Thai VI

บล.พัฒนสินแนะซื้อลงทุน 30 หุ้น ปันผลสูง ประเมิน "ซีวีดี" ให้อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลดีสุด 11.6% "เผด็จ" เผยเตรียมสำรองเงิน 400 ล้านบาท จ่ายไม่ต่ำกว่าหุ้นละ 2.50 บาท

บทวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.พัฒนสิน ระบุว่า ตลาดหุ้นไทยในช่วงก่อนการประกาศจ่ายเงินปันผลประจำปี และงวดระหว่างกาลเช่นในช่วงเดือน ม.ค.-ก.พ. และ ก.ค.- ส.ค. จะมีการเข้ามาลงทุนในหุ้นที่คาดว่าจะจ่ายเงินปันผลดี ดังนั้นในช่วง ธ.ค.2547 - ม.ค. 2548 จึงได้แนะนำให้ลงทุนในหุ้นที่คาดว่าจะจ่ายเงินปันผลที่อัตราผลตอบแทนสูง เพื่อลงทุนในช่วง 3 เดือนและเทขายทำกำไรเมื่อมีการประกาศจ่ายปันผลใน ก.พ.
ฝ่ายวิจัยบล.พัฒนสิน คาดว่า ผลตอบแทนจากการลงทุนดังกล่าว จะอยู่ในระดับเท่ากันหรือสูงกว่าผลตอบแทนจากการได้รับเงินปันผลที่จะจ่ายจริง
ทั้งนี้ฝ่ายวิจัยแนะนำนักลงทุนเลือกหุ้นที่คาดว่าจะได้รับผลตอบแทนจากเงินปันผลเฉลี่ย 5.8%ในจำนวนหุ้นที่คาดว่าจะจ่ายปันผล 30 บริษัท ซึ่งอัตราผลตอบแทนสูงสุดจะอยู่ที่ 11.6% และต่ำสุด 3%
สำหรับหุ้นที่คาดว่าจะให้อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลสูงสุด ซึ่งคำนวณจากการคาดการณ์ผลประกอบการรวมทั้งปี 2547 โดยบริษัท ซีวีดี เอ็นเตอร์เทนเมนท์ จะจ่ายเงินปันผลในงวดปี 2547 ประมาณ 2.23 บาทต่อหุ้น คิดเป็นอัตราผลตอบแทน 11.6% ซึ่งสูงสุด
รองลงมา บริษัท แพรนด้า จิวเวลรี่ จะจ่ายปันผล 0.62 บาท คิดเป็น 9.3% บริษัท โอเชียนกลาส คาดจ่ายปันผล 5.43 บาท คิดเป็น 8.7% และบริษัท เอสวีโอเอ จ่ายปันผล 0.14 บาท คิดเป็น 8.5% เป็นต้น
ด้านนายเผด็จ หงษ์ฟ้า รองประธานกรรมการ บริษัท ซีวีดี เอ็นเตอร์เทนเมนท์ กล่าวว่า คณะกรรมการบริษัทจะจัดให้มีการประชุมพิจารณาเรื่องการจ่ายเงินปันผลประจำงวดปี 2547 ในวันที่ 7 ม.ค.2548 โดยคาดว่าจะจ่ายเงินปันผลในอัตราที่สูงกว่าปีก่อน และคาดว่าจะจ่ายเงินปันผลได้ในอัตราหุ้นละ 2.50 บาท
ทั้งนี้งวดปีนี้ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทดีขึ้น ก็ทำให้บริษัทสามารถจ่ายปันผลให้อัตราที่ดีขึ้นได้ แต่ยังไม่สามารถระบุว่าในอัตราที่แน่นอนได้ต้องรอให้คณะกรรมการพิจารณา
"บริษัทมีความพร้อมที่จะจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นได้อยู่แล้ว เพราะได้มีเงินรองรับแล้วโดยมีกระแสเงินสดฝากไว้กับธนาคารประมาณ 400 ล้านบาท ซึ่งไม่รวมกำไรที่จะเกิดขึ้นในปีนี้อีก ถ้าหากดูผลประกอบการแล้วจะเห็นว่ามีอัตราเติบโตที่ดีขึ้นจากปีก่อนประมาณ 20%"นายเผด็จ กล่าว
สำหรับแผนการทำธุรกิจในปีหน้าบริษัทตั้งเป้าอัตราเติบโตรายได้ประมาณ 15-20% เมื่อเทียบกับปีก่อน หรือคิดเป็นยอดขายรวม 1.15 พันล้านบาท ซึ่งในปีหน้าบริษัทคาดว่าจะมีรายได้พิเศษจากการขายที่ดินประมาณ 70 ล้านบาท และบริษัทจะรับรู้กำไรในปีหน้า
อย่างไรก็ตามขณะนี้ยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะขายในช่วงไตรมาสใด แต่เชื่อว่าจะต้องดำเนินการให้เรียบร้อย เพราะมูลค่าที่ดิน 70 ล้านบาท เป็นราคาที่มีกำไรและน่าสนใจ
นอกจากนี้ในช่วงเดือน ม.ค. บริษัทจะมีการเซ็นต่ออายุสัญญากับบริษัทผลิตภาพยนตร์แห่งหนึ่ง ซึ่งคาดว่าไม่น่าจะมีปัญหาในการต่อสัญญา รวมทั้งบริษัทมีภาพยนตร์ไทยที่เสนอขายอีก 24 เรื่อง โดยเป็นภาพยนตร์จากบริษัทแกรมมี่ 17 เรื่อง แบ่งเป็นภาพยนตร์ขนาดใหญ่ 9 เรื่อง เทเลมูฟวี่อีก 8 เรื่อง ส่วนที่เหลือเป็นของบริษัทอีก 7 เรื่อง
สนับสนุนโดย--จบ--

