หน้า 1 จากทั้งหมด 1

สรุปไอเดียจากหนังสือ 100 Baggers by Christopher W. Mayer

โพสต์แล้ว: ศุกร์ มิ.ย. 18, 2021 5:29 pm
โดย NatNatNat
ผมได้สรุปไอเดียที่ได้หลังจากการอ่านหนังสือ 100 baggers เลยอยากจะมาแชร์เผื่อเป็นประโยชน์กับพี่ๆเพื่อนๆนักลงทุนที่สนใจวิธีการหาหุ้นเด้ง หรือกำลังพิจารณาว่าจะซื้อหนังสือเล่มนี้มาอ่านดีหรือไม่ ผมหวังว่าจะเป็นประโยชน์กับทุกท่านครับ

• วิธีการหาหุ้น 100X
1. ต้องมองหาโอกาสที่ใช่ อย่ามองหาหุ้นปันผลหรือหุ้นที่อาจจะโตได้แค่ 30-50%
2. มองหา growth มองหาบริษัทที่ยังมีโอกาสให้เติบโตอีกมาก โตได้เป็นระยะเวลายาวนาน (อาจจะมีผลประกอบการณ์สะดุดได้บ้างในระยะสั้น แต่ระยะยาวต้องโต)
3. ยิ่งถูกยิ่งดี เพราะ 100X มาจากทั้ง EPS ที่เพิ่ม และ PE Multiple ที่เพิ่ม ยิ่ง PE ถูกยิ่งดี (แต่หุ้นคุณภาพดีราคามักจะไม่ได้ถูกมากหรอกนะ)
4. ต้องมี Moat บริษัท 100X ต้องมี ROIC ที่สูงในระยะยาวเพื่อที่บริษัทจะสามารถ reinvest กำไรกลับไปยัง ROIC ที่สูงนั้น โดยบริษัทที่มี ROIC ที่สูงได้ในระยะยาวจะต้องมี Moat แม้ว่าจะเป็น narrow moat ก็ตาม
a. Moat อาจจะไม่ต้องแข็งแกร่งมาก เช่น Southwest airline หรือ Monster drink ในช่วงแรกๆก็ไม่ได้มี moat ที่แข็งแกร่ง
5. มองหาบริษัทขนาดเล็ก บริษัทใหญ่ๆโตได้อีกไม่มากแล้ว
6. มองหา Talented owner operator ลงทุนกับผู้บริหารที่เก่ง
7. ต้องให้เวลา ลงทุนเหมือนยัดเงินลงไปในกระป๋องกาแฟแล้วทิ้งไว้นานๆ 100X ส่วนใหญ่ใช้เวลา 20-25 ปี อย่าให้สัญชาตญาณที่ต้องทำอะไรซักอย่างเข้าครอบงำการตัดสินใจ
8. อย่าสนใจ noise เช่น ข่าวเศรษฐกิจ, Fed, การขึ้นลงของตลาด, ความถูกแพงของตลาด สนใจแต่ธุรกิจของหุ้นที่เราถือก็พอ
a. นึกถึงว่าถ้าเราซื้อ Apple ตั้งแต่ IPO เราไม่ต้องสนใจข่าวเศรษฐกิจ หรืออัตราดอกเบี้ยจาก Fed เราก็ได้หลายร้อยเด้ง (ไม่ว่าวิกฤตจะแย่ขนาดไหน ก็ยังมีโอกาสให้เราเข้าไปลงทุนในหุ้นดีเสมอ)
9. ต้องมีโชคช่วย บางครั้งมันก็เกิดเหตุการณ์ที่เหนือความคาดหมาย เช่น คนที่ลงทุนกับ Apple ในช่วงแรกๆก็คงไม่มี่ใครคิดว่า Apple จะคิดค้น smartphone แล้วเปลี่ยนโลกได้มากขนาดนี้ หรือหุ้นเราอาจจะมี moat แข็งแกร่งมาก แต่พอโลกเปลี่ยน Moat นั้นโดนทำลายทันที เช่น ธุรกิจทีวี หนังสือพิมพ์ ร้านเช่าวิดีโอ
