ยุคสมัยของนักลงทุนไทย/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์แล้ว: เสาร์ มิ.ย. 12, 2021 9:39 pm
ตั้งแต่ปี 2518 ที่มีการจัดตั้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยมาจนถึงวันนี้เป็นเวลา 46 ปี Profile หรือคุณสมบัติโดยทั่วไปของนักลงทุนไทยมีการเปลี่ยนแปลงไปมาก ส่วนตัวผมเองนั้น แม้ว่าจะเพิ่งเริ่มลงทุนอย่างจริงจังประมาณปี 2538-39 หรือ 26 ปีมาแล้วแต่ก็ได้เห็นและรับรู้ถึงความเป็นไปของนักลงทุนในตลาดหุ้นมาโดยตลอด ส่วนหนึ่งเพราะเริ่มเข้าทำงานในแวดวงการเงินที่เกี่ยวกับ “ตลาดทุน” ตั้งแต่ปี 2528 หรือ 36 ปีมาแล้ว หรือพูดได้ว่า ผมทำงานเกี่ยวข้องกับตลาดหลักทรัพย์หลังจากที่ตลาดเปิดไปแล้วประมาณ 10 ปี งานที่ทำนั้นเริ่มตั้งแต่ในสายของ “วิชาการ” ต่อด้วย “การระดมทุน” ซึ่งก็คือ การทำ IPO ให้กับบริษัท และสุดท้ายก็คือ “การลงทุน” ด้วยเงินของสถาบัน ก่อนที่จะกลายเป็น “นักลงทุน” อย่างเต็มตัว สิ่งที่ผมเห็นและจะพูดถึงในวันนี้ก็คือการเปลี่ยนแปลงของนักลงทุนที่แทบจะเรียกว่า “สิ้นเชิง” ตาม “ยุคสมัย” ที่เปลี่ยนไปของตลาดหลักทรัพย์หรือตลาดทุน
ช่วงเปิดตลาดหลักทรัพย์ใหม่ ๆ โดยเฉพาะในช่วง 2 ปีแรกนั้นน่าจะเป็นการ “ลองระบบ” การซื้อขายหุ้นซึ่งเป็นสิ่งใหม่ในระบบเศรษฐกิจของไทยที่เริ่มจำเป็นที่จะต้องมีแหล่งระดมทุนระยะยาวในการพัฒนาอุตสาหกรรมของประเทศ คนที่รู้เรื่องและเข้ามาซื้อขายหุ้นหรือ “นักลงทุน” ก็คือนักธุรกิจหรือคนที่มีประสบการณ์จากต่างประเทศจำนวนเพียงหยิบมือเดียว ปริมาณการซื้อขายน้อยมากและเนื่องจากเกิดขึ้นในช่วงที่ประเทศไทยกำลังเกิด “วิกฤติ” ทางการเมืองและอยู่ท่ามกลางสงครามเย็นระหว่างกลุ่มประเทศคอมมิวนิสต์และโลกเสรี อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้น ตลาดหุ้นก็ปรับตัวขึ้นอย่างร้อนแรงและดึงดูดคนที่สนใจในเรื่องของการเก็งกำไรและการพนันเข้ามาเล่นกันมาก ผมยังจำได้ว่าในขณะนั้นเพื่อนสนิทคนหนึ่งที่กำลังเรียนปริญญาโททางด้านบริหารธุรกิจด้วยกันที่นิด้าที่มีพ่อเป็นนักการธนาคารคุยให้ฟังว่าตนเองเล่นหุ้นด้วยเงินหลักหมื่นบาทแต่ได้กำไรเดือนละเป็นพันบาทซึ่งในสมัยนั้นถือว่ามาก เพราะเงินเดือนทั้งเดือนของผมก็แค่ 3,000 บาท ผมเองรู้สึกทึ่งอยู่เหมือนกัน แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไรมากกว่านั้นแม้ว่าตนเองกำลังเรียน MBA ผมคิดว่าการ “เล่นหุ้น” เป็นเรื่องของการ “เก็งกำไรหรือการพนัน” ที่ในชีวิตและครอบครัวผมจะไม่ยอมเกี่ยวข้องเลย
