หน้า 1 จากทั้งหมด 1

888

โพสต์แล้ว: อังคาร มี.ค. 01, 2005 12:21 am
โดย LOSO
555

888

โพสต์แล้ว: อังคาร มี.ค. 01, 2005 7:12 am
โดย Jeng
ดูแล้วก็ทะแม่งจริงๆ แต่โดยส่วนตัว เรื่องค่าเงิน ที่ต่างชาติ ( กองทุน เมกา ) เมื่อค่าเงินเป็นแบบนี้ โดยเปรียบเทียบ การโยกเงินมาซื้อหุ้นไทย แล้วได้กำไร สองต่อ คือ กำไรค่าเงิน และกำไรเนื่องจาก PE ต่ำเมื่อเทียบกับเมกา น่าจะทำให้หุ้นไทยยังขึ้นต่อ

ซึ่งปัญหาต่างๆเหล่านี้ เป็นปัญหาจริง อย่างที่ท่าน LOSO วิเคราะห์ไว้ เพียงแต่หุ้นที่เมกา มันสูงเกิน ในขณะที่ดอลล่าก็สูงเกิน

ตอนไปเที่ยวอ่านข่าว usa today ซึ่งพาดหัวข่าวเกี่ยวกับ ค่าเงิน เมกา อ่อนตัวเมื่อเทียบกับเงิน แคนาดา ในรอบ 2 ปี ถึง 30 % ซึ่งทำให้อุตสาหกรรมต่างๆของ แคนาดา ต้องปรับตัวขนานใหญ่ เนื่องจากส่งออกไปเมกา ลดลงไปมาก ทำให้บริษัทแคนาดา ปลดคนงานไปมาก แต่อย่างไรก็ตาม บทความวิเคราะห์ข้อดีไว้ข้อหนึ่ง คือการซื้อ เทคโนเลยี่ ในช่วงนี้จะได้ราคาถูกมาก เพราะค่าเงิน

888

โพสต์แล้ว: อังคาร มี.ค. 01, 2005 8:46 am
โดย คัดท้าย
555 ... ขอบคุณครับท่าน .. ตามคาดครับ อย่างที่เราเคยคุยกันไว้เลยครับท่าน... ไม่รู้ว่าจะเป็นต่อเนื่องหรือเปล่า ถ้าต่อเนื่องต้องระวังแล้วครับ :D

888

โพสต์แล้ว: อังคาร มี.ค. 01, 2005 9:35 am
โดย hot
ผมว่าคงเป็นเรื่องปกติ สาเหตุที่เฟดที่ยังคิดดอกเบี้ยไม่หยุด เพื่อที่จะทำให้
เงินที่ไหลออกจากตลาดหุ้นอเมริกาน้อยลง การที่ตลาดดาวยังคงไม่ลงมาก
เป็นความพยายามหนึ่งเหมือนรออะไร

มีใครมีความรู้เรื่องสนธิสัญญามาเชลบ้างคับ
เห็นคนบอกว่าอเมริกายิ่งใหญ่ได้ทุกวันนี้เพราะสนธิสัญญาที่ว่า

888

โพสต์แล้ว: อังคาร มี.ค. 01, 2005 10:19 pm
โดย LOSO
55

888

โพสต์แล้ว: อังคาร มี.ค. 01, 2005 10:22 pm
โดย Stock Broker
สงสัยกว่าจะครบอีกเดือน จะเหลือแต่มุมแดงเจ้าบ้านนะสิครับ

วันนี้มุมน้ำเงินผู้มาเยือนก็แอบหนีไปหลายคนแล้วนะ

888

โพสต์แล้ว: อังคาร มี.ค. 01, 2005 10:29 pm
โดย LOSO
55

888

โพสต์แล้ว: อังคาร มี.ค. 01, 2005 10:36 pm
โดย คนขายของ
กุมภา ผมว่าไม่ต่างครับ เพราะการลงทุนใหญ่ๆ (FDI) รอผลเลือกตั้งกว่าจะเอาจริงก็รอ ครม ใหม่ก่อน

แถม ค่าเงินก็แข็ง ในเดือนกุมภา น้ำมันก็เริ่มแพง

ช่วงนี้ก็แล้ง เดี๋ยวก็ร้อนแล้ว

เมฆเริ่มตั้งเค้า

ไปพักผ่อนสักระยะดีกว่า......................

