หน้า 1 จากทั้งหมด 1

แพทย์ไทยเสี่ยงฆ่าตัวตาย หมอสูติฯ-จิตแพทย์น่าห่วง

โพสต์แล้ว: จันทร์ ต.ค. 04, 2004 11:24 pm
โดย CEO
ผมเห็นว่าในนี้มีหมอหลายคน เลยเอาข่าวมาถามครับว่ามันเท็จจริงประการใด

/////
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 4 ตุลาคม 2547 11:07 น.

พบแพทย์ทั่วโลกแนวโน้มฆ่าตัวตายเพิ่มขึ้น ขณะที่ในไทยก็ไม่น้อยหน้า หมอสูติฯ มาเป็นอันดับ 1 จิตแพทย์ตามมาติด ๆ เผยกรรมวิธีมีทั้งซับซ้อนอย่างฉีดยาเข้าเส้น กินยานอนหลับเกินขนาด ไปจนถึงแขวนคอตาย ยิงตัวตายและกระโดดตึก เร่งลงปฏิญญาดูแลเพื่อนร่วมวิชาชีพเป็นการด่วน

น.พ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน นายแพทย์ใหญ่กรมสุขภาพจิต เปิดเผยว่า จากตัวเลขขององค์การอนามัยโลกเมื่อปลายที่ผ่านมาระบุชัดเจนว่า แพทย์เป็นวิชาชีพที่บุคลากรฆ่าตัวตายมากที่สุด โดยเฉพาะในแถบประเทศที่พัฒนาแล้วสูงถึง 40 ต่อประชากรแสนคน มากกว่ากลุ่มประชากรทั่วไป ทำให้มีการจัดตั้ง ศูนย์ป้องกันการฆ่าตัวตายสำหรับแพทย์โดยเฉพาะ

ทั้งนี้ จากการวิจัยเจาะลึกถึงสาเหตุหลักพบว่า แพทย์ส่วนใหญ่ทำงานหนักเพื่อรักษาภาพที่ทั่วโลกมองว่าเป็นฮีโร่ จนไม่มีเวลาดูแลตัวเองและครอบครัวโดยเฉพาะแพทย์ที่เป็นผู้หญิงตัวเลขการฆ่าตัวตายสูงกว่า เนื่องจากต้องรับผิดชอบงานบ้านไปด้วยเกิดความเครียดมีภาวะทางจิตโดยไม่รู้ตัวสั่งสมเป็นเวลานานจนนำไปสู่การฆ่าตัวตาย

สำหรับประเทศไทยนั้น มีแนวโน้มที่น่าเป็นห่วงเช่นเดียวกัน ซึ่ง น.พ.ทวีศิลป์ในฐานะ ผู้วิจัยหลักปัจจัยเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการฆ่าตัวตายของแพทย์กล่าวว่า จากการสำรวจสาเหตุการฆ่าตัวตายตั้งแต่ปี 2545 ย้อนกลับไปมักระบุเพียงหัวใจวายเป็นส่วนใหญ่ แต่เมื่อลงลึกในรายละเอียดพบว่าสาเหตุหลักคือต้องการฆ่าตัวตาย โดยสำรวจพบแพทย์ฆ่าตัวตายถึง 18 ราย อายุระหว่าง 20-49 ปี ที่ยืนยันได้ 11 ราย สูตินรีแพทย์สูงสุด 3 ราย จิตแพทย์ 2 ราย กุมารแพทย์ 2 ราย ศัลยแพทย์ 2 ราย อายุรแพทย์ 1 ราย รังสีแพทย์ 1 ราย

อย่างไรก็ตาม มั่นใจว่าจำนวนแพทย์ที่ฆ่าตัวตายมีมากกว่านี้ แต่การรายงานข้อมูลการตายไม่ตรงตามข้อเท็จจริงจึงไม่อาจยืนยันได้ และมักจะไม่ได้รับความร่วมมือจากผู้ที่เกี่ยวข้องเท่าที่ควร