“ยุคแรก” ของตลาดหุ้นไทยนั้น ผมคิดว่าดำเนินมาจนถึงปี 2540 ที่ตลาดหุ้นถล่มทลายเนื่องจากเกิดวิกฤติการลดค่าเงินบาทไทยหรือ “ต้มยำกุ้ง” นักลงทุนไทยในช่วงนั้นส่วนใหญ่แล้วก็คือ “นักเก็งกำไรหรือนักการพนัน” ที่ย้ายเงินจากการทำธุรกิจขนาดย่อมหรือจากสนามม้าหรือคาสิโนเข้ามาเล่นในตลาดหุ้น นี่คือนักเล่นหุ้น “ขาใหญ่” ในตลาดที่บางคนก็กลายเป็น “นักปั่นหุ้น” โดยการปล่อยข่าวดี ซื้อ-ขายหุ้นต่อเนื่องเพื่อสร้างราคาและปริมาณการซื้อขาย ในบางครั้งก็ทำถึงขนาดจะเทคโอเวอร์กิจการขนาดใหญ่ได้โดยอาศัยการกู้เงินซื้อหุ้นแบบมาร์จินจากบริษัทหลักทรัพย์ที่ตนเองควบคุมอยู่ก็มี เพราะในสมัยนั้นยังไม่มีกฎหมายหรือกลต. ที่จะห้ามหรือป้องกัน และนั่นก็คือ “เซียน” หรือที่ในยุคนั้นเรียกว่า “เสี่ย” ที่ทุกคนในตลาดหุ้นกล่าวขวัญถึงโดยเฉพาะว่าจะเข้าไปเล่นหุ้นตัวไหน
นักลงทุนรายย่อยหรือนักเล่นหุ้นส่วนใหญ่ในยุคแรกของตลาดหลักทรัพย์นั้น จำนวนไม่น้อยเป็นผู้หญิงอายุกลางคนที่ชอบเล่นการพนันในวงไพ่ที่มีอยู่ทั่วไปในประเทศไทยในยุคนั้น พวกเธอคงจะเริ่มเห็นว่าการเล่นหุ้นนั้นสนุกกว่าและได้กำไรมากกว่าแถมมีเครื่องดื่มและอาหารบริการฟรีตามห้องค้าของแต่ละโบรกเกอร์ที่ติดเครื่องปรับอากาศและอยู่ได้เกือบทั้งวันกับเพื่อนที่คุยกันได้ถูกคอเพราะนี่เป็นตลาดที่ไม่มีใครเป็นฝ่ายตรงข้าม ทุกคนได้กันหมดในบางวันและก็เสียกันหมดในอีกวันหนึ่ง ในส่วนของผู้ชายเองนั้น จำนวนมากก็มักจะมีอายุที่สูงกว่าคนทั่วไปและเป็นเจ้าของธุรกิจหรือร้านเล็ก ๆ ที่ไม่ได้เป็นลูกจ้างและมีเวลาเข้ามาเล่นหุ้นในห้องค้า อย่าลืมว่าในสมัยนั้นระบบการซื้อขายหุ้นยังไม่สมบูรณ์และยังต้องสั่งซื้อขายตรงหน้าเค้าน์เตอร์หรือผ่านทางโทรศัพท์ การติดตามราคาหุ้นนาทีต่อนาทีจากห้องค้าเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับนักเล่นหุ้นซึ่งแทบทั้งหมดเป็นแนว “เก็งกำไร” แทบจะไม่มีข้อมูลพื้นฐานอะไรเลยเพราะยังไม่มีการวิเคราะห์หุ้นเป็นเรื่องเป็นราว
