Turn not around : บทเรียนของหุ้นรีแฮบ
โพสต์แล้ว: พุธ พ.ย. 17, 2004 1:45 pm
เอ็นพาร์คพักหนี้กรุงไทย 1.7 พันล. ขอเวลา 6 เดือนยกเหตุผลศก.ซบ-ข่าวแง่ลบต่อบริษัทฉุดหุ้นดิ่งแรง
โดย กรุงเทพธุรกิจ
แนเชอรัลพาร์คเจรจาแบงก์กรุงไทยขอยืดเวลาจ่ายหนี้ 1,698 ล้านบาท ออกไปอีก 6 เดือน จากเดิมที่ครบกำหนดคืนหนี้ 24 พ.ย.อ้างภาวะเศรษฐกิจและข่าวในแง่ลบฉุดหุ้นดิ่งแรง ทำให้ออกหุ้นกู้แปลงสภาพไม่ได้ ขณะที่ไตรมาส 3 และงวด 9 เดือนปีนี้ ขาดทุนอ่วม 267 ล้านบาท และ 538 ล้านบาทตามลำดับ
ด้านนักวิเคราะห์แนะขายระบุปัจจัยพื้นฐานอ่อนแอต้องแบกรับภาระขาดทุนไปอีก 2-3 ปี นายเถาถวัลย์ ศุภวานิช กรรมการ บริษัท แนเชอรัลพาร์ค แจ้งตลาดหลักทรัพย์ว่า บริษัทจะขอเลื่อนชำระหนี้ธนาคารกรุงไทย ที่มีอยู่ 1,698 ล้านบาท ออกไปเป็นไม่เกิน 180 วัน จากเดิมที่จะครบกำหนดชำระหนี้คืนทั้งจำนวนภายในวันที่ 24 พ.ย.นี้ เนื่องจากบริษัทไม่สามารถออกหุ้นกู้แปลงสภาพเพื่อมาชำระหนี้ได้ตามกำหนด ผลจากภาวะเศรษฐกิจและข่าวของบริษัทที่ส่งผลในทางลบอย่างรุนแรงต่อราคาหุ้นของบริษัทในปัจจุบัน
บริษัท แนเชอรัล พาร์ค แจ้งอีกว่า ฝ่ายจัดการของบริษัทกำลังอยู่ระหว่างการหาทางชี้แจงสถานการณ์ให้ธนาคารกรุงไทยเข้าใจ พร้อมทั้งขอความเห็นชอบในการขอเลื่อนกำหนดชำระหนี้ดังกล่าว โดยที่ผ่านมา บริษัทได้ชำระคืนหนี้บางส่วนให้ ธนาคารกรุงไทยไปแล้วจำนวน 200 ล้านบาท และยังคงเหลืออีก 1,698 ล้านบาท
โดยธนาคารกรุงไทย มีหลักประกันเป็นทรัพย์สินต่างๆ ของบริษัท คือ หุ้นสามัญของบริษัทแสนสิริ , บริษัทแปซิฟิค แอสเซ็ทส์ บริษัทซินเท็ค คอนสตรัคชั่น และฟินันซ่า รวมถึงหน่วยลงทุนของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ บีโอเอ อพาร์ตเมนต์ และที่ดินที่ตำบลบางกระเจ้า ซึ่งมีมูลค่า ณ วันที่ 11 พ.ย.2547 รวมกันเป็นเงิน 2,735 ล้านบาท หรือคิดเป็นประมาณ 161% ของจำนวนหนี้
สำหรับผลการดำเนินงานของบริษัท และบริษัทย่อย ในไตรมาส 3 ปี 2547 ปรากฏว่า มียอดขาดทุนสุทธิ 267.79 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิต่อหุ้น 0.0332 บาท เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 412.85 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.0102 บาท ขณะที่งวด 9 เดือนแรกปีนี้ มียอดขาดทุนสุทธิ 538.53 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิต่อหุ้น 0.0668 บาท เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 435.52 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.0154 บาท
