โควิดรอบ 3/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์แล้ว: จันทร์ เม.ย. 12, 2021 9:21 pm
ในขณะที่การระบาดของโควิด-19 ในประเทศหลัก ๆ ของโลกเช่นในสหรัฐอเมริกาและประเทศต่าง ๆ ในยุโรปที่ต้องเผชิญกับปัญหาอย่างรุนแรงมากในปีที่แล้ว กำลังเริ่มลดลงเพราะการฉีดวัคซีนให้กับประชาชนอย่างกว้างขวาง สถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ในประเทศไทยกลับเลวร้ายลง “อย่างมาก” เนื่องจากเรากำลังประสบกับการระบาดของโรค “โควิดรอบ 3” ที่มีการกระจายและติดเชื้อในหมู่คนค่อนข้างกว้างขวางเมื่อเทียบกับการระบาดรอบแรกที่เกิดจากสนามมวยและรอบสองที่เกิดในหมู่คนงานต่างชาติและในตลาดสดที่อยู่ในต่างจังหวัด แต่การระบาดรอบนี้เริ่มจากสถานบันเทิงระดับหรูที่เกี่ยวข้องกับคนที่มีสถานะทางสังคมสูงที่มักจะมีการติดต่อกับผู้คนจำนวนมาก และยังรวมถึงผู้ให้บริการเช่นนักร้องนักดนตรีที่มักจะเดินทางไปในสถานที่ต่าง ๆ และพบกับผู้คนจำนวนมากด้วย
การกระจายตัวของการติดเชื้อรอบนี้จึงมีมากและการติดตามและป้องกันก็คงจะยากขึ้นมาก ผู้เกี่ยวข้องและผู้เชี่ยวชาญบางคนถึงกับบอกว่า โควิดรอบนี้อาจจะรุนแรงกว่ารอบก่อนหน้าเป็น 10 หรือ 100 เท่า ผมเองก็รู้สึกว่าคงเป็นอย่างนั้น ว่าที่จริง ใน 2 รอบก่อนนั้น ผมไม่เคยมีเพื่อนหรือคนรู้จักที่ติดจริง ๆ เลย แต่รอบนี้มีและพบว่ามีคนแทบทุกวงการที่ติดเชื้อ มันคง “ใกล้ตัว” เข้ามาทุกทีแล้ว ก่อนหน้านี้ผมเคยคิดว่าเรื่องวัคซีนเราจะรอ ๆ ไปก่อนเพื่อความมั่นใจว่ามันจะไม่มีผลข้างเคียงที่ร้ายแรงจริง ๆ ตอนนี้ผมคิดว่าผมอยากฉีดวัคซีนแล้ว แต่ก็ไม่รู้ว่าจะได้ฉีดเมื่อไร
ตลาดหุ้นของแต่ละประเทศนั้น เป็น “เทอร์โมมิเตอร์” หรือเป็น “เครื่องวัด” ที่ทรงประสิทธิภาพมากว่าผลงานการบริหารหรือการจัดการโดยเฉพาะในด้านของเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองของประเทศนั้นทำได้ดีแค่ไหน ปรากฏการณ์โควิด-19 นั้นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นทั่วโลกและมีความสัมพันธ์กันใกล้ชิด แม้แต่สายพันธุ์ที่เกิดขึ้นในประเทศหนึ่งก็สามารถกระจายไปยังอีกประเทศหนึ่งได้ง่าย ในช่วงแรกที่เกิดกรณีโควิด-19 นั้น เราคิดว่าเรามีความสามารถในการจัดการที่ดีมากจนทำให้เกิดกรณีการติดเชื้อน้อยกว่าประเทศอื่น ๆ รวมถึงประเทศที่พัฒนาแล้วทั้งหลาย แต่นั่นก็เป็นแค่ในเรื่องของการป้องกันการติดเชื้อ แต่สำหรับผมแล้ว วิกฤติโควิด-19 นั้น แท้ที่จริงมี 2 มิตินั่นก็คือ เรื่องของการติดเชื้อที่ทำลายสุขภาพของคนกับเรื่องของเศรษฐกิจที่มีการทำลายการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรง ซึ่งในมิติหลังนี้ ก็ต้องถือว่าไทยเราจัดการไม่ดีเลย เห็นได้จากการที่เศรษฐกิจไทยติดลบไปถึงประมาณ 6% ในปีที่แล้วซึ่งเลวร้ายที่สุดในโลกประเทศหนึ่ง