ไม่สนครับ 8)

หนักเฉพาะฤดูกาลหรือเปล่าครับ?

ไม่ดีกว่าครับ :lol: :lol: :lol:

ทำไมละครับ

มีเหตุผลไหมครับว่าทำไมไม่ซื้อ

ซีวีดี ผมจำได้ว่าเพิ่งใช้อะไรสักอย่าง ทำให้ขาดทุนสะสมหายไปนะครับ ลองเทียบกับแมงป่อง หุ้นใหม่ ที่ทำคล้ายๆกันดูครับ

คิดว่า ไม่นะครับ
แบบว่า ไม่เคยศึกษามาก่อน
แต่เท่าที่รู้สึก คิดว่า สภาพการแข่งขันน่ากับคู่แข่งอื่นน่าจะรุนแรงขึ้นในตลาดปรกติ
และ สภาพตลาดสินค้าปลอม ก็ยังคงดำรงอยู่อย่างเดิม แก้ไม่ได้
ดูดูแล้ว ก็ไม่เห็นว่า น่าจะมีข่าวดีอะไร ก็เลยไม่อยากเข้าไปลงทุน ที่จะถือหุ้นไว้น่ะครับ

ตอบตามความรู้สึกล้วนๆ นะครับ
ปันผล เรื่องเล็กน่ะครับ เพราะกลัวปันผลดี แต่ขาดทุนราคาหุ้นแล้วจะไม่คุ้มกัน

สนใจและซื้อไปแล้วครับ

จุดดี คือ cash flow ที่ดี ปีนี้น่าจะได้ประมาณ 4 บาทต่อหุ้น และบริษัทก็มีเงินสุดอยู่ (สิ้นงวด Q3) ประมาณ 6.5 บาทต่อหุ้น ราคาประมาณนี้ผมว่า undervalued มากๆ

จุดเสียคือ ความสามารถของผู้บริหาร และ ธรรมาภิบาลของบริษัท อีกทั้งดูจากการเคลื่อนไหวของหุ้นแล้ว ผมว่าน่าจะมีคนควบคุมทำราคาอยู่