10. ขายให้ยาก ถ้าเราทำการบ้านมาดีแล้วก่อนซื้อ โอกาสที่จะต้องขายแทบจะไม่มีเลย เราจะขายก็ต่อเมื่อการวิเคราะห์ไว้ตอนแรกนั้นผิดหรือเจอหุ้นที่ดีกว่า แต่ก็ต้องระวังเพราะคนเรามักคิดว่าหุ้นที่ขึ้นเยอะๆดีกว่าหุ้นที่นิ่งไม่ขยับไปไหน ต้องมั่นใจจริงๆนะถ้าจะเปลี่ยนตัว
a. ราคาหุ้นไม่ใช่เหตุผลที่จะหายหุ้นนะ
b. การที่ซื้อแล้วหุ้นตกไม่ได้แปลว่าเราวิเคราะห์ผิด หุ้น 100X อย่าง monster ยังมีช่วงเวลาที่หุ้นตกมากกว่า 25% ถึง 10 ครั้งใน 10 ปี แต่ถ้าถือผ่าน 10 ปีไปแล้วก็กลายเป็นหุ้น 100X
c. Netflix ก็เคยหุ้นตกวันเดียวเกิน 25% ถึง 4 ครั้ง เคยตกหนักสุด 81% ใน 4 เดือน หุ้นผู้ชนะก็เคยตกหนักๆมาก่อนทั้งนั้น

• Buy right and hold on
• นักลงทุนส่วนใหญ่ชอบหุ้นที่ขยับเยอะๆ ไม่ชอบหุ้นที่นิ่ง หรือราคาขยับตรงกันข้ามกับที่คิด ทำให้มีการซื้อขายบ่อย ทำให้พลาดกำไรก้อนใหญ่ สภาพแวดล้อมไม่ว่าจะเป็นข่าวหรือการเทียบผลตอบแทนระยะสั้นกับ benchmark ก็สนับสนุนแนวคิดการซื้อขายบ่อยๆ
• อย่า timing the market
• มองหา new method, new material, new product หรือสิ่งที่ทำให้ชีวิตดีขึ้น แก้ปัญหา หรือทำให้เราทำสิ่งต่างๆได้ดีขึ้น เร็วขึ้น ถูกลง บริษัทที่ทำสิ่งดีๆให้กับมนุษยชาติ
• การเข้าใจธุรกิจจริงๆสำคัญกว่าตัวเลขทางการเงิน
• ระหว่างการถือหุ้นจะมีเหตุผลมากมายให้เราขายหุ้นทิ้ง เช่น เงินเฟ้อ ภาวะสงคราม การขึ้นดอกเบี้ย เศรษฐกิจถดถอย แต่ถ้าเราถือหุ้นธุรกิจที่ถูกต้องแล้วเราก็ควรอยู่เฉยๆ
• โอกาสที่ดีอยู่กับหุ้นที่ตกหนัก ไม่มีใครสน
• บางครั้งหุ้นขึ้นแรง PE เริ่มสูง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราควรจะขายหุ้นออกไป
• ตัวอย่าง หุ้น MTY ทำร้านอาหาร หุ้น P/S=2, GPM 70%, ผู้บริหารถือหุ้น 29% ของบริษัท มี skin in the game, ครอบส่วนแบ่งตลาด fast food น้อยมาก มีโอกาสโตได้อีกมาก, การเติบโตมีทั้งซื้อกิจการและสร้างแบรนด์ใหม่ของตัวเอง การขยายโดยการซื้อกิจการและสร้างแบรนด์ใหม่ทำให้บริษัทสามารถเอากำไรไปลงทุนต่อในผลตอบแทนที่สูงได้อย่างต่อเนื่อง ทำให้กลายเป็น 100X
• หุ้นเล็ก ขึ้นมา 10-20X ก็ยังเป็นหุ้นเล็กอยู่ดี
• สิ่งสำคัญที่สุดคือ Growth ทั้งรายได้ มาร์จิ้น และ valuation
• การซื้อหุ้นคืนเยอะๆก็ทำให้ EPS เพิ่มขึ้น กลายเป็น multibaggers ได้เหมือนกันแม้ว่ารายได้กำไรของบริษัทจะไม่ได้โต
