หน้า 1 จากทั้งหมด 1

ข่าวร้ายของลูกจ้าง(ไม่ค่อยเกี่ยวกับหุ้นเท่าไร)

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.ค. 21, 2003 11:20 pm
โดย Mon money
วันนี้ผมได้รับข่าวจากเพื่อนที่ทำงานเดิมของผม
วันนี้เพื่อนรุ่นพี่ของผมที่ทำงานมานาน...ตำแหน่งหน้าที่การงานก็สูงมาก....ผลงานประสบการณ์ในงานก็ดีอย่างต่อเนื่อง....แต่แกต้องถูกออกจากงานเพราะไปขัดใจนายฝรั่งที่ต้องการทำอะไรบางอย่างที่จะรักษาความมั่นคงของเขาไว้
เท่าที่ฟังและรู้จักพี่คนนี้ แกเป็นคนที่ตรงไปตรงมา...และความเป็นคนตรงไปตรงมาทำให้แกอยู่ไม่ได้และที่สำคัญแกยังไม่ได้เตรียมตัวจะไม่มีงานทำ เงินชดเชยที่ได้จะทำให้ชีวิตอยู่ได้อีกนานแค่ไหนก็ไม่รู้

ที่เล่ามานี้เพราะเพื่อนผมอีกหลายคนยังทำงานอยู่ที่นั้น ซึ่งตอนนี้ก็หนาวๆร้อนๆไม่รู้ว่าคิวของตัวเองจะมาเมื่อไร...ก็เจ้าพวกนั้นเขายังไม่ได้เตรียมพร้อมกับการที่ไม่มีงานทำ(เขาเคยคิดว่า..งานที่ทำอยู่นี้มั่นคงมาก) หลายคนยังสนุกกับการใช้ชีวิตลูกจ้างที่สะดวกสบาย จนถึงวันที่เห็นเพื่อนๆพี่ๆต้องออกจากงานกระทันหันจึงเริ่มคิด

เพื่อนผมคนหนึ่งปรึกษากับผมว่าควรเตรียมตัวอย่างไร เพราะผมเองก็โดนมรสุมจากนายฝรั่งมาเหมือนกัน แต่ผมเตรียมตัวไว้ก่อนหน้านั้นหลายปีแล้วจึงออกมาได้อย่างสง่าผ่าเผย ...ผมบอกเขาว่าเต้องมีกิจการของเราเอง...เราต้องรู้จักลงทุนเพื่อสร้างความมั่งคั่งของเราเอง...เงินเดือนไม่พอหรอกครับ ต่อให้เงินเดือนคุณสูงคุณยิ่งมีค่าใช้จ่ายสูงและประมาท...เพื่อนผมหลายคนไม่มีเงินเก็บเลย บางคนมีอยู่ก็อยู่ในธนาคาร....หลายคนมาให้ผมแนะนำผมก็แนะนำให้เริ่มประหยัด...และเงินที่ประหยัดได้ให้นำมาลงทุนในบริษัทดีๆ และถือนานๆ รับปันผล และผลตอบแทนทบต้นไปเลื่อยๆ เมื่อวันใดคุณเกิดมรสุมในที่ทำงานคุณจะมีกิจการเหล่านี้เป็นที่พึ่งพิง

ตัวผมเองได้กระทำอย่างนี้ล่วงหน้ามาไม่น้อยกว่า 4ปีที่ผ่านมา ในวันที่ผมจะต้องออกจากงานที่ผมเคยคิดฝากชีวิตไว้(ผมเติบโตในหน้าที่การงานมาก) ผมมีกิจการที่ดีรองรับอยู่ และมีเงินปันผลนำมาเริ่มทำธุรกิจเล็กๆ พอมีเงินเดือนเลี้ยงลูกเลี้ยงเมียได้อย่างสบายและมีความสูข และที่มีความสูขเมื่อได้เห็นเงินที่สะสมมาโตขึ้นอย่างช้าๆและมั่นคง

ผมอยากให้ใครที่มาอ่านผมเพ้อเจ้อในนี้ได้นำกลับไปคิดต่อครับ....ส่วนผมขอขอบคุณ การลงทุนและการประหยัดครับ

Re: ข่าวร้ายของลูกจ้าง(ไม่ค่อยเกี่ยวกับหุ้นเท่าไร)

โพสต์แล้ว: จันทร์ ก.ค. 21, 2003 11:35 pm
โดย ปรัชญา1
ผมอยากให้ใครที่มาอ่านผมเพ้อเจ้อในนี้ได้นำกลับไปคิดต่อครับ....ส่วนผมขอขอบคุณ การลงทุนและการประหยัดครับ[/quote]


