หน้า 1 จากทั้งหมด 1

Turn not around : บทเรียนของหุ้นรีแฮบ

โพสต์แล้ว: พุธ พ.ย. 17, 2004 1:45 pm
โดย นักดูดาว
เอ็นพาร์คพักหนี้กรุงไทย 1.7 พันล. ขอเวลา 6 เดือนยกเหตุผลศก.ซบ-ข่าวแง่ลบต่อบริษัทฉุดหุ้นดิ่งแรง
โดย กรุงเทพธุรกิจ

แนเชอรัลพาร์คเจรจาแบงก์กรุงไทยขอยืดเวลาจ่ายหนี้ 1,698 ล้านบาท ออกไปอีก 6 เดือน จากเดิมที่ครบกำหนดคืนหนี้ 24 พ.ย.อ้างภาวะเศรษฐกิจและข่าวในแง่ลบฉุดหุ้นดิ่งแรง ทำให้ออกหุ้นกู้แปลงสภาพไม่ได้ ขณะที่ไตรมาส 3 และงวด 9 เดือนปีนี้ ขาดทุนอ่วม 267 ล้านบาท และ 538 ล้านบาทตามลำดับ

ด้านนักวิเคราะห์แนะขายระบุปัจจัยพื้นฐานอ่อนแอต้องแบกรับภาระขาดทุนไปอีก 2-3 ปี นายเถาถวัลย์ ศุภวานิช กรรมการ บริษัท แนเชอรัลพาร์ค แจ้งตลาดหลักทรัพย์ว่า บริษัทจะขอเลื่อนชำระหนี้ธนาคารกรุงไทย ที่มีอยู่ 1,698 ล้านบาท ออกไปเป็นไม่เกิน 180 วัน จากเดิมที่จะครบกำหนดชำระหนี้คืนทั้งจำนวนภายในวันที่ 24 พ.ย.นี้ เนื่องจากบริษัทไม่สามารถออกหุ้นกู้แปลงสภาพเพื่อมาชำระหนี้ได้ตามกำหนด ผลจากภาวะเศรษฐกิจและข่าวของบริษัทที่ส่งผลในทางลบอย่างรุนแรงต่อราคาหุ้นของบริษัทในปัจจุบัน

บริษัท แนเชอรัล พาร์ค แจ้งอีกว่า ฝ่ายจัดการของบริษัทกำลังอยู่ระหว่างการหาทางชี้แจงสถานการณ์ให้ธนาคารกรุงไทยเข้าใจ พร้อมทั้งขอความเห็นชอบในการขอเลื่อนกำหนดชำระหนี้ดังกล่าว โดยที่ผ่านมา บริษัทได้ชำระคืนหนี้บางส่วนให้ ธนาคารกรุงไทยไปแล้วจำนวน 200 ล้านบาท และยังคงเหลืออีก 1,698 ล้านบาท

โดยธนาคารกรุงไทย มีหลักประกันเป็นทรัพย์สินต่างๆ ของบริษัท คือ หุ้นสามัญของบริษัทแสนสิริ , บริษัทแปซิฟิค แอสเซ็ทส์ บริษัทซินเท็ค คอนสตรัคชั่น และฟินันซ่า รวมถึงหน่วยลงทุนของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ บีโอเอ อพาร์ตเมนต์ และที่ดินที่ตำบลบางกระเจ้า ซึ่งมีมูลค่า ณ วันที่ 11 พ.ย.2547 รวมกันเป็นเงิน 2,735 ล้านบาท หรือคิดเป็นประมาณ 161% ของจำนวนหนี้

สำหรับผลการดำเนินงานของบริษัท และบริษัทย่อย ในไตรมาส 3 ปี 2547 ปรากฏว่า มียอดขาดทุนสุทธิ 267.79 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิต่อหุ้น 0.0332 บาท เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 412.85 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.0102 บาท ขณะที่งวด 9 เดือนแรกปีนี้ มียอดขาดทุนสุทธิ 538.53 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิต่อหุ้น 0.0668 บาท เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 435.52 ล้านบาท กำไรสุทธิต่อหุ้น 0.0154 บาท