สาเหตุการตายส่วนใหญ่ก็ไม่แตกต่างไปจากคนทั่วไปคือเจ็บป่วยทางจิตถึง 11 ราย มีทั้งอกหักรักคุด ปัญหาในครอบครัว สูญเสียคนรัก ปัญหาทางด้านหน้าที่การงาน เป็นโรคร้าย ติดยา

กลัวการฟ้องร้อง ซึมเศร้า ฯลฯ ส่วนวิธีการฆ่าตัวตายจะล้ำลึกกว่าจากวิชาชีพที่เรียนมา เช่น มีการฉีดยาเข้าเส้นเลือด ใช้ยานอนหลับเกินขนาด และวิธีการทั่วไปคือ แขวนคอตาย มากที่สุด รองลงมาคือ ยิงตัวตายและกระโดดตึก ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าห่วงเพราะแพทย์ 1 คน กว่าจะร่ำเรียนจบต้องเรียนแพทย์ 6 ปี ต่อยอดอีก 3 ปี บางคนต่อปริญญาเอกและสูงกว่านั้น หมดเงินไปหลายล้านบาท

แพทย์ 1 คนต้องดูแลประชากรเป็นแสน การขาดแพทย์ไป 1 คนถือเป็นความสูญเสียครั้งใหญ่

น.พ.ทวีศิลป์ กล่าวต่อว่า การที่แพทย์จะตัดสินใจฆ่าตัวตายนั้น ไม่ใช่เหตุปัจจุบันทันด่วนแต่เป็นการสะสมมานานจากหลายปัญหา และด้วยความที่แพทย์มีความเป็นตัวของตัวเองสูง ไม่มีแพทย์ประจำตัว ไม่ยอมรับว่าตัวเองเป็นโรคจิตเวช และยอมรับไม่ได้หากแพทย์ด้วยกันจะมารักษากันเองโดยเฉพาะ อาจารย์ที่จะรักษาลูกศิษย์ หรือลูกศิษย์จะรักษาอาจารย์ ทำให้ไม่สามารถเข้าถึงการแก้ปัญหาได้และสายเกินแก้ในที่สุด

สำหรับแนวทางในการป้องกันคือ ตระหนักในปัญหาโรคทางจิตเวช โดยเฉพาะโรคซึมเศร้า โดยให้มีการค้นหาและได้รับการรักษาอย่างมีมาตรฐาน และให้แพทย์เห็นความสำคัญของสถาบันครอบครัว

ทั้งนี้ ในงานมหกรรมสุขภาพถวายไท้ 72 พรรษาพระบรมราชินีนาถ ซึ่งเป็นปีครบรอบ 36 ปีของแพทยสภาระหว่างวันที่ 1-3 ต.ค.ที่ผ่านมา กลุ่มเพื่อนแพทย์ได้ลงปฏิญญาร่วมกันในการที่จะดูแลแพทย์ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี ลดภาวะการฆ่าตัวตายที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากหลายสาเหตุ

ด้าน น.พ.พรชัย สิทธิศรัณย์กุล หนึ่งในทีมวิจัย กล่าวว่า จากการสำรวจสุขภาพจิตของแพทย์ไทยโดยระบบการสุ่มเลือกอย่างเป็นระบบจากกลุ่มแพทย์ไทยที่มีเลขที่ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเวชกรรม ผลการประเมินภาวะสุขภาพจิตพบว่า เพศชายมีผลการประเมินภาวะสุขภาพจิตอยู่ในผิดปกติ 15 คน หญิง 13 คน ความชุกของปัญหาสุขภาพจิตคิดเป็นร้อยละ 7.4 เมื่อสำรวจถึงประวัติย้อนหลังพบว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับความพึงพอใจในวิชาชีพแพทย์และมีประวัติการใช้ยานอนหลับในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมาด้วย

ผลการวิจัยนี้ชี้ให้เห็นถึงภาวะสุขภาพจิตในกลุ่มแพทย์มีแนวโน้มมีปัญหา จึงควรหาแนวทางป้องกันและหาสาเหตุต่อไป

