หน้า 1 จากทั้งหมด 3
การพนันหรือศาสตร์การลงทุน?
โพสต์แล้ว: เสาร์ ม.ค. 08, 2005 9:07 pm
โดย CK
มีเรื่องจะเล่าให้ฟังครับ
เมื่อประมาณ 10 กว่าปีก่อน มีเด็กคนหนึ่งทำวิทยานิพนธ์วิชาคณิตศาสตร์
เรื่องความน่าจะเป็น โดยวิทยาพนธ์ของเขาจับเอาการเล่นไพ่ Black Jack
(คล้ายๆ ป๊อก 21 ของบ้านเรา) มาคำนวณความน่าจะเป็นในการเล่นให้
ชนะ
เกม Black Jack ซึ่งมีเล่นมากมายในบ่อนต่างๆ ทั่วโลก รวมทั้งที่ Las Vegas
ด้วย เนื่องจากเป็นเกมที่ผู้เล่นมีโอกาสใกล้เคียง 50% มากที่สุดที่จะได้เงิน
(แต่ไม่ถึง 50% อยู่ดี) ใกล้ๆ กับบุคคาร่า แต่ Black Jack เป็นที่นิยากว่า
บนพื้นฐานที่ว่า เจ้ามือและผู้เล่นไม่ได้โกง
การเล่นก็ง่ายๆ เหมือนป๊อก 21 ผู้เล่นมีโอกาสตัดสินใจเพียงอย่างเดียว
คือ จากไพ่สองใบที่เปิดมา กับไพ่หนึ่งใบของเจ้ามือที่เปิดมา ให้ตัดสินใจ
ว่าจะจั่วหรือไม่จั่ว ถ้าจั่วแล้วเกิน 21 ก็เสียเงินทันที ถ้าไม่เกิน และเจ้ามือแพ้
ก็ได้ตังค์เท่าที่วาง
เด็กคนนี้สามารถคิดสูตรคำนวณบนพื้นฐานคณิตศาสตร์ซึ่งจะได้ผลลัพธ์
ออกมาว่าควรจะ "จั่ว" หรือ "ไม่จั่ว" โดยดูจากจำนวนไพ่ที่เปิดมาแล้วทั้งหมด
จำนวนไพ่ที่เหลือในกอง และสามารถคำนวณออกมาได้ว่า มีโอกาสกี่ %
ที่ไพ่ที่จะจั่วออกมา จะทำให้ไพ่เราสูงกว่า 21 หรือไม่
แน่นอนว่า เมื่อเริ่มเล่นใหม่ๆ โอกาสที่จะผิดมีสูงมาก แต่เมื่อเริ่มเล่นนานขึ้น
(ไพ่ออกมามากขึ้น) ความน่าจะเป็นที่จะถูก (ตามหลักสถิติ) ก็สูงขึ้น
ผลการทดลองปรากฎว่า วิธีนี้ทำให้โอกาสชนะในเกม black jack เพิ่มจาก
ไม่ถึง 50% เป็นเกือบ 70%
แน่นอนว่าถ้าปรับวิธีเล่น (จำนวนเงินที่ลง) ให้สอดคล้องกับจำนวนไพ่
ที่เหลือ (เพิ่มเดิมพันเมื่อไพ่เหลือน้อยลง) วิธีนี้สามารถทำกำไรจากบ่อน
ได้ค่อนข้างจะแน่นอน
สุดท้าย บ่อนต่างๆ ในอเมริกาเลยต้องติดตั้งทีวีวงจรปิดเพื่อดูว่า "นักพนัน"
คนไหนกำลังนับจำนวนไพ่อยู่ และจะ "เชิญ" แขกคนนั้นออกจากบ่อนถ้า
มีการนับไพ่ในเกม black jack รวมไปถึงการเพิ่มจำนวนสำรับที่เล่น (ลด
ความน่าจะเป็น) และเริ่มล้างไพ่ใหม่ให้เร็วขึ้น (ลดโอกาสถูกจากการนับ)
คำถามของผมคือ การเล่น Black Jack ด้วยวิธีนี้ นับเป็น "การพนัน" หรือ
"การลงทุน" ครับ
แล้วถ้าใช้งิธีคล้ายๆ แบบนี้ในการซื้อขายหุ้นโดยไม่ต้องดูมูลค่าพื้นฐาน
จะนับว่าเป็น "การพนัน" หรือ "การลงทุน" ครับ
การพนันหรือศาสตร์การลงทุน?
โพสต์แล้ว: เสาร์ ม.ค. 08, 2005 10:45 pm
โดย Jeng
ลากเหง้ามาจากการพนัน เพียงแต่ใช้ความรู้พิเศษ ในการสังเกตุ เพื่อเพิ่มโอกาสในการชนะ ในที่สุด ก็ยังสามารถแพ้ได้อยู่ดี เพราะความน่าจะเป็น ก็คือความน่าจะเป็น
เช่น มีเงิน 100 บาท แทงไป 10 ครั้ง ครั้งละ 10 บาท ถึงแม้สังเกตุได้อย่างดี และมีโอกาสถูกถึง 70 % ก็ยังมีโอกาสแพ้ได้ 30 %
ผลที่ออกมา อาจจะเป็นไปได้ว่า แทง 10 ครั้ง เสียทั้ง 10 ครั้ง ก็ได้
การพนันหรือศาสตร์การลงทุน?
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ม.ค. 09, 2005 7:49 am
โดย ch_army
ผมว่าเป็นการพนันบนพื้นฐานความรู้ทางความน่าจะเป็นครับ ซึงผมตอบแทนที่ได้จากการคำนวนจะอยู่ในรูปแบบของผลตอบแทนคาดหมาย ซึ่งก็มีความเสี่ยงอยู่ดีแหะลครับแต่น้อยลงและพอทำนายได้บ้าง
แต่การลงทุนเนี่ยเป็นการทำนายอนาคตด้วยส่วนหนึ่งครับเพราะการทำธุรกิจ หรือดำเนินงานอะไรต่างๆก็มีพลวัตของมัน ความน่าจะเป็นจะเปลี่ยนแปลงตามเวลา และจะทำนายได้ด้วยคนที่มีความรู้ในสิ่งเหล่านั้นอย่างชัดเจนเท่านั้น
ผมว่าความน่าจะเป็นของการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์หรือ ธุรกิจเป็นแบบ สโตแคสติก และยังมีความไม่สมบูรณ์ของค่าความน่าจะเป็นอีกด้วย ทำให้เราต้องรู้จักธุรกิจให้มากเพื่อที่จะลดความไม่สมบรูณ์ของข้อมูลลง และอาจเจอธุรกิจที่ไม่เผลี่ยนแปลงมานักก็ได้ครับ
แต่ว่าสายเทคนิคเนี่ย คงเป็นสถิติที่เก็บจากผลลัพธ์เท่านั้นไม่ดูสาเหตุมากนัก ซึ่งจะทำได้ดีมากหากว่า ปัจจัยพื้นฐานและข่าวไม่เปลี่ยนแปลงเท่าไร และสุดท้ายจะไปอยู่ที่จุด ดุลยภาพแน่นอน แต่ซึ่งที่น่าศึกษาคือเหตุการณ์แบบใดมีผลต่อ รูปแบบราคาและปริมาณการซื้อ-ขายเท่าไร อย่างไร หากทำเหมือนตารางความเสียใจจากเหตการณืต่างๆในชีวิตได้ก็คงเป็นงานวิจัยที่ทรงคุณค่าชิ้นนี้ด้านการทำเงินจากการลงทุนครับ
การพนันหรือศาสตร์การลงทุน?
