1ทศวรรษกับบทเรียนชีวิตที่เพิ่มขึ้น ภาค1บทเรียนชีวิตในภาพรวม โดย เอก ธำรง
โพสต์แล้ว: เสาร์ ม.ค. 09, 2021 1:38 pm
1ทศวรรษกับบทเรียนชีวิตที่เพิ่มขึ้น
ภาค1บทเรียนชีวิตในภาพรวม
เอก ธำรง
020164
-เกิดเป็นคนต้องสำส่อน
ดีกับทุกคนไม่มีเว้น เป็นการฝึกใจให้ดีกับทุกคนอย่างเท่าเทียมโดยไม่ยึดผลประโยชน์เป็นที่ตั้ง มองในแง่กรรมส่งผล ต่อให้มีคนสัดส่วนน้อยมากประทับใจในสิ่งที่เราทำในอนาคตอาจจะมีโอกาสช่วยเหลือเรากลับอย่างเต็มใจในเวลาที่เราคิดไม่ถึงก็ได้
-ใครดีกับเราให้จำ เราดีกับใครให้ลืม
คำพูดเจ้าสัวเทียม โชควัฒนาที่ผมนำมาใช้ในชีวิตบ่อยๆ ประเด็นคือเราต้องรู้จักความดีคน(คนที่ดีกับเราก็ประทับใจและมีโอกาสที่จะช่วยเหลือเกื้อกูลกันต่อๆไป)และคนส่วนใหญ่มีแนวโน้มไม่กตัญญู(แล้วเราก็จะไม่เครียด ทั้งยังได้บุญเยอะจากการทำบุญโดยแทบไม่หวังผล)
-อย่าใช้เหตุผลมากไป
สมัยเด็กๆแม้ผมจะมีเหตุผล แต่ก็เหมือนเด็กทั่วไปมีความเป็นศิลปินและเป็นตัวของตัวเองพอสมควร โตขึ้นมาอยากเก่งอยากสำเร็จก็มุ่งไปทางที่เน้นเหตุและผล อยากได้ผลลัพธ์อย่างไรก็ต้องสร้างเหตุอย่างนั้น พอฝึกไปเป็นสิบๆปี มันก็เป็นนิสัย อันนี้มีเพื่อนสนิทให้คำแนะนำมาว่าการใช้ชีวิตคู่บางครั้งเหตุผลก็ใช้ไม่ได้ซึ่งก็จริงเพราะมนุษย์เป็นสัตว์อารมณ์ บทสรุปของผมจนถึงวันที่เขียนคือต้องบาลานซ์เหตุผลและอารมณ์ให้ไปด้วยกันให้ได้แล้วแต่ช่วงจังหวะเวลาและกับใคร
-สุขนิยม
ตอนเด็กผมติดสบายครับแล้วยิ่งการเป็นลูกชายคนโตบวกกับการที่คุณพ่อไม่ได้รับความรักเท่าที่ควรเลยประเคนหลายๆอย่างตามใจลูกเต็มที่(แต่พอโตมาซัก 10 กว่าขวบคุณพ่อก็ไม่ได้สปอยล์นะครับแถมยังพูดตรงไปตรงมาแบบขวานผ่าซากทำให้ผมปรับปรุงตัวได้จนมีทุกวันนี้ จากไม่มีเพื่อนจนมีเพื่อนขนาดนี้) มีเพื่อนผมคนหนึ่งเคยพูดถึงผมในแง่นี้ช่วงม.ปลาย
แต่พอกาลเวลาผ่านไป ผมก็เป็นคนสุขนิยมขึ้นเรื่อยๆคือพยายามเน้นไปที่ความสุขไม่เน้นไปในพลังทางลบ หลายครั้งที่การอยากรู้เรื่องชาวบ้านของผมไม่ใช่เพื่อไปนินทาแต่เพื่อเป็นกรณีศึกษาเอามาปรับปรุงใช้ในชีวิตส่วนตัว (เอาไว้ถ้ามีเวลาอาจจะมีเผยเคล็ดลับการรู้เรื่องชาวบ้าน แต่เคล็ดลับหนึ่งคือต้องเก็บความลับให้เป็น)
หลายครั้งที่เวลาส่วนใหญ่ของเราหมดไปกับการพร่ำบ่น โทษคนโน้นคนนี้ ถ้าเราเปลี่ยนเวลาบ่น(ที่รวมๆกัน)ไปใช้พัฒนาตัวเอง คิดและทำในวิธีที่มีโอกาสจะไปในผลลัพธ์ที่เราต้องการ ชีวิตเราก็จะดีขึ้นเอง ในขณะที่การบ่นไม่ได้อะไรเลยแล้วยิ่งทำให้เสียอารมณ์ทุกครั้งด้วย
-คนเฮงซวย(คนไม่ดี)
สถิติส่วนตัวที่ผมเจอเกือบ 100%(แต่นึกๆดูอาจจะ100%) ของจำนวนคนเฮงซวย พอสนิทมากขึ้นๆมันต้องมีเรื่องปวดหัวตามมา ถ้าสนิทมากมีโอกาสเกิดเรื่องเดือดร้อนสูง บางครั้งการแสดงออกอย่างชัดเจนว่าเราไม่ชอบคนนี้อาจจะเป็นวิธีที่ดีก็ได้เพราะจะไม่มีเรื่องปวดหัวตามมาทีหลัง อีกวิธีคือไม่ต้องแสดงแล้วก็ไม่ค่อยเจอถ้าไม่จำเป็นอาจจะเป็นวิธีที่ดีกว่า แต่วิธีที่แย่ที่สุดคือเจอกันบ่อยๆดั่งเพื่อนสนิท อันนั้นจะมีเรื่องไม่ดีตามมาแน่นอนจากประสบการณ์ส่วนตัวและจากการสังเกตคนรอบข้าง
-คำพุทธทาส
คำหนึ่งที่ผมชอบคือ(จริงๆหลายคำ) ถ้าใครว่าเราแล้วมันเป็นเรื่องจริงเราต้องขอบคุณเขาเพราะมันทำให้เราปรับปรุงตัวและเป็นคนที่ดีขึ้นเก่งขึ้น แต่ถ้ามันเป็นเรื่องไม่จริงมันก็คือเรื่องไม่จริงเราก็ไม่ควรจะเครียดกับเรื่องที่ไม่จริง
-วินัยจอดรถข้างทาง
หลายครั้งเราด่าคนบางอาชีพเช่นนักการเมืองคนโน้นคนนี้ว่าจ้องแต่จะกอบโกย แต่พฤติกรรมคนทั่วไปมันก็เหมือนๆกัน การจอดรถในซอยขวางทางรถทุกคันจนกว่าเราจะขับรถเราออก มันก็คือการเบียดเบียนเหมือนกันไม่ต่างกัน หลายครั้งผมยังคิดถึงการตั้งด่านของตำรวจเลยว่าไม่ต้องตั้งด่านตรวจจับการทำผิดกฎจราจรแค่มาสุ่มตรวจจับรถที่จอดขวางทางในซอยหลักๆในเมืองไทยก็ไม่จำเป็นต้องไปตั้งด่านอย่างนั้นแล้ว