นอกจากนั้น IMF รวมถึงหน่วยงานของไทยก็ยังประเมินว่าปี 2564 ไทยก็จะเติบโตเพียง 2-3% ซึ่งก็เป็นตัวเลขที่ต่ำที่สุดในโลกประเทศหนึ่ง ไม่ต้องพูดถึงประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียตนามที่มีภูมิศาสตร์และภาวะเศรษฐกิจคล้ายคลึงกับไทยที่ปีที่แล้วยังเติบโตถึง 2-3% และปีนี้คาดว่าจะโตไม่น้อยกว่า 6-7% ขึ้นไปและเป็นเศรษฐกิจที่เติบโตดีที่สุดในโลกประเทศหนึ่งในช่วง “ปีโควิด”
ตลาดหุ้นของประเทศเฉพาะอย่างยิ่งที่มีปัญหารุนแรงจากการระบาดของโควิด-19 แต่สามารถผลิตหรือมีการฉีดวัคซีนค่อนข้างแพร่หลายมากแล้วอย่างอเมริกาหรืออังกฤษนั้น ในช่วงเร็ว ๆ นี้ต่างก็ปรับตัวขึ้นอย่างแรงและหลายแห่งก็เป็น “All Time High” กันแล้ว ภายในไม่กี่เดือนข้างหน้าคนทั้งประเทศก็จะได้รับการป้องกันจากการติดเชื้อโควิดและทุกอย่างก็จะกลับมาเป็นปกติ แต่สำหรับตลาดหุ้นไทยนั้น นอกจากประเด็นเรื่องของการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ย่ำแย่อานิสงค์จากการที่มีการ “ปิดเมือง” ที่ทำให้แทบไม่มีนักท่องเที่ยวหรือการเดินทางเข้ามาติดต่อหรือทำธุรกิจ ได้ทำให้ตลาดหุ้นยังไม่สามารถที่จะปรับตัวขึ้นอย่างเป็นเรื่องเป็นราวได้ ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ การระบาดรอบ 3 ที่เกิดขึ้นเมื่อสัปดาห์ก่อนก็ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจ “สะดุด” ลงอีกครั้งหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่ารัฐบาลจะเริ่มตระหนักว่ามิติทางเศรษฐกิจนั้นมีความสำคัญไม่แพ้เรื่องของสุขภาพ ดังนั้น การระบาดรอบนี้ที่รุนแรงกว่าสองครั้งแรกมากแต่รัฐบาลก็ไม่ปิดเมืองหรือปิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจเท่า ผลก็คือ ตลาดหุ้นที่ตกลงมาประมาณ 2.5% ใน 2 วันจึงหยุดตกต่อ นักลงทุนคงจะรอดูว่าหนทางการแก้ปัญหาโควิดแบบ “ยั่งยืน” ซึ่งก็คือการฉีดวัคซีนให้ประชาชนอย่างทั่วถึงจะทำได้เมื่อไร?
แต่เดิมดูเหมือนว่าเราจะไม่ได้ให้ความสำคัญกับวัคซีนซึ่งเป็นเรื่อง “ระยะยาว” เท่าที่ควร ส่วนหนึ่งอาจจะมาจากการที่ไทยมีกรณีติดเชื้อน้อยและทีมงานที่แก้ปัญหาของโควิดซึ่งส่วนใหญ่เป็นบุคคลากรทางด้านสาธารณสุขที่อาจจะไม่ได้มองมิติทางด้านเศรษฐกิจมากนัก จึงมุ่งเน้นการ “ต่อสู้” โควิดที่เป็นเรื่องเร่งด่วนระยะสั้น ประเด็นสำคัญสำหรับทีมงานก็คือ ต้องไม่ให้ตัวเลขผู้ติดเชื้อเพิ่มหรือเพิ่มมากโดยอาศัยการเว้นระยะห่างและการป้องกันการติดเชื้อโดยการสัมผัส ส่วนวัคซีนนั้นก็มีการเตรียมผลิตหรือจัดซื้อ เพียงแต่ไม่ได้เป็นปัจจัยชี้ขาดของการจัดการโควิดในช่วงเวลา “หน้าสิ่วหน้าขวาน” ในตอนนั้น