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ม.ค. 09, 2005 10:24 am
โดย ครรชิต ไพศาล
ในความคิดของผม
กติกา ที่ตลาดหลักทรัพย์ตั้งขึ้น ให้ ซื้อๆ ขายๆ ได้กำไรกัน 30% ต่อวัน ขาดทุน 30% ต่อวัน
หรือ ไม่มีเพดานเปอร์เซนต์ต่อวัน ในบางกรณี
ถือเป็นการพนัน ล้วนๆ ครับ
หรือจะพูดอีกอย่าง ก็คือ ตลาดหลักทรัพย์ เป็นบ่อนการพนันที่ถูกกฏหมาย
ของนักเก็งกำไรจากราคาหุ้นที่ผันผวน ที่ ซื้อๆ ขายๆ ระยะสั้น
แถมไม่ต้องเสียภาษีเงินได้ เสียด้วยสิ
ไม่ใช่การลงทุนเพื่อ ให้ได้กำไรจากผลผลิต ของการประกอบการ
ส่วนผู้ที่ ลงทุนระยะยาว
ที่ลงทุนเพื่อให้ได้กำไรจากผลผลิต ของการประกอบการ
กลับต้องเสียภาษี จากเงินปันผล
อย่างนี้เราก็เห็นได้แล้วว่า ตลาดหลักทรัพย์ ส่งเสริมให้
คนเล่นสั้น มากกว่า คนถือยาว
เพราะให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี คนเล่นสั้น มากกว่า คนถือยาว
การพนันหรือศาสตร์การลงทุน?
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ม.ค. 09, 2005 11:11 am
โดย สามัญชน
:lol: :lol: :lol: :lol:
ผมคิดว่า การพนันกับการลงทุนมีส่วนที่คลายคลึงกันมาก บางช่วงบางจังหวะก็แทบแยกจากกันไม่ออก การพยายามแยกสองคำนี้ออกจากกันโดยเด็ดขาดมักจะทำเพื่อความสบายใจของตัวเอง เพราะว่าการลงทุนมักจะให้ความรู้สึกที่เป็นบวกมากกว่าการพนัน
ถ้าคุณ CK อยากจะเล่นการพนันโดยมีหลักมีเกณฑ์ที่มีโอกาสชนะมากกว่า ผมก็ว่าเป็นสิ่งที่ดีครับ เพราะการลงทุนเองก็มีโอกาสไม่ได้แตกต่างกันมากนัก และแม้การลงทุนซึ่งใครๆมองว่าค่อนข้างจะเป็นบวก แต่ถ้าศึกษาไม่ดี โอกาสที่จะขาดทุนก็มีอยู่สูงไม่ใช่น้อย อย่างเช่น มีคนศึกษาว่า การทำธุรกิจใหม่ๆ โดยนักธุรกิจหน้าใหม่ๆ โอกาสที่จะอยู่รอดและได้กำไรยาวนานถึงห้าปี มีโอกาสเพียงห้าเปอร์เซนต์เท่านั้นเอง ที่เหลือ 95 % ก็ต้องล้มหายตายจากไป แล้วอย่างนี้เรายังจะมานั่งภูมิใจอยู่กับคำว่า การลงทุน อยู่หรือ ในอนาคตเราอาจจะเรียกการลงทุนที่มีโอกาสแพ้มากกว่าชนะ ว่าเป็นการพนันก็ได้ครับ หรือจะเรียกว่าความเขลาก็ได้ ความโลภก็ได้ ความฮึกเหิมก็ได้ สารพัดที่คนเราจะให้คำนิยามใหม่ๆออกมา
ในอดีตสมัยพระเวสสันดร เรายังเคยเรียก การที่เรายกลูกยกเมียให้ผู้อื่นเป็นความเสียสละเป็นการบริจาคทานเลยครับ แต่สมัยนี้ทำแบบนั้นไม่ได้เลย เป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลอย่างแรง ( อันนี้ผมไม่ได้ว่าพระเวสสันดรนะครับ เพราะว่าคนที่แต่งเรื่องพระเวสสันดรเขาอยู่ในยุคสมัยที่ค่านิยมของสังคมเป็นแบบนั้น เขาไม่ได้ผิดอะไร )
ถ้าคุณ CK จะเล่นการพนันที่มีโอกาสชนะมากกว่าแพ้มากๆ ผมก็ยินดีที่จะเรียกว่าเป็นการลงทุนครับ
:lol: :lol: :lol: :lol:
การพนันหรือศาสตร์การลงทุน?
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ม.ค. 09, 2005 11:54 am
โดย สามัญชน
:lol: :lol: :lol: :lol:
แต่การซื้อหุ้นโดยไม่ดูพื้นฐาน จะทำให้เกิด โอกาสชนะมากกว่าแพ้มากๆ ได้อย่างไรต้องอธิบายละเอียดหน่อยครับ และเราจะมั่นใจในความเชื่อนั้นได้อย่างไร เพราะถ้าไม่เกิด โอกาสชนะมากกว่าแพ้มากๆ ก็จะกลายเป็นการพนันครับ
ปล.ผมมีความรู้สึกว่า DSM ยังมีสิ่งบกพร่องอยู่ และไม่เหมาะสมในบางสถานการณ์แม้ว่าในสถานการณ์หลายๆส่วนก็ดูดี เพียงแต่ผมยังหาไม่เจอว่าสถานการณ์ที่ไม่เหมาะที่ว่ามันเป็นอะไร
:lol: :lol: :lol: :lol:
การพนันหรือศาสตร์การลงทุน?
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ม.ค. 09, 2005 4:08 pm
โดย CK
ที่ผมยกตัวอย่างมานี่ ไม่ใช่ DSM ครับ พี่สามัญชน แต่ผมกำลังนึกถึงการลงทุนโดยรวม
ทั้ง VI VS เพราะอย่างหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ แม้แต่ VI คือการ "คาดเดา" ผลประกอบการ
มีใครสามารถเดาผลประกอบการบริษัทถูกเป๊ะๆ เป็น 10 ปีบ้าง
เมื่อก่อนผมก็มีความรู้สึกไม่ค่อยดีเกี่ยวกับเทคนิคัลอนาไลสิส (เดี๋ยวนี้ก็ยังเป็น)
แต่ทัศนคติเรื่องการ "ลงทุน" โดยดูจากราคาหุ้นล้วนๆ ของผมเปลี่ยนไป เมื่อ
ได้ศึกษา Turtle Trading System
วิธีการในการลดความเสี่ยงจากการ "เดาผิด" ของเขายอดเยี่ยมมากครับ
ทำให้การเดา 10 ครั้ง ขอแค่ถูกครั้งเดียวก็กำไรเพียบ
มันทำให้ผมคิดได้ว่า "การพนัน" กับ "การลงทุน" นั้น เหมือนกันเกือบทุกอย่าง
ต่างกันแค่อย่างเดียวคือ "การควบคุมความเสี่ยง"
การพนันหรือศาสตร์การลงทุน?