แล้วในสภาพที่คนไทยส่วนใหญ่ทนความไม่สะดวกสบายอย่างนี้ได้ แรงจุงใจในการไปจอดที่ที่ไม่รบกวนรถคันอื่นมันน้อย แต่ถ้าฝึกได้ก็ใจแข็ง ซึ่งผมคิดว่าเป็นนิสัยที่ควรฝึกมากๆสำหรับการเป็นนักลงทุนที่อยู่ในความเชี่ยวกรากทางอารมณ์ของตลาดเป็นประจำ หลายครั้งการทำในสิ่งที่คนไม่ทำอย่างมีเหตุผลโอกาสรอดอาจจะมีมากกว่า อารมณ์แบบมีใจทำบุญในจำนวนเท่ากันแต่มีอุปสรรคมากกว่ามันได้บุญมากกว่าเพราะมันอาศัยความพยายามมากกว่า
-ลองซื้อผลิตภัณฑ์หรือการบริการทั้งของถูกและของแพง
แต่ต้องช่างสังเกตอารมณ์แบบอยากทำธุรกิจของถูกและแพงแข่งกับยี่ห้อดังเพื่อเปรียบเทียบและเข้าใจว่ามันต่างกันอย่างไร แต่โดยสรุปแล้วคำพูดที่ว่าของแพงขายง่ายกว่าของถูกมันจริงเพราะการไต่ระดับจากมืออาชีพไประดับตำนานมันอาจจะ 80 ไป 95% แต่การจะไปแตะ 95 ได้มันยากจนมีคนทำได้ไม่เยอะ ทั้งยังได้กำไรดีกว่าตามธรรมชาติเพราะคู่แข่งน้อย หลายครั้งราคาที่ต่างกันหลายเท่า คุณภาพอาจจะไม่ได้ต่างกันขนาดราคาที่ต่าง แต่ที่มันต่างได้ขนาดนั้นมันมีเรื่องของอารมณ์มาเกี่ยวข้องสูงแล้วมันวัดได้ยากด้วย
-โคบี้ ไบรอั้น
การจากไปของนักบาสระดับตำนานคนนี้เป็นหนึ่งในเหตุการณ์ที่เสียใจที่สุดในปี 2020 ผมดูบาสตั้งแต่ตอนที่เขาเริ่มเล่นใหม่ๆ เป็นตัวอย่างของการตั้งใจเป็นระดับตำนาน สังเกตุการสัมภาษณ์ช่วงหลังก็เป็นลักษณะเติบโตอย่างสมบูรณ์มีความมั่นใจแบบไม่มีปมด้อย maturity เค้าฝันว่าอยากดังแบบเป็นวิล สมิธในโลกแห่งบาส สรุปสุดท้ายได้รางวัลออสการ์ด้วย เป็นตัวอย่างของคนมีความจดจ่อในสิ่งที่ทำและเอาจริงเอาจังจนเก่ง คิดถึงคำพูดพี่ยักษ์กับพี่ชายที่ว่าสิ่งที่คุณทำทุกวันนี้คู่ควรกับความฝันของคุณหรือยังกับนักลงทุนเฉือนกันที่รายละเอียด
-ออกกำลังกายสมอง
ถ้าการออกกำลังกายทำให้สังขารร่วงโรยช้าลง (อย่างการวิ่ง ผมอ่านดอกเตอร์ศุภวุฒิสายเชื้อมันไม่ได้ทำให้ข้อเข่าเสื่อมโดยท่านอ้างอิงบทวิจัยด้วยลองหาอ่านกันดูทาง Google)เลือดลมดีขึ้น
สมองก็คืออวัยวะ1ของร่างกาย แม้จะกินพลังงานในร่างกาย 10 เท่าของน้ำหนักตัวมัน(2%กิน 20%) ชีวิตผมเห็นทั้งคนสูงอายุทั้งคนอายุน้อยกว่าแต่ไม่พัฒนาตัวเองเลยไม่ได้ทำงานไม่ได้เจออุปสรรคชีวิต ความคิดและพฤติกรรมวนไปวนมาเหมือนๆกันอย่างเหลือเชื่อ ที่ผมเจออารมณ์เหมือนขั้นต้นของอัลไซเมอร์เคยบอกอะไรไปหลายครั้งก็จำไม่ค่อยได้ พลันคิดถึงผู้สูงอายุท่านหนึ่งที่ผมเจอฝึกสมองพัฒนาตัวเองตลอดเวลาความคมและความเข้าใจไม่ได้น้อยกว่าผมเลยด้วยซ้ำ
อีกอย่างที่ถามหมอแล้วได้คำตอบคือระหว่างกินยานอนหลับกับกินเหล้าจนมึนๆ ปรากฏว่าอย่างหลังทำลายสมองมากกว่า แต่ต้องกินจนมึนๆ
-ชื่อเสียงเพียงสายลม
ได้ไอเดียจากหนังสือเดล คาร์เนกี้ อีกหนึ่งศตวรรษก็ไม่มีใครจำเราได้แล้วคือถ้าไม่ได้ดังแบบสุดยอดจากที่ผมสังเกตมันก็จริง คาลวิน คูลลิจ ก็เป็นตัวอย่างหนึ่งที่คนส่วนใหญ่น่าจะไม่รู้จัก(อดีตประธานาธิบดีอเมริกา) อย่าฟุ้งซ่านกับความสำเร็จจนเกินไปนัก
-มั่นใจตัวเองแต่ไม่หลอกตัวเอง
การหลอกตัวเองเป็นความมั่นใจแบบกลวงๆ แต่ก็เป็นกลไกทางชีววิทยา ที่ทำให้มนุษย์ไม่เครียดจนเกินไปนัก สังเกตได้เลยว่าส่วนใหญ่คนมีปมด้อยในเรื่องไหนมักจะชอบอวดในเรื่องนั้น เช่นบางคนวัยเด็กขาดของเล่นโตขึ้นมาประสบความสำเร็จซื้อของเล่นเยอะกว่าปกติ (ซึ่งไม่ได้ผิดถ้าไม่ได้ไปเดือดร้อนใคร)
แต่ถ้าอยากประสบความสำเร็จในชีวิตมากขึ้นต้องรู้เท่าทัน พลาดต้องดูว่าพลาดสำเร็จต้องรู้ว่าสำเร็จอย่างไรพัฒนาตัวเองปรับปรุงแก้ไข ก็ทำเหมือนเดิมอย่างเก่งก็สำเร็จเท่าเดิมไม่มีทางสำเร็จมากขึ้น ดีไม่ดีโลกหมุนเร็วขึ้นความสำเร็จอาจจะน้อยลงเพราะเราก้าวช้า>โลก
-ไหว้เราได้เอง
เนื่องจากพระไม่ดีมีจำนวนมากดังนั้นไม่ควรไหว้พระไหม ประเด็นการไหว้คืออะไร?
