ผมอ่านมาจาก
http://www.bangkokbiznews.com/2004/09/2 ... =pag1.html
หนี้ครัวเรือน คนไทยพุ่ง 3 ปี ทะลุหลักแสนบาท
นักวิชาการชี้อันตราย หนี้ธุรกิจลด-หนี้บริโภคพุ่ง สนง.สถิติ ระบุหนี้แซงหน้ารายได้ รายจ่ายค่ายานพาหนะ-บริการสื่อสาร เพิ่มขึ้นสูงสุด 16.3%
สำนักงานสถิติเผย รายจ่าย-หนี้ครัวเรือน ครึ่งปีแรก 2547 แซงหน้ารายได้ ระบุหนี้เพิ่มถึง 11.7% เมื่อเทียบกับ 3 ปีก่อน เฉลี่ยครอบครัวละกว่าแสนบาท ค่าใช้จ่ายยานพาหนะและบริการสื่อสารเพิ่มขึ้นสูงสุด 16.3% นักวิชาการ ชี้ อันตรายเหตุหนี้ส่วนใหญ่เป็นหนี้เพื่อการบริโภค ส่วนหนี้เพื่อทำธุรกิจกลับลดลง 0.8% ขณะที่รายได้เฉลี่ยมาจากค่าจ้างและเงินเดือนมากที่สุด แสดงถึงแนวโน้มชนชั้นกรรมาชีพเพิ่มสูงขึ้น แนะรัฐกระตุ้นการลงทุน สร้างความยั่งยืนรายได้ประชาชน
สำนักงานสถิติแห่งชาติ รายงานผลการสำรวจภาวะเศรษฐกิจและสังคมครัวเรือน 6 เดือนแรกของปี 2547 ใช้ตัวอย่าง 46,600 ครัวเรือนทั่วประเทศ ซึ่งเมื่อพิจารณารายได้เฉลี่ยต่อเดือนครัวเรือน ทุกกลุ่มมีรายได้เฉลี่ยต่อเดือนเพิ่มขึ้น 4.4% หรือ 14,617 บาท เมื่อเทียบกับปี 2545 ที่มีรายได้ 13,418 บาท โดยครัวเรือนที่ถือครองที่ดินทำการเกษตร มีการเพิ่มของรายได้มากที่สุด 7.8% หรือ รายได้เดือนละ 10,126 บาท ครัวเรือนคนงานเกษตร มีรายได้เพิ่มขึ้น 5.8% หรือ รายได้เดือนละ 6,122 บาท
ทั้งนี้ ครัวเรือนผู้ปฏิบัติงานวิชาชีพ นักวิชาการ และนักบริหาร เพิ่มขึ้น 5.6% หรือรายได้เดือนละ 36,944 บาท ครัวเรือนเสมียนพนักงานขายและให้บริการเพิ่มขึ้น 3.5% หรือรายได้เดือนละ 15,543 บาท โดยผู้ดำเนินธุรกิจของตนเองที่ไม่ใช่เกษตรกร ลูกจ้าง เพิ่มขึ้นน้อยที่สุด 1.1% หรือรายได้เดือนละ 18,943 บาท
ส่วนที่มาของรายได้พบว่าเฉลี่ยแล้วมาจากค่าจ้าง และเงินเดือนสูงที่สุดครัวเรือนละ 6,260 บาท เพิ่มขึ้น 5.8% มาจากกำไรธุรกิจ 2,614 บาท เพิ่มขึ้น 3.7% มาจากกำไรการทำเกษตร 1,637 บาท เพิ่มขึ้น 4.4%
รายจ่ายพาหนะ-สื่อสารเพิ่มสูง
สำหรับรายจ่ายต่อเดือนเฉลี่ยครัวเรือนอยู่ที่ 12,115 บาท เพิ่มขึ้น 5.4% จากปี 2545 ที่เท่ากับ 10,908 บาท โดยผู้ถือครองที่ดินเกษตร มีรายจ่ายต่อเดือนเพิ่มสูงสุด 7.2% อยู่ที่ 8,728 บาท ครัวเรือนคนงานทั่วไป รายจ่ายเพิ่มขึ้น 6.8% หรือเดือนละ 7,542 บาท ครัวเรือนคนงานเกษตรเพิ่มขึ้น 6.5% หรือเดือนละ 6,404 บาท ผู้ปฏิบัติงานในกระบวนการผลิตเพิ่มขึ้น 5.1% หรือเดือนละ 9,868 บาท เสมียน พนักงานขายและบริการเพิ่มขึ้น 4.7% หรือเดือนละ 13,649 บาท