เมื่อเกิดวิกฤติปี 2540 ที่ทำให้ดัชนีตลาดตกลงมาเกือบ 90% จากจุดสูงสุด นักลงทุนซึ่งก็คือนักเก็งกำไรในตลาดหุ้นที่ไม่ได้ซื้อขายหุ้นอิงปัจจัยพื้นฐานแทบทั้งหมดต่างก็ “เจ๊ง” พร้อม ๆ กับธุรกิจและความมั่งคั่งส่วนตัว พวกเขา “สาบส่ง” ตลาดหุ้นและไม่กลับมาอีกเลย เหลือแต่เซียนบางคนที่เอาตัวรอดมาได้และปรับตัวเข้ากับ “ยุคใหม่ของการลงทุน” นั่นก็คือยุคแห่ง “Value Investment” ที่มองว่าการลงทุนในหุ้นก็เหมือนกับการทำธุรกิจ หุ้นที่ดีก็คือหุ้นที่สามารถทำกำไรได้ดี มีความสามารถในการแข่งขันสูง มีการเติบโต และที่สำคัญที่สุด ต้องมีราคาที่ถูกหรือไม่แพงเมื่อเทียบกับพื้นฐานของมัน ต้องมีส่วนเผื่อความปลอดภัยที่เรียกว่า Margin of Safety ซื้อแล้วก็มักจะถือไว้นาน ขายต่อเมื่อพื้นฐานเปลี่ยนแปลงและราคาหุ้นสูงกว่ามูลค่าที่แท้จริงแล้ว “ทศวรรษของ VI” เริ่มตั้งแต่ปี 2540 ต่อเนื่องมาประมาณ 10 ปีจนถึงปี 2551 หรือปี 2008 ที่เกิดวิกฤติ “ซับไพร์ม” ทำให้ดัชนีหุ้นตกลงมาเกือบครึ่งหนึ่ง
นักลงทุนยุคที่สองหรือยุค VI นั้น เปลี่ยนแปลงไปมาก พวกเขามักเป็นคนที่อยู่ในวัยประมาณ 30 ถึง 40 ปี ขึ้นไปและเป็นคนกินเงินเดือนที่มีรายได้ดีและมีเงินเก็บบ้าง ที่สำคัญพวกเขาเป็นคนคิดถึงอนาคตที่จะเกษียณก่อนกำหนดและมีความมั่งคั่งสูง บางทีขนาดเศรษฐีจากการลงทุนในหุ้น ซึ่งก็ถือว่าเป็นธุรกิจที่ไม่ได้มีความเสี่ยงอย่างที่นักเล่นหุ้นในยุคก่อนกลัวกัน นักลงทุนยุคนี้ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นคนที่มีการศึกษาที่ดี ทำงานวิชาชีพที่มีรายได้สูงเช่นวิศวกรรม การแพทย์ หรือเป็นผู้บริหารระดับกลางที่กำลังก้าวหน้า ส่วนใหญ่มักจะเป็นผู้ชาย ที่สำคัญพวกเขาต่างก็ขวนขวายหาความรู้และข้อมูลเกี่ยวกับธุรกิจและบริษัทที่น่าสนใจ และนำมาแลกเปลี่ยนและวิเคราะห์ถึงความเหมาะสมของการลงทุนและตัดสินใจซื้อขาย ซึ่งนั่นทำให้ “หุ้น VI” ในตลาดมีราคาปรับตัวขึ้นมากส่งผลให้คนลงทุนมีกำไรงดงามซึ่งก็ดึงดูดให้คนเข้ามาลงทุนเพิ่มในแนวของ VI และทำให้ได้ผลตอบแทนที่ดีขึ้นไปอีก