มันคือการลดอัตตาตัวเอง ลองมีสติสังเกตจิตตัวเองดูก็ได้ครับว่าหลายครั้งที่ไหว้มันรู้สึกฮึกเหิมหรือน้อมต่ำลง
ส่วนตัวผมไหว้นะครับ เจอคนเฮงซวยก็ไหว้ แม้มันจะยากกว่าแต่ถ้าไม่ยากเราก็ไม่เก่งขึ้น (เป็นหลักเหตุและผลในเรื่องทำบุญเหมือนกันว่าการทำบุญเหมือนกันในสถานการณ์ที่ยากกว่ามันได้บุญมากกว่าเพราะอาศัยกำลังใจมากกว่า)สรุปผมทำเพื่อตัวเองครับ
-ทำงานเกินเงินเดือน
กรณีศึกษาทำงานแบบมักง่ายจนออกมาแบบหายคาใจ
ทำงานต้องเอาจริง ทำทุกอย่างให้เต็มที่วางแผนอย่างรอบคอบ หลังจากนั้นปล่อยวางเพราะทุกเรื่องมันมีปัจจัยประกอบเยอะแยะไปหมด
ช่วงก่อนลาออกจากงานหลายปี ผมทำงานแบบมีเป้าหมายระยะยาวไว้ว่าวันนึงก็ต้องออกเพราะอยากทำธุรกิจหรือลงทุนหรือทั้งคู่ไม่อยากเป็นลูกจ้างรักความอิสระ ตอนนั้นก็ทำงานแบบไม่เต็มที่สะสมมานาน โอเคมันก็เป็นแนวคิดเหมือนพนักงานทั่วไป แต่ถ้าผมอยากก้าวข้ามพนักงานทั่วไปผมต้องยอมรับความเป็นจริงและพัฒนาตัวเองให้มันเก่งพอที่จะก้าวข้ามไปได้
ผมก็รู้ว่าทำงานเต็มที่อย่างเก่งโบนัสมันก็ใกล้เคียงกันแม้จะได้รับ promote ตำแหน่งขึ้นเงินเดือนก็ไม่ได้ขึ้นเยอะซ้ำยังมีหน้าที่เยอะขึ้นมาก ทำไม่ดีการที่บริษัทจะเอาคนออกมันก็ไม่ง่าย (เลยมักง่ายไงครับ)
ผมเลยได้รับแรงกดดันจากบริษัทจนต้องพัฒนาตัวเอง ตอนนั้นก็คิดได้ว่าไปที่ใหม่ไปเลยเงินเดือนเพิ่มขึ้นแน่แล้วเริ่มต้นจาก + เพราะมีประสบการณ์ทำงานมาแล้ว มันดีแน่นอนในระยะสั้น แต่ถ้าทนทำอยู่ที่เดิมจากติดลบไปบวกมันใช้เวลาและความพยายามเพิ่มขึ้นแน่ แต่ข้อเสียมากๆเลยคือผ่านไปอีก 30 ปีผมจะต้องมานั่งครุ่นคิดถึงอดีตว่าที่ผมเคยมั่นใจถ้าเลือกทางยากแล้วมันจะสำเร็จอย่างที่มโนไหม มันอาจจะสำเร็จหรือไม่ก็ได้ แล้วคอนเน็คชั่นจากบริษัทเดิมทุกคนเค้าจะมองผมอย่างไรผู้แพ้ที่เอาตัวรอดอย่างมักง่าย สรุปผมเลือกทางยากแล้วก็ยากจริงๆ
สุดท้ายจบสวย (ถ้าไม่สวยคงเงียบเรื่องนี้ไปแล้วครับ55)คนที่เคยบ่นผมก็บอกว่าฝีมือการทำงานของผมควรจะได้รับการ promote นานแล้วแต่เหมือนทำแย่มาเยอะ ลูกค้าก็เสียดายที่ผมลาออก ช่วงวันท้ายๆความรู้สึกและฟีตแบคจากหลายๆคน ผมมีความสุขไม่น้อยกว่าการได้รับการ promote หลายขั้นเลย แล้วอีก 30 ปีไม่ต้องย้อนกลับมาคิดแล้วเพราะมันผ่านไปได้ด้วยดี ไม่ต้องมานั่งเสียดายย้อนหลัง
ปลายปี63มีนัดกินกับอดีตเพื่อนร่วมงานกลุ่ม1 มีคุยเรื่องลงทุนกับเพื่อนที่ทำงานเก่งคนหนึ่ง ผมบอกคนเราถ้าเอาจริงทำได้หมดแหละถ้าอยากจริงๆ ผมบอกโง่ๆอย่างผมยังทำได้เลย ประเด็นคือคำตอบของเพื่อนผมเค้าบอกว่าเป็นเพื่อนร่วมงานกันมานาน(น่าจะ7-8ปี) เค้าเห็นพัฒนาการของผมจากวันแรกถึงวันสุดท้ายเปลี่ยนไปมาก มันแสดงว่าการสะสมความสามารถจากการทำงานเกินเงินเดือนมันทำให้คู่ควรกับความสำเร็จที่มีมากขึ้นได้
-อย่าแคร์คนมากเกินไปแต่ต้องย้อนกลับมาทบทวนตัวเอง
อย่าสนใจว่าคนที่ไม่ชอบเราจะคิดกับเราอย่างไร ตราบใดที่เราทำในสิ่งที่ดีและไม่เบียดเบียนใครแต่ต้องแน่ใจว่าเราไม่หลอกตัวเอง
-ฟังทุกคนไม่เว้น
ทุกคนมีความรู้มากกว่าเราในบางเรื่องเสมอ การรู้จักฟังและกระตุ้นด้วยคำถามเป็นวิธีที่ดีในการเพิ่มความรู้ให้ตัวเอง โดยประหยัดเวลาไปมากกับการไปหาข้อมูลเอง
-อย่าประมาทกับสุขภาพฟัน