ขณะที่ น.พ.สมเกียรติ วัฒนศิริชัยกุล ผอ.ศูนย์การศึกษาต่อเนื่องของแพทย์ แพทยสภา ในฐานะผู้ทำการวิจัยอายุขัยโดยเฉลี่ยของแพทย์ กล่าวยอมรับว่า ก่อนหน้านี้มีรายงานส่อว่าแพทย์ไทยเสียชีวิตก่อนวัยอันควรเมื่อเทียบกับประชาชนทั่วไป แต่เป็นที่น่ายินดีว่าแนวโน้มของแพทย์ดูแลรักษาตัวเองเพิ่มขึ้น ทั้งการออกกำลังกาย ตรวจสุขภาพประจำปี ไม่ดื่มสุราและสูบบุหรี่

อย่างไรก็ตามยังมีแพทย์อีกจำนวนไม่น้อยที่มักไม่รู้ตัวว่าตัวเองป่วยเป็นโรคอะไร เนื่องจากเชื่อมั่นในตัวเองสูงว่าเป็นแพทย์ดูแลรักษาตัวเองดีอยู่แล้ว จึงทำให้การวินิจฉัยโรคช้าบางรายกว่าจะพบว่าตัวเองเป็นโรคร้ายก็ถึงระยะสุดท้ายแล้ว

แพทย์ไทยเสี่ยงฆ่าตัวตาย หมอสูติฯ-จิตแพทย์น่าห่วง

โพสต์แล้ว: จันทร์ ต.ค. 04, 2004 11:39 pm
โดย Dr.T
อ่านแล้วแปลกใจเหมือนกันครับว่าจิตแพทย์ที่ต้องคอยตรวจสภาพจิตคนที่คิดฆ่าตัวตายทำไมถึงไม่รู้ว่าตัวเอง prone ที่จะฆ่าตัวตายเหมือนกัน

งง :?

แพทย์ไทยเสี่ยงฆ่าตัวตาย หมอสูติฯ-จิตแพทย์น่าห่วง

โพสต์แล้ว: จันทร์ ต.ค. 04, 2004 11:47 pm
โดย harry
งานหนัก งานเยอะ เหนื่อย เงินเดือนน้อย ใครจะทน ถ้าลาออกไปทำงานอย่างอื่นที่ดีกว่าเดิมได้ คงไปแล้วล่ะ

แพทย์ไทยเสี่ยงฆ่าตัวตาย หมอสูติฯ-จิตแพทย์น่าห่วง

โพสต์แล้ว: จันทร์ ต.ค. 04, 2004 11:58 pm
โดย Jeng
ไม่รู้สมัยนี้ระบบคัดเลือกแพทย์ เขาเลือกอย่างไร
เอาเป็นว่าผมขอแนะนำเพิ่มเติม ให้สอบธรรมะเพิ่มอีก 100 คะแนน ถือเป็นการถ่วงน้ำหนัก 1 ใน 5 หรือ 1 ใน 6 วิชาที่สอบคัดเลือกก็แล้วกัน
น่าจะพอช่วยได้
แต่ยอมรับจริงๆ ว่ามีเพื่อนก็เหมือนไม่มี เพราะทุกคนงานมากจริงๆ ลูกเมียก็ลำบาก ไม่ค่อยได้เจอหน้าพ่อแม่
ทางแก้ที่พอจะช่วยได้ ก็คือ เศรษฐกิจพอเพียง ไม่ต้องไปแข่งกับเพื่อนที่ร่ำรวย เพราะเงินไม่ได้ช่วยอะไรให้ครอบครัวดีขึ้น ถ้าต้องเสียเวลาไปกับการหาเงิน
อีกอย่างหนึ่ง ที่ช่วยได้ คือ อยู่เวรให้น้อยลง แล้วลงทุนแบบ VI มากขึ้น
น่าจะทำให้เวลามากขึ้น เมื่อเวลามากขึ้น อะไรๆก็ดีขึ้นเอง
โดยเฉพาะเรื่องการนอน แพทย์ อดนอนมากจริงๆ ผลคือความเครียดสะสม จนกระทั่ง วันหนึ่งก็ระเบิดออกมา