ผลก็คือ เมื่อการคิดค้นและผลิตวัคซีนของโลกประสพผลสำเร็จ เรากลับต้องรอประเทศอื่นใช้ก่อนหรือไม่ก็ไม่สามารถใช้ยี่ห้อที่ดีหรือผลิตได้สำเร็จก่อน ทั้งหมดนั้นดูเหมือนเราจะทำเพราะต้องการ “ประหยัด” ไม่ยอมทุ่มเงินเพื่อให้มั่นใจว่าเมื่อวัคซีนของโลกมาถึง เราจะได้ใช้ก่อนหรือได้ใช้เร็วเพื่อที่จะแก้ปัญหาทางสุขภาพและเศรษฐกิจที่ถูกกระทบอย่างหนัก เราอาจจะลืมไปว่าความล่าช้าในการแก้ปัญหามี “ต้นทุนแอบแฝง” มหาศาล ความเสียหายทางเศรษฐกิจแต่ละวันที่เราจะต้องเผชิญกับโควิดนั้นสูงกว่าค่าวัคซีนอย่างเทียบกันไม่ได้เลย
วิธีที่จะแก้ปัญหาการฉีดวัคซีนล่าช้าในขณะนี้ก็คือ การเปิดให้เอกชนนำเข้าวัคซีนมาให้บริการแก่คนที่ต้องการฉีดและพร้อมที่จะจ่ายเงินเอง ซึ่งดูเหมือนว่ารัฐบาลจะเริ่มยอมรับและสนับสนุนโดยการประกาศเมื่อปลายสัปดาห์ก่อนว่าจะอนุญาตให้นำเข้ามาประมาณ 10 ล้านโดสหรือฉีดได้ประมาณ 5 ล้านคน คงจะต้องดูว่าจะทำได้เร็วแค่ไหน ส่วนตัวผมเองคิดว่าเป็น “ข่าวดี” และนี่ก็ส่งผลให้หุ้นของโรงพยาบาลเอกชนในตลาดหลักทรัพย์ปรับตัวขึ้นกันทั่วหน้าประมาณ 5-6% ซึ่งรวมถึงหุ้นของโรงพยาบาลขนาดใหญ่ที่สุด นอกจากนั้น หุ้นบางตัวที่เคยพยายามนำเข้าวัคซีนแต่ไม่สำเร็จเพราะถูก “บล็อก” โดยหน่วยงานรัฐก็ปรับตัวขึ้นไปกว่า 10% ในวันเดียว
อีกครั้งที่ตลาดหุ้นนั้น “ส่งสัญญาณ” ว่าอะไรคือสิ่งที่ดี นโยบายแบบไหนที่จะช่วยให้เศรษฐกิจและธุรกิจดีขึ้น แค่ประกาศแต่ไม่รู้ว่าในทางปฏิบัติจะเป็นแบบนั้นและเร็วแค่ไหน หุ้นก็ขึ้นไปแล้ว ผมเองก็หวังว่าวัคซีนจะมาเร็วพอ ข่าวที่บอกว่า “เกณฑ์” การนำเข้าจะเสร็จภายใน 1 เดือนนั้น ผมคิดว่านานเกินไป ผมคิดว่า “ของ” ควรจะต้องมาพร้อมฉีดภายใน 1 เดือนน่าจะเหมาะสมกว่า โดยเฉพาะในภาวะที่ต้องเรียกว่า “ฉุกเฉิน” อย่างเวลานี้ ยิ่งไปกว่านั้น ผมเองอยากจะเห็นการ “เปิดเสรี” ไม่จำกัดจำนวนแค่ 10 ล้านโดส จริงอยู่รัฐเองอาจจะเสียเงิน “จอง” วัคซีนไปแล้วจำนวนมาก ถ้าใช้ไม่หมดก็อาจจะเกิดความเสียหาย แต่ผมเองคิดว่า เวลาที่โรคหายและเศรษฐกิจเปิดเต็มที่และสามารถรับนักท่องเที่ยวเดินทางจากต่างประเทศนั้น มีค่ามากกว่าเงินค่าวัคซีนมาก ลองคิดดู ขนาดแค่ประกาศว่าจะให้นำเข้าวัคซีน 10 ล้านโดสหุ้นโรงพยาบาลก็ตอบสนองขนาดนี้แล้ว ถ้าบอกว่าภายใน 3-4 เดือนจะฉีดให้ครบ 80 ล้านโดส หุ้นทั้งตลาดซึ่งจะได้ประโยชน์มหาศาลจะวิ่งกันขนาดไหน?