ที่มาของรายจ่ายเฉลี่ยต่อเดือนมาจากอาหาร เครื่องดื่มและยาสูบมากที่สุด 4,022 บาท เพิ่มขึ้น 1.1% เป็นค่าใช้จ่ายยานพาหนะและบริการสื่อสาร 2,551 บาท เพิ่มขึ้น 16.3% ที่อยู่อาศัยและเครื่องใช้ในบ้าน 2,507 บาท เพิ่มขึ้น 5.5% ค่าใช้จ่ายที่ไม่เกี่ยวกับการอุปโภคและบริโภค 1,367 บาท เพิ่มขึ้น 3% ค่าใช้จ่ายอุปโภคอื่นๆ 654 บาท เพิ่มขึ้น 6.6% ค่าตรวจรักษาพยาบาล 578 บาท เพิ่มขึ้น 1.5%
3ปีหนี้เพิ่มเฉลี่ยครอบครัวละกว่าแสน
ด้านหนี้สินเฉลี่ยครัวเรือนละ 103,940 บาท เพิ่มขึ้น 11.7% จากปี 2545 ที่เฉลี่ยครัวเรือนละ 83,314 บาท โดยคนงานทั่วไปมีสัดส่วนหนี้เพิ่มมากที่สุด 47.5% อยู่ที่ 34,565 บาท ผู้ปฏิบัติการในกระบวนการผลิตหนี้เพิ่มขึ้น 34.2% อยู่ที่ 53,312 บาท ผู้เช่าที่ดินทำเกษตรมีหนี้เพิ่มขึ้น 20.7% อยู่ที่ 80,626 บาท คนงานเกษตรหนี้เพิ่มขึ้น 19.2% อยู่ที่ 25,148 บาท ผู้ปฏิบัติงานวิชาชีพ นักวิชาการและนักบริหารหนี้เพิ่มขึ้น 18.9% อยู่ที่ 331,487 บาท
ที่มาของหนี้สินของครัวเรือน เป็นการใช้จ่ายในครัวเรือน 67,189 บาท เพิ่มขึ้น 15.3% ใช้ทำการเกษตร 16,656 บาท เพิ่มขึ้น 12.1% หนี้สินอื่นๆ 2,833 บาท เพิ่มขึ้น 18.4% ใช้ทำธุรกิจที่ไม่ใช่เกษตร 17,262 บาท ลดลง 0.8%
นักวิชาการชี้อันตรายหนี้ส่วนใหญ่เพื่อการบริโภค
นายสมภพ มานะรังสรรค์ อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า เมื่อพิจารณาหนี้ต่อรายได้แล้วมีสัดส่วนสูงขึ้นจาก 10 ปีที่ผ่านมา ที่มีหนี้ต่อรายได้เพียง 30% ซึ่งปัจจุบันมีหนี้ต่อรายได้มากกว่า 50% โดยสัดส่วนดังกล่าวจะเหมาะสมหรือไม่ ต้องดูที่คุณภาพหนี้ ซึ่งเห็นว่าหนี้ที่เกิดขึ้นไม่เป็นผลดี เพราะเป็นหนี้เพื่อการบริโภค ที่ไม่ก่อให้เกิดผลทางเศรษฐกิจมากนัก เพราะกระตุ้นเศรษฐกิจได้เพียงรอบเดียว
?การมีหนี้ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ต้องดูจุดประสงค์การเป็นหนี้ และถ้าเป็นหนี้ที่เกิดขึ้นเพื่อการทำธุรกิจ จะไม่น่าเป็นห่วงเพราะเป็นปัจจัยทางเศรษฐกิจ แต่เมื่อพิจารณาแล้ว หนี้เพื่อทำธุรกิจกลับลดลง 0.8% โดยหนี้ที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่ เป็นหนี้เพื่อการบริโภค ซึ่งก็ต้องดูว่าการซื้อจักรยานยนต์ หรือโทรศัพท์เคลื่อนที่เกิดประโยชน์ต่อรายได้อย่างไร? นายสมภพ กล่าว
