู ทำกำไรจากสิ่งที่ดูโง่เขลา แทนที่จะมีส่วนร่วมกับมัน
และ เขาบอกว่า มีคำที่สำคัญที่สุด อยู่สามคำในการลงทุนคือ
Margin of Safety ส่วนที่เผื่อเอาไว้เพื่อความปลอดภัย
ผมคิดว่าอีกสัก 100 ปีต่อจากนี้ไป แนวคิดนี้ก็ยังจะเป็นรากฐานสำคัญของการลงทุนที่ถูกต้อง
บัฟเฟทท์สรุปความคิดของเกรแฮมไว้ว่า
เมื่อใดที่คุณมีสภาวะจิตใจที่เหมาะสม ประกอบกับสติปัญญาที่ดี เมื่อนั้นแหละ คุณจะประพฤติตัวอย่างมีเหตุมีผล
บัฟเฟทท์ไม่ได้กังวลเลยว่าหลักการของเขาจะเป็นสิ่งที่ล้าสมัย
ถ้าหลังการสามารถหมดอายุได้ มันไม่ใช่หลักการแล้ว
(จากหน้าที่ 88-89 หนังสือ ของ สำนักพิมพ์ บริษัท ซัคเซส มีเดีย จำกัด เรื่อง วาทะ ของ วอร์เรน บัฟเฟทท์ เจเน็ต โลว์ เขียน เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์ แปล ครรชิต ไพศาล พิมพ์ส่งมาให้อ่าน เพื่อนๆ ไปซื้อหามาอ่านกัน จะได้ประโยชน์อย่างมากครับ)
พบกับ มิสเตอร์มาร์เก็ต
มิสเตอร์มาร์เก็ต เป็นตัวละครที่เกรแฮมสมมุติขึ้นมา เพื่อให้ความกระจ่างในความคิดของนักศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรมของตลาด เกรแฮมกล่าวว่า เราควรมองตลาดหุ้นว่าเป็นหุ้นส่วนที่งุ่นง่านอยู่ตลอดเวลา หุ้นส่วนคนนี้ก็คือ มิสเตอร์มาร์เก็ต ผู้ที่มาแสดงตัวทุกวันพรอมกับเสนอราคาที่เขาจะซื้อหรือขายหุ้น ให้กับคุณ ไม่ว่าเขาจะเสนอราคาอย่างไร้เหตุไร้ผลขนาดไหน และไม่ว่าคุณจะปฏิเสธมันบ่อยครั้งเท่าใด มิสเตอร์มาร์เก็ตคนนี้ก็จะกลับมาหาคุณในวันต่อไป พร้อมด้วยข้อเสนอใหม่ๆเสมอ บัฟเฟทท์กล่าวว่าเรื่องที่สอนให้รู้ว่า
มิสเตอร์มาร์เก็ตเป็นคนรับใช้ของคุณ เขาไม่ใช่ผู้นำทางของคุณ
ในเดือนมีนาคม ปี 1989 เมื่อตลาดหุ้นได้ทะยานขึ้นอีก บัฟเฟทท์ บันทึกไว้ว่า
เราไม่รู้ว่าส่วนเกินนี้จะอยู่ได้นานสักเท่าไร และเราไม่รู้ว่าอะไรจะเปลี่ยนทัศนคติของรัฐบาล ผู้ให้กู้เงิน และผู้ซื้อ ซึ่งเป็นผู้กระพือไฟให้กับตลาด
แต่เรารู้ว่าเมื่อผู้คนขาดความรอบคอบในการปฏิบัติภารกิจของพวกเขามากขึ้นเท่าไร
เราต้องเพิ่มความรอบคอบในการปฏิบัติภารกิจของเราให้มากขึ้นเท่านั้น
ผมไม่เคยพยายามทำเงินจากการ ซื้อ-ขาย ในตลาดหุ้น ผมซื้อมันด้วยสมมุติฐานที่ว่า ตลาดอาจจะถูกปิดในวันรุ่งขึ้น และไม่เปิดอีกเลยเป็นเวลา ห้าปี
ต่อ คำถามที่ว่า นักลงทุนจะมั่นใจได้อย่างไร ว่าราคาหุ้นในตลาดที่ต่ำกว่าความเป็นจริงจะปรับตัวสูงขึ้นในที่สุด ?