ตอนเด็กหมอฟันชื่นชมว่าสุขภาพฟันผมแข็งแรงดี ผ่านมา20+ ปีหมอบอกฟันแก่กว่าอายุ เหตุผลคือชอบเคี้ยวของแข็งเช่นน้ำแข็ง ขนมญี่ปุ่นเซมเบ้ก็ใช่ หมอฟันอธิบายว่ามันดูเหมือนการชอบเคี้ยวของพวกนี้มันกระทบไม่เยอะ แต่จริงๆมันเยอะแล้วคนก็ไม่ค่อยรู้ตัว ช่วงหลังพออุดฟันผมก็พยายามไม่เคี้ยวของพวกนี้(แต่ใจยังชอบเลยเคี้ยวแบบเบาไม่ให้กระทบ อย่างน้ำแข็งก็กัดแบบออกแรงเล็กน้อยแล้วให้มันละลายไปเอง) ปรากฏว่าจะต้องอุดฟันใหม่ปีละครั้งเพราะฐานฟันต่ำมาก ต่ำจนบางทีเคี้ยวข้าวที่อุดฟันยังหลุด สุดท้ายต้องครอบฟันด้วยทองคำ ตอนเด็กเคยเข้าใจผิดว่าคนที่ทำอย่างนี้เป็นพวกอวดรวย แต่พอเจอกับตัวเองเข้าใจเลยว่าคุณสมบัติทองคำคือมันมีความแข็งแรงและยืดหยุ่นจึงเหมาะสมในการครอบฟัน หลังจากนั้นปัญหาก็หายไปเยอะแต่หมอบอกว่าคุณสมบัติมันยังไงก็สู้ฟันธรรมชาติไม่ได้ สิ่งที่ทำเพิ่มขึ้นคือใช้ใหมขัดฟันเฉลี่ยสองวันครั้ง หลังจากนั้นปัญหาเรื่องเหงือกก็หมดไป
บทเรียนคือบางครั้งความประมาทหรือความไม่รู้ก็ทำให้ชีวิตแย่ขึ้นได้
-ออกกำลังกายขจัดลมพิษ
มีอยู่ครั้งหนึ่งผมไปเที่ยวอเมริกาเกือบสองอาทิตย์ และแน่นอนไม่ได้ออกกำลังกายแล้วไม่ได้มีเหงื่อเลยเพราะอากาศเย็นการเดินทางก็ใช้รถ ไม่ต้องพูดถึงการกินอาหารหลักหลักคือน้ำอัดลม แป้ง เนื้อ ผลที่ตามมาคือมีผื่นขึ้นมีเม็ดขึ้นตามผิวหนังบางส่วน กลับมาเมืองไทยใช้วิธีออกกำลังกายโดยเล่นบาสและวิ่งสวนในช่วงที่ค่าฝุ่นสูงในเมืองไทย หลังจากทำไปไม่เกินห้าครั้งผื่นและเม็ดหายไปอย่างน่าพิศวง ถือว่ายืนยันสมมุติฐานที่เคยคิดไว้ว่าการออกกำลังกายเป็นการขับสิ่งสกปรก ขี้ไคลทุกอย่างออกมาจากร่างกายทำให้ร่างกายสะอาดโดยอาจไม่จำเป็นต้องไปทาครีมบำรุงผิวพรรณจนมากเกินไปนัก
-อย่าอัตตาสูงสิ่งที่คิดว่าถูกอาจจะผิด
จีพีพี(ผลิตภัณฑ์มวลรวมในจังหวัด)ของภูเก็ตเกือบครึ่งมาจากการท่องเที่ยว ช่วงเดือน9/63มีข่าวชาวภูเก็ตจะร่วมกันโหวตว่าจะมีทราเวลบับเบิลไหม จากข้อมูลที่มีถ้าไม่มีการท่องเที่ยวตายแน่ผมเดาว่าเห็นด้วยแต่ผลลัพธ์ที่ตามออกมาคือไม่เห็นด้วย ทั้งที่ชาวภูเก็ตที่อยู่ในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวมีเยอะมาก ผมคิดเหตุและผลแล้วคิดว่าไม่น่าผิดแต่ก็ผิด แล้วความผิดพลาดอันนี้ทำให้ซื้อหุ้นเกี่ยวกับการท่องเที่ยวผิดจังหวะไปพอสมควร ผมไม่ได้คิดเผื่อเลยว่าจะผิดแต่ถ้าโอกาสผิดมันมีถึงระดับหนึ่ง สิ่งที่ควรทำมากกว่าอาจจะเป็นซื้อครึ่งหนึ่งเดือนกันยาแล้วช่วงเดือน 10 ถึง 11 ซื้ออีกครึ่ง แต่ก็ต้องยอมรับผลของมันถ้าเราผิด ซึ่งก็คือชาวภูเก็ตยอมรับทราเวลบั๊บเบิล ก็ต้องซื้อเพิ่มในราคาแพงเกิน เพราะภายในปลายปียังไงต้องมีข่าวดีเรื่องวัคซีนใช้ได้อยู่แล้ว ซึ่งผมมองว่าถ้ามีข่าวนี้แบบเป็นทางการหุ้นท่องเที่ยวขึ้นแน่เเล้วก็ขึ้นจริงๆ
ควรสำนึกไว้ตลอดเวลาว่าเราผิดได้ตลอด
-กระโปรง
ตอนเราใส่กางเกงคนบอกว่าเราใส่กระโปรงถ้าเราใส่กางเกงแน่ๆก็ไม่ต้องสนใจเพราะการที่ผู้คนกล่าวหาจะยังไงมันก็ไม่มีทางเปลี่ยนกางเกงเป็นกระโปรงได้
ภาค2จะเน้นไปที่ประสบการณ์&บทเรียนการลงทุนปี 2563 ขอดูฟีตแบคภาคหนึ่งก่อนถ้าน้อยกว่าที่คิดทั้งไลค์ทั้งแชร์ก็อาจจะไม่เขียนประสบการณ์และบทเรียนที่ตกผลึกมากขึ้นในปีที่ผ่านมา เพราะการเรียบเรียงประสบการณ์อันล้ำค่าใช้เวลาเยอะมากถ้าคนได้ประโยชน์ไม่เยอะ น่าจะเสียเวลาเปล่าในการเรียบเรียง สู้เก็บประสบการณ์ไว้ใช้กับตัวเอง