:arrow: การลงทุนไม่ใช่เรื่องเพ้อเจ้อครับ
เป็นการวางแผนทางการเงินในชีวิต
และจะทำให้ชีวิตมั่นคงขึ้น
พร้อมกับความสุขใจและผลตอบแทนจากเงินปันผล

เมื่อก่อนตอนเข้ามาตลาดหุ้นใหม่ๆ ผมไม่เคยคิดถึงเรื่องการลงทุน
ผมคิดแต่ว่าจะต้องสร้างกำไรให้ดีที่สุดและเร็วที่สุด
ผมกำลังท้าทายกับความเสี่ยงอย่างไม่รู้ตัว

ผมก็ผิดพลาดกับการลงทุนมาถึง2ครั้ง ในระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา

จนมาอ่านบทความตอนหนึ่งของหนังสือตีแตก ของท่าน ดร.นิเวศน์
ที่บอกเรื่องเลี้ยงหุ้นเหมือนเลี้ยงลูก มีลูกหลายคนเพื่อหวังพึ่งพายามแก่
และมีหุ้นหลายตัวไว้เก็บเงินปันผลไว้เลี้ยงตัวเองยามแก่ ผมถึงได้มีความฝันที่จะสร้างความมั่นคงและมั่งคั่งให้กับชีวิตตัวเอง และพยายามเสี่ยงน้อยที่สุดเท่าที่พอจะคิดจะทำได้ จนมาถึงทุกวันนี้

อ่านบทความข้างบนเพื่อนคุณMon ก็เหมือนผมตอนเล่นหุ้นใหม่ไม่ได้คิดอะไรมาก เลยไม่ได้วางแผนการระยะยาวเพื่ออนาคตจนถึงตอนมีปัญหา
ถึงเริ่มจะต้องเริ่มต้นคิด บางครั้งอาจจะช้าไปสำหรับการแก้ตัว แต่ก็ยังดี
กว่าที่จะไม่คิดแก้ไข ได้ข้อคิดมุมมองมากครับคุณMon

ข่าวร้ายของลูกจ้าง(ไม่ค่อยเกี่ยวกับหุ้นเท่าไร)

โพสต์แล้ว: อังคาร ก.ค. 22, 2003 12:32 am
โดย ปีเตอร์ ชาง
เมื่อ 10 ปีที่แล้ว ผมเห็นหัวหน้าฝ่ายท่านนึง โดนย้ายไปนั่งหน้าห้องครับ ไม่มีงานให้ทำ บีบให้ออกว่างั้นเหอะ

ผมถามตัวเองว่า จะรอให้เขาให้เราออก หรือเราจะไปสร้างที่มั่นของเราเอง

สมัยนั้นเศรษฐกิจดีมากครับ ไปไหน หางานไม่ยาก คนทำธุรกิจต่างหากที่ลำบากหาลูกจ้างถูกๆไม่ได้

ผ่านมา 10 ปี รู้สึกดีที่ตีฝ่าออกมา เห็นเพื่อนๆหลายคน เริ่มเบื่องาน แต่ออกไม่ได้ เพราะห่วง และหนี้ผูกคอเยอะ

ผมว่า คนเป็นลูกจ้างปลอดภัยในปัจจุบัน แต่เสี่ยงในอนาคต
คนออกมาลงทุนทำธุรกิจเอง เสี่ยงในปัจจุบัน แต่ถ้ารอดก็ปลอดภัยในอนาคต

เราต้องมองให้ออกว่าการเป็นลูกจ้างนั้นเสี่ยงมากครับ ใครว่าเสี่ยงน้อยกว่าทำธุรกิจเอง เพราะเราฝากอนาคตเราไว้กับเจ้านาย ซึ่งไม่รู้ว่าวันไหนจะเป็นอย่างไร

เข้าปรัชญาที่ว่า "มันเสี่ยงเกินไปที่จะไม่เสี่ยง"

ข่าวร้ายของลูกจ้าง(ไม่ค่อยเกี่ยวกับหุ้นเท่าไร)

โพสต์แล้ว: อังคาร ก.ค. 22, 2003 10:00 am
โดย _THiNK_
เข้ามารับฟังอีกตามเคย

ผมก็ยังไม่เป็นนายของตัวเอง
ทำงานหลังขดหลังแข็ง
รอวันเขาไล่ออก :evil:

อย่างพระพุทธเจ้าว่า ... จงตั้งตนอยู่ในความไม่ประมาท :idea:

ข่าวร้ายของลูกจ้าง(ไม่ค่อยเกี่ยวกับหุ้นเท่าไร)