888

โพสต์แล้ว: อังคาร มี.ค. 01, 2005 10:55 pm
โดย harry
ช่วงนี้ไทยลงทุนเยอะ แถมการลงทุนต้องนำเข้าทั้งนั้น แถมน้ำมันก็แพงขึ้นเรื่อยๆ

ขาดดุลการค้า ย่อมไม่แปลก ดูว่ารัฐบาลจะทำอย่างไร ให้เกินดุลได้บ้างครับ

แต่ถ้าขาดดุลเริ่มนานจนเป็นปี นี่แย่แน่ๆครับ

888

โพสต์แล้ว: อังคาร มี.ค. 01, 2005 11:32 pm
โดย chatchai
ปัจจุบัน เราใช้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนที่ลอยตัว ปัญหานี้สามารถแก้ไขได้ด้วยตัวเอง ถ้าไม่มีการแทรกแซงค่าเงินบาทครับ ต่างจากอดีตที่ใช้ระบบตระกร้า

888

โพสต์แล้ว: พุธ มี.ค. 02, 2005 9:07 pm
โดย มือเก่าหัดขับ
ขอให้ระบบลอยตัวมันแก้ไขตัวเองได้เถิดครับ
แล้วก็ ขอให้รัฐมองหาจุดสมดุลของการเข้าไป "Manage" ค่าเงินได้พอดี...
ต้องลุ้นเหนื่อยอีกแล้ว

888

โพสต์แล้ว: พุธ มี.ค. 02, 2005 9:13 pm
โดย Britannica
อัตราแลกเปลี่ยนคงไม่ใช่คําตอบสุดท้ายและดีที่สุดในการแก้ปัญหาครับ

888

โพสต์แล้ว: พุธ มี.ค. 02, 2005 10:20 pm
โดย Eak71
ผมไม่ค่อยรู้เรื่องเศรษฐกิจเท่าไร่ คือวิแคะไม่ค่อยเป็นแต่อาศัยความรู้สึกที่ว่าช่วงนี้รู้สึก หวิวๆ เวียนหัวเหมือนกำลังจะติดอยู่ที่สูง ก็เลยเปลี่ยนมาถือ cash เกือบ 90% ของ ปอด ตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้ว รอไว้แล้วครับ ที่เหลือ10%เป็นหุ้นประเภทกึ่งเน่าที่พอมีกำไรบ้าง เพื่อเอาไว้เป็น case study ไว้ว่าครั้งหนึ่งเคยโง่ :cry: ไม่เคยคิดเอง เป็นนักลงทุนประเภท ข.(ขอให้บอก ใครบอกก็ซื้อตาม)แบบเต็มตัว แทบเอาตัวไม่รอด หุ้นที่ขายออกไปก็ไม่ใช้หุ้นดีอะไรแต่เลือกถูกตัวถูกเวลาก็เลยโชคดีไป(ตอนแรกๆ ก็เกือบตายเหมือนกัน พอดีใช้วิชาเฉลี่ยซื้อตอนลง ตามที่พวกจอมยุทธทั้งหลายในที่นี่สอนไว้ เลยพอมีกำไรบ้างตอนท้ายๆ)

รอโอกาสคราวนี้คงจะได้หัดเป็น VI หรือ VSOP กับเขาบ้าง :mrgreen: :mrgreen:

888

โพสต์แล้ว: พุธ มี.ค. 02, 2005 10:22 pm
โดย Stock Broker
harry เขียน:แต่ถ้าขาดดุลเริ่มนานจนเป็นปี นี่แย่แน่ๆครับ
ใช่ครับ ถึงตอนนั้น Mass ก็มั่นใจแล้วว่าตลาดไม่ดีต้องลงต่อแน่ แล้วต่างชาติก็มาซุ่มซื้อหุ้นกลับไปสร้างข่าวดีใหม่

888

โพสต์แล้ว: พุธ มี.ค. 02, 2005 10:24 pm
โดย ปรัชญา
ฝารั่งน่าจะช๊อต ช๊อต เก็บ
ไปเรื่อยๆ รับเงินทอน รับหุ้นคืนบางส่วน :wink:

เล่นขาลง สักระยะ
แล้วรอข่าวดีอีกที ไม่รู้ถึงสิ้นปีหรือเปล่า :roll:

888

โพสต์แล้ว: พุธ มี.ค. 02, 2005 10:50 pm
โดย tummeng
ไปเจออีกข่าว ละเอียดดีครับ

------------------------------

ดุลการค้า-ดุลฯเดินสะพัดทรุด 'น้ำมัน-สึนามิ' ฉุดศก.ร่วงรับปี48

การประกาศตัวเลขทางเศรษฐกิจที่สำคัญของไทย โดยสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทย (แบงก์ชาติ) เมื่อปลายเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ถึงจะเป็นเพียงแค่ตัวเลขทางเศรษฐกิจเดือนแรกของปี 2548 แต่เห็นสัญญาณทางเศรษฐกิจที่ต้อง "ระวัง "แล้ว เพราะดุลการค้าและดุลบัญชีเดินสะพัด ขาดดุลในระดับสูง

แม้ว่าจะเป็นที่คาดการณ์มาบ้างว่า ภาพรวมเศรษฐกิจในไตรมาสแรกของปี 2548 (มกราคม-มีนาคม 2548) อาจถูกกระทบหนัก จากทั้งปัญหาราคาน้ำมัน การนำเข้าน้ำมัน และผลกระทบจาก "สึนามิ" ต่อรายได้จากการท่องเที่ยว แต่ตัวเลขที่ปรากฎทำให้ต้องเตรียมรับมืออย่างจริงจัง

ถึงแม้หลายหน่วยงานจะประเมินภาพเศรษฐกิจไทยในปีนี้ โดยมีความเห็นตรงกันว่า เศรษฐกิจไทยหนีไม่พ้นภาวะขาดดุลการค้าอย่างแน่นอน แต่ขาดดุลการค้าเดือนแรกเพียงเดือนเดียว สูงเหนือคาดการณ์ !

ในขณะที่แต่ละค่ายประมาณการขาดดุลการค้าแตกต่างกันไปตามสมมติฐาน เช่น สศค.ประมาณการขาดดุลการค้าทั้งปี 1,600 ล้านดอลลาร์ แบงก์ชาติ 500 ล้านดอลลาร์ ม.หอการค้าไทย 1,000 ล้านดอลลาร์ สำนักงานพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือสภาพัฒน์ฯ คาดขาดดุลการค้าทั้งปี 400 ล้านดอลลาร์ บล.ภัทร 1,700 ล้านดอลลาร์ เป็นต้น

ตัวเลขขาดดุลการค้าที่สูงถึง 1,475 ล้านดอลลาร์ในเดือนม.ค.48 เป็นผลจากมูลค่าการนำเข้าที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ถึง 9,170 ล้านดอลลาร์ หรือขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อนถึง 33.6 % ขณะที่มูลค่าส่งออกมีมูลค่า 7,695 ล้านดอลลาร์ หรือขยายตัว 11.6 % จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งดูเหมือนแบงก์ชาติเองยังไม่กังวลต่อแนวโน้มการขาดดุลการค้ามากนัก

ก่อนหน้านี้ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ผู้ว่าการแบงก์ชาติ ยืนยันมาโดยตลอดว่า ถึงแม้แนว

โน้มดุลการค้าในปีนี้จะขาดดุลเล็กน้อย แต่ดุลบัญชีเดินสะพัดทั้งปียังเป็นบวกอยู่ โดยประมาณการเกินดุลบัญชีเดินสะพัด 2,000-3,000 ล้านดอลลาร์

"ถึงไทยจะขาดดุลการค้าก็ไม่น่ากังวล เพราะปีนี้ยังเกินดุลบัญชีเดินสะพัด และตามหลักการแล้วประเทศที่พึ่งรายได้จากท่องเที่ยวจำนวนมาก ก็ควรที่จะพิจารณาจากตัวเลขดุลบัญชีเดินสะพัดเป็นสำคัญ" ผู้ว่าการแบงก์ชาติให้ความเห็น

ในมุมมองของผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์เอง เห็นว่าขาดดุลการค้า เป็นเรื่องปกติของประเทศที่กำลังมีการขยายตัวของเศรษฐกิจ เพราะต้องมีการนำเข้าสินค้าประเภททุนมาก เพื่อรองรับการเพิ่มกำลังการผลิต ประกอบกับประเทศไทยหยุดลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานมานานแล้ว จึงถึงจุดที่ควรจะต้องมีการลงทุนในโครงการที่จำเป็นอีกครั้งหนึ่ง ภายใต้เมกกะโปรเจ็กส์ 1.5 -2 ล้านล้านบาทในช่วงเวลา 5-10 ปีนี้