แพทย์ไทยเสี่ยงฆ่าตัวตาย หมอสูติฯ-จิตแพทย์น่าห่วง

โพสต์แล้ว: อังคาร ต.ค. 05, 2004 7:01 am
โดย kotaro
ไม่ยักรู้มาก่อนครับ ว่าหมอสูติ กับ หมอไซไค ตายก่อนเพื่อน คิดว่าหมอศัลย์ซะอีก

ผมว่าหมอไซไคน่าจะตายหลังสุดนะ :D

แพทย์ไทยเสี่ยงฆ่าตัวตาย หมอสูติฯ-จิตแพทย์น่าห่วง

โพสต์แล้ว: อังคาร ต.ค. 05, 2004 7:44 am
โดย โป้ง
เห็นได้ชัดเลยครับว่า การดูแลเอาใจใส่ซึ่งกันและกัน เป็นเรื่องสำคัญมาก

แม้แต่จิตแพทย์เอง ที่พวกเรามองกันว่าน่าจะดูแลจิตใจตัวเองได้เป็นอย่างดี

ยังต้องการ คำปรึกษา ต้องการคนที่พูดคุยระบายเรื่องในใจได้

แพทย์ไทยเสี่ยงฆ่าตัวตาย หมอสูติฯ-จิตแพทย์น่าห่วง

โพสต์แล้ว: อังคาร ต.ค. 05, 2004 6:00 pm
โดย CEO
ลดเครียด เพิ่มค่าตอบแทนแก้ปัญหาแพทย์ฆ่าตัวตาย

โดย ผู้จัดการออนไลน์ 4 ตุลาคม 2547

แพทยสภาปรับกฎหมายใหม่แก้ปัญหาแพทย์ฆ่าตัวตาย ลดเครียด เพิ่มค่าตอบแทน เตรียมเปลี่ยนระบบคัดเลือกแพทย์พบภาวะจิตเภทคัดออกทันที หากพบหลังจากเรียนให้ย้ายสาย ถ้าพบช่วงทำงานต้องเปลี่ยนหน้าที่หวั่นคนไข้ตกเป็นเหยื่อ วอนเพื่อนพ้องดูแลและรีบแจ้งแพทยสภาเพื่อเข้ารักษาเป็นการด่วน

นพ.สมศักดิ์ โลห์เลขา นายกแพทยสภา กล่าวถึงผลวิจัยแนวโน้มแพทย์ไทยฆ่าตัวตายเพิ่มขึ้นว่า เรื่องนี้น่าเป็นห่วงและไม่เฉพาะประเทศไทยเท่านั้น ทั่วโลกก็กำลังตื่นตัวในเรื่องนี้อยู่ ในส่วนของแพทยสภาเองก็กำลังเร่งดำเนินการปรับปรุงระเบียบบางฉบับเพื่อกำหนดเวลาการทำงานของแพทย์ เพราะปัจจุบันหากต้องเข้าเวรกลางคืนก็จะไม่พักผ่อนตลอด 24 ชั่วโมง ทำให้เกิดความเครียด ซึมเศร้าและนำไปสู่การฆ่าตัวตายในที่สุด

ตอนนี้แพทย์จบใหม่ได้เงินเดือนเริ่มต้น 8,000 กว่าบาทเท่านั้น จึงต้องดิ้นรนทำมาหากิน บางรายต้องไปเข้าเวรบ้าง ทำคลินิกบ้างแทบไม่มีเวลาพักผ่อน ร่างกายทรุดโทรมแต่ภาพของแพทย์ต้องดูดีเสมอ ความจริงพวกเราไม่ได้ต้องการเงินมากมายขอเพียงไม่อายวิชาชีพอื่นก็พอแล้ว เมื่อมีค่าตอบแทนที่เหมาะสมก็ไม่จำเป็นต้องดิ้นรนหารายได้เพิ่ม พวกเราทำงานกันหนักมาก เวลาจะพักผ่อนก็ถูกคนไข้โทรศัพท์ตามบ้าง ถ้าไม่ช่วยเหลือก็ถูกขู่จะฟ้องร้อง อย่าลืมว่าแพทย์เองก็เป็นคนถูกดุด่าก็มีเจ็บปวดพอว่ากลับไปก็เอาไปแฉออกตามสื่อ โดยไม่ได้บอกบริบทแวดล้อมว่าเกิดอะไรขึ้น ก็อยากให้สังคมเข้าใจและเห็นใจแพทย์บ้าง นพ.สมศักดิ์ กล่าว