นอกจาก “ภาพใหญ่” ของเรื่องวัคซีนแล้ว ผมเองก็คิดว่า “ภาพเล็ก” เช่นที่เกี่ยวกับยี่ห้อก็อาจจะมีความสำคัญเช่นกัน เพราะผมเองก็เพิ่งจะเข้าใจจริง ๆ หลังจากอ่านความเห็นของหมอคนหนึ่งว่า วัคซีนแต่ละยี่ห้อนั้นมีคุณสมบัติหรือคุณภาพต่างกันมาก โดยสิ่งที่วัคซีนป้องกันนั้นจะแบ่งเป็น 3 ระดับคือ 1) ป้องกันการติดเชื้อ ซึ่งก็ปรากฏว่าวัคซีนที่ดูเหมือนป้องกันได้มีแค่ 2-3 ตัวเท่านั้น และป้องกันได้ประมาณ 60-90% วัคซีนส่วนใหญ่ป้องกันการติดเชื้อโควิดไม่ได้เลย พูดง่าย ๆ ฉีดแล้วก็ติดเชื้อได้เท่า ๆ กับคนที่ไม่ได้ฉีดและสามารถเป็นตัวแพร่เชื้อได้ ระดับที่ 2) ก็คือ ป้องกันการเป็นโรคหรือมีอาการ นี่คือสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อคนที่ฉีดวัคซีน แต่ก็ไม่ได้ 100% ส่วนใหญ่ป้องกันได้ประมาณ 50-60% แต่ตัวที่เด่น ๆ ใช้มากในอเมริกานั้น ป้องกันได้ถึง 90% ขึ้นไป ดังนั้น จึงน่าจะเป็นตัวที่ดีที่สุด ส่วนระดับที่ 3) ซึ่งก็สำคัญมากหรืออาจจะมากที่สุดก็คือ ความสามารถในการป้องกันอาการรุนแรงซึ่งอาจจะทำให้คนไข้ตายได้นั้น ปรากฏว่า วัคซีนตัวหลัก ๆ ของโลกที่ฉีดกันไปมากมายแล้วในประเทศต่างๆ สามารถป้องกันอาการรุนแรงถึงตายได้ 100% ซึ่งแปลว่าถ้าฉีดแล้วก็ค่อนข้างสบายใจได้ว่าถึงเป็นโรคก็คงไม่ตายแน่นอน ดังนั้น ก่อนที่จะฉีดวัคซีนจึงควรศึกษาประสิทธิผลของมันเสียก่อน ที่ต้องระวังก็คือ มีวัคซีนหลายตัวที่ไม่มีข้อมูลเหล่านี้ที่เป็นทางการและเผยแพร่ในเอกสารทางการแพทย์เลย ฉีดไปแล้วก็ไม่รู้ว่าป้องกันอะไรได้มากน้อยแค่ไหนจริง ๆ
การกระจายตัวของการติดเชื้อรอบนี้จึงมีมากและการติดตามและป้องกันก็คงจะยากขึ้นมาก ผู้เกี่ยวข้องและผู้เชี่ยวชาญบางคนถึงกับบอกว่า โควิดรอบนี้อาจจะรุนแรงกว่ารอบก่อนหน้าเป็น 10 หรือ 100 เท่า ผมเองก็รู้สึกว่าคงเป็นอย่างนั้น ว่าที่จริง ใน 2 รอบก่อนนั้น ผมไม่เคยมีเพื่อนหรือคนรู้จักที่ติดจริง ๆ เลย แต่รอบนี้มีและพบว่ามีคนแทบทุกวงการที่ติดเชื้อ มันคง “ใกล้ตัว” เข้ามาทุกทีแล้ว ก่อนหน้านี้ผมเคยคิดว่าเรื่องวัคซีนเราจะรอ ๆ ไปก่อนเพื่อความมั่นใจว่ามันจะไม่มีผลข้างเคียงที่ร้ายแรงจริง ๆ ตอนนี้ผมคิดว่าผมอยากฉีดวัคซีนแล้ว แต่ก็ไม่รู้ว่าจะได้ฉีดเมื่อไร
ตลาดหุ้นของแต่ละประเทศนั้น เป็น “เทอร์โมมิเตอร์” หรือเป็น “เครื่องวัด” ที่ทรงประสิทธิภาพมากว่าผลงานการบริหารหรือการจัดการโดยเฉพาะในด้านของเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองของประเทศนั้นทำได้ดีแค่ไหน ปรากฏการณ์โควิด-19 นั้นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นทั่วโลกและมีความสัมพันธ์กันใกล้ชิด