ดีกว่า
# สนใจสั่งซื้อหนังสือตามรูปโปรไฟล์อินบ็อกซ์มาได้ครับราคาปก 250 จ่ายเพียง 200 แถมส่งฟรี ไฮไลท์คือแชร์ประสบการณ์ลงทุนหุ้นเป็นตัวๆทุกปี รวมกัน 10 ปี ไม่ต้องไปโดนเองก่อนในตลาดหุ้น ลิงค์สรุปเนื้อหาหลักๆในหนังสือ
https://www.facebook.com/10224555446661 ... =n&sfns=mo
ชอบกดไลค์ใช่กดแชร์
ข้อมูลดีๆซ่อนอยู่ในคอมเม้นต์อย่าลืมอ่านกัน
ทุกไลค์ทุกแชร์ทุกคอมเม้นต์เป็นกำลังใจและสื่อให้ผมรู้ว่าคอนเทนท์ลักษณะนี้มีคนชอบกันขนาดไหน คอนเทนท์ลักษณะไหนไม่ค่อยนิยมจะค่อยๆหายไปครับ
VI Buffet byเอกธำรง #1ทศวรรษกับบทเรียนชีวิตที่เพิ่มขึ้นภาค1บทเรียนชีวิตในภาพรวม020164
ภาค1บทเรียนชีวิตในภาพรวม
เอก ธำรง
020164
-เกิดเป็นคนต้องสำส่อน
ดีกับทุกคนไม่มีเว้น เป็นการฝึกใจให้ดีกับทุกคนอย่างเท่าเทียมโดยไม่ยึดผลประโยชน์เป็นที่ตั้ง มองในแง่กรรมส่งผล ต่อให้มีคนสัดส่วนน้อยมากประทับใจในสิ่งที่เราทำในอนาคตอาจจะมีโอกาสช่วยเหลือเรากลับอย่างเต็มใจในเวลาที่เราคิดไม่ถึงก็ได้
-ใครดีกับเราให้จำ เราดีกับใครให้ลืม
คำพูดเจ้าสัวเทียม โชควัฒนาที่ผมนำมาใช้ในชีวิตบ่อยๆ ประเด็นคือเราต้องรู้จักความดีคน(คนที่ดีกับเราก็ประทับใจและมีโอกาสที่จะช่วยเหลือเกื้อกูลกันต่อๆไป)และคนส่วนใหญ่มีแนวโน้มไม่กตัญญู(แล้วเราก็จะไม่เครียด ทั้งยังได้บุญเยอะจากการทำบุญโดยแทบไม่หวังผล)
-อย่าใช้เหตุผลมากไป
สมัยเด็กๆแม้ผมจะมีเหตุผล แต่ก็เหมือนเด็กทั่วไปมีความเป็นศิลปินและเป็นตัวของตัวเองพอสมควร โตขึ้นมาอยากเก่งอยากสำเร็จก็มุ่งไปทางที่เน้นเหตุและผล อยากได้ผลลัพธ์อย่างไรก็ต้องสร้างเหตุอย่างนั้น พอฝึกไปเป็นสิบๆปี มันก็เป็นนิสัย อันนี้มีเพื่อนสนิทให้คำแนะนำมาว่าการใช้ชีวิตคู่บางครั้งเหตุผลก็ใช้ไม่ได้ซึ่งก็จริงเพราะมนุษย์เป็นสัตว์อารมณ์ บทสรุปของผมจนถึงวันที่เขียนคือต้องบาลานซ์เหตุผลและอารมณ์ให้ไปด้วยกันให้ได้แล้วแต่ช่วงจังหวะเวลาและกับใคร
-สุขนิยม
ตอนเด็กผมติดสบายครับแล้วยิ่งการเป็นลูกชายคนโตบวกกับการที่คุณพ่อไม่ได้รับความรักเท่าที่ควรเลยประเคนหลายๆอย่างตามใจลูกเต็มที่(แต่พอโตมาซัก 10 กว่าขวบคุณพ่อก็ไม่ได้สปอยล์นะครับแถมยังพูดตรงไปตรงมาแบบขวานผ่าซากทำให้ผมปรับปรุงตัวได้จนมีทุกวันนี้ จากไม่มีเพื่อนจนมีเพื่อนขนาดนี้) มีเพื่อนผมคนหนึ่งเคยพูดถึงผมในแง่นี้ช่วงม.ปลาย
แต่พอกาลเวลาผ่านไป ผมก็เป็นคนสุขนิยมขึ้นเรื่อยๆคือพยายามเน้นไปที่ความสุขไม่เน้นไปในพลังทางลบ หลายครั้งที่การอยากรู้เรื่องชาวบ้านของผมไม่ใช่เพื่อไปนินทาแต่เพื่อเป็นกรณีศึกษาเอามาปรับปรุงใช้ในชีวิตส่วนตัว (เอาไว้ถ้ามีเวลาอาจจะมีเผยเคล็ดลับการรู้เรื่องชาวบ้าน แต่เคล็ดลับหนึ่งคือต้องเก็บความลับให้เป็น)
หลายครั้งที่เวลาส่วนใหญ่ของเราหมดไปกับการพร่ำบ่น โทษคนโน้นคนนี้ ถ้าเราเปลี่ยนเวลาบ่น(ที่รวมๆกัน)ไปใช้พัฒนาตัวเอง คิดและทำในวิธีที่มีโอกาสจะไปในผลลัพธ์ที่เราต้องการ ชีวิตเราก็จะดีขึ้นเอง ในขณะที่การบ่นไม่ได้อะไรเลยแล้วยิ่งทำให้เสียอารมณ์ทุกครั้งด้วย
-คนเฮงซวย(คนไม่ดี)