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ม.ค. 09, 2005 4:35 pm
โดย สามัญชน
:lol: :lol: :lol: :lol:
น่าสนใจมากครับ เล่าสู่กันฟังเป็นวิทยาทานหน่อยนะครับ
:lol: :lol: :lol: :lol:
การพนันหรือศาสตร์การลงทุน?
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ม.ค. 09, 2005 5:29 pm
โดย เพื่อน
ต่างกันนิดนึงครับ คุณCK
ถ้าเล่น black jackแท้ๆ ก็คงเหมือน การซื้อหุ้นโดยไม่เห็นพื้นฐานและแนวโน้มอะไรเลย
แต่ถ้ากำหนดให้วางเงินเดิมพันได้หลังจากเปิดดูไพ่ใบแรกแล้ว นี่สิครับเท่ากับเราได้เห็นพื้นฐานของหุ้นก่อนที่จะลงเงิน
เช่นเห็นเลข2 ขึ้นมาแล้วยังลงเงินเยอะอีก ก็ต้องอาศัยดวงจริงๆหละครับ ผมจะไม่เล่นเด็ดขาดและไม่สนใจสถิติเลย
เห็นเลข9ขึ้นมา ใครจะไปยอมง่ายๆ โอกาสได้มีมากกว่า แต่โอกาสเสียก็ยังมี ต้องยั้งมือไว้หน่อย เผื่อเสีย จะหมดตัวได้
ถ้าเห็นA ขึ้นมาก็ต้องเน้นหน่อยสิครับ แต่ก็ต้องระวังว่าโอกาสเสียก็ยังมี
และที่สำคัญที่สุด เราจะรู้ได้ยังไงว่าคนแจกไม่โกง.... Aที่ได้มาเป็นของจริงหรือแบบเตรียมฟันเรา
ถ้าผมเลือกได้ ขอเลือกเล่นแบบเห็นไพ่ใบแรกก่อน รวมทั้งเจ้ามือต้องไม่โกงด้วย และจะเลือกเล่นเฉพาะตาที่ขึ้น Aอย่างเดียว นอกนั้นคงลงเงินน้อยๆเพื่อรักษาเกม
การเห็นไพ่ใบแรกเราทุกคนทำได้อยู่แล้วในการซื้อหุ้นแต่ละครั้งก็คือเห็นปัจัยของหุ้น แต่เจ้ามือโกงไม่โกงเนี่ยต้องอาศัยการบอกต่อๆกัน
การพนันหรือศาสตร์การลงทุน?
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ม.ค. 09, 2005 6:46 pm
โดย คัดท้าย
ขอแจมหน่อยนิดนะครับ ในฐานะที่ผมเคยลองมาหมดทั้ง 3 แบบที่ช่วงนี้พูดถึงกัน
ได้แก่
1. Fundamental Analysis
2. Techincal Analysis
3. Trading System (DSM เอง ผมก็ถือว่าเป็นหนึ่งในกลุ่มนี้ แต่ผมเองยังไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไหร่กับ DSM นะครับ แต่ไม่ขอออกความเห็น เพราะถือว่าผมไม่รู้จริงเรื่องนี้)
แบบแรก Fundamental Analysis ก็คือวิธีที่คนส่วนใหญ่ใน TVI นี่ใช้กันอยู่ คุ้นเคย และ เชื่อมั่นกัน จากที่ผมได้ลองด้วยตนเอง ผมก็มีความเห็นด้วยว่าวิธีนี้เป็นวิธีที่ดีมากๆ และได้ผลลัพธ์ที่ออกมาดีมากๆเช่นกันครับ แต่ลึกๆแล้วผมเองไม่ได้ใช้วิธีการนี้เพียงอย่างเดียวในการลงทุน เพราะผมพบว่าเมื่อผมใช้วิธีการนี้ ร่วมกับ วิธีการต่อมา คือ Technical Analysis แล้วพบว่าผมได้ผลตอบแทน และความสบายใจในการลงทุนมากขึ้นครับ
วิธีการแรกนี้ ถ้าเทียบในวงไพ่ ผมคิดว่าเปรียบได้กับการนับไพ่ครับ คือ มันค่อนข้างชัวกว่าวิธีการอื่นๆ แต่ก็ไม่ได้ชัว 100% จริงมั้ยครับ อย่างเช่น บางท่านดูผลการดำเนินงานเยี่ยม 5 ปีต่อกัน หรือ 10 ปีต่อกัน มันก็ไม่ได้หมายความว่าในปีที่ 11 มันจะออกมาดี ตัวอย่างก็มีให้เห็นอยู่หลายกรณีแล้วนะ ... เห็นกันหลัดๆ แล้วถ้าให้ผมพูดแรงอีกนิด นี่ก็ไม่ได้ต่างจากนักเทคนิค ที่ใช้ข้อมูลในอดีต มาตัดสินอนาคต จริงมั้ยครับ และอีกอย่างที่คล้ายกันในวงไพ่ เช่น เราศึกษาวิธีการลงไพ่ของนักเล่นแต่ละคน ว่ามีพฤติกรรมอย่างไร เค้ามีนิสัยอย่างไร เค้ามีหน้าตักเท่าไหร่ เป็นต้น ถ้าคุณไม่มั่นใจ คุณก็ไม่จำเป็นต้องลงทุนนี่ครับ ( อันนี้ผมมองจากไพ่ตีแตกนะครับ )
แบบที่2 คือ Technical Analysis แบบนี้ผมเชื่อว่าหลายๆคนใน TVI คงยังไม่เข้าใจ และ แม้แต่คนที่ใช้ Technical Analysis เองหลายๆคนผมก็ยังคิดว่าไม่เข้าใจเหมือนกันด้วยซ้ำ คนส่วนใหญ่อ่านตำรา และไม่ได้ใช้งานศาสตร์นี้อย่างเข้าใจ บ้างก็ว่าการวิเคราะห์แบบนี้ เป็นการนำข้อมูลในอดีตมาใช้ มันจะได้ผลได้อย่างไร หรือ บ้างก็ว่าไอ้พวกกราฟเหล่านี้ทำขึ้นมาก็ได้ บางท่านก็ชอบเหมารวม การใช้ Technical Analysis กับการกินส่วนต่างรายวัน หรือที่เราเรียกว่า Day Trading ซึ่งจริงๆแล้ว Day Trade เป็นเพียงรูปแบบการใช้งาน Technical Analysis เพียงเศษเสี้ยวเท่านั้น แต่คนนิยมใช้เนื่องจากคิดว่าจะสามารถรวยได้เร็วกัน แต่หารู้ไม่ว่า แม้แต่อาจารย์ที่สอน Technical Analysis ให้ผมเอง ยังบอกผมไม่ให้เล่น Day Trading เลยครับ แกว่าคนที่เล่นแบบนี้โอกาสเสีย มากกว่าโอกาสได้ Technical Analysis แบบเล่นยาวๆก็มีครับ แต่คนไทยไม่ค่อยได้ศึกษาและกล่าวถึงกัน แต่ก็มีคนบางกลุ่มที่ใช้แล้วได้เงินทองเป็นกอบเป็นกำอยู่เหมือนกัน