นายเถาถวัลย์ชี้แจงว่า สาเหตุที่มีผลขาดทุนมากในงวด 9 เดือนแรกปีนี้ เกิดจากค่าใช้จ่ายในการบริหาร จำนวน 340.7 ล้านบาท สูงขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน 260.6 ล้านบาท หรือ 325% เนื่องจากบริษัทมีค่าใช้จ่าย ที่เกี่ยวเนื่องกับการขยายธุรกิจในโครงการต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศ ได้แก่ค่าใช้จ่ายในการเข้าร่วมประมูลโครงการ อาทิ โครงการการพัฒนาที่ดินบริเวณ โรงเรียนเตรียมทหารเดิม และโครงการพัฒนาที่ราชพัสดุ แปลงหมายเลขทะเบียนที่ กท. 043314 (แปลงโรงภาษีร้อยชักสาม) เป็นต้น ค่าวิจัยโครงการค่าธรรมเนียม และค่าที่ปรึกษา
ดอกเบี้ยจ่ายสำหรับงวดเก้าเดือนของปี 2547 จำนวน 250.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 227.0 ล้านบาท เพราะเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงินที่เพิ่มขึ้นเพื่อใช้ในการลงทุนและพัฒนาโครงการต่าง ๆ ของบริษัท ซึ่งทำให้ดอกเบี้ยจ่ายบางส่วนไม่สามารถถือเป็นต้นทุนการก่อสร้าง และเป็นส่วนหนึ่งของสินทรัพย์ถาวรได้ อย่างไรก็ตาม ดอกเบี้ยจ่ายที่สูงขึ้นนั้น สอดคล้องกับการขยายธุรกิจของบริษัท ซึ่งสินทรัพย์รวมเพิ่มสูงขึ้นมาก
ส่วนแบ่งขาดทุนจากเงินลงทุนตามวิธีส่วนได้เสียสำหรับงวดเก้าเดือนของปี 2547 จำนวน 207.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2546 จำนวน 182.1 ล้านบาท เนื่องจากรับรู้ผลขาดทุนจากการดำเนินงานของบริษัทร่วมต่างๆ
ขณะที่ไตรมาส 3 ปีนี้ ขาดทุนเนื่องจากไตรมาส 3 ปีก่อนมีกำไรจากการขายสินทัพย์ 313.2 ล้านบาท ขณะที่ไตรมาส 3 ปีนี้ ไม่มีรายการดังกล่าว นอกจากนี้บริษัทยังมีค่าใช้จ่ายในการบริหารจำนวน 133 ล้านบาท สูงกว่างวดเดียวกันของปีก่อนถึง 262% ซึ่งเป็นผลจากบริษัทมีค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการขยายธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ เช่น โรงแรมและร้านอาหาร และดอกเบี้ยจ่ายเพิ่มขึ้น 75 ล้านบาท จากเงินกู้ที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งรับรู้ผลขาดทุนจากการดำเนินงานของบริษัทร่วมต่างๆ โดยเฉพาะจากบริษัทรถไฟฟ้ากรุงเทพ ที่เริ่มเปิดดำเนินการไตรมาส 3 ปีนี้
ขณะที่ราคาหุ้น เอ็นพาร์ค วานนี้ (16 พ.ย.) ปรับตัวลดลงทันทีเมื่อเปิดตลาดที่ราคา 0.92 บาท ลดลง 0.02 บาท และลดลงต่ำสุดที่ราคาปิดท้ายตลาด ที่ระดับ 0.90 บาท ลดลง 0.04 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขายรวม 18.7 ล้านบาท
นางสาวปองรัตน์ รัตนะตวณานนท์ ผู้จัดการ บล.บัวหลวง เปิดเผยว่า ราคาหุ้นเอ็นพาร์ค ที่ปรับตัวลดลงถือว่าปรับตัวลดลงน้อยมาก เมื่อเปรียบกับผลกระทบที่เกิดจากตัวเลขผลประกอบการไตรมาสสามที่ขาดทุนกว่า 267 ล้านบาท เนื่องจากก่อนหน้านี้แนเชอรัล พาร์ค ได้รับผลกระทบจากปัจจัยลบมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ราคาหุ้นได้ปรับตัวลดลงมาตลอด
อย่างไรก็ตาม แม้ราคาหุ้นดังกล่าวจะอยู่ในระดับต่ำ แต่บริษัทก็ไม่แนะนำให้นักลงทุนซื้อ เนื่องจากปัจจัยพื้นฐานยังไม่น่าลงทุน ซึ่งที่ผ่านมาก็แนะนำให้นักลงทุนขายหุ้นตลอดเพื่อลดความเสี่ยง
