Thai VI

นายมาริษ ท่าราบ กรรมการผู้จัดการบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) เปิดเผยว่าการขายสุทธิของนักลงทุนสถาบันเป็นเรื่องปรกติเพราะในเมื่อมีกำไรก็ขายออกมาบ้าง

กองทุนไทยส่วนใหญ่ลงทุนคั้งแต่ดัชนีอยู่ที่ระดับ 600 กว่าจุด ดังนั้นเมื่อดัชนีปรับขึ้นมาบริเวณ 700 จุด ผลตอบแทนที่ได้ก็เฉลี่ยอยู่ในระดับ 6-7% เพียงเวลาไม่กี่เดือน เราในฐานะกองทุนที่บริหารเงินให้กับผุ้ถือหน่วยลงทุน ถ้าไม่ขายเอากำไรบ้าง จะไปตอบคำถามผู้ถือหน่วยได้อย่างไร ถ้าหุ้นขึ้นมาระดับหนึ่งแล้วเราไม่ขาย เกิดภาวะไม่ดีขาดทุนขึ้นมาอีกผู้ถือหน่วยก็มาต่อว่าเราได้ สถานการณ์เหล่านี้เราได้เรียนรู้มาบ้างแล้วในปีที่ผ่านมา

จากหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 12 ม.ค. 48

ผมอ่านแล้ว ยืนยันว่าจะไม่ซื้อกองทุนที่มีคุณมาริษบริหารอยู่ด้วยแน่นอน

อ่านแล้ว ที่มีคนแนะนำว่าถ้ามีนักลงทุนสถาบันเยอะๆ ตลาดจะไม่ผันผวน เพราะนักลงทุนสถาบันลงทุนโดยวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานและลงทุนยาว ผมว่าคงต้องคิดใหม่แล้วครับ

อุตสาหกรรมกองทุนรวมไทยก็มีมานานแล้ว เรียนรู้มาก็นานพอควร แต่กองทุนบริษัทนี้คิดได้แค่นี้เองหรือครับ ขายเพราะกลัวว่าหุ้นตกแล้วจะอธิบายผู้ถือหน่วยไม่ได้ ผมว่าไม่ต่างอะไรกับนักลงทุนรายย่อยทั่วไปเลยครับ

กองทุนลงทุนยาวไม่ได้ครับสมัยนี้ ถูกบีบโดยกฎและพฤติกรรมรายย่อย

ผมเพิ่งมีโอกาสได้คุยกับนักลงทุนที่เจ็บตัวจากหุ้นและหันไปซื้อกองทุนรวมแทน
เลยถึงบางอ้อว่า ทำไมกองทุนจึงขายตลอดช่วงนี้

รายย่อยยิบเหล่านี้ จะซื้อหน่วยลงทุนเมื่อตลาดเป็นลบ และทะยอยขายเมื่อตลาด
เป็นบวก ยิ่งกองทุนที่ขายมากๆ ก็จะทำตัวเลข NAV สวย ทำให้นักลงทุนขาย
หน่วยลงทุนออกมามากขึ้น และเป็นการบีบให้ผู้จัดการกองทุนต้องขายออกมา
มากขึ้นไปอีก

และเมื่อ SET ตกอีกครั้ง นักลงทุนจะเริ่มทะยอยซื้อหน่วยลงทุนใหม่

เมื่อมีเงินไหลเข้ามาในกองทุน ผู้จัดการกองทุนก็ถูกบีบให้ต้องรีบซื้อหุ้น เพราะ
ไม่สามารถเก็บ cash ไว้เกิน xx% ของเงินทั้งหมด

ผู้จัดการกองทุนที่สามารถถือหุ้นยาวได้ ต้องเป็นกองทุนปิดครับ แต่กองทุนปิด
ไม่เป็นที่นิยม เพราะรายย่อยกลัวเจ๊ง

ผมเคยคุยเป็นการส่วนตัวกับผู้จัดการกองทุนบางท่าน พบว่าเป็นอาชีพที่น่าสงสารครับ
ทำอย่างไรก็ถูกด่าอยู่ดี

พอหุ้นขึ้นแล้วขาย ผู้ถือหน่วยลงทุนชอบ แต่รายย่อยมาด่าว่าขายหมูให้ฝรั่ง
พอไม่ขาย ผู้ถือหน่วยลงทุนก็ด่าว่าทำไมไม่ยอมทำกำไร ถ้าเกิดไม่ขายแล้วหุ้นตก
จะโดนด่าหนักที่สุด ทั้งจากผู้ถือหน่วยและเจ้านาย ตกมากอาจจะทำให้โดนไล่ออกอีก
ก็ต้องขายตามน้ำออกมา