หลังจากวิกฤติปี 2551 ที่ดัชนีตกลงมาเหลือเพียงประมาณ 400 จุดแล้ว ดัชนีก็ปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องอานิสงค์จากการที่บริษัทจดทะเบียนต่างก็ฟื้นตัว ทำกำไรได้ดีและหุ้นมีราคาถูกมากโดยมีค่า PE เริ่มในช่วงปีแรกของการฟื้นตัวเพียง 7 เท่า นั่นส่งผลให้นักลงทุนแนว VI “รุ่นใหม่” ที่มีอายุน้อยลงเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นจำนวนมาก นอกจากนั้น การที่อัตราดอกเบี้ยตกต่ำลงมามากอานิสงค์จากการทำ QE หรือการอัดฉีดเม็ดเงินเข้ามาในระบบของสหรัฐทำให้คนมีเงินรวมถึงลูกหลานของเศรษฐีจำนวนมาก แห่กันเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น ผลักดันให้หุ้นโดยเฉพาะที่มีคุณภาพที่ดีแนว VI ปรับตัวขึ้นมหาศาลจนมีค่า PE สูงถึง 30-40 เท่า นอกจากนั้น VI รุ่นใหม่เหล่านั้นยังมักจะใช้มาร์จินสูง ซื้อหุ้นน้อยตัว และเทรดหุ้นบ่อยเพื่อที่จะเพิ่มรอบของกำไรมากขึ้น ผลก็คือ พวกเขาทำผลตอบแทนได้มหาศาลในระยะเวลาอันสั้นเพียงไม่กี่ปี และนี่คือยุคที่ผมอยากจะเรียกว่า “Speculative VI” พอถึงสิ้นปี 2560 ก็ดูเหมือนว่าหุ้นดี ๆ ที่มีราคาไม่แพงก็หมดไป และสำหรับผมก็เป็นจุด “สิ้นสุดยุคทองของ VI”
นักลงทุนที่เข้ามาตั้งแต่ปี 2561 และเฉพาะอย่างยิ่งหลังเกิดโรคระบาดโควิด-19 นั้น น่าจะเป็นกลุ่มที่เข้าตลาดในช่วงอายุน้อยที่สุด พวกเขามักจะเป็นคน Gen Y อายุส่วนใหญ่อาจจะไม่ถึง 30-35 ปีและเป็นลูกของคนรุ่นเบบี้บูมที่มั่งคั่ง จำนวนคนที่เข้ามาในตลาดหุ้นนั้นมีสูงมากกว่ายุคใด ๆ นอกจากนั้น ความคิดของคนยุคนี้ก็แตกต่างจากยุคเดิมมาก พวกเขาเกิดและเติบโตในยุคดิจิตอลที่ชอบอะไรที่เร็ว ต้องการเห็นผลทันใจ โควิดทำให้พวกเขาบางคนตกงาน บางคนก็หางานที่เหมาะสมทำไม่ได้ เกือบทั้งหมดไม่ได้สนใจงานประจำที่น่าเบื่อและไม่สนองตอบความคิดที่เป็นอิสระที่จะทำอะไรก็ได้ที่จะประสบความสำเร็จ ดังนั้น เมื่อพวกเขาเข้าลงทุนในตลาด สิ่งที่ต้องการก็คือผลตอบแทนที่รวดเร็วไม่ว่าความเสี่ยงจะมากน้อยแค่ไหน และหุ้นหรือหลักทรัพย์ที่จะตอบโจทย์นั้นได้ก็คือหุ้นที่มีสตอรี่ที่งดงามและการเติบโตที่สุดโต่ง ดังนั้น พวกเขาจึงสนใจแต่หุ้น Growth หรือหุ้นเติบโตเร็วที่มักจะมีราคาสูงเสียดฟ้า หรือเครื่องมือลงทุนอย่างเหรียญคริปโตที่ปรับตัวขึ้นเป็นหลาย ๆ สิบหรือร้อยเปอร์เซ็นต์ในเวลาไม่กี่เดือน และนี่ก็คือยุคของนักลงทุนแนว Growth ที่ครอบงำตลาดในช่วงนี้และยังไม่รู้ว่าจะจบลงเมื่อไร