เอตัวนี้จะว่าไปกำไรไม่มั่นคงไม่ใช่เหรอ (ท่านที่สงสัยดูจากผลประกอบย้อนหลังได้ครับ)
แล้วธุรกิจอย่างนี้ อยู่ได้ด้วยการขายแผ่นซึ่งเราก็รู้ๆกันอยู่ แถมผมว่าต้องดูนะว่ากำไรที่ได้มาจากไหนบ้าง

ดูๆไปก็อาจเป็นพวก turnaround ได้อยู่มั้งครับหากแสดงศักยภาพได้แรงๆสัก 2-3 ไตรมาสนะครับ
เรื่องการกลยขาดทุนสะสมเอามาจากส่วนเกินทุนครับกลบปุ๊บจ่ายปันผลเรียกนักลงทุนทันทีเลยครับ
ที่น่าจับตาคือ บีอีซี ถือหุ้นใหญ่อยู่ประมาณ 20 เปอร์เซนต์ด้วยไม่รู้ว่าช่วยไรได้ไหมถือมานานแล้วด้วย
ที่น่าจับตาอีกจุดคือยอดขายลดลงนะครับแต่ต้นทุนลงแรงกว่าเท่านั้นเอง ไม่รู้ว่าเพราะอะไรคำชี้แจงรายไตรมาสก็ไม่ค่อยให้รายละเอียดมากนักเลยเห็นพวกเรารายย่อยเป็นยังไงกันนี่
จะเอาเงินกันก็แสดงข้อมูลเยอะๆหน่อยครับ

ตัวนี้เมื่อก่อนกำไรไม่ดี แต่สภาพธุรกิจตอนนี้ต่างจากเมื่อก่อนมากครับ
สมัยก่อนเน้นแต่ VDO ยังไม่ค่อยมี VCD เดี๋ยวนี้ต้นทุนการผลิตต่ำลง
ด้วยเทคโนโลยีที่สูงขี้น ราคาขายก็เริ่มถูกลงจนพอเป็นไปได้กับการซื้อ
ของผู้บริโภค สมัยก่อน VDO ม้วนละ 400 ปีนึงผมซื้อไม่ถึง 5 เรื่อง

แต่ข้อเสียก็คือแผ่นผีครับ (ซึ่งผมคิดว่าคงไม่หมดไปง่าย ๆ แต่คงน้อยลงไป
ตามความเจริญของประเทศ)

เงินสดเหลือล้นบริษัทมาตั้งแต่สมัยที่ยังมีขาดทุนสะสมอยู่แล้ว
แต่ผู้บริหารไม่เคยสนใจจะทำอะไร มาล้างขาดทุนเอาตอนหุ้นบูม
จ่ายปันผลหนัก ๆ มีโครงการซื้อหุ้นคืน ชอบให้ข่าวหนังสือพิมพ์ก่อนตลท.
ปีที่แล้วก็โดน H ไปทีนึงแล้ว ไม่ได้จำเป็นบทเรียนเลย
ผู้บริหารไม่ค่อยน่าไว้ใจอย่างที่ว่าแหละครับ (แต่ผมว่า 2.50 บาทจ่ายจริงนะ)
ถ้าเทียบกับ Pong แล้วผมว่าดีกว่าเยอะครับ

ซื้อหุ้น ตัวเองคืนไป 10% ด้วย ครับ

ผมว่าหากมีสภาพคล่องดีก็น่าสนครับเพราะปันผลสูงและแนวโน้มธุรกิจผมว่าก็โอเคครับหากว่าพี่ใหญ่อย่างพวกเมเจอร์ เสี่ยงเจียงมาทำแผ่นเอง นั้นก็เตรียมโดหนีได้ แต่ตอนนี้เค้ารับลิขสิทธิ์จาก เมเจอร์ก็น่าจะใช้ได้บ้างนะครับ