แม้แต่สายพันธุ์ที่เกิดขึ้นในประเทศหนึ่งก็สามารถกระจายไปยังอีกประเทศหนึ่งได้ง่าย ในช่วงแรกที่เกิดกรณีโควิด-19 นั้น เราคิดว่าเรามีความสามารถในการจัดการที่ดีมากจนทำให้เกิดกรณีการติดเชื้อน้อยกว่าประเทศอื่น ๆ รวมถึงประเทศที่พัฒนาแล้วทั้งหลาย แต่นั่นก็เป็นแค่ในเรื่องของการป้องกันการติดเชื้อ แต่สำหรับผมแล้ว วิกฤติโควิด-19 นั้น แท้ที่จริงมี 2 มิตินั่นก็คือ เรื่องของการติดเชื้อที่ทำลายสุขภาพของคนกับเรื่องของเศรษฐกิจที่มีการทำลายการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรง ซึ่งในมิติหลังนี้ ก็ต้องถือว่าไทยเราจัดการไม่ดีเลย เห็นได้จากการที่เศรษฐกิจไทยติดลบไปถึงประมาณ 6% ในปีที่แล้วซึ่งเลวร้ายที่สุดในโลกประเทศหนึ่ง
นอกจากนั้น IMF รวมถึงหน่วยงานของไทยก็ยังประเมินว่าปี 2564 ไทยก็จะเติบโตเพียง 2-3% ซึ่งก็เป็นตัวเลขที่ต่ำที่สุดในโลกประเทศหนึ่ง ไม่ต้องพูดถึงประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียตนามที่มีภูมิศาสตร์และภาวะเศรษฐกิจคล้ายคลึงกับไทยที่ปีที่แล้วยังเติบโตถึง 2-3% และปีนี้คาดว่าจะโตไม่น้อยกว่า 6-7% ขึ้นไปและเป็นเศรษฐกิจที่เติบโตดีที่สุดในโลกประเทศหนึ่งในช่วง “ปีโควิด”
ตลาดหุ้นของประเทศเฉพาะอย่างยิ่งที่มีปัญหารุนแรงจากการระบาดของโควิด-19 แต่สามารถผลิตหรือมีการฉีดวัคซีนค่อนข้างแพร่หลายมากแล้วอย่างอเมริกาหรืออังกฤษนั้น ในช่วงเร็ว ๆ นี้ต่างก็ปรับตัวขึ้นอย่างแรงและหลายแห่งก็เป็น “All Time High” กันแล้ว ภายในไม่กี่เดือนข้างหน้าคนทั้งประเทศก็จะได้รับการป้องกันจากการติดเชื้อโควิดและทุกอย่างก็จะกลับมาเป็นปกติ แต่สำหรับตลาดหุ้นไทยนั้น นอกจากประเด็นเรื่องของการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ย่ำแย่อานิสงค์จากการที่มีการ “ปิดเมือง” ที่ทำให้แทบไม่มีนักท่องเที่ยวหรือการเดินทางเข้ามาติดต่อหรือทำธุรกิจ ได้ทำให้ตลาดหุ้นยังไม่สามารถที่จะปรับตัวขึ้นอย่างเป็นเรื่องเป็นราวได้ ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ การระบาดรอบ 3 ที่เกิดขึ้นเมื่อสัปดาห์ก่อนก็ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจ “สะดุด” ลงอีกครั้งหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่ารัฐบาลจะเริ่มตระหนักว่ามิติทางเศรษฐกิจนั้นมีความสำคัญไม่แพ้เรื่องของสุขภาพ ดังนั้น การระบาดรอบนี้ที่รุนแรงกว่าสองครั้งแรกมากแต่รัฐบาลก็ไม่ปิดเมืองหรือปิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจเท่า ผลก็คือ ตลาดหุ้นที่ตกลงมาประมาณ 2.5% ใน 2 วันจึงหยุดตกต่อ นักลงทุนคงจะรอดูว่าหนทางการแก้ปัญหาโควิดแบบ “ยั่งยืน” ซึ่งก็คือการฉีดวัคซีนให้ประชาชนอย่างทั่วถึงจะทำได้เมื่อไร?