ในประวัติศาสตร์ระยะยาวของตลาดนั้น “หุ้น VI” ดูเหมือนว่าจะให้ผลตอบแทนแบบทบต้นดีที่สุด อย่างไรก็ตาม ในระยะสั้น ๆ อาจจะแค่ 5-10 ปี บ่อยครั้งหุ้นแนว Growth ก็ให้ผลตอบแทนดีกว่ามาก เช่นเดียวกัน ช่วงที่การเก็งกำไรร้อนแรงเป็นไฟหรือเป็นฟองสบู่ การเล่นหุ้นแบบ “เก็งกำไร” ซึ่งรวมถึงการเล่นบิตคอยน์ก็อาจจะทำให้คนรวยไปได้เลยในระยะเวลาแค่ “ข้ามคืน”
ช่วงเปิดตลาดหลักทรัพย์ใหม่ ๆ โดยเฉพาะในช่วง 2 ปีแรกนั้นน่าจะเป็นการ “ลองระบบ” การซื้อขายหุ้นซึ่งเป็นสิ่งใหม่ในระบบเศรษฐกิจของไทยที่เริ่มจำเป็นที่จะต้องมีแหล่งระดมทุนระยะยาวในการพัฒนาอุตสาหกรรมของประเทศ คนที่รู้เรื่องและเข้ามาซื้อขายหุ้นหรือ “นักลงทุน” ก็คือนักธุรกิจหรือคนที่มีประสบการณ์จากต่างประเทศจำนวนเพียงหยิบมือเดียว ปริมาณการซื้อขายน้อยมากและเนื่องจากเกิดขึ้นในช่วงที่ประเทศไทยกำลังเกิด “วิกฤติ” ทางการเมืองและอยู่ท่ามกลางสงครามเย็นระหว่างกลุ่มประเทศคอมมิวนิสต์และโลกเสรี อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้น ตลาดหุ้นก็ปรับตัวขึ้นอย่างร้อนแรงและดึงดูดคนที่สนใจในเรื่องของการเก็งกำไรและการพนันเข้ามาเล่นกันมาก ผมยังจำได้ว่าในขณะนั้นเพื่อนสนิทคนหนึ่งที่กำลังเรียนปริญญาโททางด้านบริหารธุรกิจด้วยกันที่นิด้าที่มีพ่อเป็นนักการธนาคารคุยให้ฟังว่าตนเองเล่นหุ้นด้วยเงินหลักหมื่นบาทแต่ได้กำไรเดือนละเป็นพันบาทซึ่งในสมัยนั้นถือว่ามาก เพราะเงินเดือนทั้งเดือนของผมก็แค่ 3,000 บาท ผมเองรู้สึกทึ่งอยู่เหมือนกัน แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไรมากกว่านั้นแม้ว่าตนเองกำลังเรียน MBA ผมคิดว่าการ “เล่นหุ้น” เป็นเรื่องของการ “เก็งกำไรหรือการพนัน” ที่ในชีวิตและครอบครัวผมจะไม่ยอมเกี่ยวข้องเลย