เนื่องจากการที่บริษัทเข้าไปลงทุนในหลายโครงการก่อนหน้านี้ในแง่ของการสร้างรายได้จะยังไม่เกิดขึ้นในระยะสั้น อย่างน้อยก็คงจะเริ่มเห็นการรับรู้รายได้ตั้งแต่ปี 2550 เป็นต้นปี ในช่วงนี้บริษัทก็ต้องแบกรับภาระขาดทุนจากการลงทุนตลอด ซึ่งทำให้หุ้นขาดความน่าสนใจ และผลประกอบการก็เป็นไปตามคาดการณ์ไว้
ส่วนกรณีที่บริษัทขอเลื่อนการชำระเงินกู้ธนาคารกรุงไทยออกไป น่าจะเป็นการบริหารกระแสเงินสดของบริษัทให้สอดคล้อง กับระยะเวลาการชำระหนี้เพราะวงเงินกู้ถือว่าสูงมาก ดังนั้น จะต้องบริหารกระแสเงินสดให้สอดคล้องกับภาระหนี้ จะได้ไม่เป็นปัญหาในอนาคต แต่ไม่คิดว่าบริษัทจะขาดสภาพคล่องเนื่องจากเป็นการขอเลื่อน แต่ไม่ได้ขอยกเลิกการชำระหนี้ ขณะเดียวกันก็จะไม่ส่งผลกระทบต่อฐานะเงินกองทุนของธนาคารกรุงไทยเนื่องจากมีการตั้งสำรองหนี้ไว้แล้ว
แหล่งข่าวจากบริษัทแนเชอรัลพาร์ค เปิดเผยถึงสาเหตุของการขาดทุนว่า เป็นผลมาจากรถไฟฟ้าใต้ดิน (บีเอ็มซีแอล) เนื่องจากก่อนหน้านี้รถไฟฟ้าใต้ดิน ในช่วงที่ยังไม่เปิดดำเนินการ มีภาระดอกเบี้ยจ่ายกว่า 200 ล้านบาท
แต่ในช่วงนั้นยังไม่มีการบันทึกเป็นค่าใช้จ่ายทางบัญชี แต่เมื่อเปิดให้บริการตั้งแต่เดือนสิงหาคม ทำให้ต้องบันทึกดอกเบี้ยจ่ายกว่า 200 ล้านบาท ส่งผลให้ บีเอ็มซีแอลขาดทุนและทำให้เอ็นพาร์คในฐานะ ผู้ถือหุ้นใหญ่ต้องแบกรับภาระไปด้วย ซึ่งเป็นการรับรู้จากการขาดทุนดังกล่าว
โดย กรุงเทพธุรกิจ
แนเชอรัลพาร์คเจรจาแบงก์กรุงไทยขอยืดเวลาจ่ายหนี้ 1,698 ล้านบาท ออกไปอีก 6 เดือน จากเดิมที่ครบกำหนดคืนหนี้ 24 พ.ย.อ้างภาวะเศรษฐกิจและข่าวในแง่ลบฉุดหุ้นดิ่งแรง ทำให้ออกหุ้นกู้แปลงสภาพไม่ได้ ขณะที่ไตรมาส 3 และงวด 9 เดือนปีนี้ ขาดทุนอ่วม 267 ล้านบาท และ 538 ล้านบาทตามลำดับ
ด้านนักวิเคราะห์แนะขายระบุปัจจัยพื้นฐานอ่อนแอต้องแบกรับภาระขาดทุนไปอีก 2-3 ปี นายเถาถวัลย์ ศุภวานิช กรรมการ บริษัท แนเชอรัลพาร์ค แจ้งตลาดหลักทรัพย์ว่า บริษัทจะขอเลื่อนชำระหนี้ธนาคารกรุงไทย ที่มีอยู่ 1,698 ล้านบาท ออกไปเป็นไม่เกิน 180 วัน จากเดิมที่จะครบกำหนดชำระหนี้คืนทั้งจำนวนภายในวันที่ 24 พ.ย.นี้ เนื่องจากบริษัทไม่สามารถออกหุ้นกู้แปลงสภาพเพื่อมาชำระหนี้ได้ตามกำหนด ผลจากภาวะเศรษฐกิจและข่าวของบริษัทที่ส่งผลในทางลบอย่างรุนแรงต่อราคาหุ้นของบริษัทในปัจจุบัน
บริษัท แนเชอรัล พาร์ค แจ้งอีกว่า ฝ่ายจัดการของบริษัทกำลังอยู่ระหว่างการหาทางชี้แจงสถานการณ์ให้ธนาคารกรุงไทยเข้าใจ พร้อมทั้งขอความเห็นชอบในการขอเลื่อนกำหนดชำระหนี้ดังกล่าว โดยที่ผ่านมา บริษัทได้ชำระคืนหนี้บางส่วนให้ ธนาคารกรุงไทยไปแล้วจำนวน 200 ล้านบาท และยังคงเหลืออีก 1,698 ล้านบาท