แต่เดิมดูเหมือนว่าเราจะไม่ได้ให้ความสำคัญกับวัคซีนซึ่งเป็นเรื่อง “ระยะยาว” เท่าที่ควร ส่วนหนึ่งอาจจะมาจากการที่ไทยมีกรณีติดเชื้อน้อยและทีมงานที่แก้ปัญหาของโควิดซึ่งส่วนใหญ่เป็นบุคคลากรทางด้านสาธารณสุขที่อาจจะไม่ได้มองมิติทางด้านเศรษฐกิจมากนัก จึงมุ่งเน้นการ “ต่อสู้” โควิดที่เป็นเรื่องเร่งด่วนระยะสั้น ประเด็นสำคัญสำหรับทีมงานก็คือ ต้องไม่ให้ตัวเลขผู้ติดเชื้อเพิ่มหรือเพิ่มมากโดยอาศัยการเว้นระยะห่างและการป้องกันการติดเชื้อโดยการสัมผัส ส่วนวัคซีนนั้นก็มีการเตรียมผลิตหรือจัดซื้อ เพียงแต่ไม่ได้เป็นปัจจัยชี้ขาดของการจัดการโควิดในช่วงเวลา “หน้าสิ่วหน้าขวาน” ในตอนนั้น
ผลก็คือ เมื่อการคิดค้นและผลิตวัคซีนของโลกประสพผลสำเร็จ เรากลับต้องรอประเทศอื่นใช้ก่อนหรือไม่ก็ไม่สามารถใช้ยี่ห้อที่ดีหรือผลิตได้สำเร็จก่อน ทั้งหมดนั้นดูเหมือนเราจะทำเพราะต้องการ “ประหยัด” ไม่ยอมทุ่มเงินเพื่อให้มั่นใจว่าเมื่อวัคซีนของโลกมาถึง เราจะได้ใช้ก่อนหรือได้ใช้เร็วเพื่อที่จะแก้ปัญหาทางสุขภาพและเศรษฐกิจที่ถูกกระทบอย่างหนัก เราอาจจะลืมไปว่าความล่าช้าในการแก้ปัญหามี “ต้นทุนแอบแฝง” มหาศาล ความเสียหายทางเศรษฐกิจแต่ละวันที่เราจะต้องเผชิญกับโควิดนั้นสูงกว่าค่าวัคซีนอย่างเทียบกันไม่ได้เลย
วิธีที่จะแก้ปัญหาการฉีดวัคซีนล่าช้าในขณะนี้ก็คือ การเปิดให้เอกชนนำเข้าวัคซีนมาให้บริการแก่คนที่ต้องการฉีดและพร้อมที่จะจ่ายเงินเอง ซึ่งดูเหมือนว่ารัฐบาลจะเริ่มยอมรับและสนับสนุนโดยการประกาศเมื่อปลายสัปดาห์ก่อนว่าจะอนุญาตให้นำเข้ามาประมาณ 10 ล้านโดสหรือฉีดได้ประมาณ 5 ล้านคน คงจะต้องดูว่าจะทำได้เร็วแค่ไหน ส่วนตัวผมเองคิดว่าเป็น “ข่าวดี” และนี่ก็ส่งผลให้หุ้นของโรงพยาบาลเอกชนในตลาดหลักทรัพย์ปรับตัวขึ้นกันทั่วหน้าประมาณ 5-6% ซึ่งรวมถึงหุ้นของโรงพยาบาลขนาดใหญ่ที่สุด นอกจากนั้น หุ้นบางตัวที่เคยพยายามนำเข้าวัคซีนแต่ไม่สำเร็จเพราะถูก “บล็อก” โดยหน่วยงานรัฐก็ปรับตัวขึ้นไปกว่า 10% ในวันเดียว