ใครสนใจก็ลองศึกษาดู ใครคิดว่าไม่น่าสนใจก็ตามใจนะครับ

ปีที่แล้วรับซื้อคืนที่ราคาสูงกว่าตลาดมาก แต่ซื้อแค่ 10% คนที่อ่านข่าวไม่ละเอียดไปซื้อหุ้นในตลาดก็ต้องขาดทุน แต่คนที่มีหุ้นอยู่แล้ว (เช่น บีอีซี) ถ้าเสนอขายไปทั้งหมดก็จะได้รับซื้อ 10% เมื่อคำนวณแล้วใกล้เคียงกับการจ่ายปันผลราวๆ 2 บาทกว่า จำรายละเอียดตัวเลขที่แท้จริงไม่ได้ ใครมีเวลาช่วยค้นก็ขอขอบคุณด้วย

อาจจะนิสัยไม่ค่อยดีตรงชอบออกข่าวก่อน แต่ถ้าพูดจริงทำจริง บอกว่าจะจ่าย 2.50 แล้วตอนนนี้ราคาแค่ 20 บาท ก็ได้ 12.5% แล้ว ส่วนจะจ่ายสม่ำเสมอหรือเปล่า ต้องไปดูงบกันเองละกัน รู้สึก TTA ก็นิสัยเดียวกันนะ มีข่าวลือเรื่องจ่ายปันผล แล้วก็ปฏิเสธข่าว แล้วก็จ่าย แต่จำไม่ได้ว่าจ่ายตามข่าวลือหรือเปล่า

คุณ Minesweeper ดูเหมือนจะทำการศึกษาไปแล้ว มีอะไรแชร์กันบ้างมั้ยครับ

ที่รายได้ลดก็เกิดเนื่องจากบริษัทได้ต่อรองเจ้าของลิขสิทธิ์ในการลดราคาขาย VCD ลงได้นะครับ

ทำให้บริษัทมียอดขายเพิ่มขึ้น (ราคาลงมาใกล้เคียงแผ่นผี) แต่มีรายได้ลดลง

ปีนี้บริษัทก็เริ่มมีการต่อรองลดราคา DVD ลมาเหลือ 399 บาทต่อเรื่อง ไม่แน่ใจว่าจะขายได้ดีหรือไม่ เพราะแผ่นผีราคาก็แค่ร้อยบาทเอง

และความเสี่ยงเรื่องการต่อสัญญาลิขสิทธิ์ก็เป็นเรื่องสำคัญ ปีก่อนก็ถูกแย่งไปแล้ว 1 ค่าย

BPT เขียน: คุณ Minesweeper ดูเหมือนจะทำการศึกษาไปแล้ว มีอะไรแชร์กันบ้างมั้ยครับ

ผมก็หาอ่านเอาจาก 56-1 ไปดูเวปเค้า แล้วก็อ่านบทวิเคราะห์ทั่วๆ ไปน่ะครับ ไม่ได้รู้ตื้นลึกหนาบางอะไรมากนักหรอก ส่วนตัวก็เช่า VCD, DVD ดูบ่อยๆ เรื่องไหนชอบมากๆ ก็ไปซื้อมาเก็บไว้เผื่อดูซ้ำบ้าง

สำหรับ CVD ที่ซื้อ ก็เก็บไว้เป็นก้นบุหรีน่ะ ไม่ได้หวังว่ามันจะปันผล 2.50 บาทอะไร ดูจากตัวเลขเห็นว่ามันถูกดี ความเสี่ยงก็มีอย่างที่รู้ๆ กันน่ะครับ ดูแล้วน่าจะสามารถทำกำไรให้เราได้พอสมควร ช่วงนี้อาหารเพื่อสุขภาพดีๆ ราคาเริ่มแพง ผมก็ไปหาบุหรี่มาดูดบ้าง เป็นเรื่องธรรมดาครับ