• ต้องใช้ vision + imagination มองไปในอนาคตเพื่อดูว่าตัวธุรกิจสามารถไปได้ถึงไหน จะใหญ่ได้แค่ไหน
• ไอเดียมันใหญ่แค่ไหน
• ขนาดตลาดอาจจะไม่ได้ต้องใหญ่มากก็ได้ ถ้าบริษัทสามารถครอง niched market ได้อย่าง Polaris ครอง snowmobiles ก็กลายเป็น 100X ได้เหมือนกัน
• แต่การโฟกัสกับบริษัทที่สามารถใหญ่ระดับประเทศหรือระดับโลกได้ก็จะมีโอกาสเจอ 100X มากกว่า
• หุ้น 100X หลายตัวมาจากการค้นพบแหล่งน้ำมัน คิดค้นยาบางตัวได้สำเร็จ ซึ่งมันยากที่จะเราจะคาดการณ์สิ่งเหล่านี้
• ยิ่งบริษัทมีรายได้มากขึ้น อัตรากำไรก็จะดีขึ้นจาก Economy of Scale (EOS) กำไรก็จะโตเร็วกว่ารายได้
• กรณีของ Monster เซียนหุ้นคิดว่าเป็นกระแสชั่วคราว และ PE แพงเกินไป แต่สุดท้ายก็ยังเติบโตระดับสูงไปได้เรื่อยๆ กลายเป็นหุ้น 700X -> เซียนอาจจะมีผิดพลาดบ้างเหมือนกัน ต้องคิดไตร่ตรองให้ดีก่อนจะเชื่อใครก็ตาม
• นักลงทุนต้องมีความคิดเป็นอิสระ ฟังได้แต่อย่าเชื่อ
• นึกถึง Amazon ตอนสัดส่วน e-commerce/total retail sale = 2% ยังมีโอกาสให้โตได้อีกเยอะมากๆ
• ถ้าบวกกลับ RD expense ที่ใช้ไปเพื่อการเติบโตในระยะยาวเข้าไปตอน valuation แล้วบริษัทก็ไม่ได้แพง บริษัทจะกำไรก็ได้ถ้าลด RD expense -> การวิเคราะห์อาจจะต้องมองลึกกว่าตัวเลขในเบื้องต้น มองถึงศักยภาพทางธุรกิจ มองความแข็งแกร่ง มองภาพใหญ่ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
• ลงทุนใน Amazon ต้องมั่นใจว่าการเติบโตของ e-commerce เป็นของจริง และศรัทธาในตัว Jeff Bezos
• Comcast ก็คล้าย Amazon คือดูเผินๆจะขาดทุนต่อเนื่อง แต่บริษัทมีฐานลูกค้าที่จ่ายเงินให้บริษัทอย่างต่อเนื่องทุกปี และการขาดทุนมาจากการลงทุนขยายโครงข่ายเคเบิลทีวี ถ้าดูจากรายได้และจำนวน subscriber ก็ยังโตต่อเนื่องทุกปี
• ต้องมองอะไรให้มากกว่างบการเงิน มองถึงวิสัยทัศน์ไปในอนาคต
• Pepsi โตเป็นหุ้นระดับ 100X ได้เพราะการขยายไปทั่วโลก และเพิ่มชนิดของสินค้า การเติบโตที่ต่อเนื่องยาวนานทำให้รายได้เพิ่มขึ้นมากกว่า 300 เท่าใน 50 ปี
• Gillette เติบโตเพราะผู้บริหารมีความกระหายในการเติบโตสูงมาก มีการ implement เทคโนโลยีใหม่ๆมาใช้ตลอดเวลา เช่น การโฆษณาทางทีวี มีการทำ RD เพื่อพัฒนาสินค้าให้ดีขึ้นตลอดเวลาแม้จะไม่มีคู่แข่งจะเข้ามาแข่งได้แล้วก็ตาม