อีกครั้งที่ตลาดหุ้นนั้น “ส่งสัญญาณ” ว่าอะไรคือสิ่งที่ดี นโยบายแบบไหนที่จะช่วยให้เศรษฐกิจและธุรกิจดีขึ้น แค่ประกาศแต่ไม่รู้ว่าในทางปฏิบัติจะเป็นแบบนั้นและเร็วแค่ไหน หุ้นก็ขึ้นไปแล้ว ผมเองก็หวังว่าวัคซีนจะมาเร็วพอ ข่าวที่บอกว่า “เกณฑ์” การนำเข้าจะเสร็จภายใน 1 เดือนนั้น ผมคิดว่านานเกินไป ผมคิดว่า “ของ” ควรจะต้องมาพร้อมฉีดภายใน 1 เดือนน่าจะเหมาะสมกว่า โดยเฉพาะในภาวะที่ต้องเรียกว่า “ฉุกเฉิน” อย่างเวลานี้ ยิ่งไปกว่านั้น ผมเองอยากจะเห็นการ “เปิดเสรี” ไม่จำกัดจำนวนแค่ 10 ล้านโดส จริงอยู่รัฐเองอาจจะเสียเงิน “จอง” วัคซีนไปแล้วจำนวนมาก ถ้าใช้ไม่หมดก็อาจจะเกิดความเสียหาย แต่ผมเองคิดว่า เวลาที่โรคหายและเศรษฐกิจเปิดเต็มที่และสามารถรับนักท่องเที่ยวเดินทางจากต่างประเทศนั้น มีค่ามากกว่าเงินค่าวัคซีนมาก ลองคิดดู ขนาดแค่ประกาศว่าจะให้นำเข้าวัคซีน 10 ล้านโดสหุ้นโรงพยาบาลก็ตอบสนองขนาดนี้แล้ว ถ้าบอกว่าภายใน 3-4 เดือนจะฉีดให้ครบ 80 ล้านโดส หุ้นทั้งตลาดซึ่งจะได้ประโยชน์มหาศาลจะวิ่งกันขนาดไหน?
นอกจาก “ภาพใหญ่” ของเรื่องวัคซีนแล้ว ผมเองก็คิดว่า “ภาพเล็ก” เช่นที่เกี่ยวกับยี่ห้อก็อาจจะมีความสำคัญเช่นกัน เพราะผมเองก็เพิ่งจะเข้าใจจริง ๆ หลังจากอ่านความเห็นของหมอคนหนึ่งว่า วัคซีนแต่ละยี่ห้อนั้นมีคุณสมบัติหรือคุณภาพต่างกันมาก โดยสิ่งที่วัคซีนป้องกันนั้นจะแบ่งเป็น 3 ระดับคือ 1) ป้องกันการติดเชื้อ ซึ่งก็ปรากฏว่าวัคซีนที่ดูเหมือนป้องกันได้มีแค่ 2-3 ตัวเท่านั้น และป้องกันได้ประมาณ 60-90% วัคซีนส่วนใหญ่ป้องกันการติดเชื้อโควิดไม่ได้เลย พูดง่าย ๆ ฉีดแล้วก็ติดเชื้อได้เท่า ๆ กับคนที่ไม่ได้ฉีดและสามารถเป็นตัวแพร่เชื้อได้ ระดับที่ 2) ก็คือ ป้องกันการเป็นโรคหรือมีอาการ นี่คือสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อคนที่ฉีดวัคซีน แต่ก็ไม่ได้ 100% ส่วนใหญ่ป้องกันได้ประมาณ 50-60% แต่ตัวที่เด่น ๆ ใช้มากในอเมริกานั้น ป้องกันได้ถึง 90% ขึ้นไป ดังนั้น จึงน่าจะเป็นตัวที่ดีที่สุด ส่วนระดับที่ 3) ซึ่งก็สำคัญมากหรืออาจจะมากที่สุดก็คือ ความสามารถในการป้องกันอาการรุนแรงซึ่งอาจจะทำให้คนไข้ตายได้นั้น ปรากฏว่า วัคซีนตัวหลัก ๆ ของโลกที่ฉีดกันไปมากมายแล้วในประเทศต่างๆ สามารถป้องกันอาการรุนแรงถึงตายได้ 100% ซึ่งแปลว่าถ้าฉีดแล้วก็ค่อนข้างสบายใจได้ว่าถึงเป็นโรคก็คงไม่ตายแน่นอน ดังนั้น ก่อนที่จะฉีดวัคซีนจึงควรศึกษาประสิทธิผลของมันเสียก่อน ที่ต้องระวังก็คือ มีวัคซีนหลายตัวที่ไม่มีข้อมูลเหล่านี้ที่เป็นทางการและเผยแพร่ในเอกสารทางการแพทย์เลย ฉีดไปแล้วก็ไม่รู้ว่าป้องกันอะไรได้มากน้อยแค่ไหนจริง ๆ