จาก Biz week "บริษัทซีวีดี เอนเตอร์เทนเมนท์(CVD) ภายใต้การบริหารของ
เผด็จ หงษ์ฟ้า ที่เริ่มซื้อหุ้นคืนเมื่อ 11 ก.พ. 2547 จำนวน 3.6 ล้านหุ้นที่ราคา
50 บาท ปรากฏว่าราคาหุ้นลดลงมาอยู่ที่ 19.50 บาท ขาดทุนไปแล้วประมาณ 110 ล้านบาท หรือ 60% น่าสังเกตว่าผลการดำเนินงานของซีวีดีมีกำไรลดลงสำหรับงวด 6 เดือน มีกำไรสุทธิ 43.2 ล้านบาท ลดลง 26.9 ล้านบาท หรือ 38%จากช่วงเดียวกันของปีก่อน"
"นักวิเคราะห์ตั้งข้อสังเกตว่า บริษัทที่มีโครงการซื้อหุ้นคืนแล้วขาดทุนส่วนใหญ่พบว่าจะเร่งซื้อคืนให้ครบตามจำนวนโดยเร็ว ทั้งๆ ที่ควรจะทยอยซื้อคืนในลักษณะ ตั้งรับ ราคาต่ำมากว่า เพราะมีระยะเวลาในการซื้อแต่ละครั้งนาน 6 เดือน"
"บริษัทไหนที่มีสภาพคล่องการซื้อขายไม่มากแต่รีบร้อนซื้อคืนในราคาสูง
แล้วขาดทุน ยังอาจถูกตั้งข้อสังเกตได้ว่าผู้บริหาร หรือผู้ถือหุ้นรายใหญ่อาจจะเอาหุ้นของตัวเองที่กระจายในชื่อบุคคลอื่นมาขายให้บริษัทตัวเองซึ่งเป็นวิธีการที่อาจถูกมองว่าไม่โปร่งใสได้"

การซื้อหุ้นคืนของ CVD นั้นแตกต่างจากบริษัทอื่นๆที่ซื้อหุ้นคืนครับ

เพราะเป็นการซื้อหุ้นแบบตั้งโต๊ะรับซื้อครับ ไม่ใช่ซื้อคืนในตลาดครับ ดังนั้นจึงไม่น่าจะเกี่ยวกับการเร่งซื้อหุ้นคืนหรือไม่ครับ

ส่วนการตั้งราคาซื้อที่แพงนั้น ผมก็มองว่าเป็นการคืนเงินสดแก่ผู้ถือหุ้นครับ เพราะเป็นการตั้งโต๊ะรับซื้อทุกคนที่ยื่นขายในสัดส่วนที่เท่ากัน

ซึ่งเมื่อมองจากฐานะทางการเงินของ CVD แล้วจะพบว่าบริษัทมีเงินสดจำนวนมากและไม่มีแผนการลงทุนอะไรมากมาย

การซื้อหุ้นคืนในราคาแพงนั้น แน่นอนว่าจะทำให้ความแข็งแกร่งทางฐานะทางการเงินของบริษัทลดลง แต่ก็ไม่ทำให้เสียหาย และไม่ทำให้ผู้ถือหุ้นเดิมเสียผลประโยชน์แต่อย่างใด

ไม่ทราบว่าพี่ฉัตรชัยเคยแกะงบบริษัทนี้มั้ยครับ มันเข้าข่าย cash machine หรือหุ้น asset play บ้างมั้ยครับ

ท่าทาง CVD จะมีปัญหากับการจ่ายปันผลซะแล้วครับ

เพราะทางการบังคับให้ต้องเอากำไรสะสมมาตั้งสำรองที่ซื้อหุ้นคืนไปซะก่อน กำไรสะสมเลยเหลือนิดเดียว