• ก่อนปี 1964 หุ้นของ Gillette ไม่ได้ขึ้นเยอะแม้ว่ายอดขายเติบโตดี เพราะการที่คู่แข่งเข้ามาทำให้บริษัทต้องลดราคาสินค้า ทำให้กำไรไม่ได้เพิ่มขึ้นเท่ากับรายได้ที่เติบโตเยอะ บวกกับ PE ที่สูงในตอนแรกแล้วค่อยๆลดลงมาเรื่อยๆ
• การเติบโตของกำไรเป็นสิ่งสำคัญ แม้ว่าเราจะซื้อที่ PE multiple สูงหน่อยแต่กำไรที่โตหลายเท่าในระยะเวลานานๆก็จะทำให้ราคาหุ้นสูงขึ้นมาก ให้เลือกหุ้นที่กำไรโตเยอะๆก่อน PE ที่ถูก หุ้นที่ดีจะหาที่มี PE ถูกมากๆก็คงยาก (Good stocks are seldom without friends. Hence, they are rarely cheap in the usual sense. Don't let a seemingly high initial multiple scare you away from a great stock)
• ผู้บริหารมืออาชีพมักจะมองผลตอบแทนระยะสั้นเป็นหลัก เช่น ซื้อกิจการเร็วๆ มองกำไรรายไตรมาส เสี่ยงเพื่อการเติบโตเร็วๆ แต่เจ้าของที่มาบริหารบริษัทเองมักจะมองภาพระยะยาวมากกว่า กล้าลงทุนเพื่อการเติบโตในระยะยาว การซื้อกิจการก็เพื่อโอกาสในระยะยาวเป็นหลัก
• คุณสมบัติของผู้บริหารที่ดีคือบริหารจัดการเงินทุนของบริษัทอย่างชาญฉลาด เช่น จ่ายปันผลให้น้อย ซื้อกิจการอย่างมีวินัย กู้หนี้เมื่อคิดไตร่ตรองมาอย่างดีแล้ว ซื้อหุ้นคืนจำนวนมาก(เมื่อหุ้นต่ำกว่ามูลค่าที่เหมาะสม) หาวิธีเสียภาษีให้น้อยที่สุด กระจายอำนาจในองค์กร โฟกัสที่กระแสเงินสดมากกว่างบกำไรขาดทุน
• ตัวอย่าง Moat
• Strong brand: Tiffany ทำให้ขายของได้แพงกว่าเจ้าอื่น Oreo ทำให้ลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำเรื่อยๆ
• Switching cost: คนไม่ค่อยเปลี่ยนธนาคารเพราะยุ่งยาก
• Lower Price: Walmart ขายของถูกสุด, IBKR ค่าคอมถูกสุด โตเร็วมาก
• Size: บางธุรกิจมี fixed cost สูง กำไรต่อหน่วยต่ำ ต้องมีส่วนแบ่งการตลาดสูงมาก (รายได้สูงมาก) ถึงจะทำกำไรได้ แบบนี้รายเล็กๆจะอยู่ไม่ได้
• สินค้าที่ดีมากไม่ใช่ Moat เช่น รถ Chrystler minivan ที่ถูกคู่แข่งลอกเลียนแบบได้และไม่สามารถตั้งราคาสูงกว่าคู่แข่งได้
• Moat บางครั้งก็ไม่ยั่งยืน ในอนาคตอาจจะมีคู่แข่งทำลายลงได้
• อย่ามองเป็นอุตสาหกรรม ให้มองเป็นรายบริษัท อุตสาหกรรมที่แย่อย่างสายการบินก็มีหุ้นที่เป็นการลงทุนที่ดีได้
• Margin สูงกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมอาจจะแสดงว่าบริษัทมี Moat