โพสต์แล้ว: พุธ ก.ค. 23, 2003 3:34 pm
โดย Mon money
เห็นมีเพื่อนๆร่วมเสนอแนวคิดในเรื่องนี้ วันนี้ผมขอนำเอาความคิดของผมเมื่อประมาณ 4 ปีที่ผ่านมา ตอนเริ่มต้นเตรียมพร้อมสำหรับการสร้างความมั่งคั่ง และพร้อมที่จะไม่เป็นลูกจ้างมาเล่าให้เพื่อนๆพี่ๆได้อ่านกันครับ
เมื่อ4ปีที่แล้วผมกับภรรยา(ตอนนั้นยังไม่ได้แต่งงานกัน) มีเงินเก็บรวมกันแล้วได้ 300,000 บาท ไม่ได้มีความสนใจในเรื่องการลงทุนเลยครับ เราทั้งสองทำงานเป็นลูกจ้างบริษัทฝรั่งใหญ่ที่เคยอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ มีเงินเดือนสองคนรวมกันเกือบ 200,000 บาท แต่ก็ใช้จ่ายฟุ่มเฟีอยเต็มที่เลยครับ ไม่มีเงินเหลือเก็บเลย จนกระทั่งเศรษฐกิจที่เป็นพิษอยู่ขณะนั้นมันเริ่มลามเข้ามาในที่ทำงานของผม(ซึ่งคิดว่ามั่นคง เป็นที่กำบังลมที่ดี) ทำให้เพื่อนของผมหลายคนต้องถูกออกจากงานไป ตัวผมเองถึงแม้จะทำงานได้ตามเป้าหมายแต่ก็ไม่วายถูกย้ายไปอยู่ต่างจังหวัด การมองเห็นเพื่อนๆและตัวเองเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างเลือกไม่ได้นี้ทำให้ผมและภรรยากลับมาคิดกันใหม่ถึงความมั่นคง ความคิดที่ว่าการเป็นลูกจ้างไม่ได้ให้ความมั่นคงกับผมเลยในเวลาที่ผ่านมา ผมเห็นเงินเก็บในธนาคารทำดอกเบี้ยให้ผมปีละ ไม่ถึง 2,000 บาทเลย ขืนปล่อยไว้อย่างนี้คงจะไปไม่รอด ผมจึงเริ่มหาธุรกิจทำโดยพึ่งพิงลูกค้าที่เคยค้าขายกันมา โดยนำสินค้าเขาไปขาย ตกลงกันดิบดีสุดท้ายก็ไม่มีใครยอมให้ผมทำเพราะเงินทุนของผมมันต่ำมาก คงเสี่ยงต่อเขาเลยไม่ให้ทำ ผมไม่หยุดแค่นั้นครับ ผมยังหาสินค้าเพื่อทำธุรกิจไปอีกเป็นเวลาหนึ่งปี แต่ไม่สำเร็จ
จนกระทั่งกลับมามองตัวเองว่าพอมีความรู้เรื่องการเงินอยู่บ้างเลยลงทุนในหุ้นแบบไม่มีหลักการอะไร เช้ารอดูบทวิเคราะห์ และเล่นไปตามนั้น แรกๆก็กำไรดี ต่อๆมากำไรซักน้อยลงจนสุดท้ายขาดทุน เงินต้นหายไปกว่าครึ่ง

จนได้มีรุ่นน้องคนหนึ่งแนะนำให้อ่านหนังสือของ อ.นิเวศน์ เรื่องตีแตก และอ่าน บทความของท่านในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจทุกวันอังคาร จนผมเกิดความสนใจอ่านหนังสือที่เกี่ยวกับ Warren Buffett Peter Lynch Bill Miller และหนังสือความรู้การลงทุนอื่นอีกมาก จนตกผลึกมาเป็นVIอย่างทุกวันนี้
เงินทุนของผมเริ่มตีตื้นขึ้นมาหลังวันที่ 11กันยายน ตอนที่เครื่องบินชนตึก ที่หุ้นตกอย่างมาก ทุกคนขายแต่ผมซื้อ โดยรวบรวมเงินทุนจากเงินเดือน โบนัส มาซื้อหุ้นเก็บไว้ พอความตกใจหายไปเงินของผมก็กลับมามีกำไรเช่นเดิม แต่การลงทุนของผมยังถูกครอบงำด้วยความโลภอยู่ดี ยังมีการซื้อๆขายๆอยู่มาก จะเก็บหุ้นบางตัวที่ดีๆไว้เป็นส่วนน้อย พอครบปีมาดูผลงาน มีกำไรครับ แต่ค่าคอมมิสชั่นก็มากพอๆกับผลกำไรเลย ทุกวันนี้ถ้าหากผมยังถือหุ้นดีๆเหล่านั้นไว้ผมจะกลายเป็นเศรษฐีมีเงินเป็น 10 ล้านแล้วครับ
ทุกวันนี้ผมซื้อแต่หุ้นดีๆเก็บไม่กี่ตัว และถือยาวๆๆๆๆ ผลตอบแทนสวยงามมากครับ เงินปันผลที่ได้เอากลับมาลงทุนต่อ เงินที่ได้จากการขอคืนภาษีแบ่งไปลงทุนเพิ่มและทำบุญครับ