โดยธนาคารกรุงไทย มีหลักประกันเป็นทรัพย์สินต่างๆ ของบริษัท คือ หุ้นสามัญของบริษัทแสนสิริ , บริษัทแปซิฟิค แอสเซ็ทส์ บริษัทซินเท็ค คอนสตรัคชั่น และฟินันซ่า รวมถึงหน่วยลงทุนของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ บีโอเอ อพาร์ตเมนต์ และที่ดินที่ตำบลบางกระเจ้า ซึ่งมีมูลค่า ณ วันที่ 11 พ.ย.2547 รวมกันเป็นเงิน 2,735 ล้านบาท หรือคิดเป็นประมาณ 161% ของจำนวนหนี้
สำหรับผลการดำเนินงานของบริษัท และบริษัทย่อย ในไตรมาส 3 ปี 2547 ปรากฏว่า มียอดขาดทุนสุทธิ 267.79 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิต่อหุ้น 0.0332 บาท เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 412.85 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.0102 บาท ขณะที่งวด 9 เดือนแรกปีนี้ มียอดขาดทุนสุทธิ 538.53 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิต่อหุ้น 0.0668 บาท เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 435.52 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.0154 บาท
นายเถาถวัลย์ชี้แจงว่า สาเหตุที่มีผลขาดทุนมากในงวด 9 เดือนแรกปีนี้ เกิดจากค่าใช้จ่ายในการบริหาร จำนวน 340.7 ล้านบาท สูงขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน 260.6 ล้านบาท หรือ 325% เนื่องจากบริษัทมีค่าใช้จ่าย ที่เกี่ยวเนื่องกับการขยายธุรกิจในโครงการต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศ ได้แก่ค่าใช้จ่ายในการเข้าร่วมประมูลโครงการ อาทิ โครงการการพัฒนาที่ดินบริเวณ โรงเรียนเตรียมทหารเดิม และโครงการพัฒนาที่ราชพัสดุ แปลงหมายเลขทะเบียนที่ กท. 043314 (แปลงโรงภาษีร้อยชักสาม) เป็นต้น ค่าวิจัยโครงการค่าธรรมเนียม และค่าที่ปรึกษา
ดอกเบี้ยจ่ายสำหรับงวดเก้าเดือนของปี 2547 จำนวน 250.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 227.0 ล้านบาท เพราะเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงินที่เพิ่มขึ้นเพื่อใช้ในการลงทุนและพัฒนาโครงการต่าง ๆ ของบริษัท ซึ่งทำให้ดอกเบี้ยจ่ายบางส่วนไม่สามารถถือเป็นต้นทุนการก่อสร้าง และเป็นส่วนหนึ่งของสินทรัพย์ถาวรได้ อย่างไรก็ตาม ดอกเบี้ยจ่ายที่สูงขึ้นนั้น สอดคล้องกับการขยายธุรกิจของบริษัท ซึ่งสินทรัพย์รวมเพิ่มสูงขึ้นมาก
ส่วนแบ่งขาดทุนจากเงินลงทุนตามวิธีส่วนได้เสียสำหรับงวดเก้าเดือนของปี 2547 จำนวน 207.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2546 จำนวน 182.1 ล้านบาท เนื่องจากรับรู้ผลขาดทุนจากการดำเนินงานของบริษัทร่วมต่างๆ
