หน้า 1 จากทั้งหมด 1

อัตราส่วนหนี้ต่อรายได้ คิดกันยังไงครับ

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ต.ค. 03, 2004 10:17 pm
โดย Dech
ผมอ่านมาว่า หนี้ต่อรายได้คนไทย เพิ่มขิ้น เพิ่นขึ้นตลอดทุกปี แล้วเขาคิดกันยังไงครับ บอกว่าอัตราส่วนหนี้ต่อรายได้ของคนไทยคือ 50% บอกว่ามี หนี้สินเฉลี่ยครัวเรือนละ 103,940 บาท แล้ว

เอารายได้ทั้งปี หารกับหนี้ยังไง ครับ ถ้าเป็นหนี้เฉพาะปีก็คงพอคิดได้ แล้วถ้าเป็นหนี้หลายๆปี คิดยังไงครับหารเฉลี่ยยังไงดี ครับ มีหลักอะไรบอกไว้บ้างครับ

ตอนนี้ผมเป็นคนปลอดหนี้ แต่กำลังจะมีหนี้ ระยะยาว ราวต้นปีหน้า คงผ่อนหลาย ปีแน่นอน จากการกู้เงินซื้อบ้านหลักเล็กๆ นะครับ จริงๆแล้วไม่อยากผ่อนเลย แต่ไม่ผ่อนคงไม่มีแน่ ที่สำคัญที่บ้านอยากได้ด้วย ผมเฉยๆ คือไม่อยากมีหนี้นะครับ

ขอข้อมูลหน่อยนะครับ ผมอยากรู้ว่าของผมจะมีอัตราส่วนเท่าไหร่ จะได้วางแผนระยะยาวได้ครับ ขอบคุณครับ

อัตราส่วนหนี้ต่อรายได้ คิดกันยังไงครับ

โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ต.ค. 03, 2004 10:18 pm
โดย Dech
ผมอ่านมาจาก http://www.bangkokbiznews.com/2004/09/2 ... =pag1.html

หนี้ครัวเรือน คนไทยพุ่ง 3 ปี ทะลุหลักแสนบาท

นักวิชาการชี้อันตราย หนี้ธุรกิจลด-หนี้บริโภคพุ่ง สนง.สถิติ ระบุหนี้แซงหน้ารายได้ รายจ่ายค่ายานพาหนะ-บริการสื่อสาร เพิ่มขึ้นสูงสุด 16.3%

สำนักงานสถิติเผย รายจ่าย-หนี้ครัวเรือน ครึ่งปีแรก 2547 แซงหน้ารายได้ ระบุหนี้เพิ่มถึง 11.7% เมื่อเทียบกับ 3 ปีก่อน เฉลี่ยครอบครัวละกว่าแสนบาท ค่าใช้จ่ายยานพาหนะและบริการสื่อสารเพิ่มขึ้นสูงสุด 16.3% นักวิชาการ ชี้ อันตรายเหตุหนี้ส่วนใหญ่เป็นหนี้เพื่อการบริโภค ส่วนหนี้เพื่อทำธุรกิจกลับลดลง 0.8% ขณะที่รายได้เฉลี่ยมาจากค่าจ้างและเงินเดือนมากที่สุด แสดงถึงแนวโน้มชนชั้นกรรมาชีพเพิ่มสูงขึ้น แนะรัฐกระตุ้นการลงทุน สร้างความยั่งยืนรายได้ประชาชน

สำนักงานสถิติแห่งชาติ รายงานผลการสำรวจภาวะเศรษฐกิจและสังคมครัวเรือน 6 เดือนแรกของปี 2547 ใช้ตัวอย่าง 46,600 ครัวเรือนทั่วประเทศ ซึ่งเมื่อพิจารณารายได้เฉลี่ยต่อเดือนครัวเรือน ทุกกลุ่มมีรายได้เฉลี่ยต่อเดือนเพิ่มขึ้น 4.4% หรือ 14,617 บาท เมื่อเทียบกับปี 2545 ที่มีรายได้ 13,418 บาท โดยครัวเรือนที่ถือครองที่ดินทำการเกษตร มีการเพิ่มของรายได้มากที่สุด 7.8% หรือ รายได้เดือนละ 10,126 บาท ครัวเรือนคนงานเกษตร มีรายได้เพิ่มขึ้น 5.8% หรือ รายได้เดือนละ 6,122 บาท