พอหุ้นตกแล้วขาย ก็โดนด่าว่าทุบหุ้น
พอหุ้นตกแล้วซื้อ ก็โดนด่าว่าโง่ ไปรับหุ้นฝรั่ง
พอหุ้นขึ้นแล้วซื้อ ก็โดนด่าว่าเป็นกองโจรร่วมปล้นรายย่อย

ถ้ามีลูกมีหลาน อย่าให้ไปทำอาชีพนี้เชียวนะครับ

ส่วนมากกองทุนก็เป็นอย่างงี้ละครับ
หุ้นขึ้น ก็ขึ้นน้อยกว่าตลาด
หุ้นลง กลับลงมากกว่าตลาด
การตัดสินใจของเค้าโดนกดดันจากปัจจัยหลายๆอย่าง
ผมเลยไม่คิดซื้อกองทุนเลย
แต่กองทุนที่ดีก็มีนะครับ เช่น อเบอร์ดีน

เห็นด้วยกับคุณซีเค
ผมเองเมื่อเช้าเพื่อนโทรมาหา
เขาซื้อกองทุนรวมไว้
แล้วช่วงหุ้นลง หน่วยลงทุนลดลงเป็นทุกข์เป้นร้อน อยากได้เงินคืน
พอหุ้นขึ้นบ้างก็อยากตัดใจถอนหน่วยลงทุนคืน
คงมีคนอยากถอนเงินจากหน่วยลงทุนเปิดกันมาก
ยิ่งตลาดเดี่ยวขึ้น เดี๋ยวลงผันผวน

พอหุ้นตกแล้วขาย ก็โดนด่าว่าทุบหุ้น
พอหุ้นตกแล้วซื้อ ก็โดนด่าว่าโง่ ไปรับหุ้นฝรั่ง
พอหุ้นขึ้นแล้วซื้อ ก็โดนด่าว่าเป็นกองโจรร่วมปล้นรายย่อย

เห็นด้วยครับ โดนกดดันมากจริงๆ

เห็นด้วยทั้งคู่เลยครับ

ผมเองเลยไม่มีความคิดที่จะซื้อกองทุนเลย จัดการกองทุนจิ๋วๆส่วนตัวดีกว่า

ผมเคยคุยเป็นการส่วนตัวกับผู้จัดการกองทุนบางท่าน พบว่าเป็นอาชีพที่น่าสงสารครับ
ทำอย่างไรก็ถูกด่าอยู่ดี

อย่างนี้ต้องแนะนำให้สวมวิญญาณ แดง ไบเล่ย์ ครับ

"เป็นเมีย (ลูกค้า) เรา ต้องอดทน"

แต่สำหรับผมในอดีตกองทุนปิด ทำเจ๊งทุกกองทุน เงื่อนไข ข้อกำหนด มีเยอะ

และที่สำคัญ กองทุนไทยงัดข้อต่างชาติแพ้พ้ายครับ ตรงนี้ผมถือเป็นสัจจะนิรันดร์

ผมเลย ไม่แนะนำให้คนที่ผมรู้จักเล่นกองทุนไทยครับ

ใครต้องการลงทุนแบบ เอาเงินไปให้เขาเล่นหุ้น ก็ศึกษาดูให้ดีก่อน...

CK เขียน:รายย่อยยิบเหล่านี้ จะซื้อหน่วยลงทุนเมื่อตลาดเป็นลบ และทะยอยขายเมื่อตลาด
เป็นบวก ยิ่งกองทุนที่ขายมากๆ ก็จะทำตัวเลข NAV สวย ทำให้นักลงทุนขาย
หน่วยลงทุนออกมามากขึ้น และเป็นการบีบให้ผู้จัดการกองทุนต้องขายออกมา
มากขึ้นไปอีก

ถ้าคุณมาริษให้เหตุผลที่ขายเหมือนที่คุณ CK บอกก็โอเค ถึงแม้จะดูขัดวัตถุประสงค์ของการจัดตั้งกองทุนรวม เอหรือว่ากองทุนรวมบ้านเราเป็นพวก Hedge Fund ครับ ถึงได้เข้าเร็วออกเร็ว