สถิติส่วนตัวที่ผมเจอเกือบ 100%(แต่นึกๆดูอาจจะ100%) ของจำนวนคนเฮงซวย พอสนิทมากขึ้นๆมันต้องมีเรื่องปวดหัวตามมา ถ้าสนิทมากมีโอกาสเกิดเรื่องเดือดร้อนสูง บางครั้งการแสดงออกอย่างชัดเจนว่าเราไม่ชอบคนนี้อาจจะเป็นวิธีที่ดีก็ได้เพราะจะไม่มีเรื่องปวดหัวตามมาทีหลัง อีกวิธีคือไม่ต้องแสดงแล้วก็ไม่ค่อยเจอถ้าไม่จำเป็นอาจจะเป็นวิธีที่ดีกว่า แต่วิธีที่แย่ที่สุดคือเจอกันบ่อยๆดั่งเพื่อนสนิท อันนั้นจะมีเรื่องไม่ดีตามมาแน่นอนจากประสบการณ์ส่วนตัวและจากการสังเกตคนรอบข้าง
-คำพุทธทาส
คำหนึ่งที่ผมชอบคือ(จริงๆหลายคำ) ถ้าใครว่าเราแล้วมันเป็นเรื่องจริงเราต้องขอบคุณเขาเพราะมันทำให้เราปรับปรุงตัวและเป็นคนที่ดีขึ้นเก่งขึ้น แต่ถ้ามันเป็นเรื่องไม่จริงมันก็คือเรื่องไม่จริงเราก็ไม่ควรจะเครียดกับเรื่องที่ไม่จริง
-วินัยจอดรถข้างทาง
หลายครั้งเราด่าคนบางอาชีพเช่นนักการเมืองคนโน้นคนนี้ว่าจ้องแต่จะกอบโกย แต่พฤติกรรมคนทั่วไปมันก็เหมือนๆกัน การจอดรถในซอยขวางทางรถทุกคันจนกว่าเราจะขับรถเราออก มันก็คือการเบียดเบียนเหมือนกันไม่ต่างกัน หลายครั้งผมยังคิดถึงการตั้งด่านของตำรวจเลยว่าไม่ต้องตั้งด่านตรวจจับการทำผิดกฎจราจรแค่มาสุ่มตรวจจับรถที่จอดขวางทางในซอยหลักๆในเมืองไทยก็ไม่จำเป็นต้องไปตั้งด่านอย่างนั้นแล้ว
แล้วในสภาพที่คนไทยส่วนใหญ่ทนความไม่สะดวกสบายอย่างนี้ได้ แรงจุงใจในการไปจอดที่ที่ไม่รบกวนรถคันอื่นมันน้อย แต่ถ้าฝึกได้ก็ใจแข็ง ซึ่งผมคิดว่าเป็นนิสัยที่ควรฝึกมากๆสำหรับการเป็นนักลงทุนที่อยู่ในความเชี่ยวกรากทางอารมณ์ของตลาดเป็นประจำ หลายครั้งการทำในสิ่งที่คนไม่ทำอย่างมีเหตุผลโอกาสรอดอาจจะมีมากกว่า อารมณ์แบบมีใจทำบุญในจำนวนเท่ากันแต่มีอุปสรรคมากกว่ามันได้บุญมากกว่าเพราะมันอาศัยความพยายามมากกว่า
-ลองซื้อผลิตภัณฑ์หรือการบริการทั้งของถูกและของแพง
แต่ต้องช่างสังเกตอารมณ์แบบอยากทำธุรกิจของถูกและแพงแข่งกับยี่ห้อดังเพื่อเปรียบเทียบและเข้าใจว่ามันต่างกันอย่างไร แต่โดยสรุปแล้วคำพูดที่ว่าของแพงขายง่ายกว่าของถูกมันจริงเพราะการไต่ระดับจากมืออาชีพไประดับตำนานมันอาจจะ 80 ไป 95% แต่การจะไปแตะ 95 ได้มันยากจนมีคนทำได้ไม่เยอะ ทั้งยังได้กำไรดีกว่าตามธรรมชาติเพราะคู่แข่งน้อย หลายครั้งราคาที่ต่างกันหลายเท่า คุณภาพอาจจะไม่ได้ต่างกันขนาดราคาที่ต่าง แต่ที่มันต่างได้ขนาดนั้นมันมีเรื่องของอารมณ์มาเกี่ยวข้องสูงแล้วมันวัดได้ยากด้วย
-โคบี้ ไบรอั้น
การจากไปของนักบาสระดับตำนานคนนี้เป็นหนึ่งในเหตุการณ์ที่เสียใจที่สุดในปี 2020 ผมดูบาสตั้งแต่ตอนที่เขาเริ่มเล่นใหม่ๆ เป็นตัวอย่างของการตั้งใจเป็นระดับตำนาน สังเกตุการสัมภาษณ์ช่วงหลังก็เป็นลักษณะเติบโตอย่างสมบูรณ์มีความมั่นใจแบบไม่มีปมด้อย maturity เค้าฝันว่าอยากดังแบบเป็นวิล สมิธในโลกแห่งบาส สรุปสุดท้ายได้รางวัลออสการ์ด้วย เป็นตัวอย่างของคนมีความจดจ่อในสิ่งที่ทำและเอาจริงเอาจังจนเก่ง คิดถึงคำพูดพี่ยักษ์กับพี่ชายที่ว่าสิ่งที่คุณทำทุกวันนี้คู่ควรกับความฝันของคุณหรือยังกับนักลงทุนเฉือนกันที่รายละเอียด
-ออกกำลังกายสมอง
ถ้าการออกกำลังกายทำให้สังขารร่วงโรยช้าลง (อย่างการวิ่ง ผมอ่านดอกเตอร์ศุภวุฒิสายเชื้อมันไม่ได้ทำให้ข้อเข่าเสื่อมโดยท่านอ้างอิงบทวิจัยด้วยลองหาอ่านกันดูทาง Google)เลือดลมดีขึ้น
สมองก็คืออวัยวะ1ของร่างกาย แม้จะกินพลังงานในร่างกาย 10 เท่าของน้ำหนักตัวมัน(2%กิน 20%) ชีวิตผมเห็นทั้งคนสูงอายุทั้งคนอายุน้อยกว่าแต่ไม่พัฒนาตัวเองเลยไม่ได้ทำงานไม่ได้เจออุปสรรคชีวิต ความคิดและพฤติกรรมวนไปวนมาเหมือนๆกันอย่างเหลือเชื่อ ที่ผมเจออารมณ์เหมือนขั้นต้นของอัลไซเมอร์เคยบอกอะไรไปหลายครั้งก็จำไม่ค่อยได้ พลันคิดถึงผู้สูงอายุท่านหนึ่งที่ผมเจอฝึกสมองพัฒนาตัวเองตลอดเวลาความคมและความเข้าใจไม่ได้น้อยกว่าผมเลยด้วยซ้ำ