แต่ก็มีข้อต้องระวังถึงการกระจายการลงทุนดังกล่าวในระยะเวลาที่เหมาะสม เพราะหากกระจุกตัว อาจกระทบต่อการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดได้เช่นกัน แม้ว่าการลงทุนดังกล่าวจะเป็นประโยชน์ต่อภาพรวมของเศรษฐกิจในอนาคต แต่อาจเป็นประเด็นทปัญหาต่อเศรษฐกิจในระยะสั้น โดยเฉพาะการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดเร็วขึ้นกว่าคาดการณ์

แบงก์ชาติประมาณการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดของไทย ยังเกินดุลไปได้อีก 2-3 ปี แต่ก็ไม่ปฎิเสธสัญญาณการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดที่ลดลงเรื่อยๆ โดยประเมินว่าการนำเข้าสินค้าและบริการในปีนี้ จะขยายตัวในอัตราที่เร่งกว่าเดิม ปัจจัยหลักคือ การนำเข้าสินค้าทุน ประเภทเครื่องจักร อุปกรณ์ ตามภาวะการลงทุนที่ขยายตัว การลงทุนเพื่อฟื้นฟูกิจการที่ได้รับผลกระทบจากภัยธรรมชาติ รวมทั้งการนำเข้าวัตถุดิบเพื่อใช้ในการผลิตเพื่อส่งออก ขณะที่ราคานำเข้ามีแนวโน้มสูงขึ้นตามราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลก โดยเฉพาะน้ำมันดิบ ซึ่งการนำเข้าสินค้าและบริการที่เร่งตัวสูงกว่ามูลค่าการส่งออกสินค้าและบริการ กดดันให้ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลลดลงในระยะต่อไป

และยิ่งน่าจับตามอง เมื่อตัวเลขขาดดุลบัญชีเดินสะพัดในเดือน ม.ค.48 ปรากฎขาดดุลสูงถึง 942 ล้านดอลลาร์ !

ถือเป็นการขาดดุลที่สูงที่สุดนับตั้งแต่เดือนเมษายน 2540 เป็นต้นมา ( ขาดดุลสูงสุดในรอบ 7 ปี 8 เดือน โดยในปี 2547 ไทยขาดดุลบัญชีเดินสะพัดครั้งล่าสุดในเดือนเมษายน 2547 แต่เป็นการขาดดุลเพียง 19 ล้านดอลลาร์เท่านั้น)

"การขาดดุลบัญชีเดินสะพัดเป็นผลจากการขาดดุลการค้า ขณะที่ดุลบริการนั้น รายได้จากการท่องเที่ยวลดลงไป เนื่องจากเหตุการณ์ภัยธรรมชาติ 6 จังหวัดชายฝั่งทะเลอันดามัน แต่เชื่อว่าในปี 2548 ดุลบัญชีเดินสะพัดจะยังเกินดุล หากราคาน้ำมันยังอยู่ในประมาณการ ซึ่งแบงก์ชาติประมาณการราคาน้ำมันดิบดูไบไว้ที่ 36 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้นจากราคาเฉลี่ยปีที่แล้วที่ระดับ 33 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และเชื่อว่าในไตรมาสที่ 4 ธุรกิจท่องเที่ยวจะฟื้นตัว" นางสุชาดา กิระกุล ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายเศรษฐกิจในประเทศ ให้ความเห็น

ผลกระทบจากปัจจัยด้านน้ำมันและรายได้ท่องเที่ยวจากเหตุการณ์ "สึนามิ" เป็นปัจจัยหลักที่กระทบการขาดดุลการค้าและขาดดุลบัญชีเดินสะพัดในเดือนแรกของปีนี้ โดยเฉพาะตัวเลขมูลค่าการนำเข้าที่เพิ่มขึ้นสูง ซึ่งเกิดจากการนำเข้าน้ำมันมูลค่ากว่า 900 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คิดเป็น 13 % ของการนำเข้าทั้งหมด การนำเข้าทองคำเพิ่มขึ้นถึง 438.5 % เนื่องจากมีการนำทองคำมาใช้ในธุรกิจอัญมณี การนำเข้าเหล็กที่สูงขึ้น 16 % เนื่องจากผู้ประกอบการมีการปิดซ่อมและขยายกำลังการผลิตทำให้มีการนำเข้าทดแทน รวมทั้งการนำเข้าเพื่อการลงทุนทั้งภาครัฐและเอกชน

