Thai VI

ถามพี่ๆๆ vi ทุกท่านครับ ใครทราบบ้างว่าแนว vi เนี่ยเกิดขึ้นในไทยเมื่อไร
ใครเป็นคนแรกที่นำศาสตร์นี้มาใช้เป็นคนแรกและประสบผลสำเร็จ.....???

ดร.นิเวศน์มั๊งครับ เจ้าพ่อ VI

คนที่สอง น่าจะเป็นพี่ครรชิต

อืม จริงๆแล้วมีเยอะ แต่ไม่ยอมเปิดเผย ก็เลยไม่รู้จักครับ

คนที่สาม ที่ซื้อแล้วไม่ขายเลย น่าจะเป็น vib007 นะครับ

ลุงโกศล ไกรฤกษ์ พอนับได้ไหมครับ

ผมว่ามีตั้งแต่เริ่มมีตลาดหลักทรัพย์ แต่มักจะเรียกกันว่า ติดหุ้น เพราะซื้อแล้วขายไม่ได้ จนมามีคำว่า vi เลยเรียกให้ดูดี หลังๆนักลงทุนที่ฉลาดเริ่มมีมากขึ้น เลยเด่นขึ้นมาชัดเจน ก็เหมารวมไปด้วย

ฟังคุณ Harry Potter แล้ว VI เนี่ย

ฟังดูแย่จังเลยนะครับ ติด หุ้น เพราะซื้อแล้วขายไม่ได้

เอ VI ซื้อต่ำกว่ามูลค่าไม่ใช่เหรอครับ ไม่ใช่ ติดดอย หุหุ

ผมว่า VI เป็นการซื้อหุ้นด้วยการมองที่มูลค่า (จริงๆ ไม่น่าจะใช่คุณค่า) ของกิจการ
ที่แท้จริง ซึ่งมากไปกว่าเพียงงบการเงิน แต่รวมไปถึงธุรกิจทั้งระบบ ซึ่งจะต้องแข่งขัน
ได้อย่างมั่นคง ยืนหยัดอยู่ได้ด้วยข้อได้เปรียบใดๆ ก็แล้วแต่ (ซึ่งก็จะสะท้อนออกมาใน
งบการเงินส่วนหนึ่ง) แล้วราคาหุ้นนั้นถูกจนกระทั่งถ้าถามเราว่า ถ้าซื้อทั้งบริษัทได้
จะซื้อหรือไม่ หรือถามว่า ถ้าซื้อแล้ว ขายไม่ได้เลยนะ จะซื้อหรือไม่ ถ้าตอบ
ว่า ใช่ กับทั้งสองคำถามนี้ ก็นั่นแหละครับ บริษัทที่น่าจะซื้อ

เพราะอะไรหรือ?
เพราะว่า ถ้าตลาดหุ้นเกิดปิดไปพรุ่งนี้ แล้วเราไม่สามารถขายหุ้นนั้นได้
จำต้องถือไว้ ใบหุ้นก็มีค่าเท่าๆ กับศูนย์บาทนั่นแหละ (ถ้าไม่นับว่าไปตะเกียกตะกาย
ขายกันนอกตลาดนะครับ)
อย่างที่บัฟเฟตต์ บอกนั่นแหละ เขาจะซื้อหุ้นประเภทที่ว่า แม้ตลาดปิดไปสักสิบปี
ก็ยังคงรู้สึกเฉยๆ เพราะราคาที่ซื้อมานั้นมันถูกจริงๆ เมื่อเทียบกับมูลค่าของความ
สามารถในการทำธุรกิจของบริษัท และบริษัท ก็ยังคงประกอบธุรกิจได้ต่อไป และก็ให้
ผลตอบแทนมาได้เรื่อยๆ (โดยที่ไม่ต้องสนใจตลาดหุ้น, ราคาหุ้น ที่มักมีแรงเก็งกำไร
กันไปมา - ประเทศไหนก็เป็น)

สำหรับผม ผมเลือกหุ้นที่ราคาถูก, อยู่ได้คงกระพัน, แข่งขันได้, มีข้อได้เปรียบทาง
การค้า อะไรพวกนี้ และแม้ตลาดหุ้นปิดไป ผมก็ยังคงพอใจกับปันผลที่เป็นเงินสดที่จะ
ได้รับทุกๆ ครั้งที่เขาจ่ายกัน อย่างนี้คงไม่เรียกว่าติดหุ้นกระมังครับ ในทางตรงกันข้าม
ผมกลับอยากให้หุ้นของผม (ที่ผมว่าราคาไม่แพง เมื่อเทียบกับธุรกิจที่ซื้อ) มีราคาอยู่
เท่าๆ เดิมไปเรื่อยๆ ซึ่งจะทำให้ผมยังคงเอาปันผลของตัวมันเองกลับมาซื้อได้ที่ราคา
ไม่แพง และได้หุ้นจำนวนมากครับ

ใครๆ เขาว่าผมบ้า ไม่เหมือนคนอื่น คงจะจริง
แต่ผมคล้ายๆ พ่อแฮะ :lol: :lol: :lol:

คุณแฮนดี้เป็นวีไอตัวจริงครับ ขอปรบมือให้
ผมเป็นวีไอนิดโหน่ย ตามที่ชาวเว็บเขาอุปโลกน์ให้