อีกอย่างที่ถามหมอแล้วได้คำตอบคือระหว่างกินยานอนหลับกับกินเหล้าจนมึนๆ ปรากฏว่าอย่างหลังทำลายสมองมากกว่า แต่ต้องกินจนมึนๆ
-ชื่อเสียงเพียงสายลม
ได้ไอเดียจากหนังสือเดล คาร์เนกี้ อีกหนึ่งศตวรรษก็ไม่มีใครจำเราได้แล้วคือถ้าไม่ได้ดังแบบสุดยอดจากที่ผมสังเกตมันก็จริง คาลวิน คูลลิจ ก็เป็นตัวอย่างหนึ่งที่คนส่วนใหญ่น่าจะไม่รู้จัก(อดีตประธานาธิบดีอเมริกา) อย่าฟุ้งซ่านกับความสำเร็จจนเกินไปนัก
-มั่นใจตัวเองแต่ไม่หลอกตัวเอง
การหลอกตัวเองเป็นความมั่นใจแบบกลวงๆ แต่ก็เป็นกลไกทางชีววิทยา ที่ทำให้มนุษย์ไม่เครียดจนเกินไปนัก สังเกตได้เลยว่าส่วนใหญ่คนมีปมด้อยในเรื่องไหนมักจะชอบอวดในเรื่องนั้น เช่นบางคนวัยเด็กขาดของเล่นโตขึ้นมาประสบความสำเร็จซื้อของเล่นเยอะกว่าปกติ (ซึ่งไม่ได้ผิดถ้าไม่ได้ไปเดือดร้อนใคร)
แต่ถ้าอยากประสบความสำเร็จในชีวิตมากขึ้นต้องรู้เท่าทัน พลาดต้องดูว่าพลาดสำเร็จต้องรู้ว่าสำเร็จอย่างไรพัฒนาตัวเองปรับปรุงแก้ไข ก็ทำเหมือนเดิมอย่างเก่งก็สำเร็จเท่าเดิมไม่มีทางสำเร็จมากขึ้น ดีไม่ดีโลกหมุนเร็วขึ้นความสำเร็จอาจจะน้อยลงเพราะเราก้าวช้า>โลก
-ไหว้เราได้เอง
เนื่องจากพระไม่ดีมีจำนวนมากดังนั้นไม่ควรไหว้พระไหม ประเด็นการไหว้คืออะไร?
มันคือการลดอัตตาตัวเอง ลองมีสติสังเกตจิตตัวเองดูก็ได้ครับว่าหลายครั้งที่ไหว้มันรู้สึกฮึกเหิมหรือน้อมต่ำลง
ส่วนตัวผมไหว้นะครับ เจอคนเฮงซวยก็ไหว้ แม้มันจะยากกว่าแต่ถ้าไม่ยากเราก็ไม่เก่งขึ้น (เป็นหลักเหตุและผลในเรื่องทำบุญเหมือนกันว่าการทำบุญเหมือนกันในสถานการณ์ที่ยากกว่ามันได้บุญมากกว่าเพราะอาศัยกำลังใจมากกว่า)สรุปผมทำเพื่อตัวเองครับ
-ทำงานเกินเงินเดือน
กรณีศึกษาทำงานแบบมักง่ายจนออกมาแบบหายคาใจ
ทำงานต้องเอาจริง ทำทุกอย่างให้เต็มที่วางแผนอย่างรอบคอบ หลังจากนั้นปล่อยวางเพราะทุกเรื่องมันมีปัจจัยประกอบเยอะแยะไปหมด
ช่วงก่อนลาออกจากงานหลายปี ผมทำงานแบบมีเป้าหมายระยะยาวไว้ว่าวันนึงก็ต้องออกเพราะอยากทำธุรกิจหรือลงทุนหรือทั้งคู่ไม่อยากเป็นลูกจ้างรักความอิสระ ตอนนั้นก็ทำงานแบบไม่เต็มที่สะสมมานาน โอเคมันก็เป็นแนวคิดเหมือนพนักงานทั่วไป แต่ถ้าผมอยากก้าวข้ามพนักงานทั่วไปผมต้องยอมรับความเป็นจริงและพัฒนาตัวเองให้มันเก่งพอที่จะก้าวข้ามไปได้
ผมก็รู้ว่าทำงานเต็มที่อย่างเก่งโบนัสมันก็ใกล้เคียงกันแม้จะได้รับ promote ตำแหน่งขึ้นเงินเดือนก็ไม่ได้ขึ้นเยอะซ้ำยังมีหน้าที่เยอะขึ้นมาก ทำไม่ดีการที่บริษัทจะเอาคนออกมันก็ไม่ง่าย (เลยมักง่ายไงครับ)
ผมเลยได้รับแรงกดดันจากบริษัทจนต้องพัฒนาตัวเอง ตอนนั้นก็คิดได้ว่าไปที่ใหม่ไปเลยเงินเดือนเพิ่มขึ้นแน่แล้วเริ่มต้นจาก + เพราะมีประสบการณ์ทำงานมาแล้ว มันดีแน่นอนในระยะสั้น แต่ถ้าทนทำอยู่ที่เดิมจากติดลบไปบวกมันใช้เวลาและความพยายามเพิ่มขึ้นแน่ แต่ข้อเสียมากๆเลยคือผ่านไปอีก 30 ปีผมจะต้องมานั่งครุ่นคิดถึงอดีตว่าที่ผมเคยมั่นใจถ้าเลือกทางยากแล้วมันจะสำเร็จอย่างที่มโนไหม มันอาจจะสำเร็จหรือไม่ก็ได้ แล้วคอนเน็คชั่นจากบริษัทเดิมทุกคนเค้าจะมองผมอย่างไรผู้แพ้ที่เอาตัวรอดอย่างมักง่าย สรุปผมเลือกทางยากแล้วก็ยากจริงๆ