ทั้งนี้ ครัวเรือนผู้ปฏิบัติงานวิชาชีพ นักวิชาการ และนักบริหาร เพิ่มขึ้น 5.6% หรือรายได้เดือนละ 36,944 บาท ครัวเรือนเสมียนพนักงานขายและให้บริการเพิ่มขึ้น 3.5% หรือรายได้เดือนละ 15,543 บาท โดยผู้ดำเนินธุรกิจของตนเองที่ไม่ใช่เกษตรกร ลูกจ้าง เพิ่มขึ้นน้อยที่สุด 1.1% หรือรายได้เดือนละ 18,943 บาท

ส่วนที่มาของรายได้พบว่าเฉลี่ยแล้วมาจากค่าจ้าง และเงินเดือนสูงที่สุดครัวเรือนละ 6,260 บาท เพิ่มขึ้น 5.8% มาจากกำไรธุรกิจ 2,614 บาท เพิ่มขึ้น 3.7% มาจากกำไรการทำเกษตร 1,637 บาท เพิ่มขึ้น 4.4%

รายจ่ายพาหนะ-สื่อสารเพิ่มสูง

สำหรับรายจ่ายต่อเดือนเฉลี่ยครัวเรือนอยู่ที่ 12,115 บาท เพิ่มขึ้น 5.4% จากปี 2545 ที่เท่ากับ 10,908 บาท โดยผู้ถือครองที่ดินเกษตร มีรายจ่ายต่อเดือนเพิ่มสูงสุด 7.2% อยู่ที่ 8,728 บาท ครัวเรือนคนงานทั่วไป รายจ่ายเพิ่มขึ้น 6.8% หรือเดือนละ 7,542 บาท ครัวเรือนคนงานเกษตรเพิ่มขึ้น 6.5% หรือเดือนละ 6,404 บาท ผู้ปฏิบัติงานในกระบวนการผลิตเพิ่มขึ้น 5.1% หรือเดือนละ 9,868 บาท เสมียน พนักงานขายและบริการเพิ่มขึ้น 4.7% หรือเดือนละ 13,649 บาท

ที่มาของรายจ่ายเฉลี่ยต่อเดือนมาจากอาหาร เครื่องดื่มและยาสูบมากที่สุด 4,022 บาท เพิ่มขึ้น 1.1% เป็นค่าใช้จ่ายยานพาหนะและบริการสื่อสาร 2,551 บาท เพิ่มขึ้น 16.3% ที่อยู่อาศัยและเครื่องใช้ในบ้าน 2,507 บาท เพิ่มขึ้น 5.5% ค่าใช้จ่ายที่ไม่เกี่ยวกับการอุปโภคและบริโภค 1,367 บาท เพิ่มขึ้น 3% ค่าใช้จ่ายอุปโภคอื่นๆ 654 บาท เพิ่มขึ้น 6.6% ค่าตรวจรักษาพยาบาล 578 บาท เพิ่มขึ้น 1.5%

3ปีหนี้เพิ่มเฉลี่ยครอบครัวละกว่าแสน

ด้านหนี้สินเฉลี่ยครัวเรือนละ 103,940 บาท เพิ่มขึ้น 11.7% จากปี 2545 ที่เฉลี่ยครัวเรือนละ 83,314 บาท โดยคนงานทั่วไปมีสัดส่วนหนี้เพิ่มมากที่สุด 47.5% อยู่ที่ 34,565 บาท ผู้ปฏิบัติการในกระบวนการผลิตหนี้เพิ่มขึ้น 34.2% อยู่ที่ 53,312 บาท ผู้เช่าที่ดินทำเกษตรมีหนี้เพิ่มขึ้น 20.7% อยู่ที่ 80,626 บาท คนงานเกษตรหนี้เพิ่มขึ้น 19.2% อยู่ที่ 25,148 บาท ผู้ปฏิบัติงานวิชาชีพ นักวิชาการและนักบริหารหนี้เพิ่มขึ้น 18.9% อยู่ที่ 331,487 บาท

ที่มาของหนี้สินของครัวเรือน เป็นการใช้จ่ายในครัวเรือน 67,189 บาท เพิ่มขึ้น 15.3% ใช้ทำการเกษตร 16,656 บาท เพิ่มขึ้น 12.1% หนี้สินอื่นๆ 2,833 บาท เพิ่มขึ้น 18.4% ใช้ทำธุรกิจที่ไม่ใช่เกษตร 17,262 บาท ลดลง 0.8%