อาจจะไม่สามารถปันผลได้ <--- เป็นความเห็นนะครับ โปรดใช้วิจารณญาณ

อันนี้ผมเอามาจากหมายเหตุประกอบงบล่าสุดนะครับ

ในเดือนกุมภาพันธ์ 2548 สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ได้มีหนังสือเวียน
ถึงบริษัทจดทะเบียน ที่ กลต.ชส.(ว) 2/2548 เรื่อง ความเห็นเกี่ยวกับการเปิดเผยข้อมูลการกันกำไรสะสมเป็นสำรองสำหรับหุ้นซื้อคืน ซึ่งเป็นแนวทางปฏิบัติของสภาวิชาชีพบัญชี ตามความในหนังสือเลขที่ ส.สวบช. 016/2548 เรื่อง การเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการกันกำไรสะสมเป็นสำรองสำหรับหุ้นซื้อคืน โดยสรุป
ได้ว่า บริษัทที่มีการซื้อหุ้นคืน ต้องแสดงรายการหรือเปิดเผยข้อมูลจำนวนกำไรสะสมที่จัดสรรเป็นสำรองสำหรับหุ้นซื้อคืนในงบดุล หรือในหมายเหตุประกอบงบการเงิน เพื่อให้ผู้ใช้งบการเงินสามารถวิเคราะห์ความสามารถในการจ่ายเงินปันผลของบริษัทที่มีการซื้อหุ้นคืนได้ ในกรณีที่บริษัทมีกำไรสะสมคงเหลือ
ไม่เพียงพอที่จะจัดสรรเงินสำรองสำหรับหุ้นทุนซื้อคืนได้ครบถ้วนโดยทันที ในทุกงวดบัญชีบริษัท
ควรเปิดเผยจำนวนที่ต้องมีการกันสำรองเพิ่มเติมด้วย

และในการนี้ บริษัทได้กันกำไรสุทธิสำหรับปี 2547 เป็นสำรองสำหรับหุ้นซื้อคืนเป็นจำนวนเงิน 106.61 ล้านบาท และคงเหลือกำไรสะสมยังไม่ได้จัดสรรจำนวนร้อยละ 5 ของกำไรสุทธิจำนวนเงิน 5. 47 ล้านบาท
เพื่อรอการจัดสรรเป็นสำรองตามกฎหมาย ซึ่งเป็นไปตามข้อกำหนดในมาตรา 116 ของพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535 จำนวนที่ต้องกันสำรองเพิ่มเติมอีกจากกำไรในอนาคต ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2547 เท่ากับ 73.39 ล้านบาท

จริงๆ แล้วตัวบริษัทก็เหมือนเดิมนะครับ กำไรที่ออกมาก็ไม่ได้ขี้เหร่เท่าไหร่ (ในความเห็นผมนะ) งานนี้ใครที่ซื้อหวังปันผล หรือเก็งกำไรปันผลคงผิดหวังไปตามๆ กัน ...

Cash Machine เครื่องนี้สงสัยเครื่องจะเสียซักปีสองปีมั๊งครับ

ราคาจะลงมาขนาดไหนเนี่ย

Minesweeper เขียน:ในเดือนกุมภาพันธ์ 2548 สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ได้มีหนังสือเวียน
ถึงบริษัทจดทะเบียน ที่ กลต.ชส.(ว) 2/2548 เรื่อง ความเห็นเกี่ยวกับการเปิดเผยข้อมูลการกันกำไรสะสมเป็นสำรองสำหรับหุ้นซื้อคืน ซึ่งเป็นแนวทางปฏิบัติของสภาวิชาชีพบัญชี ตามความในหนังสือเลขที่ ส.สวบช. 016/2548 เรื่อง การเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการกันกำไรสะสมเป็นสำรองสำหรับหุ้นซื้อคืน โดยสรุป
ได้ว่า บริษัทที่มีการซื้อหุ้นคืน ต้องแสดงรายการหรือเปิดเผยข้อมูลจำนวนกำไรสะสมที่จัดสรรเป็นสำรองสำหรับหุ้นซื้อคืนในงบดุล หรือในหมายเหตุประกอบงบการเงิน เพื่อให้ผู้ใช้งบการเงินสามารถวิเคราะห์ความสามารถในการจ่ายเงินปันผลของบริษัทที่มีการซื้อหุ้นคืนได้ ในกรณีที่บริษัทมีกำไรสะสมคงเหลือ
ไม่เพียงพอที่จะจัดสรรเงินสำรองสำหรับหุ้นทุนซื้อคืนได้ครบถ้วนโดยทันที ในทุกงวดบัญชีบริษัท
ควรเปิดเผยจำนวนที่ต้องมีการกันสำรองเพิ่มเติมด้วย