นพ.สมศักดิ์ กล่าวว่า สำหรับมาตรการป้องกันการฆ่าตัวตายของแพทย์นั้น ความจริงมีกระบวนการคัดกรองตั้งแต่ขั้นตอนการสอบข้อเขียนผ่าน จะประกาศผลสอบเกินไว้จำนวนหนึ่ง หากตรวจสอบพบว่าใครมีปัญหาจิตเวชก็จะคัดออกทันที แตกต่างจากก่อนหน้านี้ที่ประกาศผลสอบพอดีทำให้มีปัญหาตอนจะคัดออก เพราะผู้ปกครองและตัวเด็กไม่มีใครยอมรับว่าตัวเองมีปัญหาทางจิต เกิดการประท้วงกันวุ่นวาย แต่หากอาการมาแสดงช่วงที่เป็นนักศึกษาแพทย์แล้วก็ต้องย้ายสายไปเรียนที่ไม่เกี่ยวข้องกับการรักษา อาจเป็นวิทยาศาสตร์การแพทย์เพื่อให้เขาได้วุฒิปริญญาตรี ขั้นสุดท้ายหากพบช่วงที่เป็นแพทย์แล้วก็อาจจะปรับเปลี่ยนระบบการทำงานไปเลย เช่น อาจไปเป็นอาจารย์แพทย์ สอนผ่าศพ หรืออะไรก็ได้ที่ไม่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของคนไข้

เพื่อนฝูงเพื่อนร่วมงานเป็นผู้ที่มีความสำคัญที่สุด หากพบให้รีบแจ้งมาที่แพทยสภาทันที เพื่อการรักษาอย่างทันท่วงที เพราะคน ๆ หนึ่งจะฆ่าตัวตายต้องผ่านกระบวนการซึมเศร้ามาระยะหนึ่งหากพบตั้งแต่ต้นโอกาสที่จะช่วยเหลือมีสูง ผมเคยมีเพื่อนที่แขวนคอตายเพราะผูกพันกับคนไข้ เขารักษากันมานานสุดท้ายต้องมาเสียชีวิตไปก็เลยทำใจไม่ได้ฆ่าตัวตายตาม ส่วนอีกรายถูกพ่อแม่บังคับให้เรียนทั้งที่ใจไม่ชอบสุดท้ายก็เลยทำได้ไม่ดีเครียดและฆ่าตัวตายในที่สุด นายกแพทยสภาระบุ

นพ.สมศักดิ์ กล่าวด้วยว่า ในต่างประเทศจิตแพทย์ครองแชมป์ฆ่าตัวตายสูงสุด เพราะเป็นวิชาชีพที่รับรู้เรื่องราวความทุกข์ของคนอื่นมากและนำกลับมาเป็นปัญหาของตัวเอง บางคนมีภาวะทางจิตอยู่แล้วก็ไปเรียนเพิ่มเติมเพื่อจะแก้ปัญหาให้กับตัวเอง แต่พอทำไม่ได้ก็เครียดและเลือกที่จะฆ่าตัวตาย

อย่างไรก็ตาม นพ.สมศักดิ์ย้ำว่า ไม่ว่าจะเป็นแพทย์หรือบุคคลทั่วไปหากได้พยายามฆ่าตัวตายครั้งหนึ่งแล้วจะให้ถือว่าเป็นกรณีฉุกเฉินต้องดูแลใกล้ชิด เพราะโอกาสที่จะฆ่าตัวตายซ้ำมีสูง ส่วนผลการรายงานของไทยที่ว่า สูตินรีแพทย์ครองแชมป์ฆ่าตัวตายสูงสุดนั้น ก็เพราะแพทย์สาขานี้เสี่ยงต่อการฟ้องร้องสูงสุด เพราะประชาชนทั่วไปเชื่อว่าเมื่อถึงมือแพทย์แล้วโอกาสที่จะเด็กและมารดาจะเสียชีวิตไม่มีเลย