“ยุคแรก” ของตลาดหุ้นไทยนั้น ผมคิดว่าดำเนินมาจนถึงปี 2540 ที่ตลาดหุ้นถล่มทลายเนื่องจากเกิดวิกฤติการลดค่าเงินบาทไทยหรือ “ต้มยำกุ้ง” นักลงทุนไทยในช่วงนั้นส่วนใหญ่แล้วก็คือ “นักเก็งกำไรหรือนักการพนัน” ที่ย้ายเงินจากการทำธุรกิจขนาดย่อมหรือจากสนามม้าหรือคาสิโนเข้ามาเล่นในตลาดหุ้น นี่คือนักเล่นหุ้น “ขาใหญ่” ในตลาดที่บางคนก็กลายเป็น “นักปั่นหุ้น” โดยการปล่อยข่าวดี ซื้อ-ขายหุ้นต่อเนื่องเพื่อสร้างราคาและปริมาณการซื้อขาย ในบางครั้งก็ทำถึงขนาดจะเทคโอเวอร์กิจการขนาดใหญ่ได้โดยอาศัยการกู้เงินซื้อหุ้นแบบมาร์จินจากบริษัทหลักทรัพย์ที่ตนเองควบคุมอยู่ก็มี เพราะในสมัยนั้นยังไม่มีกฎหมายหรือกลต. ที่จะห้ามหรือป้องกัน และนั่นก็คือ “เซียน” หรือที่ในยุคนั้นเรียกว่า “เสี่ย” ที่ทุกคนในตลาดหุ้นกล่าวขวัญถึงโดยเฉพาะว่าจะเข้าไปเล่นหุ้นตัวไหน
นักลงทุนรายย่อยหรือนักเล่นหุ้นส่วนใหญ่ในยุคแรกของตลาดหลักทรัพย์นั้น จำนวนไม่น้อยเป็นผู้หญิงอายุกลางคนที่ชอบเล่นการพนันในวงไพ่ที่มีอยู่ทั่วไปในประเทศไทยในยุคนั้น พวกเธอคงจะเริ่มเห็นว่าการเล่นหุ้นนั้นสนุกกว่าและได้กำไรมากกว่าแถมมีเครื่องดื่มและอาหารบริการฟรีตามห้องค้าของแต่ละโบรกเกอร์ที่ติดเครื่องปรับอากาศและอยู่ได้เกือบทั้งวันกับเพื่อนที่คุยกันได้ถูกคอเพราะนี่เป็นตลาดที่ไม่มีใครเป็นฝ่ายตรงข้าม ทุกคนได้กันหมดในบางวันและก็เสียกันหมดในอีกวันหนึ่ง ในส่วนของผู้ชายเองนั้น จำนวนมากก็มักจะมีอายุที่สูงกว่าคนทั่วไปและเป็นเจ้าของธุรกิจหรือร้านเล็ก ๆ ที่ไม่ได้เป็นลูกจ้างและมีเวลาเข้ามาเล่นหุ้นในห้องค้า อย่าลืมว่าในสมัยนั้นระบบการซื้อขายหุ้นยังไม่สมบูรณ์และยังต้องสั่งซื้อขายตรงหน้าเค้าน์เตอร์หรือผ่านทางโทรศัพท์ การติดตามราคาหุ้นนาทีต่อนาทีจากห้องค้าเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับนักเล่นหุ้นซึ่งแทบทั้งหมดเป็นแนว “เก็งกำไร” แทบจะไม่มีข้อมูลพื้นฐานอะไรเลยเพราะยังไม่มีการวิเคราะห์หุ้นเป็นเรื่องเป็นราว
เมื่อเกิดวิกฤติปี 2540 ที่ทำให้ดัชนีตลาดตกลงมาเกือบ 90% จากจุดสูงสุด นักลงทุนซึ่งก็คือนักเก็งกำไรในตลาดหุ้นที่ไม่ได้ซื้อขายหุ้นอิงปัจจัยพื้นฐานแทบทั้งหมดต่างก็ “เจ๊ง” พร้อม ๆ กับธุรกิจและความมั่งคั่งส่วนตัว พวกเขา “สาบส่ง” ตลาดหุ้นและไม่กลับมาอีกเลย เหลือแต่เซียนบางคนที่เอาตัวรอดมาได้และปรับตัวเข้ากับ “ยุคใหม่ของการลงทุน” นั่นก็คือยุคแห่ง “Value Investment” ที่มองว่าการลงทุนในหุ้นก็เหมือนกับการทำธุรกิจ หุ้นที่ดีก็คือหุ้นที่สามารถทำกำไรได้ดี มีความสามารถในการแข่งขันสูง มีการเติบโต และที่สำคัญที่สุด ต้องมีราคาที่ถูกหรือไม่แพงเมื่อเทียบกับพื้นฐานของมัน ต้องมีส่วนเผื่อความปลอดภัยที่เรียกว่า Margin of Safety ซื้อแล้วก็มักจะถือไว้นาน ขายต่อเมื่อพื้นฐานเปลี่ยนแปลงและราคาหุ้นสูงกว่ามูลค่าที่แท้จริงแล้ว “ทศวรรษของ VI” เริ่มตั้งแต่ปี 2540 ต่อเนื่องมาประมาณ 10 ปีจนถึงปี 2551 หรือปี 2008 ที่เกิดวิกฤติ “ซับไพร์ม” ทำให้ดัชนีหุ้นตกลงมาเกือบครึ่งหนึ่ง
นักลงทุนยุคที่สองหรือยุค VI นั้น เปลี่ยนแปลงไปมาก พวกเขามักเป็นคนที่อยู่ในวัยประมาณ 30 ถึง 40 ปี ขึ้นไปและเป็นคนกินเงินเดือนที่มีรายได้ดีและมีเงินเก็บบ้าง ที่สำคัญพวกเขาเป็นคนคิดถึงอนาคตที่จะเกษียณก่อนกำหนดและมีความมั่งคั่งสูง บางทีขนาดเศรษฐีจากการลงทุนในหุ้น ซึ่งก็ถือว่าเป็นธุรกิจที่ไม่ได้มีความเสี่ยงอย่างที่นักเล่นหุ้นในยุคก่อนกลัวกัน นักลงทุนยุคนี้ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นคนที่มีการศึกษาที่ดี ทำงานวิชาชีพที่มีรายได้สูงเช่นวิศวกรรม การแพทย์ หรือเป็นผู้บริหารระดับกลางที่กำลังก้าวหน้า ส่วนใหญ่มักจะเป็นผู้ชาย ที่สำคัญพวกเขาต่างก็ขวนขวายหาความรู้และข้อมูลเกี่ยวกับธุรกิจและบริษัทที่น่าสนใจ และนำมาแลกเปลี่ยนและวิเคราะห์ถึงความเหมาะสมของการลงทุนและตัดสินใจซื้อขาย ซึ่งนั่นทำให้ “หุ้น VI” ในตลาดมีราคาปรับตัวขึ้นมากส่งผลให้คนลงทุนมีกำไรงดงามซึ่งก็ดึงดูดให้คนเข้ามาลงทุนเพิ่มในแนวของ VI และทำให้ได้ผลตอบแทนที่ดีขึ้นไปอีก
หลังจากวิกฤติปี 2551 ที่ดัชนีตกลงมาเหลือเพียงประมาณ 400 จุดแล้ว ดัชนีก็ปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องอานิสงค์จากการที่บริษัทจดทะเบียนต่างก็ฟื้นตัว ทำกำไรได้ดีและหุ้นมีราคาถูกมากโดยมีค่า PE เริ่มในช่วงปีแรกของการฟื้นตัวเพียง 7 เท่า นั่นส่งผลให้นักลงทุนแนว VI “รุ่นใหม่” ที่มีอายุน้อยลงเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นจำนวนมาก นอกจากนั้น การที่อัตราดอกเบี้ยตกต่ำลงมามากอานิสงค์จากการทำ QE หรือการอัดฉีดเม็ดเงินเข้ามาในระบบของสหรัฐทำให้คนมีเงินรวมถึงลูกหลานของเศรษฐีจำนวนมาก