ส่วนผลกระทบจากการขึ้นราคาน้ำมันดีเซล ซึ่งภาครัฐปรับราคาขึ้นเร็วกว่าที่ประมาณการไว้ 1 เดือน ถือว่ายังอยู่ในประมาณการการขยายตัวทางเศรษฐกิจของแบงก์ชาติ ที่คาดว่าจะทำให้จีดีพีปี 48 ขยายตัวได้ที่ระดับ 5.3-6.3 %

แบงก์ชาติแจงประเภทของสินค้านำเข้าที่มีอัตราการขยายตัวสูงในเดือนม.ค.48 ประกอบด้วย สินค้าทุน ขยายตัว 21.1 % เทียบกับปี 47 ขยายตัว 20.8 % สินค้าประเภทวัตถุดิบ ขยายตัว 28.7 % เทียบทั้งปี 47 ขยายตัว 32.6 % โดยเฉพาะการนำเข้าน้ำมันในเดือนแรกของปี 48 เห็นอัตราการขยายตัวที่เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน เพราะเป็นการเพิ่มขึ้นทั้งด้านราคาและปริมาณ โดยมีอัตราการขยายตัว 78.8 % เทียบกับปี 47 ทั้งปีที่อัตราการขยายตัวของการนำเข้าน้ำมันอยู่ที่ 48 %

นอกจากมูลค่าการนำเข้าที่เพิ่มสูงจนกระทบขาดดุลการค้าแล้ว ผลกระทบต่อแนวโน้มดุลบริการหรือรายได้จากนักท่องเที่ยว มีโอกาสถูกกระทบสูงในไตรมาสแรกของปี เห็นได้จากจำนวนนักท่องเที่ยวในเดือนม.ค.48 ที่เหลือเพียง 890,000 คน ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 26.9 % ถึงแม้ว่าจะทำให้ดุลบริการ รายได้ และเงินโอน ในเดือนม.ค.48 ยังเกินดุล 533 ล้านดอลลาร์ แต่แบงก์ชาติประเมินไว้แล้วว่าภาคการท่องเที่ยวจะได้รับผลกระทบจากภัยธรรมชาติ โดยเฉพาะในไตรมาสแรกของปี 2548 ซึ่งเป็นช่วงฤดูท่องเที่ยวและการบูรณะซ่อมแซมต่างๆคงยังไม่แล้วเสร็จ โดยแบงก์ชาติประเมินว่าจากจำนวนนักท่องเที่ยวปี 2548 จากที่เคยประมาณการไว้ที่ 12.5 ล้านคนนั้น จะลดลง 1.2 ล้านคน โดยเหลือเพียง 11.2 ล้านคน และรายได้จากภาคท่องเที่ยวจะลดลงจากประมาณการเดิมประมาณ 1,000 ล้านดอลลาร์

ในขณะเดียวกันแนวโน้มการส่งออกที่ขยายตัวลดลง เป็นประเด็นที่น่าห่วง หากยังเห็นการขยายตัวของการส่งออกที่ลดลงอย่างต่อเนื่องเช่นนี้ในเดือนต่อๆไป เพราะภาคส่งออกเป็นภาคที่ดึงรายได้เข้าประเทศ ดังนั้นการขยายตัวที่ลดลงจะยิ่งเป็นการทับถมให้การเกินดุลบัญชีเดินสะพัดลดลง

"ตัวเลขขาดดุลการค้าในเดือนม.ค. ถือว่าเยอะมาก ซึ่งคิดว่าแนวโน้มของการขาดดุลการค้าจะยังอยู่ต่อเนื่อง เพราะการลงทุนเริ่มกลับมา ทำให้ต้องมีการนำเข้าสินค้า แต่การขาดดุลอาจจะไม่มากเหมือนในเดือนแรกแล้ว อย่างไรก็ตาม หากแนวโน้มการขาดดุลการค้ายังสูงอยู่ ก็จะมีผลกระทบให้จีดีพีปีนี้หด โดยหลังจากนี้มีประเด็นที่สำคัญที่ต้องติดตามดูว่าภาคส่งออก " นางสาวถนอมศรี ฟองอรุณรุ่ง นักเศรษฐศาสตร์บล.ภัทรให้ความเห็น

สัญญาณทางเศรษฐกิจที่ต้องระวัง จากการขาดดุลการค้าและการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด เป็นประเด็นที่ต้องถูกทบทวนอย่างหนัก ทั้งปัจจัยทางเศรษฐกิจภายในประเทศ โดยเฉพาะการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยวที่จะช่วยดึงดุลบริการ และปัจจัยภายนอก เช่น การเร่งตัวของการนำเข้า และภาคส่งออกที่ออกอาการขยายตัวลดลง เพราะประเด็นเหล่านี้จะเป็นตัวชี้ว่าเศรษฐกิจไทยจะสามารถรักษาทิศทางเกินดุลบัญชีเดินสะพัดในอีก 2-3 ปีข้างหน้าได้หรือไม่ ?