นายเถาถวัลย์ชี้แจงว่า สาเหตุที่มีผลขาดทุนมากในงวด 9 เดือนแรกปีนี้ เกิดจากค่าใช้จ่ายในการบริหาร จำนวน 340.7 ล้านบาท สูงขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน 260.6 ล้านบาท หรือ 325% เนื่องจากบริษัทมีค่าใช้จ่าย ที่เกี่ยวเนื่องกับการขยายธุรกิจในโครงการต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศ ได้แก่ค่าใช้จ่ายในการเข้าร่วมประมูลโครงการ อาทิ โครงการการพัฒนาที่ดินบริเวณ โรงเรียนเตรียมทหารเดิม และโครงการพัฒนาที่ราชพัสดุ แปลงหมายเลขทะเบียนที่ กท. 043314 (แปลงโรงภาษีร้อยชักสาม) เป็นต้น ค่าวิจัยโครงการค่าธรรมเนียม และค่าที่ปรึกษา

ดอกเบี้ยจ่ายสำหรับงวดเก้าเดือนของปี 2547 จำนวน 250.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 227.0 ล้านบาท เพราะเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงินที่เพิ่มขึ้นเพื่อใช้ในการลงทุนและพัฒนาโครงการต่าง ๆ ของบริษัท ซึ่งทำให้ดอกเบี้ยจ่ายบางส่วนไม่สามารถถือเป็นต้นทุนการก่อสร้าง และเป็นส่วนหนึ่งของสินทรัพย์ถาวรได้ อย่างไรก็ตาม ดอกเบี้ยจ่ายที่สูงขึ้นนั้น สอดคล้องกับการขยายธุรกิจของบริษัท ซึ่งสินทรัพย์รวมเพิ่มสูงขึ้นมาก

ส่วนแบ่งขาดทุนจากเงินลงทุนตามวิธีส่วนได้เสียสำหรับงวดเก้าเดือนของปี 2547 จำนวน 207.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2546 จำนวน 182.1 ล้านบาท เนื่องจากรับรู้ผลขาดทุนจากการดำเนินงานของบริษัทร่วมต่างๆ

ขณะที่ไตรมาส 3 ปีนี้ ขาดทุนเนื่องจากไตรมาส 3 ปีก่อนมีกำไรจากการขายสินทัพย์ 313.2 ล้านบาท ขณะที่ไตรมาส 3 ปีนี้ ไม่มีรายการดังกล่าว นอกจากนี้บริษัทยังมีค่าใช้จ่ายในการบริหารจำนวน 133 ล้านบาท สูงกว่างวดเดียวกันของปีก่อนถึง 262% ซึ่งเป็นผลจากบริษัทมีค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการขยายธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ เช่น โรงแรมและร้านอาหาร และดอกเบี้ยจ่ายเพิ่มขึ้น 75 ล้านบาท จากเงินกู้ที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งรับรู้ผลขาดทุนจากการดำเนินงานของบริษัทร่วมต่างๆ โดยเฉพาะจากบริษัทรถไฟฟ้ากรุงเทพ ที่เริ่มเปิดดำเนินการไตรมาส 3 ปีนี้

ขณะที่ราคาหุ้น เอ็นพาร์ค วานนี้ (16 พ.ย.) ปรับตัวลดลงทันทีเมื่อเปิดตลาดที่ราคา 0.92 บาท ลดลง 0.02 บาท และลดลงต่ำสุดที่ราคาปิดท้ายตลาด ที่ระดับ 0.90 บาท ลดลง 0.04 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขายรวม 18.7 ล้านบาท

นางสาวปองรัตน์ รัตนะตวณานนท์ ผู้จัดการ บล.บัวหลวง เปิดเผยว่า ราคาหุ้นเอ็นพาร์ค ที่ปรับตัวลดลงถือว่าปรับตัวลดลงน้อยมาก เมื่อเปรียบกับผลกระทบที่เกิดจากตัวเลขผลประกอบการไตรมาสสามที่ขาดทุนกว่า 267 ล้านบาท เนื่องจากก่อนหน้านี้แนเชอรัล พาร์ค ได้รับผลกระทบจากปัจจัยลบมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ราคาหุ้นได้ปรับตัวลดลงมาตลอด