ทุกวันนี้ผมเป็นเจ้าของกิจการเล็กๆ มีรายได้จากเงินเดือนนิดหน่อยก็มีชีวิตอยู่อย่างสูขสบาย ใช้จ่ายอย่างประหยัด เรียบง่าย การเป็นเจ้าของกิจการทำให้ผมพัฒนาการลงทุนได้มากขึ้นรอบรู้มากขึ้น เข้าใจเรื่องธุรกิจการเงินและการบัญชีได้กว้างขึ้น เหมือนอย่างที่Warren Buffettเคยกล่าวไว้ไม่มีผิด
ผมตั้งความหวังไว้ว่าผมจะเกษียรตอนอายุ 45 ปี และยังคงลงทุนต่อไป ผมก็ยังคงสอนหลานๆลูกของผมให้รู้จักประหยัด และหัดลงทุนด้วยครับ ผมจะรอดูผลงานของผมและของลูกหลานผมต่อๆไป

ผมอยากให้เพื่อนๆที่เข้ามาอ่านที่ได้ลงทุนแล้ว และกำลังคิดอยู่ได้ลงทุนด้วยเหตุผล และถือมันตราบมันยังเป็นกิจการที่ดีต่อไปครับ มันจะสร้างความมั่งคั่งและมั่นคงที่แท้จริงให้เราในอนาคตครับ

ข่าวร้ายของลูกจ้าง(ไม่ค่อยเกี่ยวกับหุ้นเท่าไร)

โพสต์แล้ว: พุธ ก.ค. 23, 2003 8:23 pm
โดย olive
เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งในเรื่องการลงทุนค่ะ ดิฉันโชคดีที่ได้คิดตอนที่ชีวิตยังไม่เกิดวิกฤต ดิฉันเป็นหมอฟันนับว่ามีรายได้พอตัวทีเดียว ใช้จ่ายก็มากเท่าที่รายรับหามาได้ เคยฝันตั้งแต่ทำงานใหม่ๆว่าถ้ารายได้ขนาดนี้แค่ 10 ปีก็จะเก็บเงินได้เป็นสิบล้านทีเดียว อนิจจา :( ผ่านมา10ปีพอดีมีเงินเก็นแค่ล้านเดียว โชคดีที่ได้อ่าน rich dad ทำให้ฉุกคิดว่าเราเองก็คงไม่พ้นคนที่อยู่ใน90% ที่จะมีชีวิตอยู่อย่างกระเบียดกระเสียรในยามชรา เลยตั้งต้นใหม่ เริ่มเลยตั้งแต่อ่านหนังสือจบ และคิดว่าจะลงทุนต่อ :wink: ไป และตั้งใจเป็นอย่างมากว่าเมื่อเก่งๆจะได้มีโอกาสถ่ายทอดความรู้เรื่องการลงทุนให้กับคนอื่นเหมือนที่ทุกท่านในที่นี้กำลังช่วยกันทำอยู่ค่ะ :wink:

ข่าวร้ายของลูกจ้าง(ไม่ค่อยเกี่ยวกับหุ้นเท่าไร)

โพสต์แล้ว: พุธ ก.ค. 23, 2003 8:36 pm
โดย yoyo
ร้อนมาหลายร้อนหลายหนาวเลยนะครับเฮีย
ยังไงก็แนะนำเด็กน้อยผู้นี้ด้วยนะครับ

ผมว่ามีหลายคนนะครับที่ได้แรงบันดาลใจมาจากหนังสือ rich dad
ผมเองก็คนนึงละครับ ขอบคุณ seed ที่เอาหนังสือดีๆมาให้อ่านอยู่เรื่อยๆ

ข่าวร้ายของลูกจ้าง(ไม่ค่อยเกี่ยวกับหุ้นเท่าไร)