สมัยที่ผมทำงานให้กับ เกรแฮม-นิวแมน ผมได้ถามเบน เกรแฮมซึ่งเป็นเจ้านายของผมในขณะนั้นเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาเพียงแต่ยักไหล่ และบอกว่าในที่สุด ตลาดจะทำให้ราคาสูงขึ้น เขาพูดถูก ในระยะสั้นตลาดเป็นเหมือนเครื่องซาวเสียงที่เปลี่ยนไปตามกระแสของคน แต่ในระยะยาวมันจะเป็นเหมือนเครื่องชั่งน้ำหนักที่วันสาระของสิ่งนั้นจริงๆ
ความเป็นจริงนั้นคือ เราสามารถคาดเดาได้เลยว่า คนนั้นเต็มไปด้วย ความโลภ ความกลัว และ ความโงเขลา
แต่ผลลัพธ์ของการที่คนเป็นเช่นนั้น เป็นสิ่งที่ยากที่จะคาดเดา
ตลาดเปรียบเหมือนเช่นพระเจ้าที่จะช่วยคนที่ช่วยตัวเอง
(จากหน้าที่ 98-99 หนังสือ ของ สำนักพิมพ์ บริษัท ซัคเซส มีเดีย จำกัด เรื่อง วาทะ ของ วอร์เรน บัฟเฟทท์ เจเน็ต โลว์ เขียน เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์ แปล ครรชิต ไพศาล พิมพ์ส่งมาให้อ่าน เพื่อนๆ ไปซื้อหามาอ่านกัน จะได้ประโยชน์อย่างมากครับ)
อย่าไปใส่ใจกับอารมณ์ของ Mr. Market
ชาลีและผมไม่เคยแสดงความคิดเห็นอะไรเกี่ยวกับเรื่องตลาดหุ้น เพราะนอกจากมันจะไม่ทำให้อะไรดีขึ้นแล้ว มันยังมารบกวนความคิดเห็นที่ดี ๆ ของเราด้วย
คุณไม่สามารถจะร่ำรวยขึ้นได้ด้วยการดูลูกศรชีทิศทางสภาพอากาศ
ตลาดหุ้น (ดัชนี ตลาดหลักทรัพย์) มีไว้เพียงเพื่อเป็นตัวอ้างอิงว่ามีใครทำอะไรโง่ ๆ หรือไม่ เพราะเมื่อเราลงทุนในหุ้นใด ๆ นั้น เราได้ลงทุนในธุรกิจของบริษัทนั้น ๆ (ไม่ได้ลงทุนใน ดัชนี ตลาดหลักทรัพย์)
หากเราพบกิจการที่เราพึงพอใจ สภาวะของตลาดจะไม่มีผลกระทบอะไรต่อการตัดสินใจของเรา เราตัดสินใจซื้อหุ้นเป็นกิจการ ๆ ไป เราไม่เสียเวลาคิดเกี่ยวกับปัจจัยของเศรษฐศาสตร์มหภาค หรืออาจกล่าวได้ว่า ถ้าใครส่งการคาดการของนักวิชาการที่เป็นที่นับถือมากที่สุดให้เรา คาดการณ์เรื่องตัวเลขการว่างงาน หรืออัตราดอกเบี้ย หรืออะไรก็แล้วแต่ที่จะเกิดขึ้นในอีกสองปีข้างหน้า เราคงไม่ให้ความสนใจกับมันเท่าไร เราเพียงแต่พยายามที่จะมุ่งเน้น ในกิจการที่เราคิดว่าเราเข้าใจดี และธุรกิจที่เราชอบใจในราคาและการบริหาร(ที่ดี) เมื่อเราเห็นอะไรที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่เกิดขึ้นในรัฐสภา เราไม่ได้สนใจแม้แต่จะอ่านมัน เราคิดว่ามันไม่มีประโยชน์อะไรที่จะไปพิจารณาสิ่งเหล่านั้น
(จอห์น เมย์นาร์ด) เคนส์ บอกไว้ว่า สิ่งสำคัญคือ อย่าพยายามคิดอะไรเกี่ยวกับความเป็นไปในตลาด แต่จงพิจารณาธุรกิจที่คุณมีความเข้าใจและที่คุณจดจ่ออยู่กับมัน
ด้วยเหตุผลบ้างประการ คนจะยึดติดอยู่กับการเปลี่ยนแปลงของราคา มากกว่าจะคิดถึงมูลค่า สิ่งที่ไม่ได้ผลดีเลยคือ การที่คุณลงทุนในหุ้นที่คุณไม่รู้จัก หรือลงทุนเพราะหุ้นนั้นทำกำไรให้กับคนบางคนเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เหตุผลที่ทึ่มที่สุดในโลกคือ การซื้อหุ้นเพราะราคามันเพิ่งเขยิบตัวสูงขึ้น
อนาคตไม่เคยมีอะไรแน่นอน คุณจ่ายเงินมากขึ้นเพราะตลาดหุ้นกำลังได้รับความนิยม (การซื้อ หุ้นเมื่อตลาดพุ่งขึ้น) ความไม่แน่นอนเป็นมิตรแท้ของผู้ที่ซื้อหุ้นด้วยการมองมูลค่าในระยะยาว
(จากหน้าที่ 100-101 หนังสือ ของ สำนักพิมพ์ บริษัท ซัคเซส มีเดีย จำกัด เรื่อง วาทะ ของ วอร์เรน บัฟเฟทท์ เจเน็ต โลว์ เขียน เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์ แปล ครรชิต ไพศาล พิมพ์ส่งมาให้อ่าน เพื่อนๆ ไปซื้อหามาอ่านกัน จะได้ประโยชน์อย่างมากครับ)