แต่เหตุผลที่คุณมาริษให้คือ กำไรแล้ว 6-7% ในเวลาไม่กี่เดือน มันก็เกิดความรู้สึกว่าผู้จัดการกองทุนเค้าคิดอะไรอยู่

ทำไม บลจ.กสิกรไทย ถึงสามารถซื้อสุทธิได้ละครับ ไม่มีรายย่อยหรือรายละเอียดขายหรือครับ

ทำไม บลจ.กสิกรไทย ถึงสามารถซื้อสุทธิได้ละครับ

เพราะสถิติมังครับ

ผมซื้อกองทุนรวมบ้างเล็กน้อย ก็ใช้ของกสิกรเจ้าเดียวครับ ระบบการตรวจสอบ
และมาตรฐานทางบัญชีนี่ ระดับสากลครับ นักลงทุนฝรั่งเองยังยอมรับว่าดี

สถิติ NAV ของบลจ.กสิกรคือ buy & hold กำไรมากกว่าครับ ลูกค้าอย่างผม
เลยค่อนข้างวางใจในเงินเก็บสำหรับเกษียณอายุ :lol:

เห็นด้วยกับพี่ CK ครับว่ารายย่อยอาจขายหน่วยลงทุนออกมา แล้ว กองทุนก็ต้องหาเงินสดมาจ่ายให้ ด้วยการขายหุ้นออกมาด้วย

ผมว่าปกตินะครับ มีกำไรก็ขายลดความเสี่ยงโดยเฉพาะหุ้นที่มีราคาปรับตัวขึ้นมามากแล้ว เขาไม่ได้บอกว่าเขาขายทั้งหมดนี่ครับ และผมว่าการขายทำกำไรของกองทุนมีส่วนช่วยให้ตลาดมีเสถียรภาพมากขึ้น ไม่เช่นนั้นในช่วงที่ต่างชาติซื้อหนักอย่างนี้ป่านนี้ดัชนีคงลงไปอยู่ที่ 600 หลังจากที่พารายย่อยไปชมดอยแถว 800 อีกหนึ่งรอบ ให้เขาขายเถอะครับมันอาชีพเขา กองทุนก็มีไว้ให้คนที่ไม่ต้องการหรือไม่มีเวลาศึกษาและติดตามการลงทุนด้วยตัวเองอยู่แล้ว ไม่เหมาะสำหรับนักลงทุนที่เก่งๆ และมีเวลาลงทุน หลายๆ ท่านในห้องนี้ ผมมั่นใจครับว่าถ้าตัดกองทุนออกจากสมการการลงทุนราคาหุ้นจะยิ่งบิดเบือนความจริงมากกว่านี้อีก

มานั่งคิดๆดู ก็เห็นด้วยกับคุณ CK
ที่ว่าจริงๆ แล้ว รายย่อยนี่แหละบังคับพวกกองทุนทางอ้อม (เกือบจะตรง :lol: ) ให้กองทุนต้องทำแบบนี้ กำไรนิดหน่อยพวกพากันขายหน่วยลงทุนกันแล้ว กองทุนถ้าไม่ขายหุ้นก็ไม่มีเงินไปคืนอีก พันกันเป็นงูกินหางอยู่แบบนี้
สรุปแล้วผมถึงลงทุนเองดีกว่า ไม่เข้าท่ายังหนีได้ (คัททิ้ง) เลือกหุ้นเองเป็นตัวๆ ได้ และอื่นๆ อีกสารพัด
เรื่องของเรื่องคือผมกำลังดูว่ากอง...พวกนี้จะทำอย่างไรต่อไป เพราะเวลาขยับตัวทีหนึ่งก็ทำให้ตลาดขยับไปด้วยเนื่องจากเงินเยอะ ทั้งๆที่จริงๆ แล้วเขาก็ไม่ได้สนใจหุ้นตัวเล็กตัวน้อย (ทีผมมักไปมีเอี่ยวด้วย) นัก แต่พาลกระทบไปด้วยเพราะตลาดพาไป
จะได้หาจังหวะเวลาขายออก หรือเข้าซื้อบ้างเป็นบางครั้ง (แต่ส่วนใหญ่จะขี้เกียจซื้อๆ ขายๆ มากกว่า)

พี่มือเก่าฯ กับผม ซื้อกองทุนวายุฯ ดีกว่าสบายใจ
ไม่มีใครบังคับให้กองทุนขายหุ้นได้ (ยกเว้นรัฐบาล คลัง ฮิฮิ)
หากจะเอาเงินคืนหรือนู้นตลาดรองในกระดาน