อย่างไรก็ตาม แม้ราคาหุ้นดังกล่าวจะอยู่ในระดับต่ำ แต่บริษัทก็ไม่แนะนำให้นักลงทุนซื้อ เนื่องจากปัจจัยพื้นฐานยังไม่น่าลงทุน ซึ่งที่ผ่านมาก็แนะนำให้นักลงทุนขายหุ้นตลอดเพื่อลดความเสี่ยง

เนื่องจากการที่บริษัทเข้าไปลงทุนในหลายโครงการก่อนหน้านี้ในแง่ของการสร้างรายได้จะยังไม่เกิดขึ้นในระยะสั้น อย่างน้อยก็คงจะเริ่มเห็นการรับรู้รายได้ตั้งแต่ปี 2550 เป็นต้นปี ในช่วงนี้บริษัทก็ต้องแบกรับภาระขาดทุนจากการลงทุนตลอด ซึ่งทำให้หุ้นขาดความน่าสนใจ และผลประกอบการก็เป็นไปตามคาดการณ์ไว้

ส่วนกรณีที่บริษัทขอเลื่อนการชำระเงินกู้ธนาคารกรุงไทยออกไป น่าจะเป็นการบริหารกระแสเงินสดของบริษัทให้สอดคล้อง กับระยะเวลาการชำระหนี้เพราะวงเงินกู้ถือว่าสูงมาก ดังนั้น จะต้องบริหารกระแสเงินสดให้สอดคล้องกับภาระหนี้ จะได้ไม่เป็นปัญหาในอนาคต แต่ไม่คิดว่าบริษัทจะขาดสภาพคล่องเนื่องจากเป็นการขอเลื่อน แต่ไม่ได้ขอยกเลิกการชำระหนี้ ขณะเดียวกันก็จะไม่ส่งผลกระทบต่อฐานะเงินกองทุนของธนาคารกรุงไทยเนื่องจากมีการตั้งสำรองหนี้ไว้แล้ว

แหล่งข่าวจากบริษัทแนเชอรัลพาร์ค เปิดเผยถึงสาเหตุของการขาดทุนว่า เป็นผลมาจากรถไฟฟ้าใต้ดิน (บีเอ็มซีแอล) เนื่องจากก่อนหน้านี้รถไฟฟ้าใต้ดิน ในช่วงที่ยังไม่เปิดดำเนินการ มีภาระดอกเบี้ยจ่ายกว่า 200 ล้านบาท

แต่ในช่วงนั้นยังไม่มีการบันทึกเป็นค่าใช้จ่ายทางบัญชี แต่เมื่อเปิดให้บริการตั้งแต่เดือนสิงหาคม ทำให้ต้องบันทึกดอกเบี้ยจ่ายกว่า 200 ล้านบาท ส่งผลให้ บีเอ็มซีแอลขาดทุนและทำให้เอ็นพาร์คในฐานะ ผู้ถือหุ้นใหญ่ต้องแบกรับภาระไปด้วย ซึ่งเป็นการรับรู้จากการขาดทุนดังกล่าว

Turn not around : บทเรียนของหุ้นรีแฮบ

โพสต์แล้ว: พุธ พ.ย. 17, 2004 4:51 pm
โดย gone
เงินสด ๆ ตั้ง 8000 ล้าน ไม่มีหนี้ เมื่อปีที่แล้ว
มันกลายเป็นอย่างนี้ได้ยังไงหว่า
ซื้อกิจการไม่หยุด ออกข่าวไม่หยุด ดูยังไงมันก็ทำราคาหุ้น
แต่ทำไปเพื่ออะไร
ใครมีข้อมูลย้อนหลังบ้างว่า กลุ่มทุนใหม่ (e-street, คุณสว่าง)
แอบขายออกไปบ้างรึเปล่า
ต้นทุนของพวกนี้อยู่ที่ประมาณ 1 บาท
แค่ขายออกไป 20% ของที่มีอยู่ตอนราคาเกิน 5 บาท
ก็ได้ทุนที่ใส่ไปคืนแล้ว
อาจจะคล้าย ๆ กับที่กลุ่ม คูส์ ทำกับ KGI ก็ได้
(ขาย W เอาทุนที่ใสไปคืน แต่เก็บหุ้นแม่ไว้)