ในมุมมองของผม ผมมอง Technical Analyis ว่าเป็นการจัดผิดและสังเกตพฤติกรรมจากเส้นกราฟ โดยใช้ข้อมูลในอดีตมาวิเคราะห์ ถ้าเปรียบเทียบกับวงไพ่ ผมอยากให้มองว่ามันเหมือนคุณมองอีกคนหนึ่งในวง สายตาเค้าเริ่มดูร้อนรน มือเค้าเหงื่อแตก คุณก็จะเริ่มศึกษาและตีความว่า เค้ากำลังคิดอะไรอยู่ อย่างนี้เป็นต้น หรือ ถ้าเปรียบเทียบกับการพยากร ดินฟ้าอากาศ คุณก็อาจแหงนมองดูท้องฟ้า แล้วดูว่าเอ วันนี้ ฟ้าครึ้ม ลมสงบ เอเดียวมันจะมีพายุฝนหรือเปล่าหว่า ซึ่งจริงๆมันอาจจะมี หรือไม่มีก็ได้ ในบางวัน คุณแหงนดูฟ้า ฟ้าอาจไม่ได้บอกอะไรคุณเลยก็ได้ ดังนั้นถ้าบางทีมีคนมาถามผมว่าเอ ไอ้หุ้นตัวนี้มันกำลังจะเป็นยังไง ผมอาจตอบไม่ได้ก็ได้ เพราะมันอาจไม่ได้มีอาการอะไรเลยครับ นอกจากนี้ บางอาการยังเป็นอาการที่ไม่ชัดเจน เช่น ถ้าคนกอดอกคุยกับเรา ตามหลักจิตวิทยา คุณอาจบอกได้ว่า คนคนนี้กำลังปกป้องตัวเองอะไรบางอย่าง แต่จริงๆ เค้าอาจกำลังหนาวก็ได้ จริงมั้ยครับ นอกจากนี้ หากคู่ต่อสู้ของคุณเค้าทราบว่าอะไรที่คุณใช้เป็นข้อสังเกต เค้าก็อาจแกล้งทำก็ได้ นี่เป็นเหตุผลว่า หลายๆคนโดนเจ้ามือทำกราฟหลอก และนี่เป็นเหตุผลที่เคยบอกว่า เทคนิคอล บางอย่าง เค้าไม่บอกกัน เพราะถ้าคนรู้เยอะ ก็จะทำหลอกกันซะส่วนใหญ่ แต่สัญญาณบางอย่างก็จะหลอกกันได้ยาก เช่น ถ้าเปรียบเทียบกับคนเหงื่อแตกพลั๊กๆ ถามว่าคนทั่วไปจะทำเหงื่อแตกท่วมมือ ท่วมตัวได้มั้ย ถ้าไม่ใช้แบบสะกดจิตตัวเองได้จริงๆ คำตอบคือยากใช่มั้ยครับ ดังนั้นสัญญาณบางอย่างก็จะชัดเจนครับ
ในการวิเคราะห์เชิงเทคนิค มีหลายระดับ เช่น มือใหม่มักดูกราฟ เพียงอย่างเดียว แต่คนที่เล่นมาจะเริ่มดู Volume เพิ่มขึ้นมาเป็นต้น ซึ่ง Volume แท้จริงคือ เงิน เค้าว่ากราฟขีดได้ แต่กราฟต้องใช้เงิน ดังนั้น ถ้าเส้นกราฟที่ขีดด้วยเงินหนาๆนี่ก็น่าเชื่อถือมากกว่าเป็นต้น หรือการดูพฤติกรรมของ Volume ที่มีความผิดสังเกต ซึ่งผมขอไม่ลงรายละเอียดตรงนี้เพราะมันจะเยอะไปครับ
แบบที่3 คือ Trading System ผมพบวิธีนี้หลังสุด หลังจากได้ศึกษาวีธีการลงทุนของทั้งนักเทคนิค และ นักวิเคราะห์เชิงพื้นฐานบางท่านที่พยายามนำหลักการนี้มาประกอบการลงทุน วิธีนี้เกิดจากแนวความคิดที่ว่า ไม่มีใครทำนายราคาหุ้นได้แน่นอน 100% ทั้งการวิเคราะห์เชิงพื้นฐาน และ วิเคราะห์เชิงเทคนิค แต่ว่าเราสามารถใช้หลักกลยุทธการเข้าซื้อและการขาย ในการลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสต่างๆในการบริหารต้นทุนให้ต่ำลง และบริหารราคาขายให้สูงขึ้นได้ ซึ่งก็มีคนพยายามคิด Trading System ออกมาหลายแบบครับ DSM ผมก็คิดว่าเป็น Trading System แบบนึงเท่านั้นเอง
ถ้าเปรียบเทียบ แบบที่ 3 มันก็เหมือนว่า โอเค ถ้าจากวิธีที่ 1 กับวิธีที่ 2 คุณมั่นใจเท่าไหร่ คุณจะวางเดิมพัน Step ละเท่าไหร่ ใน Trading System แต่ละแบบจะบอกมาเลย
(Trading System ที่ไม่ใช่ร่วมกับ วิธีที่ 1 หรือ วิธีที่ 2 อันนี้ผมไม่เชื่อครับ )
โดยส่วนตัวผมใช้ แบบที่ 1 กับ แบบที่ 2 เป็นหลักครับ ส่วน แบบที่ 3 ผมใช้บ้างในบางครั้งแค่นั้นเองไม่ได้เน้นหนักครับ โดยส่วนตัว ผมเชื่อว่าถ้าข้อ 1 และ ข้อ 2 แม่นพอ ผมว่าข้อ 3 ก็ไม่จำเป็นเท่าไหร่ แต่ก็แล้วแต่คนนะครับ ใครถนัดอย่างไรก็ทำไปเถิดครับ
**** อะไร คือ การพนัน และ อะไร ไม่ใช่การพนัน เส้นแบ่งเขตมันอยู่ตรงไหนครับ มีใครตอบผมได้มั้ย ที่ถามนี่อยากได้คำตอบจากหลายๆความคิดเห็นนะครับ ****
สำหรับผม ผมคิดว่าถ้ามองในแบบการพนัน ทุกสิ่งในโลก ล้วนเป็นการพนัน
ถ้ามองในแบบการลงทุน ทุกสิ่งในโลก ล้วนเป็นการลงทุน
และ การบริหารความเสี่ยง ในการลงทุน(และการพนัน) ถือเป็นสิ่งจำเป็น เพราะความแน่นอนที่สุด คือ ความไม่แน่นอน
การพนันหรือศาสตร์การลงทุน?