• ควรทำ industry map ใส่แต่ละ player เข้าไปจะได้เห็นภาพรวมของอุตสาหกรรม เช่น อุตสาหกรรมการบิน มีบริษัทให้เช่าเครื่องบิน มีผู้ผลิตเครื่องบิน มีซัพพลายเออร์ผู้ผลิตชิ้นส่วน มีบริษัทเติมน้ำมัน มีบริษัทบริหารจัดการสัมภาระ มีสนามบิน มีสายการบิน เป็นต้น
• การเขียน Map จะทำให้เรามองออกว่ามูลค่าของอุตสาหกรรมไปอยู่ตรงไหน เช่น บริษัทให้เช่าเครื่องบิน, OTA และ Freight forwarder
• อุตสาหกรรมที่นิ่งแล้วผู้เล่นที่ capture value จะไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงมาก แต่อุตสาหกรรมที่ยังไม่นิ่ง(ในช่วงเวลาที่หนังสือเล่มนี้ถูกเขียน) เช่น smartphone ยังมีพื้นที่สำหรับโอกาสและความท้าทายตลอดเวลา
• CEO ส่วนใหญ่จะมีเสน่ห์ทำให้เราคล้อยตาม เราควรฟังบทสัมภาษณ์ย้อนหลังดูว่าเค้าทำได้จริงอย่างที่พูดรึป่าว มีการเปลี่ยนคำพูดรึป่าว ฟังแล้วต้องเอามานั่งคิดดีๆว่าเป็นไปได้รึป่าว อย่าคล้อยตามทุกอย่างโดยไม่คิดไตร่ตรองให้ดีก่อน
• การตรวจสอบของ Board ในเรื่องนั้นๆไม่น่าเชื่อถือ เพราะบอร์ดกลัวจะกลายเป็นคนผิดเลยมักตรวจสอบไม่เจออะไรผิดปกติ
• Auditor เจ้าดังๆไม่ได้การันตีว่าบริษัทจะไม่ได้โกง มีบริษัทที่โกงใช้ Big 4 เยอะแยะ
• IB เค้าอยากจะขายหุ้นให้ลูกค้า อย่าไปฟังรีเสิร์จจาก IB
• Market research firm ก็ไม่น่าเชื่อถือ บริษัทที่ว่าจ้างสามารถ guide ผลการวิจัยได้
• การลงทุนในต่างประเทศเพื่อกระจายความเสี่ยงอาจจะไม่จริง เพราะเราจะเจอความเสี่ยงที่เรายังไม่รู้
• วิธีหลีกเลี่ยงการโดนโกง
1. ลงทุนในบริษัทที่มีผู้บริหารถือหุ้นในสัดส่วนที่เยอะ
2. ดูผู้บริหารที่มี track record ที่ดี
3. หลีกเลี่ยงธุรกิจแปลกๆที่เราไม่เข้าใจ ถ้าเราไม่รู้ว่าบริษัททำเงินยังไงอย่าเข้าไป
4. หลีกเลี่ยงอุตสาหกรรมที่กำลังฮ็อต (กองทุนชอบออกมาตอน sector นั้นขึ้นเยอะๆ อาจจะไม่ใช่การโกงหรอก แต่ไม่ใช่การลงทุนที่ดี)
• คนมักจะพยากรณ์อนาคตจากสถานการณ์ในปัจจุบัน แต่ความเป็นจริงในอนาคตมันจะ volatile กว่ามาก
• เช่น การคาดการณ์ GDP ส่วนใหญ่จะคาดการณ์กลางๆ แต่ความเป็นจริงแกว่งกว่านั้นมาก ซึ่งการเชื่อคาดการณ์เหล่านี้ไม่ว่าจะถูกหรือผิดก็ไม่มีประโยชน์เท่าไหร่
• ไม่มีใครคาดการณ์เหตุการณ์ในอนาคตได้ถูก ไม่มีใครคาดการณ์ตลาดหุ้นได้
• ไอเดียที่ดีมักจะเป็นไอเดียเข้าใจง่ายๆ
• เราต้องพร้อมเปลี่ยนแนวคิดเราตลอดเวลา ดูว่าแนวคิดเรามีข้อผิดพลาดรึป่าว
• อนาคตไม่มีใครคาดการณ์ได้ อย่าเสียเวลาไปกับสิ่งที่เราไม่มีทางรู้