Turn not around : บทเรียนของหุ้นรีแฮบ

โพสต์แล้ว: พุธ พ.ย. 17, 2004 6:19 pm
โดย Golden Stock
High risk high return ครับ

ถ้าคาดการณ์พลาดก็แย่ไป แต่เห็นราคาหุ้นแล้วค่อนข้างโหดครับ
ผมว่าส่วนใหญ่ที่พลาดกับหุ้นตัวนี้ ไม่น่าจะเป็นพวก VI นะครับ

Turn not around : บทเรียนของหุ้นรีแฮบ

โพสต์แล้ว: พุธ พ.ย. 17, 2004 9:24 pm
โดย Stock Broker
คนที่เจ็บตัวจากหุ้นตัวนี้ ถ้าจำไว้เป็นบทเรียนก็จะดีอย่างยิ่ง

กลัวแต่ว่าป่านนี้หลายคนที่ติดดอยอยู่ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าข่าวที่ลงนี้เกี่ยวกับหุ้นของบริษัทที่ตัวเองถืออยู่ เพราะตอนซื้อกะเล่นสั้น (แต่ดัน stop loss ไม่เป็น) เลยจำมาแต่ชื่อย่อภาษาอังกฤษ :?

Turn not around : บทเรียนของหุ้นรีแฮบ

โพสต์แล้ว: พุธ พ.ย. 17, 2004 10:15 pm
โดย Dech
มีเพื่อนมาชวนซื้อแถว 6-7 บาท ดีนะมาแนวนี้ ไม่งั้นเสร็จแน่ๆ

เพราะขนาดมาทางนี้ยังออกอาการร่อแร่เลยครับ ต้องศึกษาอีกเยอะๆๆ

ส่วนเพื่อนผมยังติดอยู่แถวยอดดอย เมื่อปีที่แล้วอยู่เลยครับ โชคดีที่ไม่มาก
ไม่งั้น.........

Turn not around : บทเรียนของหุ้นรีแฮบ

โพสต์แล้ว: พุธ พ.ย. 17, 2004 10:20 pm
โดย ปรัชญา
:oops: ยกให้เป็นหุ้นสุดโหด ของปี 2547 เลยผมว่า :cry:

Turn not around : บทเรียนของหุ้นรีแฮบ

โพสต์แล้ว: พุธ พ.ย. 17, 2004 10:47 pm
โดย CK
เคยเข้าไปร่วมวงไพบูลย์หนนึงครับ ตามประสานักทดลอง

แถวๆ 2.28 บาทหรือไงเนี่ย ต้อง cut loss ไปที่ 2.22 บาทโดยประมาณ

Turn not around : บทเรียนของหุ้นรีแฮบ

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. พ.ย. 18, 2004 12:23 am
โดย chatchai
ผมอยากให้เพื่อนๆคิดในมุมของ KTB บ้างครับ

ผมไม่ทราบว่าคณะกรรมการอนุมัติสินเชื่อของ KTB พิจารณาการชำระคืนหนี้ก้อนนี้ยังไง แหล่งเงินสดที่จะชำระคืนมาจากไหน

ถ้าในเอกสารขออนุมัติสินเชื่อชี้แจ้งว่า แหล่งที่มาของเงินสดที่จะมาชำระหนี้มาจากการออกหุ้นกู้ในอนาคต ตามที่เป็นข่าว

ผมขอประนามการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อครั้งนี้ด้วยครับ

พิจารณาแบบนี้ คบไม่ได้ครับ สมควรที่จะถูกตั้ง NPL แล้วครับ และผู้บริหารก็สมควรถูกลงโทษ ที่ทำให้ธนาคารและเงินของประชาชนเสียหาย