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ม.ค. 09, 2005 6:49 pm
โดย house
สำหรับผมเป็นการลงทุนครับ
การกระทำใดๆ ในมีการวิเคราะห์ความเสี่ยงอย่างถูกต้องเหมาะสม และมีผลตอบแทนที่ยอมรับได้ ผมถือเป็นการลงทุนทั้งสิ้น
เพราะฉะนั้น ถ้าผมเจอวิธีทำนายเบอร์หวยที่จะออกโดยมี prob > 70 ผมก็จะไปเล่นหวย
การพนันหรือศาสตร์การลงทุน?
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ม.ค. 09, 2005 6:55 pm
โดย ch_army
เยี่ยมครับ พี่คัดท้าย แล้ววิชา เทคนิคของพี่นี่ได้มาจากไหนครับ สนใจ
ทางพื้นฐานเนี่ยเข้าใจง่ายในหลักการ คือเอาแต่ของดี ราคาที่ถูกหรือพอใจ แต่ไม่มีซื้อของแพงแน่ แต่ทำยากใช้ความพยายามมาก ต้องอดทนมากๆ
กราฟก็อาศัยความจำ พวกรูปแบบราคา หรือทฤษฏีทางเส้นแนวโน้ม ตัวชี้วัดต่างๆ เรียนก็ใช้เวลาพอสมควร แต่ตอนปฏิบัติผมว่าง่ายนะครับ เพราะมีตัวชี้วัดมาช่วยเยอะ
ส่วนวิธีสุดท้ายผมว่าเป็นแค่วิธีบริหารจัดการพอร์ตเท่านั้นเอง
การพนันหรือศาสตร์การลงทุน?
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ม.ค. 09, 2005 7:14 pm
โดย คัดท้าย
ch_army เขียน:เยี่ยมครับ พี่คัดท้าย แล้ววิชา เทคนิคของพี่นี่ได้มาจากไหนครับ สนใจ
ทางพื้นฐานเนี่ยเข้าใจง่ายในหลักการ คือเอาแต่ของดี ราคาที่ถูกหรือพอใจ แต่ไม่มีซื้อของแพงแน่ แต่ทำยากใช้ความพยายามมาก ต้องอดทนมากๆ
กราฟก็อาศัยความจำ พวกรูปแบบราคา หรือทฤษฏีทางเส้นแนวโน้ม ตัวชี้วัดต่างๆ เรียนก็ใช้เวลาพอสมควร แต่ตอนปฏิบัติผมว่าง่ายนะครับ เพราะมีตัวชี้วัดมาช่วยเยอะ
ส่วนวิธีสุดท้ายผมว่าเป็นแค่วิธีบริหารจัดการพอร์ตเท่านั้นเอง
ผมเรียนจากที่ที่หลายๆท่านไปเรียนด้าน Technical กันแหละครับ แต่ขอไม่บอกว่าที่ไหน ผมว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดในการทำอะไรซักอย่าง ผมว่าเราต้องศึกษาเองอย่างหนักครับ ขอเน้นว่าอย่างหนัก เหมือนกับที่หลายๆท่านใน TVI ศึกษา Fundamental Analysis อย่างหนักนี่แหละครับ แล้วต้องเข้าใจด้วย ไม่ใช่ศึกษาด้วยความจำ ผมว่าไม่ว่าแบบไหน ถ้าเราจำโดยไม่เข้าใจที่มา นี่จะเป็นภัยครับ
ที่คุณ ch_army บอกว่า "กราฟก็อาศัยความจำ พวกรูปแบบราคา หรือทฤษฏีทางเส้นแนวโน้ม" เชื่อมั้ยว่าผมไม่เลิกดูรูปแบบราคาหลายๆแบบไปแล้วเพราะผมดูแล้วมันไม่ค่อยให้ผลที่มีความเชื่อถือได้ในระดับที่ยอมรับได้ และ เส้น MA ทั้งหลาย ผมก็แทบไม่ได้ดูเลย หลังจากผมศึกษาการใช้งานร่วมกับ Fundamental Analysis แล้ว และข้อเสียสำคัญคือ เทคนิคอล นี่ถ้าคนรู้เยอะ จะไม่ดีครับ นี่คือข้อเสียของศาสตร์ด้านนี้จริงๆ มันทำให้การเอื้อเฟื้อกันทำได้ลำบากไม่เหมือน Fundamental
แต่ที่ผมพบเรื่องนึง คือ พี่เจ๋งเคยบอกผมนานแล้วว่า ท้ายสุดที่พี่เค้าเห็นมา คนที่สำเร็จ มักใช้วิธีการง่ายๆและสามารถทำซ้ำได้ และให้ผลลัพธ์ที่คาดหวังได้ในระดับที่น่าพอใจ ผมว่าจริงเลยครับ ท้ายสุด ผมเองก็ดูกราฟเพียงไม่กี่จุดเองครับ และเครื่องมือหลายๆตัวผมก็เลิกใช้ไปแล้ว เรื่องการคัดเครื่องมือผมว่าสำคัญมากๆครับ เครื่องมือไหนที่ได้ผลอันไหน เชื่อถือไม่ค่อยได้ ต้องคัดนะครับ
หลักการที่ผมใช้คู่กันของ Fundamental Analysis กับ Technical Analysis คือ ผมใช้ Fundamental เพื่อหาว่าหุ้นตัวไหนน่าสนใจก่อน แล้วเวลาจะเข้าซื้อ ผมใช้ Technical Analysis จับจุดเข้าซื้อ ถ้าไม่แน่ใจก็ใช้ Trading System แบ่งเงินเข้าซื้อซะนิดนึง แต่พอซื้อแล้ว ผมจะใช้ Fundamental ในการดูว่าราคาไหนที่หุ้นที่ซื้อจะเริ่มแพง ก็จะดูไว้เป็นจุดที่จะใช้ Technical Analysis ในการหาจุดขายครับ อีกอย่าง ใช้เทคนิคคอล มันมักจะบอกจังหวะของตลาดได้ดีในระดับนึง ทำให้เราไม่ซื้อหุ้นแพง หรือบางทีเราเห็นหุ้นดีๆแต่ยังไม่ถูกพอนะ แล้วเราเห็นว่ามันรู้สึกแปลกๆว่าเจ้ามือเค้าทิ้งหรือมีคนทิ้งหุ้นแบบไม่ปกติ เราก็จะได้ระวังตัวให้หนักในการทำการบ้านว่า เอ มันมีเหตุผลอะไรที่มีคนทำอย่างนั้น มีอะไรที่เรายังไม่รู้หรือเปล่า คือ เหมือนกับว่ามันเกิดพฤติกรรมขึ้นซึ่งเรายังไม่รู้เหตุผล เราก็จะได้ระวังตัวครับ
ที่สำคัญผมชอบประโยคนี้ของเฮียคลายเครียดที่สุดเลย ถือเป็นประโยคใหม่ที่ผมท่องทุกครั้งก่อนซื้อขายหุ้นคือ
"จงอย่าโลภ เกินกว่าความรู้"
ผมว่าโคตรจริงเลย
ผมว่าเราเก่งอะไรใช้ไปเถอะครับ ที่ผมต้องใช้ Technical Analysis ด้วยนี่เรียนตามตรงเลย เหตุผลเพราะผมไม่เก่ง Fundamental Analysis เพียงพอครับ ผมเลยต้องใช้ควบคู่กัน เพื่อเป็นการเสริมจุดด้อยของผม ผมเองรู้สึกไม่เพียงพอในการเข้าซื้อหุ้นที่ราคานึง แล้วจะต้องทำใจว่าที่นั่นเป็นจุดที่ถูกพอ และถ้ามันลงต่อไปเยอะๆ แล้วผมก็ยังเชื่อมั่นอยู่ อันนี้ผมยังทำใจไม่ได้ครับ
การพนันหรือศาสตร์การลงทุน?