• มองหาสิ่งที่จะไม่พบในงบการเงิน เช่น คุณภาพธุรกิจ อนาคตของธุรกิจ โดยการอ่านเยอะๆ คุยกับคนเยอะๆ
• ช่วงเวลาที่เงินเฟ้อสูงๆ ลงทุนในธุรกิจที่สามารถขึ้นราคาสินค้าได้และไม่ต้องการเงินลงทุนเพิ่มมาก
• หุ้นที่จะไม่กลับมาหลังจากเกิดวิกฤต
• หุ้นที่แพงมากๆ
• ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากวิกฤต อาจจะเจ๊งไปเลย
• เกิด dilution สูงมาก
• ตลาดหุ้นเป็นที่ๆความสำเร็จจะอยู่กับคนส่วนน้อย ถ้าคนอื่นเห็นด้วยกับการลงทุนของเราให้เราเปลี่ยนความคิดทันที โดย John M. Keynes บอกว่าถ้าเค้าสามารถพูดจูงใจให้บอร์ดบริษัทประกันซื้อหุ้นตามเค้าได้ นั่นคือเวลาที่ควรจะขายหุ้นตัวนั้นแล้ว
• อย่ากลัวที่จะถือเงินสดเพื่อรอโอกาสที่ดีที่สุด แต่เมื่อวิกฤตมาถึงก็ต้องกล้าซื้อหุ้นนะ

• ความเห็นแย้งจาก https://youtu.be/1ZceWi0ihSw
• การถือหุ้นยาวมากๆเกิน 10 ปีมีความไม่แน่นอนสูง เศรษฐกิจ สังคม เทคโนโลยีอาจจะเปลี่ยนไปมาก บริษัทที่เราลงทุนอาจจะแพ้ไปแล้วก็ได้
• การถือหุ้น 3X-4X หลายตัว compounding ไปเรื่อยๆอาจจะดีกว่าการถือหุ้นยาวมากๆแล้วหวัง 100X ทีเดียว
• ยกตัวอย่าง buffet ถือ KO ช่วงแรกก็ return ดี แต่หลังจากนั้นก็แทบไม่ให้ return เลย ถ้าขายไปซื้อตัวอื่นจะได้ผลตอบแทนสูงกว่าการถือโดยไม่ขาย
○ แต่จะรู้ได้ไงว่ามันหยุดโตแล้ว อาจจะเหมือน apple ก็ได้ที่สร้าง new growth ใหม่หลัง jobs เสียชีวิต ยังโตต่อได้อีกแม้ว่าดูเหมือนจะอิ่มตัวหรือ decline แล้วก็ตาม
• การดูแต่ว่าบริษัทแบบไหนทำ 100X ได้อาจจะทำให้เจอ survivorship bias บริษัทที่เป็นแบบเดียวกันเป๊ะอาจจะมีที่เจ๊งไปก็ได้ แต่ไม่ได้เขียนถึงในหนังสือเพราะมันเจ๊งไปแล้ว
• น่าจะยากเหมือนกันนะถ้าคิดจะซื้อแต่หุ้น 100X มีความไม่แน่นอนสูงมาก อาจจะต้องพึ่งดวงด้วย
• การลงทุนต้องนึกถึงความเสี่ยงก่อนเป็นอย่างแรก อย่านึกฝันแต่ upside การไม่ขาดทุนดีที่สุด

์ฺNote: ผมอาจจะไม่ได้ชำนาญการแปลภาษาอังกฤษและยังอ่อนประสบการณ์ด้านการลงทุนอย่างยิ่ง ถ้าหากมีข้อผิดพลาดประการใดของต้องขออภัยและขอคำชี้แนะจากพี่ๆนักลงทุนด้วยนะครับ

Re: สรุปไอเดียจากหนังสือ 100 Baggers by Christopher W. Mayer

โพสต์แล้ว: เสาร์ มิ.ย. 19, 2021 10:59 pm
โดย arm10182
ขอบคุณจขกท.มากครับ ที่ทำสรุปมาให้

เป็นประโยชน์มากเลยครับ