ขณะที่ไตรมาส 3 ปีนี้ ขาดทุนเนื่องจากไตรมาส 3 ปีก่อนมีกำไรจากการขายสินทัพย์ 313.2 ล้านบาท ขณะที่ไตรมาส 3 ปีนี้ ไม่มีรายการดังกล่าว นอกจากนี้บริษัทยังมีค่าใช้จ่ายในการบริหารจำนวน 133 ล้านบาท สูงกว่างวดเดียวกันของปีก่อนถึง 262% ซึ่งเป็นผลจากบริษัทมีค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการขยายธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ เช่น โรงแรมและร้านอาหาร และดอกเบี้ยจ่ายเพิ่มขึ้น 75 ล้านบาท จากเงินกู้ที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งรับรู้ผลขาดทุนจากการดำเนินงานของบริษัทร่วมต่างๆ โดยเฉพาะจากบริษัทรถไฟฟ้ากรุงเทพ ที่เริ่มเปิดดำเนินการไตรมาส 3 ปีนี้
ขณะที่ราคาหุ้น เอ็นพาร์ค วานนี้ (16 พ.ย.) ปรับตัวลดลงทันทีเมื่อเปิดตลาดที่ราคา 0.92 บาท ลดลง 0.02 บาท และลดลงต่ำสุดที่ราคาปิดท้ายตลาด ที่ระดับ 0.90 บาท ลดลง 0.04 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขายรวม 18.7 ล้านบาท
นางสาวปองรัตน์ รัตนะตวณานนท์ ผู้จัดการ บล.บัวหลวง เปิดเผยว่า ราคาหุ้นเอ็นพาร์ค ที่ปรับตัวลดลงถือว่าปรับตัวลดลงน้อยมาก เมื่อเปรียบกับผลกระทบที่เกิดจากตัวเลขผลประกอบการไตรมาสสามที่ขาดทุนกว่า 267 ล้านบาท เนื่องจากก่อนหน้านี้แนเชอรัล พาร์ค ได้รับผลกระทบจากปัจจัยลบมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ราคาหุ้นได้ปรับตัวลดลงมาตลอด
อย่างไรก็ตาม แม้ราคาหุ้นดังกล่าวจะอยู่ในระดับต่ำ แต่บริษัทก็ไม่แนะนำให้นักลงทุนซื้อ เนื่องจากปัจจัยพื้นฐานยังไม่น่าลงทุน ซึ่งที่ผ่านมาก็แนะนำให้นักลงทุนขายหุ้นตลอดเพื่อลดความเสี่ยง
เนื่องจากการที่บริษัทเข้าไปลงทุนในหลายโครงการก่อนหน้านี้ในแง่ของการสร้างรายได้จะยังไม่เกิดขึ้นในระยะสั้น อย่างน้อยก็คงจะเริ่มเห็นการรับรู้รายได้ตั้งแต่ปี 2550 เป็นต้นปี ในช่วงนี้บริษัทก็ต้องแบกรับภาระขาดทุนจากการลงทุนตลอด ซึ่งทำให้หุ้นขาดความน่าสนใจ และผลประกอบการก็เป็นไปตามคาดการณ์ไว้
ส่วนกรณีที่บริษัทขอเลื่อนการชำระเงินกู้ธนาคารกรุงไทยออกไป น่าจะเป็นการบริหารกระแสเงินสดของบริษัทให้สอดคล้อง กับระยะเวลาการชำระหนี้เพราะวงเงินกู้ถือว่าสูงมาก ดังนั้น จะต้องบริหารกระแสเงินสดให้สอดคล้องกับภาระหนี้ จะได้ไม่เป็นปัญหาในอนาคต แต่ไม่คิดว่าบริษัทจะขาดสภาพคล่องเนื่องจากเป็นการขอเลื่อน แต่ไม่ได้ขอยกเลิกการชำระหนี้ ขณะเดียวกันก็จะไม่ส่งผลกระทบต่อฐานะเงินกองทุนของธนาคารกรุงไทยเนื่องจากมีการตั้งสำรองหนี้ไว้แล้ว
แหล่งข่าวจากบริษัทแนเชอรัลพาร์ค เปิดเผยถึงสาเหตุของการขาดทุนว่า เป็นผลมาจากรถไฟฟ้าใต้ดิน (บีเอ็มซีแอล) เนื่องจากก่อนหน้านี้รถไฟฟ้าใต้ดิน ในช่วงที่ยังไม่เปิดดำเนินการ มีภาระดอกเบี้ยจ่ายกว่า 200 ล้านบาท
แต่ในช่วงนั้นยังไม่มีการบันทึกเป็นค่าใช้จ่ายทางบัญชี แต่เมื่อเปิดให้บริการตั้งแต่เดือนสิงหาคม ทำให้ต้องบันทึกดอกเบี้ยจ่ายกว่า 200 ล้านบาท ส่งผลให้ บีเอ็มซีแอลขาดทุนและทำให้เอ็นพาร์คในฐานะ ผู้ถือหุ้นใหญ่ต้องแบกรับภาระไปด้วย ซึ่งเป็นการรับรู้จากการขาดทุนดังกล่าว