ต.หยวนเปียว เขียน:พี่มือเก่าฯ กับผม ซื้อกองทุนวายุฯ ดีกว่าสบายใจ
ไม่มีใครบังคับให้กองทุนขายหุ้นได้ (ยกเว้นรัฐบาล คลัง ฮิฮิ)
หากจะเอาเงินคืนหรือนู้นตลาดรองในกระดาน

ท่านเต่า ชอบกลับหัวเหมือน1000ทิบ

ก็มีอย่างที่ไหน
วายุพัก ซื้อหุ้นต่อจากคลังในอัตราส่วนลด20%
หรือมากกว่า ผมเห็นว่าถืออะไรตรงกับผมๆขายเลย
เพราะพวกต้องขายหุ้นนั้นๆไปจ่ายปันผลนี่น้า

ฮ่าๆๆๆ :lol:
เห็นไหมล่ะ เขาว่าแล้วว่า "คนในตลาดมีความเห็นและพฤติกรรมต่างๆ กันไปหมด เห็นตรงอยู่เรื่องเดียวก็คือราคา" จริงไหมครับคุณพี่ปรัชญา

คือเจ้ากองทุนนกยักษ์เนี่ย ซื้อไว้ก็ได้ไม่เท่าไรหรอกครับ เขาให้คนละห้าแสนเอง ก็ซื้อติดๆ เก็บๆ ไว้กับคุณพ่อคนละห้าแสนนั่นแหละ (ไม่รู้จะไปหานอมินีที่ไหนได้เหมือน... ) คุณแม่ผมก็ไม่ได้สนใจจะแม้แต่จะช่วยเซ็นชื่อ (รายนั้นไม่ถนัด ฮา...) ก็เลยไม่ได้ซื้อด้วยกัน

ไม่ได้คิดอะไรมากครับ ถือว่าอุดหนุด รบ. หน่อยนึง ก็เท่านั้นเอง :lol:
นี่ก็ไม่รู้ว่าจะจ่ายปันผลระดับ 5%+ ไปได้นานสักเท่าไร

มือเก่าหัดขับ เขียน:ฮ่าๆๆๆ :lol:
เห็นไหมล่ะ เขาว่าแล้วว่า "คนในตลาดมีความเห็นและพฤติกรรมต่างๆ กันไปหมด เห็นตรงอยู่เรื่องเดียวก็คือราคา" จริงไหมครับคุณพี่ปรัชญา

คือเจ้ากองทุนนกยักษ์เนี่ย ซื้อไว้ก็ได้ไม่เท่าไรหรอกครับ เขาให้คนละห้าแสนเอง ก็ซื้อติดๆ เก็บๆ ไว้กับคุณพ่อคนละห้าแสนนั่นแหละ (ไม่รู้จะไปหานอมินีที่ไหนได้เหมือน... ) คุณแม่ผมก็ไม่ได้สนใจจะแม้แต่จะช่วยเซ็นชื่อ (รายนั้นไม่ถนัด ฮา...) ก็เลยไม่ได้ซื้อด้วยกัน

ไม่ได้คิดอะไรมากครับ ถือว่าอุดหนุด รบ. หน่อยนึง ก็เท่านั้นเอง :lol:
นี่ก็ไม่รู้ว่าจะจ่ายปันผลระดับ 5%+ ไปได้นานสักเท่าไร

กองทุนนี้ปลอดภัยกว่าหลายกองทุน
ได้รับหุ้นดีดีมีส่วนลดราคาจากคลังมา
จำนวนมหาศาล ขายเอาเงินมาจ่ายปันผล
พอตลาดลงก็กลับเข้าไปซื้อใหม่
คนข้างบ้านผมเขาก็ซื้อกัน
คิดอย่างไงก็คุ้ม
หุ้นลง20%เท่าทุน(ตอนเข้าตลาด)
กำไรชึ้นมาอีก30%=50% เพราะส่วนลด20%+กำไร30%ไม่ขาย
มีหวังผู้ถือหน่วยลงทุนถามผู้บริหารว่าจบมาจากสถาบันไหน?
มีหวังใบ้กินซิ

จับตาดีดี เล่นตามกองทุนง่ายกว่าเล่นตามฝารั่งแล้วปัจจัยเริ่มเปลี่ยน
(ผมคงคิดคนเดียว)

คงเป็นธรรมชาติของการรับจ้างลงทุน(กองทุน)และการเอาเงินไปให้คนอื่นลงทุน(นักลงทุนที่ซื้อกองทุน)มังคะ ความไว้ใจมีความสำคัญมาก