โพสต์แล้ว: พุธ ก.ค. 23, 2003 8:48 pm
โดย Solo
ที่ที่ อันตรายที่สุด คือที่ที่ปลอดภัย ที่สุด สำหรับ คนมีหลักการ มี สมองคิดดีดีครับ

ข่าวร้ายของลูกจ้าง(ไม่ค่อยเกี่ยวกับหุ้นเท่าไร)

โพสต์แล้ว: พุธ ก.ค. 23, 2003 11:00 pm
โดย Mon money
ผมว่าก็มีอีกหลายคนที่มีประสบการณ์ดีๆมีประโยชน์ พี่ปรัชญาทยอยเล่าไปเลื่อยๆแล้ว พี่ครรชิตเคยเล่าแล้วในกระทู้ จดหมายถึงลุงขวด ใครไม่เคยอ่านเข้าไปที่
http://www.thaivalueinvestor.com/webboa ... c.php?t=33

ยังมีอีกหลายท่านครับ ที่ยังไม่ยอมเปิดเผยให้ฟังเช่น พี่CK คุณนักดูดาว ฯลฯ เพื่อนๆเรียกร้องกันเถิดครับ

ข่าวร้ายของลูกจ้าง(ไม่ค่อยเกี่ยวกับหุ้นเท่าไร)

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ก.ค. 24, 2003 1:34 am
โดย runtome
สวัสดีค่ะ

มาแอบอ่านเหมือนเคย
วันนี้ขอทักสักหน่อย

ข่าวร้ายของลูกจ้าง(ไม่ค่อยเกี่ยวกับหุ้นเท่าไร)

โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ก.ค. 24, 2003 2:21 am
โดย moo
พี่MON MONEY ครับ ผมชอบอ่านที่มาของผู้ที่ประสพความสำเร็จครับ บทนี้ติดใจตรงที่ การตั้งใจจะปลดเกษียรเมื่ออายุ 45 มากครับ บังเอิญมีความคิดเดียวกัน ทีนี้ใคร่ขอทราบการตระเตรียมเกษียรว่ามีการวางแผนอย่างไรบ้าง เรื่องของครอบครัว ลูก หรือว่าเป็นไปได้มากน้อยเพียงใดถ้าเราจะลงทุนในหุ้นอย่างเดียว โดยไม่มีรายการอื่นรองรับ เท่าที่ผ่านมาเราทำงานหาเงิน และ เมื่อถึงจุดนั้น เราจะใช้เงินไปทำงานแทน ค่าใช้จ่ายต่างๆจะเพียงพอแค่ไหน ขนาดของพอร์ตต้องเท่าไหร่ รบกวนพี่ยกตัวอย่าง หรือ ตัวเลข คร่าวๆให้ด้วยนะครับ ได้โปรดชี้แนะ ขอบคุณครับ พี่ๆทุกท่านด้วยนะครับ

ข่าวร้ายของลูกจ้าง(ไม่ค่อยเกี่ยวกับหุ้นเท่าไร)

โพสต์แล้ว: ศุกร์ ก.ค. 25, 2003 10:12 pm
โดย Mon money
ทุกวันนี้ผมก็ยังทำงาน แต่ทำงานของผมเอง จ่ายเงินเดือนตัวเอง หากคุณยังทำงานเป็นลูกจ้างยังไม่เห็นโอกาสดีๆที่จะออกมาทำเองก็ควรตั้งใจทำงาน สิ่งสำคัญต้องประหยัดครับ สมัยผมเป็นลูกจ้างผมมีเงินเดือน 70,000 บาท ผมใช้จ่ายไม่เกินเดือนละ10,000 บาท ที่เหลือผมลงทุนในหุ้นหมด ผมสะสมมาเลื่อยๆเป็นเวลา3ปี พยายามรักษาวินัยในการลงทุน เลือกหุ้นดีๆและลงทุนเต็มที่และถือยาว ระยะหลังผมปรับพอร์ตเลือกแต่หุ้นที่ถือยาวๆแล้วสบายใจ ศึกษาให้แน่นอนแวลงมือจากนั้นรอคอยผลงานครับ

ส่วนแผนก็คือ หากคุณลงทุนแล้วได้รับผลตอบแทน 15%ต่อปี เงินต้นที่คุณมีจะกลายเป็นสองเท่าในระยะเวลาประมาณ 5 ปี หากมากเป็น 20% คุณจะมีเงินสองเท่าภายใน 4 ปี หากคุณเริ่มต้นเร็วๆคุณจะมั่นคงเร็ว ที่เหลือคือการวางแผนของคุณแล้วครับ

อย่าลืมประหยัดและลงทุนอย่างมีเหตุผลและถือยาว