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ม.ค. 09, 2005 7:27 pm
โดย ch_army
งั้นพี่ Pm มาบอกที่เรียนแทนได้ไหมครับ สังหรณ์ว่า คุณพ่อก็เคยไปสัมมนามาด้วย แต่เค้าจัดของหลายๆสายนี่ครับ
การพนันหรือศาสตร์การลงทุน?
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ม.ค. 09, 2005 7:31 pm
โดย ch_army
พี่ คัดท้ายว่าไหมครับว่า เรื่องแนวโน้ม เนี่ยใช้ได้ดีจริงๆ(บางตัวนะ)
แล้วอีกอย่างผมเองก็พบว่า ตัวชี้วัด แบบ MACDเนี่ยก็เป็นแบบที่ว่า ซื้อของที่เริ่มแพงไปขายแพงกว่า ซึ่งผมเองหากจะดูก็ดูหลายตัวชี้วัดมากๆ หากจับ หุ้นตัวที่พอทำนายได้ และก็ใช้คู่กับวิธีการแบบไหนดีๆก็ ถือว่าดีไป แต่พวกที่ไม่เข้าตำราเนี่ย พาล ฝืนใช้ เทคนิค มีแต่ เจ๊ง ลูกเดียว
การพนันหรือศาสตร์การลงทุน?
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ม.ค. 09, 2005 7:51 pm
โดย คัดท้าย
ch_army เขียน:พี่ คัดท้ายว่าไหมครับว่า เรื่องแนวโน้ม เนี่ยใช้ได้ดีจริงๆ(บางตัวนะ)
แล้วอีกอย่างผมเองก็พบว่า ตัวชี้วัด แบบ MACDเนี่ยก็เป็นแบบที่ว่า ซื้อของที่เริ่มแพงไปขายแพงกว่า ซึ่งผมเองหากจะดูก็ดูหลายตัวชี้วัดมากๆ หากจับ หุ้นตัวที่พอทำนายได้ และก็ใช้คู่กับวิธีการแบบไหนดีๆก็ ถือว่าดีไป แต่พวกที่ไม่เข้าตำราเนี่ย พาล ฝืนใช้ เทคนิค มีแต่ เจ๊ง ลูกเดียว
เดี๋ยวนี้ผมไม่ชอบซื้อแพงเพื่อขายแพงกว่าครับ หลังจากที่ผมสนใจการลงทุนแบบ VI แต่ผมก็ไมชอบซื้อแล้วลงแบบปันจี้จัมพ์ ก็ถือเพราะมั่นใจเกินร้อย เหมือนกันนะครับ
หลังจากผมเริ่มศึกษาการลงทุนจาก TVI สิ่งที่ผมศึกษา คือ การหาจุดต่ำสุด การซื้อให้ได้ราคาต่ำสุด เป็นหลักครับ ซึ่งนักเทคนิคหลายๆท่านจะไม่ชอบวิธีนี้ เพราะนักเทคนิคที่เป็นเพียวเทคนิค จะเชื่อว่าการหาจุดต่ำสุดนั้นทำยาก วิธีที่ดีคือ รอให้มีดปักเขียงก่อน แล้วรอให้แน่ ซื้อแพงกว่าเพื่อขายแพงกว่าดีกว่าซื้อถูกแล้วมีถูกกว่า
แต่สำหรับผม ผมชอบหาจุดต่ำสุดที่ไว้ใจได้ในระดับหนึ่งครับ แล้วซื้อให้ได้ทุนต่ำที่สุดเท่าที่จะทำได้ อันนี้แล้วแต่คนนะครับ แต่ผมมอง Fundamental ด้วย คือ หาหุ้นดีที่มีอนาคต แต่ผมเองทำใจไม่ได้อย่างที่บอกไงครับ แบบไอ้พวกลงไม่หยุดหย่อนแล้วต้องถือ เพราะมั่นใจ อันนี้ใจผมรับไม่ได้ครับ
ปล. กระทู้คุณ CK เอามาคุยส่วนตัวไม่ดีครับ เดี๋ยวผม PM ไปคุยแล้วกันครับ
การพนันหรือศาสตร์การลงทุน?
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ม.ค. 09, 2005 8:23 pm
โดย คัดท้าย
ba_2l เขียน:ทำไม Warren Buffett ถึงไม่ต้องดูกราฟ ?
เพราะ Warren Buffett ดูไพ่ได้ครับ เลยไม่ต้องดูกราฟ บัฟเฟต โทรไปถามผู้บริหารโดยตรงได้ บัฟเฟตรู้ข้อมูลได้ง่ายกว่า เข้าถึงข้อมูลได้ง่ายกว่าคนทั่วไป
บัฟเฟต สามารถโทรไปถามผู้บริหารได้ ว่าผู้บริหารจะตัดสินใจกับปัญหายังไง และสามารถต่อรองได้ด้วยว่า ถ้าทำจะซื้อหุ้น ถ้าไม่ทำจะขายหุ้นทิ้ง .. คนทั่วไปทำได้หรือไม่ ?
ข้อมูลของคนทั่วไป กับ ข้อมูลของบัฟเฟต มีความลึก และ ความแน่นอน เท่ากันหรือไม่? ความเชื่อถือได้ของข้อมูล เท่ากัน หรือ แตกต่างกันอย่างไร?
นอกจากนี้ ปริมาณเงินของบัฟเฟต ยังมากเพียงพอจะทำให้กราฟเกิดสัญญาณซื้อได้ด้วยซ้ำ หลักการของกราฟจะว่าไปก็เหมือนเหาฉลาด คือ ดูว่าฉลามทำอะไร แล้วตามเกาะฉลามไปด้วยหลักการว่า คบพี่ฉลามไว้ ไม่ผิดหวัง ..
คุณเป็นฉลาม หรือ เหาฉลาม ตอบตัวเองได้หรือยังครับ ?