แห่กันเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น ผลักดันให้หุ้นโดยเฉพาะที่มีคุณภาพที่ดีแนว VI ปรับตัวขึ้นมหาศาลจนมีค่า PE สูงถึง 30-40 เท่า นอกจากนั้น VI รุ่นใหม่เหล่านั้นยังมักจะใช้มาร์จินสูง ซื้อหุ้นน้อยตัว และเทรดหุ้นบ่อยเพื่อที่จะเพิ่มรอบของกำไรมากขึ้น ผลก็คือ พวกเขาทำผลตอบแทนได้มหาศาลในระยะเวลาอันสั้นเพียงไม่กี่ปี และนี่คือยุคที่ผมอยากจะเรียกว่า “Speculative VI” พอถึงสิ้นปี 2560 ก็ดูเหมือนว่าหุ้นดี ๆ ที่มีราคาไม่แพงก็หมดไป และสำหรับผมก็เป็นจุด “สิ้นสุดยุคทองของ VI”
นักลงทุนที่เข้ามาตั้งแต่ปี 2561 และเฉพาะอย่างยิ่งหลังเกิดโรคระบาดโควิด-19 นั้น น่าจะเป็นกลุ่มที่เข้าตลาดในช่วงอายุน้อยที่สุด พวกเขามักจะเป็นคน Gen Y อายุส่วนใหญ่อาจจะไม่ถึง 30-35 ปีและเป็นลูกของคนรุ่นเบบี้บูมที่มั่งคั่ง จำนวนคนที่เข้ามาในตลาดหุ้นนั้นมีสูงมากกว่ายุคใด ๆ นอกจากนั้น ความคิดของคนยุคนี้ก็แตกต่างจากยุคเดิมมาก พวกเขาเกิดและเติบโตในยุคดิจิตอลที่ชอบอะไรที่เร็ว ต้องการเห็นผลทันใจ โควิดทำให้พวกเขาบางคนตกงาน บางคนก็หางานที่เหมาะสมทำไม่ได้ เกือบทั้งหมดไม่ได้สนใจงานประจำที่น่าเบื่อและไม่สนองตอบความคิดที่เป็นอิสระที่จะทำอะไรก็ได้ที่จะประสบความสำเร็จ ดังนั้น เมื่อพวกเขาเข้าลงทุนในตลาด สิ่งที่ต้องการก็คือผลตอบแทนที่รวดเร็วไม่ว่าความเสี่ยงจะมากน้อยแค่ไหน และหุ้นหรือหลักทรัพย์ที่จะตอบโจทย์นั้นได้ก็คือหุ้นที่มีสตอรี่ที่งดงามและการเติบโตที่สุดโต่ง ดังนั้น พวกเขาจึงสนใจแต่หุ้น Growth หรือหุ้นเติบโตเร็วที่มักจะมีราคาสูงเสียดฟ้า หรือเครื่องมือลงทุนอย่างเหรียญคริปโตที่ปรับตัวขึ้นเป็นหลาย ๆ สิบหรือร้อยเปอร์เซ็นต์ในเวลาไม่กี่เดือน และนี่ก็คือยุคของนักลงทุนแนว Growth ที่ครอบงำตลาดในช่วงนี้และยังไม่รู้ว่าจะจบลงเมื่อไร
ในประวัติศาสตร์ระยะยาวของตลาดนั้น “หุ้น VI” ดูเหมือนว่าจะให้ผลตอบแทนแบบทบต้นดีที่สุด อย่างไรก็ตาม ในระยะสั้น ๆ อาจจะแค่ 5-10 ปี บ่อยครั้งหุ้นแนว Growth ก็ให้ผลตอบแทนดีกว่ามาก เช่นเดียวกัน ช่วงที่การเก็งกำไรร้อนแรงเป็นไฟหรือเป็นฟองสบู่ การเล่นหุ้นแบบ “เก็งกำไร” ซึ่งรวมถึงการเล่นบิตคอยน์ก็อาจจะทำให้คนรวยไปได้เลยในระยะเวลาแค่ “ข้ามคืน”