นักวิชาการชี้อันตรายหนี้ส่วนใหญ่เพื่อการบริโภค

นายสมภพ มานะรังสรรค์ อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า เมื่อพิจารณาหนี้ต่อรายได้แล้วมีสัดส่วนสูงขึ้นจาก 10 ปีที่ผ่านมา ที่มีหนี้ต่อรายได้เพียง 30% ซึ่งปัจจุบันมีหนี้ต่อรายได้มากกว่า 50% โดยสัดส่วนดังกล่าวจะเหมาะสมหรือไม่ ต้องดูที่คุณภาพหนี้ ซึ่งเห็นว่าหนี้ที่เกิดขึ้นไม่เป็นผลดี เพราะเป็นหนี้เพื่อการบริโภค ที่ไม่ก่อให้เกิดผลทางเศรษฐกิจมากนัก เพราะกระตุ้นเศรษฐกิจได้เพียงรอบเดียว

?การมีหนี้ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ต้องดูจุดประสงค์การเป็นหนี้ และถ้าเป็นหนี้ที่เกิดขึ้นเพื่อการทำธุรกิจ จะไม่น่าเป็นห่วงเพราะเป็นปัจจัยทางเศรษฐกิจ แต่เมื่อพิจารณาแล้ว หนี้เพื่อทำธุรกิจกลับลดลง 0.8% โดยหนี้ที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่ เป็นหนี้เพื่อการบริโภค ซึ่งก็ต้องดูว่าการซื้อจักรยานยนต์ หรือโทรศัพท์เคลื่อนที่เกิดประโยชน์ต่อรายได้อย่างไร? นายสมภพ กล่าว

ส่วนหนี้ที่เกิดจากการซื้อบ้าน ต้องพิจารณาความสามารถในการชำระคืน โดยดูจากแนวโน้มของรายได้ เพราะต้องผ่อนถึง 20-30 ปี และถ้าดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น 1% ก็จะเป็นภาระให้ครัวเรือน ต้องหารายได้เพิ่มขึ้นถึง 6% ถ้าประชาชนมีหนี้จากการบริโภคสูง จะมีผลให้การกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการบริโภคชะงักได้ เพราะประชาชนไม่มีเงินออมที่จะไว้ใช้บริโภค

ทั้งนี้ ที่ผ่านมารัฐบาลกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการบริโภคมากเกินไป ถึงเวลาแล้วที่จะต้องกระตุ้นการลงทุน เพราะการกระตุ้นด้วยการลงทุนจะทำให้เกิดการจ้างงาน และเพิ่มรายได้ประชาชนมากขึ้น ซึ่งรัฐบาลต้องสร้างแรงจูงใจการลงทุนเพิ่มขึ้น สร้างขีดความสามารถทางการแข่งขัน โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้านำเข้าส่งออก กระตุ้นให้เกิดอุตสาหกรรมใหม่ และในการค้าต่างประเทศ ต้องมีนโยบายที่รักษาการขยายตัวการส่งออก 20% ให้ต่อเนื่อง

แหล่งที่มารายได้สะท้อนสังคมลูกจ้าง

นายสมภพ กล่าวว่า การลงทุนภาครัฐที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เป็นด้านโครงสร้างพื้นฐานที่เป็นบริการจากรัฐ และเป็นการลงทุนชั่วคราวเท่านั้น จึงไม่ใช่ตัวแปรหลักที่จะให้เศรษฐกิจยั่งยืน โดยการลงทุนของภาคเอกชนจะเป็นปัจจัยหลัก ซึ่งที่ผ่านมาอ่อนล้าลงมาก และขณะนี้ถ้าไม่กระตุ้นการลงทุนภาคเอกชน ก็จะไม่มีความแน่นอนของรายได้ประชาชน และจะเกิดปัญหาเศรษฐกิจตามมา

?การที่ที่มารายได้เฉลี่ยมาจากค่าจ้างและเงินเดือนมากที่สุด ซึ่งมากกว่ารายได้จากการประกอบการที่รวมไปถึงเกษตรกรด้วย แสดงให้เห็นว่าไทยมีแนวโน้มชนชั้นกรรมาชีพเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งจะทำให้โครงสร้างทางสังคมเปลี่ยนแปลงไป มีความเป็นทุนนิยม สังคมเมืองและมีลูกจ้างมากขึ้น ในขณะที่สังคมเกษตรกรรรมจะค่อยๆ ลดลง โดยจะทำให้รัฐต้องวางแผนระบบสวัสดิการ ให้เหมาะสมกับลูกจ้างที่มากขึ้น รวมไปถึงแนวทางการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในเรื่องการศึกษาด้วย? นายสมภพ กล่าว