ว่าแต่ คุณแน่ใจได้ไงว่าบัฟเฟตไม่ดูกราฟ และรู้ได้ไงว่าบัฟเฟต ไม่รู้จักคนทำกราฟ(เจ้ามือ) ? คุณคิดว่าคนทำกราฟ ต้องรู้จักเจ้าของกิจการหรือไม่ มีการคุยกันหรือไม่ครับ ? แล้วบัฟเฟตจะรู้หรือไม่
สถานะการแตกต่าง เครื่องมือ ย่อมต้องใช้แตกต่าง หนูย่อมมิอาจใช้วิธีจับเหยื่อของราชสี ได้ฉันใด ก็ฉันนั้นครับ แต่หนูก็มีจุดที่ราชสีย์ทำได้ยากเช่นกัน เช่นหนูปราดเปรียวกว่า การที่เงินลงทุนมีน้อย ทำให้ความคล่องตัวของนักลงทุนมีสูงกว่า สามารถลงทุนในหุ้นตัวเล็กกว่า สามารถทำตัวเป็นเหาฉลามได้ครับ
จริงๆผมจำแนกแบบนี้ดีกว่า
- ถ้าคุณมั่นใจในข้อมูล และการวิเคราะห์ของคุณ .. เทคนิคอลไม่จำเป็น
- ถ้าคุณไม่ได้มั่นใจข้อมูล และ การวิเคราะห์ของคุณ มากพอ ... เทคนิคอลจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของการตัดสินใจได้ และลดความผิดพลาด
- แต่ถ้าคุณ ไม่มั่นใจอะไรซักอย่าง แล้วลงทุน .. แต่ไม่คิดจะหาอะไรมาเสริม หรือ ทำอะไรให้ดีขึ้น ยึดแต่ความเชื่อมั่น .. ผมว่าเข้าข่าย ลงทุนแบบงมงาย ..
การพนันหรือศาสตร์การลงทุน?
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ม.ค. 09, 2005 9:07 pm
โดย saun
เคยอ่านมานะครับ
การพนันถือหลัก Random เป็นตัวกำหนด Outcome โอกาสของการพนันจึงเป็น Probability
ส่วนการลงทุนถือหลัก Supply and Demand เป็นตัวกำหนด Outcome โอกาสทางธุรกิจหรือการลงทุนจึงเป็น Possibility
8) 8) 8) 8)
การพนันหรือศาสตร์การลงทุน?
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ม.ค. 09, 2005 9:15 pm
โดย house
เห็นด้วยครับ สุดยอดจริงๆคุณคัดท้าย
การพนันหรือศาสตร์การลงทุน?
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ม.ค. 09, 2005 9:17 pm
โดย Jeng
การพนันหรือศาสตร์การลงทุน?
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ม.ค. 09, 2005 9:52 pm
โดย Rockriverarms
คุณคัดท้าย แสดงความเห็นได้เห็นภาพจริงๆ ผมชอบการเสนอแนะและโต้เถียงกันนะ เพราะผมเชื่อว่าบางอย่างจะมีมุมมองที่เรามองไม่เห็นและการเสวนาจะทำให้เราเห็นมุมมองอันนั้น เพียงแต่อย่าปฏิเสธสิ่งที่เราไม่รู้ทั้งๆที่เรายังไม่ได้พิสูจน์ เพียงความเชื่ออย่างเดียวมันอาจจะทำให้เราเสียโอกาสในสิ่งที่เป็นประโยชน์ ผมเข้ามาในนี้ทุกวันแต่ไม่ค่อยกล้าเสนอความคิดอะไร สังคมจะน่าอยู่หากบ้านทุกหลังหันมาถามสารทุกข์กันบ้าง ชุมชนนักลงทุนต้องดีขึ้นแน่ๆครับ
การพนันหรือศาสตร์การลงทุน?
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ม.ค. 09, 2005 10:57 pm
โดย โป้ง
ผมทึ่งมากกับนักคณิตศาสตร์ แนวแบบนี้ผมชอบนะ มันมีหลักการใช้มากกว่าความรู้สึกและคาดเดา
ผมอยากให้พวกเรามาศึกษาคณิตศาสตร์ มาแลกเปลี่ยน Technical มาคิดวิธีใหม่ๆกัน เพื่อมาวิเคราะห์หุ้นเหมือนกับเล่น black jack มันเป็น indicator ดีกว่าไปนั่งนึกนั่งเดา นั่งคาดหวังผลประกอบการ นั่งคิดเมื่อไหร่ตัวที่เล็งไว้จะถึงจุดต่ำสุด หรือเฝ้ารอขายเมื่อราคาสูง,พื้นฐานเปลี่ยน
การพนันหรือศาสตร์การลงทุน?
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ม.ค. 09, 2005 11:47 pm
โดย Invisible hand
เยี่ยมจริงๆ ครับคุณคัดท้าย
Technical หลายครั้งแสดงให้เห็นของการซื้อของ insider ได้
เช่น รู้ว่าตรงนี้เป็นแนวต้านที่แข็งมาก แต่กล้าซื้อจน break ไปได้ แสดงว่าคนซื้อต้องคิดอะไรซักอย่าง
แต่ถ้ารู้ inside ก็ไม่ต้องดูกราฟครับ
การพนันหรือศาสตร์การลงทุน?
โพสต์แล้ว: จันทร์ ม.ค. 10, 2005 12:59 am
โดย buglife
ตลาดหุ้นเมืองไทย คือ บ่อนถูกกฎหมาย
เพราะผมเห็นและคิดเอาเองว่า
คนส่วนใหญ่ที่เข้ามา คือ เข้ามาเล่นพนัน
การเคลื่อนไหวของตลาดหุ้น มันเลยกลายเป็นบ่อนไปนะครับ
พูดแบบนี้ใน TVI
ป๋มจะโดนยำมั้ยเนี่ยะ
แก้เพิ่มอีกนิด คือ ผมมีทั้งที่คิดว่าเล่นแบบพื้นฐานมั่วๆ และเล่นแบบเก็งกำไรมั่วๆ เช่นกัน 1 ปี ผลคือ เจ๊งทั้งคู่ แหะๆ แมงเม่าตัวจริง เสียงจริง
การพนันหรือศาสตร์การลงทุน?