และในการนี้ บริษัทได้กันกำไรสุทธิสำหรับปี 2547 เป็นสำรองสำหรับหุ้นซื้อคืนเป็นจำนวนเงิน 106.61 ล้านบาท และคงเหลือกำไรสะสมยังไม่ได้จัดสรรจำนวนร้อยละ 5 ของกำไรสุทธิจำนวนเงิน 5. 47 ล้านบาท
เพื่อรอการจัดสรรเป็นสำรองตามกฎหมาย ซึ่งเป็นไปตามข้อกำหนดในมาตรา 116 ของพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ. 2535 จำนวนที่ต้องกันสำรองเพิ่มเติมอีกจากกำไรในอนาคต ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2547 เท่ากับ 73.39 ล้านบาท

พี่ฉัตรชัย ช่วยแปลเป็นภาษาง่ายๆ ให้ทีครับ ว่าตั้งสำรองทำไม ผมอ่านแล้วไม่เข้าใจครับ

กลต.คงกลัวบริษัทลักษณะแบบนี้มั๊งครับ ตัวอย่างนะครับ

ส่วนผู้ถือหุ้นของบริษัท A ก่อนซื้อหุ้นคืน

ทุนจดทะเบียน 1,000 ล้านบาท ( 100 ล้านหุ้น)
สำรองตาม ก.ม. 100 ล้านบาท
กำไรยังไม่จัดสรร 100 ล้านบาท

แล้วบริษัทก็ซื้อหุ้นคืน 10 ล้านหุ้น ที่ราคา 20 บาท จำนวนเงินรวม 200 ล้านบาท

ส่วนผุ้ถือหุ้นหลังซื้อหุ้นคืนเดิม

ทุนจดทะเบียน 1,000 ล้านบาท
สำรองตาม ก.ม. 100 ล้านบาท
กำไรยังไม่จัดสรร 100 ล้านบาท
หัก หุ้นซื้อคืน 200 ล้านบาท

ส่วนผุ้ถือหุ้นสุทธิ 1,000 ล้านบาท

ถ้าเป็นแบบเดิม บริษัทก็ยังสามารถจ่ายปันผลได้อีกครับ ถ้าบริษัทจ่ายหุ้นละ 1 บาท เป็นเงิน 90 ล้านบาท

ทุนจดทะเบียน 1,000 ล้านบาท
สำรองตาม ก.ม. 100 ล้านบาท
กำไรยังไม่จัดสรร 10 ล้านบาท
หัก หุ้นซื้อคืน 200 ล้านบาท

ส่วนผู้ถือหุ้น 910 ล้านบาท

เปรียบเหมือนจ่ายปันผลออกจากทุนจดทะเบียนนะครับ

เจอกฎนี้เข้าไปเล่นเอามึนเลยครับ
แต่ถ้าบริษัทมีความตั้งใจที่จะจ่ายเงินออกมาให้ผู้ถือหุ้นจริงก็ยังพอทำได้ครับ
โดยอาจการนำเอาหุ้นที่ซื้อคืนมาลดทุนจดทะเบียน
จะได้ไม่ต้องเอากำไรสะสมมาตั้งสำรอง
หรือ อาจจะลด par เพื่อคืนทุนให้ผู้ถือหุ้นก็ได้ แบบที่ KGI เคยทำ
เงินสดในมือ 300 ล้านบาท (9 บาทต่อหุ้น)
ช่วยกรุณาอย่ากองไว้เฉย ๆ ในบริษัทเลยนะครับ
ท่านผู้บริหาร CVD ทั้งหลาย

ขอบคุณตัวอย่างของคุณ Chatchai ครับ
ช่วยทำให้เข้าใจได้มากเลย
แม้ว่า ผมจะไม่ได้เป็นแฟน CVD ก็ตาม
แต่ก็รู้สึกดีที่ได้รู้ไว้ ครับ