ส่วนหนี้ที่เกิดจากการซื้อบ้าน ต้องพิจารณาความสามารถในการชำระคืน โดยดูจากแนวโน้มของรายได้ เพราะต้องผ่อนถึง 20-30 ปี และถ้าดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น 1% ก็จะเป็นภาระให้ครัวเรือน ต้องหารายได้เพิ่มขึ้นถึง 6% ถ้าประชาชนมีหนี้จากการบริโภคสูง จะมีผลให้การกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการบริโภคชะงักได้ เพราะประชาชนไม่มีเงินออมที่จะไว้ใช้บริโภค
ทั้งนี้ ที่ผ่านมารัฐบาลกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการบริโภคมากเกินไป ถึงเวลาแล้วที่จะต้องกระตุ้นการลงทุน เพราะการกระตุ้นด้วยการลงทุนจะทำให้เกิดการจ้างงาน และเพิ่มรายได้ประชาชนมากขึ้น ซึ่งรัฐบาลต้องสร้างแรงจูงใจการลงทุนเพิ่มขึ้น สร้างขีดความสามารถทางการแข่งขัน โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้านำเข้าส่งออก กระตุ้นให้เกิดอุตสาหกรรมใหม่ และในการค้าต่างประเทศ ต้องมีนโยบายที่รักษาการขยายตัวการส่งออก 20% ให้ต่อเนื่อง
แหล่งที่มารายได้สะท้อนสังคมลูกจ้าง
นายสมภพ กล่าวว่า การลงทุนภาครัฐที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เป็นด้านโครงสร้างพื้นฐานที่เป็นบริการจากรัฐ และเป็นการลงทุนชั่วคราวเท่านั้น จึงไม่ใช่ตัวแปรหลักที่จะให้เศรษฐกิจยั่งยืน โดยการลงทุนของภาคเอกชนจะเป็นปัจจัยหลัก ซึ่งที่ผ่านมาอ่อนล้าลงมาก และขณะนี้ถ้าไม่กระตุ้นการลงทุนภาคเอกชน ก็จะไม่มีความแน่นอนของรายได้ประชาชน และจะเกิดปัญหาเศรษฐกิจตามมา
?การที่ที่มารายได้เฉลี่ยมาจากค่าจ้างและเงินเดือนมากที่สุด ซึ่งมากกว่ารายได้จากการประกอบการที่รวมไปถึงเกษตรกรด้วย แสดงให้เห็นว่าไทยมีแนวโน้มชนชั้นกรรมาชีพเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งจะทำให้โครงสร้างทางสังคมเปลี่ยนแปลงไป มีความเป็นทุนนิยม สังคมเมืองและมีลูกจ้างมากขึ้น ในขณะที่สังคมเกษตรกรรรมจะค่อยๆ ลดลง โดยจะทำให้รัฐต้องวางแผนระบบสวัสดิการ ให้เหมาะสมกับลูกจ้างที่มากขึ้น รวมไปถึงแนวทางการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในเรื่องการศึกษาด้วย? นายสมภพ กล่าว