โพสต์แล้ว: จันทร์ ม.ค. 10, 2005 1:43 am
โดย Penguins
ทุกสิ่งทุกอย่างถูกรวมและสะท้อนอยู่ภายในราคาตลาด (Everything is discounted and reflected in market prices) เป็นหลักการแรกที่มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง นักวิเคราะห์เชื่อว่าสิ่งที่รู้ทั้งหมดได้ถูกสะท้อนอยู่ในราคาปัจจุบันแล้ว (ไม่คำนึงถึงพื้นฐาน, เศรษฐกิจ, การเมือง, จิตวิทยา, และอื่นๆ) เป็นเรื่องปกติที่หุ้นของบริษัทจะมีราคาการซื้อ-ขายที่มากกว่าหรือต่ำกว่ามูลค่าตามบัญชีต่อหุ้น โดยนักวิเคราะห์เชื่อว่าราคาปัจจุบันได้สะท้อนปัจจัยของปริมาณสินค้าที่มีอยู่ (Supply) และความต้องการของสินค้านั้น (Demand) ที่มีความสัมพันธ์กันกับการซื้อ-ขายหุ้น ณ เวลาใดๆ ที่ให้ไว้ (Trading activity)
ราคาเคลื่อนที่อยู่ภายในแนวโน้มและแนวโน้มยังคงยืนยันที่จะดำเนินต่อไป (Prices move in trends
and trends persist) ราคาที่มีการเคลื่อนที่เป็นผลสะท้อนมาจากการเปลี่ยนแปลงของปริมาณซัปพลาย (Supply) และดีมาน (Demand) โดยที่ซัปพลายและดีมานจะเป็นตัวกำหนดความสมดุลของแนวโน้มในการเคลื่อนที่นั้น และแนวโน้มจะยังคงดำเนินต่อไปจนกว่าจะถึงจุดสิ้นสุด
ถ้า ราคาหุ้นมีการปรับตัวสูงขึ้น แล้ว ราคาหุ้นจะยังคงสูงขึ้นต่อไปจนกว่าจะมีการวกกลับของราคาอย่างชัดเจน
ถ้า ราคาหุ้นมีการปรับตัวต่ำลง แล้ว ราคาหุ้นจะยังคงต่ำลงต่อไปจนกว่าจะมีการวกกลับของราคาอย่างชัดเจน
ตลาดมีการกระทำเป็นลักษณะของการทำซ้ำ (Market action is repetitive) พฤติกรรมการลงทุนของนักลงทุนและเทรดเดอร์จะสะท้อนผลของการกระทำออกมาให้เห็นได้ในราคาตลาด (สามารถพิจารณาได้จากรูปแบบของกราฟ) ซึ่งพฤติกรรมการลงทุนดังกล่าวจะมีแบบแผนและไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ในระยะเวลาสั้นๆ นักวิเคราะห์ได้ศึกษาผลของการกระทำ เพื่อทำการวัด ว่านักลงทุนและเทรดเดอร์จะมีปฏิกิริยาโต้ตอบอย่างไร/ภายใต้เงื่อนไขที่แน่นอน? และราคาของหุ้นจะมีการเคลื่อนที่ได้อย่างไร? ความสำคัญของแบบแผนถูกนำมาอธิบายในระยะเวลาของความน่าจะเป็นของราคาในอนาคตที่มีการเคลื่อนที่ เพื่อคาดการณ์แนวโน้มที่อาจจะเกิดขึ้นได้ ถึงแม้นว่าจะมีความผิดพลาดแต่ก็ยังเป็นข้อได้เปรียบในการลงทุน
ขออนุญาตเพิ่มเติมหัวข้อการวิเคราะห์ทางเทคนิครับ
ผิดตก อย่างไร แก้ไขเพิ่มเติมด้วยครับ
ขอบคุณครับ
การพนันหรือศาสตร์การลงทุน?
โพสต์แล้ว: จันทร์ ม.ค. 10, 2005 10:14 am
โดย Tongue
กระทู้น่าสนใจมากครับ ยังอ่านไม่หมดทุกคน แต่ขอตอบก่อน
ส่วนตัวแล้วผมว่าการพนัน ก็เป็นการลงทุนแขนงหนึ่ง แต่ส่วนใหญ่จะเป็นการลงทุนที่ไม่ค่อยได้เปรียบ
จากกระทู้ ผมว่า เป็นการลงทุนที่มีลักษณะ
แบบฉวยโอกาส ครับเป็นการเงิน เปลี่ยนมือเฉยๆ แลกเปลี่ยนสภาพคล่อง ไม่มีประโยซน์กับส่วนรวมและระยะยาวเท่าไหร่ครับ ชิงไหวชิงพริบกันธรรมดา
แล้วถ้าใช้งิธีคล้ายๆ แบบนี้ในการซื้อขายหุ้นโดยไม่ต้องดูมูลค่าพื้นฐาน
จะนับว่าเป็น "การพนัน" หรือ "การลงทุน" ครับ
ผมก็ว่า ลงทุนระยะสั้น ครับ
เรื่องนี้สำคัญที่ต้องรู้ทันกันครับ อย่างที่บ่อนกับเด็กทำแหละครับ
ตลาดหุ้นบ้านเราก็ต้องดูครับว่าจะใช้ตลาดหุ้นไปทางไหน สั้น หรือ ยาว
ผมว่ามันเป็นเรื่องโครงสร้างครับ ตอนนี้มันสนับสนุนน ระยะสั้น อย่างพี่ ครรชิตว่า ก็เลยเป็นโอกาสของคนมีไหวพริบมากกว่า แล้วก็มีความอยากอยู่เป็นฐาน
การพนันหรือศาสตร์การลงทุน?
โพสต์แล้ว: จันทร์ ม.ค. 10, 2005 10:37 am
โดย Tongue
อ่านจบแล้ว
สุดยอดครับ คุณคัดท้าย
8) 8) 8)
การพนันหรือศาสตร์การลงทุน?
โพสต์แล้ว: จันทร์ ม.ค. 10, 2005 11:12 am
โดย nana
คัดท้าย เขียน:
เพราะ Warren Buffett ดูไพ่ได้ครับ เลยไม่ต้องดูกราฟ บัฟเฟต โทรไปถามผู้บริหารโดยตรงได้ บัฟเฟตรู้ข้อมูลได้ง่ายกว่า เข้าถึงข้อมูลได้ง่ายกว่าคนทั่วไป
บัฟเฟต สามารถโทรไปถามผู้บริหารได้ ว่าผู้บริหารจะตัดสินใจกับปัญหายังไง และสามารถต่อรองได้ด้วยว่า ถ้าทำจะซื้อหุ้น ถ้าไม่ทำจะขายหุ้นทิ้ง .. คนทั่วไปทำได้หรือไม่ ?
ข้อมูลของคนทั่วไป กับ ข้อมูลของบัฟเฟต มีความลึก และ ความแน่นอน เท่ากันหรือไม่? ความเชื่อถือได้ของข้อมูล เท่ากัน หรือ แตกต่างกันอย่างไร?
..
ยังงี้ก็เข้าข่าย insider trading สิคะ ?
การพนันหรือศาสตร์การลงทุน?
โพสต์แล้ว: จันทร์ ม.ค. 10, 2005 12:02 pm
โดย โป้ง
จะเข้าข่าย inside trading ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
บางที กลต. น่าจะชี้แจ้งข้อเท็จจริงบางอย่าง เช่น หุ้นในตลาดมีการปั่นหุ้นกันจริง มีการลากการล่อหลอก และพื้นฐานมูลค่าหุ้นที่เปลี่ยนไปมีทั้งจริงและเทียม
ไม่ใช่สิ่งผิดปกติครับ แต่จะลงทุนทั้งทีรับรู้ว่าสิ่งเหล่านี้มีอยู่จริง
การพนันหรือศาสตร์การลงทุน?
โพสต์แล้ว: จันทร์ ม.ค. 10, 2005 12:30 pm
โดย Tongue
หรือ อาจจะไม่เข้าก็ได้ครับ
เพราะ ที่อ่านๆมา คุณปู่แก ไม่ค่อย trade ครับ
แกถือ คติ
a stock well bought never has to be sold ครับ