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 1988 03 มี.ค. - 05 มี.ค. 2548

888

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. มี.ค. 03, 2005 10:15 am
โดย เพื่อน
.....จุ จุ จุ.....ระวังข่าวโรคระบาดตามมาติดๆด้วยนะครับ
ตอนนี้ยังยืนยันไม่ได้..เลยยังปิดข่าวกันอยู่....แต่อาจจะไม่ลุกลามเหมือนเมื่อก่อน เพราะเริ่มคุ้นเคยกันบ้างแล้ว มันเลยอาจจะ...ซาร์...ซาร์...ไปบ้าง
ยังไงก็ระวังๆกันไว้ก่อนนะครับ ด้วยความหวังดีจริงๆครับ (ลองถามบรรดาคุณหมอ-สาธารณะสุข เพื่อเช็คข่าวกันดูก็ดีนะครับ)

888

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. มี.ค. 03, 2005 4:11 pm
โดย Supra
:shock: :shock:

ช่วงนี้เริ่มได้ยินคนคุยเรื่องหุ้นเยอะจังครับ สงสัยไงไม่รู้ แม้แต่พิธีกรรายการสาระแนจัง ก้อมีคุยอ่ะ 8)

888

โพสต์แล้ว: ศุกร์ มี.ค. 18, 2005 7:03 pm
โดย home
ได้กลิ่นเร็วดีคับ

888

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. พ.ค. 19, 2005 9:54 pm
โดย คัดท้าย
... ดัน ขึ้น มา ....

888

โพสต์แล้ว: อังคาร พ.ค. 24, 2005 9:04 pm
โดย LOSO
55

888

โพสต์แล้ว: อังคาร พ.ค. 24, 2005 10:08 pm
โดย เพื่อน
คุณๆทั้งหลายที่เคยคิดว่าไทยเก่ง..คืนเงิน IMF 3-4 แสนล้านได้หมดก่อนเวลา...คุณคิดว่าเอาเงินมาจากไหนได้เร็วและมากขนาดนั้น

ตอนนี้ขาดดุลเดินสะพัด ยังไม่ได้เศษของหนี้ IMF เลยครับ...หืดเริ่มขึ้นคอกันแล้วครับ

เคยได้ยินจากผู้คลุกคลีในแวดวงการเงินมาว่า ตอนนั้นที่จริงไทยยังเป็นหนี้อยู่อีกประมาณ3แสนล้าน(จนถึงปัจจุบัน) แต่หันไปหาแหล่งเงินกู้อื่น ยอมจ่ายดอกแพงกว่า มาโปะ IMFเพื่อสร้างภาพทางจิตวิทยา และความสะดวกในการโยกย้ายจับจ่ายเงินโดยไม่ต้องรายงาน IMF ตามขั้นตอนที่ต้องโปร่งใส(มันทำอะไรไม่สะดวกหนะ ถ้าเป็นลูกหนี้ IMF)

อ้อ...แล้วก็ หวัดนก น่ากลัวกว่าที่เรารับรู้ข่าวกันนะครับ....สังเกตุให้ดีว่าตอนนี้เริ่มมีการเตรียมวัคซีน และซักซ้อมเตรียมความพร้อมในการรับมือกันเป็นข่าวออกมาเรื่อยๆ ทั้งจากWHO และประเทศต่างๆทางแถบเอเชีย....แต่ไทยไม่พบใข้หวัดนก เป็นไปได้ไง....น่าแปลกใจ

ที่จริงไม่อยากจะมาโพสข่าวแง่ลบเลยนะครับ(ผมเองก็ถือหุ้นอยู่เยอะ) แต่ระวังกันไว้ก่อนก็น่าจะดี ....ข่าวทะแม่งๆมาเรื่อยๆครับช่วงนี้