เพิ่งพ้นวิกฤต เอาอีกแล้ว ถ้าผู้ว่าแบงค์ชาติไม่เข้มงวด อนาคตก็คงวนเวียนกลับไปเหมือนเดิมก่อนเกิดวิกฤต

พวกโจรเสื้อนอก

Turn not around : บทเรียนของหุ้นรีแฮบ

โพสต์แล้ว: เสาร์ พ.ย. 20, 2004 4:28 pm
โดย Stock Broker
เห็นข่าวบอกว่า MD ของแบงค์กรุงไทยคนใหม่ จะเข้าไปตรวจสอบคุณภาพสินเชื่อทั้งหมดนะครับ ไม่ทราบเหมือนกันว่าจะมีอะไรออกมาให้แปลกใจกันอีกมั้ย

Turn not around : บทเรียนของหุ้นรีแฮบ

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ พ.ย. 21, 2004 10:10 pm
โดย นักดูดาว
ธปท.เชื่อN-PARKไม่เป็นหนี้เน่าKTB 'เสริมสิน'รับเล็งออกหุ้นกู้-ขายโรงแรม
โดย กระแสหุ้น


"หม่อมอุ๋ย" เชื่อ N-PARK ไม่เป็นเอ็นพีแอลให้แบงก์กรุงไทยแน่ และไม่ทำให้แผนขึ้นแบงก์ของ "ฟินันซ่า" สะดุด ด้าน "เสริมสิน" มั่นใจ KTB ยอมยืดเวลา พร้อมแจงแผนหาเงินใช้หนี้ เล็งออกหุ้นกู้แปลงสภาพขายนักลงทุนฮ่องกง 35 ล้านเหรียญ หรือ ไม่ตัดใจขายโรงแรม แปซิฟิกซ์ เพอร์เมอริเดียน กว่า 1 พันล้านบาท

ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวถึงกรณีที่ บริษัท แนเชอรัล พาร์ค จำกัด (มหาชน) (N-PARK) ขอยืดระยะเวลาการชำระหนี้ 1,700 ล้านบาทกับธนาคารกรุงไทยออกไป 6 เดือน และมีข่าวว่า หลักทรัพย์ค้ำประกันที่ใช้ซื้อเป็นหุ้นในเครือของบริษัทเอ็นพาร์ค เริ่มเสื่อมมูลค่าเนื่องจากราคาหุ้นในตลาดได้ลดลงไปมากว่า เรื่องนี้ยังปล่อยให้เป็นเรื่องของธนาคารกรุงไทยพิจารณาหาทางแก้ไข เพราะขณะนี้เอ็นพาร์คยังไม่ถือว่าเป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล)

"เชื่อว่า เมื่อยังมีคุณชัยวัฒน์ วิบูลสวัสดิ์ ประธานกรรมการบริหารกรุงไทยอยู่ คงเข้าใจและจัดการปัญหาหนี้ได้ เมื่อเอ็นพาร์คยังไม่เป็นเอ็นพีแอล ธปท.ยังไม่เข้าไปดู แต่ถ้าหลักทรัพย์เสื่อมหรือมีปัญหาก็เป็นอีกเรื่อง แค่เรื่องเหล่านี้ ธปท.มีความระมัดระวังอยู่แล้ว"

ส่วนกรณี N-PARK จะกระทบกระเทือนต่อการขอยกระดับเป็นธนาคารพาณิชย์ของบริษัทเงินทุนฟินันซ่าหรือไม่นั้น เพราะเอ็นพาร์คเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่บง.ฟินันซ่า ผู้ว่าการธปท. กล่าวว่า ถือว่าเป็นคนละเรื่องกัน แต่จากนี้ธปท.คงจะต้องเข้าไปดูการดำเนิน การของบง.ฟินันซ่า อย่างจริงจังว่า การทำธุรกิจเป็นอย่างไร มีปัญหาหรือผลกระทบอะไรจากรณีเอ็นพาร์ค หรือการถือหุ้นใหญ่ของเอ็นพาร์คหรือไม่