แพทย์ไทยเสี่ยงฆ่าตัวตาย หมอสูติฯ-จิตแพทย์น่าห่วง

โพสต์แล้ว: อังคาร ต.ค. 05, 2004 9:10 pm
โดย ประจวบ
ผมว่าที่น่ากลัวกว่าน่าจะเป็น"คนไข้"ครับ
ถ้าหมอมีสุขภาพจิต
ความมั่นคงในบุคคลิกภาพ
ตลอดจนprocessในการตัดสินใจ
ไม่ได้มาตราฐาน(ฆ่าตัวตาย)
(ไม่ได้รวมถึงความรู้)
แล้วไปรักษาคนไข้ระยะวิกฤต
โอกาสในการรักษาผิดพลาดจะสูงมาก
ผล........ตาย เจ็บ พิการครับ

ยิ่งผมดูข่าวเรื่อง "หนึ่งอำเภอ หนึ่งหมอ"
คือคัดเด็กในอำเภอทุกอำเภอมาเรียนหมอ
(ไม่ได้ผ่านการต่อสู้คัดคนเก่ง+มีความพร้อมมากที่สุด)
สถิติฆ่าตัวตายของหมออาจจะสูงกว่านี้อีกมาก
รวมถึงคนไข้ด้วยครับ

แพทย์ไทยเสี่ยงฆ่าตัวตาย หมอสูติฯ-จิตแพทย์น่าห่วง

โพสต์แล้ว: อังคาร ต.ค. 05, 2004 9:25 pm
โดย ปรัชญา
พี่ประจวบ
น่าจะเล่าชีวิตการเข้าเรียนแพทย์ เป็นอย่างไรให้เป็นวิทยาทานครับ

เห็นแต่ภรรยาผมเล่าให้ผมฟังว่า...
ไปเป็นนักศึกษาพยาบาลที่มหาลัยขอนแก่น
เป็นนักศึกษาใหม่ๆเขาพาไปดูศพในห้องดับจิตฯ

หลังจากเรียนจบ ทำงานอยู่ที่CCU
คนไข้โรคหัวใจที่ผ่าตัดออกมา หัวใจหยุดเต้น
อาจารย์ชูศักดิ์ เอามือล้วงเข้าไปปั๊มหัวใจคนไข้สดๆกันเลย
พออาจารย์ชูเหนื่อยก็เรียกภรรยาผมที่กำลังเข้าเวรอยู่ให้ทำหน้าที่ล้วงเข้าไปบีบหัวใจคนไข้ เพื่อช่วยชีวิต สุดท้ายคนไข้ไม่ถึงที่ตายรอดมาได้ครับ

แพทย์ไทยเสี่ยงฆ่าตัวตาย หมอสูติฯ-จิตแพทย์น่าห่วง

โพสต์แล้ว: อังคาร ต.ค. 05, 2004 10:01 pm
โดย Dr.T
ผมว่าการคัดเด็กในพื้นที่ไปเรียนหมอ จบไปให้กลับไปเป็น primary care physician ในพื้นที่เป็นความคิดที่ดี แต่ต้องเลือกคนที่ใจรัก และมีสมองไปได้

ส่วนเรื่องน่าสนใจในชีวิตการเรียนหมอนั้น ผมว่า จะว่าเยอะมันก็เยอะ ก็คิดดูว่าตำราเรียนหมอนั้นสูงรวมกันประมาณสองเท่าของความสูงนักศึกษา
แต่อะไรมัน ๆ เร้าใจนั้นส่วนใหญ่เจอตอนอยู่ข้างนอก จบมาทำงานแล้วครับ
ในมหาวิทยาลัยไม่ค่อยได้ทำอะไรหนัก ๆ เองหรอก อีกอย่าง เล่าไปเดี๋ยวจะพากันไม่กล้าไปตรวจตามที่ ๆ เป็นโรงเรียนแพทย์กันหมด 8) :lol:

แพทย์ไทยเสี่ยงฆ่าตัวตาย หมอสูติฯ-จิตแพทย์น่าห่วง

โพสต์แล้ว: พุธ ต.ค. 06, 2004 10:57 am
โดย ผ่านมา
งานหนัก คือวิ่งลอก หรือเปล่า

มีเพื่อนเป็นหมอหลายคนนะ ญาติก็เป็น

บางคน ใช้ชีวิตปกติ เช้าไปทำงาน เย็นกลับบ้าน

ไปเข้าเวรบ้างตามหน้าที่ เดินไปตลาดทีไร เจอทุกที


ส่วนบางคน เช้าไปทำงาน เย็นรีบไปคลีนิค

ตกดึก ไป เข้าเวรที่โรงพยาบาลเอกชน

ผมว่ามันแล้วแต่นะ

แพทย์ไทยเสี่ยงฆ่าตัวตาย หมอสูติฯ-จิตแพทย์น่าห่วง

โพสต์แล้ว: พุธ ต.ค. 06, 2004 3:26 pm
โดย ประจวบ
ผมจบแพทย์ทั่วไปจากศิริราชมา24ปี(เอา2คูณเป็นอายุพอดี)
ตอนเรียนหนักมากครับเพราะหมอมีน้อย
คือเรียนกลางวันกลางคืนอยู่เวรตั้งแต่เป็นนักเรียนแพทย์
ตึกที่เรียนหนักสุดคือแผนกเด็ก
อยู่เวรวันเว้นวัน รับคนไข้ ทำlabเอง รายงานอจ.ตอนเช้า
(ผมหลับตอนlectureแทบทุกช.ม.)
กว่าจะจบเลือดตาแทบกระเด็น
ตอนเรียนมีความรู้สึกเป็นส่วนเกิน
คือเค้าไม่มีเราเค้าก็รักษาคนไข้กันไป(เราไปเรียน)

แต่พอจบมาเป็นinternผมออกมาบ้านนอก(จันทบุรี)
เพราะตั้งปณิธานไว้แล้วว่าไม่อยู่กรุงเทพ
ความรู้สึกเปลี่ยนไปครับ
ลุยทุกรูปแบบ อยากรักษายังไงว่ากันไปเลย
สต๊าฟเป็นแค่consultance
คือถ้ามีปัญหาตามเค้าได้
เค้าคอยรับผิดชอบให้(เพราะยังไม่ได้ใบประกอบโรคศิลป์)
จำได้ว่าผ่านสูติ2เดือนผ่าc\sคลอดไปซัก40รายได้
งานหนักกว่าตอนเป็นนักเรียนครับ
แต่มันมาก เลยไม่ค่อยเหนื่อย
แถมได้เงินเดือนด้วย(เดือนละ3500 ค่าเวร400)
รู้สึกสนุกที่สุดเพราะยังไม่มีภาระอะไร

พอจบมาทำงานที่ร.พ.จ.ตราด
สมัยนั้นเป็นรพ.เล็กๆครับมีหมอแค่10+คน
ไม่มีหมอเฉพาะทางเลย
ได้ทำงานเต็มที่ แต่ความรับผิดชอบสูงขึ้น
เพราะคนไข้อยู่ในมือเราคนเดียว
หนังสือ+ประสบการณ์ เป็นครูที่ดีที่สุดครับ

อาชีพหมอตรวจสอบกันลำบาก
เพราะเราดูแลคนไข้อยู่คนเดียว รู้อยู่คนเดียว
ถ้าไม่consult หมออื่นเค้าก็ไม่มายุ่งด้วย
ในช่วง1-2ปีแรกคนไข้คือครูของหมอทุกคน
ต้องให้หมอลองวิชา
ถ้าหมอความรับผิดชอบไม่ดี ความรู้แย่ การตัดสินใจแย่
คนไข้ซวยครับ