ความเสี่ยงของการที่ตลาดหุ้นจะปิดไปซิบปี๋นั้น น้อยจนคนส่วนใหญ่ไม่เอามาคิดครับ

อย่างที่บัฟเฟตต์ บอกนั่นแหละ เขาจะซื้อหุ้นประเภทที่ว่า แม้ตลาดปิดไปสักสิบปี
ก็ยังคงรู้สึกเฉยๆ เพราะราคาที่ซื้อมานั้นมันถูกจริงๆ เมื่อเทียบกับมูลค่าของความ
สามารถในการทำธุรกิจของบริษัท และบริษัท ก็ยังคงประกอบธุรกิจได้ต่อไป

แค่ 5 ปี ผมก็เหงาแล้วครับ ไม่ได้ซื้อเพิ่ม(ถ้าไม่ได้ตะเกียกตะกายซื้อกันนอกตลาดนะครับ)

แต่ยังไงผมมองสั้นหน่อยครับมองแค่5ปีในอนาคต แต่มอง10ปีในอดีต

ใครๆ เขาว่าผมบ้า ไม่เหมือนคนอื่น คงจะจริง
แต่ผมคล้ายๆ พ่อแฮะ :lol: :lol: :lol:

เรื่องบ้า ผมก็เป็นเหมือนกัน ใครๆก็ว่าผมบ้า

แต่ผมไม่คล้ายพ่อนะครับ:lol: :lol: :lol:

ก่อนหน้านี้บ้าพัดลม บ้ารถดัดแปลง ตอนนี้เริ่มบ้าหนังฟอก
ทุกตัวที่ผมบ้า ล้วนบ้าเหมือนผม แถมทำให้คนดีๆ เป็นบ้าไปแล้วหลายคน :lol:

ก่อนหน้านี้บ้าพัดลม บ้ารถดัดแปลง ตอนนี้เริ่มบ้าหนังฟอก
ทุกตัวที่ผมบ้า ล้วนบ้าเหมือนผม แถมทำให้คนดีๆ เป็นบ้าไปแล้วหลายคน

ไม่เป็นไรครับ มาช่วยๆ กันบ้า
ผมว่า คนบ้ามีความสุขดีออก จริงๆ นะคุณวัวแดง
ดูอย่างผมสิ ตลาดจะเป็นอย่างไร ผมก็เฉยๆ (เพราะเรามั่นใจในตัวหุ้นที่เลือกแล้ว จาก
การที่ผมทำธุรกิจด้วย และเรียนมาทั้งด้านศาสตร์และศิลป์ เลยเห็นอะไรเยอะ)
หุ้นตกมาเยอะๆ ผมยิ่งชอบ เพราะผมบ้าไงล่ะ เลยมีความสุขครับ :lol: :lol: :lol:

อย่างที่พระพุทธเจ้าท่านได้สั่งสอนเราไว้ ว่าทำอะไรก็จะต้องมี อิทธิบาทสี่
อย่างเราเป็นนักลงทุน เราก็ต้องมีอิทธิบาทสี่
ข้อแรก ก็ต้องเริ่มด้วย "ฉันทะ" คือรักใคร่ชอบพอในสิ่งที่ (เลือก) จะทำ เลยล่ะ
ดังนั้น ถ้าเลือกเป็นนักลงทุน ก็จะต้องชอบที่จะเป็น ชอบการลงทุน เรียนรู้และเข้าใจมัน
ให้ลึกซึ้งจริงๆ ดังนั้น ก็ต้องมีความสุขกับการดูราคาหุ้นมันวิ่งขึ้นๆ ลงๆ ซึ่งถ้าทนมอง
เห็นราคามันวิ่งไปๆ มาๆ โดยเราไม่ได้ทำอะไร หรือทำอะไรไม่ได้แล้ว ก็อย่ามาเป็นนักลงทุน
ให้เป็นทุกข์เลยครับ ไปทำอย่างอื่นดีกว่า

ผมยังไม่นิ่งเท่าคุณมือเก่าอะ พยายามอยู่ครับ

แต่เรื่องบ้านี่เพื่อนเขาก็ว่าเหมือนกัน

แต่ที่ถือๆอยู่ในพอร์ตตอนนี้ ปิดสิบปีนี่ช้ำใจตายครับ ยังเก็บไม่พอเลย

ที่แน่ๆถ้าผมหาหุ้นใหม่ที่กิจการดีกว่าไม่ได้ ไม่มีความจำเป็นใช้เงินเร่งด่วน ผมพร้อมถือทุกตัวในพอร์ตตอนนี้ ตลอดชีวิตครับ ผมมั่นใจในกิจการ ว่าจะทำให้ผมมีผลตอบแทนที่ดี

ไกล้เคียงแล้วครับคุณ house
ถือได้เรื่อยๆ ปล่อยให้พนักงานเขาทำงานของเขาไป ให้ผู้บริหารทำงานไปเรื่อยๆ ไม่ต้องไป
เร่งไปร้อน (ถึงต้องเลือกกิจการที่ได้เปรียบไงล่ะ) แล้วก็คอยรับผลประโยชน์ครับ
เท่านี้ก็ "นิ่งๆอ่ะ" ได้แล้วครับ