ด้าน นายเสริมสิน สมะลาภา กรรมการผู้จัดการ บริษัท แนเชอรัล พาร์ค จำกัด (มหาชน) หรือ N-PARK เปิดเผยถึง การเลื่อนการชำระหนี้ของธนาคาร กรุงไทยจำนวน 1,700 ล้านบาทว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณา 4 แนวทางในการหาเงินมาชำระหนี้ให้กับ ธนาคารกรุงไทย โดยแนวทางแรกคือการออกหุ้นกู้แปลงสภาพ โดยจะขายให้นักลงทุนต่างชาติคือประเทศฮ่องกง จำนวน 35 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ อายุ 5 ปี โดยมีราคาแปลงสภาพที่ 2 บาท แต่ขณะนี้มีปัญหาว่า อัตราดอกเบี้ยสูงเกินไป โดยอยู่ที่ระดับ 4% ซึ่งมองว่าอัตราดอกเบี้ยที่เหมาะสมคือ 3%

แนวทางที่ 2 อาจจะขายเงินลงทุนบางส่วนที่ถือหุ้นอยู่ในบริษัทในเครือ
แนวทางที่ 3 คือการรีไฟแนนซ์ โดยการนำหลักทรัพย์ที่ค้ำประกันอยู่ในธนาคารกรุงไทยจำนวน 2,700 ล้านบาท ไปกู้กับธนาคารอื่นเพื่อนำเงินมาคืนธนาคารกรุงไทย และแนวทางที่ 4 คือนำเงินจากการขายโรงแรม แปซิฟิกซ์ เพอร์เมอริเดียน รีสอร์ท โดยจะได้ส่วนแบ่งจากการขายโรงแรมดังกล่าวจำนวน 63% หรือมูลค่า 1,020.6 ล้านบาท


นอกจากนี้ ในช่วงนี้เป็นช่วงที่แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยปรับเพิ่มขึ้น การตั้งกองทุนอสังหาริมทรัพย์เพื่อนำเงินมาใช้คืนธนาคารจะทำให้บริษัทมีต้นทุนที่ ี่เพิ่มขึ้น ดังนั้นบริษัทจึงขอยืดเวลาการชำระหนี้ดังกล่าวออกไปเป็นเวลา 180 วัน สำหรับหลักทรัพย์ที่บริษัทนำไปค้ำประกันเงินกู้กับธนาคารกรุงไทย ณ วันที่ 11 พ.ย.มีมูลค่า 2,700 ล้านบาท ซึ่งถือว่าสูงกว่าหนี้ที่บริษัทได้กู้จากธนาคาร

"ในการเจรจากับผู้บริหารธนาคารเชื่อว่าธนาคารจะยอมผ่อนผันให้เพราะบริษัทก็ได้พยายามที่จะชำระเงินคืน เพียงแต่รอเวลาที่เหมาะสม และหลักประกันของบริษัทก็มีมากกว่ามูลค่าหนี้" นายเสริมสิน กล่าว

ขณะเดียวกัน นายเสริมสิน กล่าวถึงความคืบหน้าของโครงการร้อยชักสาม ว่า ขณะนี้โครงการร้อยชักสามได้ผ่านการพิจารณา จากกรมธนารักษ์แล้ว และขั้นตอนต่อไปทางกรมธนารักษ์ก็นำโครงการดังกล่าวนำเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ค.ร.ม.) ซึ่งจะต้องผ่านความเห็นชอบจาก ค.ร.ม.ก่อน

แต่อย่างไรก็ตามหากโครงการดังกล่าวได้ผ่านความเห็นของจาก ค.ร.ม.ก็จะสามารถสร้างโรงแรมอัมมัน ซึ่งถือได้ว่าเป็นโรงแรมที่ดีที่สุด ในประเทศและดีที่สุดระดับโลก โดยจะมีงบประมาณการลงทุนในโรงแรมดังกล่าวประมาณ 1,100 ล้านบาท คาดว่าจะทำการก่อสร้างเสร็จภายใน 2 ปี สำหรับในโครงการนี้ N-park ได้เซ็นสัญญาโปรเจ็คไฟแนนซ์กับทางธนาคารไทย พาณิชย์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