เหมือนเราเอาเงินไปฝากให้คนอื่นลงทุน ก็ต้องคอยถามไถ่ดูอยู่เป็นประจำว่ากำไรไปถึงไหนแล้ว (คงไม่มีใครถามว่า ขาดทุนถึงไหนแล้ว) ผู้รับจ้างอย่างผู้จัดการกองทุนก็เลยต้องมีผลงานที่ดีออกมาเป็นระยะๆ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะเจ้าของเงินน้อยคนนัก ที่จะยอมฝากเงินให้ดูแลนานๆ โดยที่ไม่ถามไถ่ถึงผลตอบแทนในระยะเวลาหนึ่งๆ :lol:

สวัสดีครับพี่ปรัชญา พี่มือเก่าฯ
ผมเองซื้อในกระดานตั้งแต่10บาท จนลงไป9.1 แล้วขึ้นมา9.3 (ราคาสุดท้ายที่ซื้อ)
ผมก็เฝ้ารอเมื่อไหร่จะปันผล รอแล้วรอเล่า
พอปันผล ราคาขึ้นมาเกินที่เฉลี่ยซื้อมาก็ขายทิ้งเอาเงินคืนบ้าง
ที่จริงเงินก้อนนี้ตั้งใจซื้อพัธบัตรรัฐบาลแต่ขี้เกียจไปแย่งซื้อ
ก็คิดว่าซื้อเจ้านกย่างนี้แหละ
ปันผลขั้นต่ำ3% ช่วงปีแรกๆคง6-7%
ไหนๆก็จะถือจนครบ ปีสุดท้ายได้คืนราคาหน้าตั๋ว10บาท

หุ้นตัวไหนขึ้นมามีกำไรมากผมก็ขาย ได้จังหวะก็เอาเงินเข้าไปพักที่นกย่างเหมือนกัน ฝรั่งยังซื้อหุ้นไทยอยู่ แบบว่ากลัวตกรถไฟแต่ไม่กล้าถือตัวที่ขึ้นมามากแล้ว

หุ้นลง20%เท่าทุน(ตอนเข้าตลาด)
กำไรชึ้นมาอีก30%=50% เพราะส่วนลด20%+กำไร30%ไม่ขาย
มีหวังผู้ถือหน่วยลงทุนถามผู้บริหารว่าจบมาจากสถาบันไหน?
มีหวังใบ้กินซิ

ก็เป็นไปได้มากครับคุณพี่ปรัชญา
ผมอาจจะไม่ได้สังเกตเท่าไร เพราะผมไม่ได้ตามหุ้นมาร์เก็ตแคปใหญ่ที่พวกกองทุนถือไว้มากๆ หุ้นผมจะเป็นประเภทหุ้นที่ธนาคารต่างชาติ หรือกองทุนไทยที่หวังผลตอบแทนในรูปของปันผลเข้ามาถือเยอะๆ เสียมากกว่า ซึ่งราคาของมันเลยไม่ได้ถูกกระทบไปจากพวกนี้ (ค่าเบต้าก็แสนต่ำไปด้วย) แต่ถ้ามันตกตามกันไป ก็ถือว่าเป็นโอกาสซื้อมากกว่า (จากที่ซื้อครั้งแรกเพราะว่า "ถูก" แล้ว)

คงต้องชำเลืองตาดูราคาในกระดานของเจ้านกไว้บ้าง เผื่อว่าจะซื้อเพิ่มเอง แต่แหม... สภาพคล่องคอช่างต่ำเหลือเกิน คิดแล้วช่างเศร้าใจจริงๆ ว่าหุ้นแต่ละอย่างที่มอง มันช่างหาซื้อได้ยากจริงๆ

ผมว่าเป็นการแก้หน้าของกองทุนเพราะว่ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
ของที่ทำงานในครึ่งปีแรกมีผลขาดทุนและหลังจากนั้นก็มีหนังสือชี้แจง
สรุปได้ว่าครึ่งปีหลังไม่มีขาดทุนแน่นอน

วันที่ 13/01/2005

ฝรั่งซื้อต่ออีกแล้ว สองพันกว่าล้าน

ตอนนี้สรุปได้ว่า ฝรั่งเขามั่นใจว่า set ขึ้นแน่ ยังไงผมก็ยังคิดว่า กองทุนไทย รายย่อย คงเหมือนประวัติที่ผ่านมา