"สำหรับโครงการร้อยชักสาม ถือว่าเป็นโปรเจ็กต์ที่มีขนาดใหญ่ มีจำนวนเงินลงทุนมากกว่า 1,000 ล้านบาท ซึ่งในขณะนี้เราได้ผ่านกระบวนการ พิจารณาในขั้นแรกไปแล้ว และต่อจากนี้ก็กำลังอยู่ในขั้นตอนที่จะต้องนำเข้า ครม.ก่อนเพื่อที่จะให้ค.ร.ม.อนุมัติ ซึ่งถ้าถามว่าผมมั่นใจว่าจะ ได้ในโครงการนี้ไหม ผมก็มีความมั่นใจแต่ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่มีอะไรที่เป็นแน่นอนนอกจาก จะต้องมีการเซ็นสัญญากับกรมธนารรักษ์อย่างสมบูรณ์"

ส่วนโครงการที่สวนลุมไนท์บาร์ซาร์นั้น ทาง N-PARK ก็ได้เข้าไปร่วมประมูล ซึ่งมีผู้เข้าร่วมประมูลในพื้นที่นี้จำนวน 8 ราย โดยเป็นของ N-PARK และพันธมิตรร่วมจำนวน 3 ราย และขณะนี้อยู่ในระหว่างศึกษาและพิจารณาในรายละเอียดของโครงการต่อไป

นายเสริมสิน กล่าวต่อว่า สำหรับสาเหตุที่หุ้นของ N-PARK มีการปรับตัวลดลงนั้น เนื่องจากนักลงทุนลงทุนตามความเข้าใจ เพราะที่ผ่านมาบริษัทมีข่าวคราวลงทางสื่อต่างๆ มาก โดยตั้งแต่เปิดบริษัทจนถึงทุกวันนี้จากการรวบรวมของบริษัทพบว่า ในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา สื่อได้นำเสนอข่าวของ N-PARK ประมาณ 1,600 ข่าวหรือเฉลี่ย 6 ข่าวต่อ1 วัน

สำหรับสาเหตุอีกอันหนึ่งที่ทำให้ราคาหุ้นของ N-park นั้นมีราคาลดลง ก็น่าจะมาจากการที่บริษัทเป็นบริษัทอสังหา ริมทรัพย์ที่ออก จากแผนฟื้นฟูกิจการช้ากว่าบริษัทอื่น ทำให้ความสามารถในการทำกำไรเมื่อเทียบกับ บริษัทอสังหาริมทรัพย์รายอื่นจะมีน้อยกว่าดังนั้นบริษัทก็อยากให้นักลงทุนมองความสามารถในการทำกำไรของบริษัทในระยะยาว ซึ่งในส่วนตัวตนเองยังมีความมั่นใจในบริษัทนี้ โดยในช่วงที่ผ่านมาได้เข้าไปซื้อหุ้นในตลาดเพิ่มประมาณ 100 ล้านหุ้น

Turn not around : บทเรียนของหุ้นรีแฮบ

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ พ.ย. 21, 2004 11:27 pm
โดย วัวแดง
อยากรู้ตอนจบจังเลย :D

Turn not around : บทเรียนของหุ้นรีแฮบ

โพสต์แล้ว: จันทร์ พ.ย. 22, 2004 12:46 am
โดย ch_army
ดูๆไปสงสารคุณ สส เหมือนกัน ไม่รู้ว่าจริงๆเค้าคิดยังำงแล้วเดินเกมส์พลาดจากที่วางแผนไว้ยังไงก็ไม่รู้นะครับ ยังไงก็น่าเสียดายอย่างน้อยก็เป็น 1 ในผู้ร่วมชะตากรรม SE-ED ด้วยกันมาก่อน

Turn not around : บทเรียนของหุ้นรีแฮบ

โพสต์แล้ว: จันทร์ พ.ย. 22, 2004 2:08 pm
โดย jojo
ตามข่าวเห็นบอกว่าขายหุ้น SE-ED เอาเงินมาใช้หนี้ด้วยนี่ครับ