สุดท้ายจบสวย (ถ้าไม่สวยคงเงียบเรื่องนี้ไปแล้วครับ55)คนที่เคยบ่นผมก็บอกว่าฝีมือการทำงานของผมควรจะได้รับการ promote นานแล้วแต่เหมือนทำแย่มาเยอะ ลูกค้าก็เสียดายที่ผมลาออก ช่วงวันท้ายๆความรู้สึกและฟีตแบคจากหลายๆคน ผมมีความสุขไม่น้อยกว่าการได้รับการ promote หลายขั้นเลย แล้วอีก 30 ปีไม่ต้องย้อนกลับมาคิดแล้วเพราะมันผ่านไปได้ด้วยดี ไม่ต้องมานั่งเสียดายย้อนหลัง
ปลายปี63มีนัดกินกับอดีตเพื่อนร่วมงานกลุ่ม1 มีคุยเรื่องลงทุนกับเพื่อนที่ทำงานเก่งคนหนึ่ง ผมบอกคนเราถ้าเอาจริงทำได้หมดแหละถ้าอยากจริงๆ ผมบอกโง่ๆอย่างผมยังทำได้เลย ประเด็นคือคำตอบของเพื่อนผมเค้าบอกว่าเป็นเพื่อนร่วมงานกันมานาน(น่าจะ7-8ปี) เค้าเห็นพัฒนาการของผมจากวันแรกถึงวันสุดท้ายเปลี่ยนไปมาก มันแสดงว่าการสะสมความสามารถจากการทำงานเกินเงินเดือนมันทำให้คู่ควรกับความสำเร็จที่มีมากขึ้นได้
-อย่าแคร์คนมากเกินไปแต่ต้องย้อนกลับมาทบทวนตัวเอง
อย่าสนใจว่าคนที่ไม่ชอบเราจะคิดกับเราอย่างไร ตราบใดที่เราทำในสิ่งที่ดีและไม่เบียดเบียนใครแต่ต้องแน่ใจว่าเราไม่หลอกตัวเอง
-ฟังทุกคนไม่เว้น
ทุกคนมีความรู้มากกว่าเราในบางเรื่องเสมอ การรู้จักฟังและกระตุ้นด้วยคำถามเป็นวิธีที่ดีในการเพิ่มความรู้ให้ตัวเอง โดยประหยัดเวลาไปมากกับการไปหาข้อมูลเอง
-อย่าประมาทกับสุขภาพฟัน
ตอนเด็กหมอฟันชื่นชมว่าสุขภาพฟันผมแข็งแรงดี ผ่านมา20+ ปีหมอบอกฟันแก่กว่าอายุ เหตุผลคือชอบเคี้ยวของแข็งเช่นน้ำแข็ง ขนมญี่ปุ่นเซมเบ้ก็ใช่ หมอฟันอธิบายว่ามันดูเหมือนการชอบเคี้ยวของพวกนี้มันกระทบไม่เยอะ แต่จริงๆมันเยอะแล้วคนก็ไม่ค่อยรู้ตัว ช่วงหลังพออุดฟันผมก็พยายามไม่เคี้ยวของพวกนี้(แต่ใจยังชอบเลยเคี้ยวแบบเบาไม่ให้กระทบ อย่างน้ำแข็งก็กัดแบบออกแรงเล็กน้อยแล้วให้มันละลายไปเอง) ปรากฏว่าจะต้องอุดฟันใหม่ปีละครั้งเพราะฐานฟันต่ำมาก ต่ำจนบางทีเคี้ยวข้าวที่อุดฟันยังหลุด สุดท้ายต้องครอบฟันด้วยทองคำ ตอนเด็กเคยเข้าใจผิดว่าคนที่ทำอย่างนี้เป็นพวกอวดรวย แต่พอเจอกับตัวเองเข้าใจเลยว่าคุณสมบัติทองคำคือมันมีความแข็งแรงและยืดหยุ่นจึงเหมาะสมในการครอบฟัน หลังจากนั้นปัญหาก็หายไปเยอะแต่หมอบอกว่าคุณสมบัติมันยังไงก็สู้ฟันธรรมชาติไม่ได้ สิ่งที่ทำเพิ่มขึ้นคือใช้ใหมขัดฟันเฉลี่ยสองวันครั้ง หลังจากนั้นปัญหาเรื่องเหงือกก็หมดไป
บทเรียนคือบางครั้งความประมาทหรือความไม่รู้ก็ทำให้ชีวิตแย่ขึ้นได้
-ออกกำลังกายขจัดลมพิษ
มีอยู่ครั้งหนึ่งผมไปเที่ยวอเมริกาเกือบสองอาทิตย์ และแน่นอนไม่ได้ออกกำลังกายแล้วไม่ได้มีเหงื่อเลยเพราะอากาศเย็นการเดินทางก็ใช้รถ ไม่ต้องพูดถึงการกินอาหารหลักหลักคือน้ำอัดลม แป้ง เนื้อ ผลที่ตามมาคือมีผื่นขึ้นมีเม็ดขึ้นตามผิวหนังบางส่วน กลับมาเมืองไทยใช้วิธีออกกำลังกายโดยเล่นบาสและวิ่งสวนในช่วงที่ค่าฝุ่นสูงในเมืองไทย หลังจากทำไปไม่เกินห้าครั้งผื่นและเม็ดหายไปอย่างน่าพิศวง ถือว่ายืนยันสมมุติฐานที่เคยคิดไว้ว่าการออกกำลังกายเป็นการขับสิ่งสกปรก ขี้ไคลทุกอย่างออกมาจากร่างกายทำให้ร่างกายสะอาดโดยอาจไม่จำเป็นต้องไปทาครีมบำรุงผิวพรรณจนมากเกินไปนัก
-อย่าอัตตาสูงสิ่งที่คิดว่าถูกอาจจะผิด
จีพีพี(ผลิตภัณฑ์มวลรวมในจังหวัด)ของภูเก็ตเกือบครึ่งมาจากการท่องเที่ยว ช่วงเดือน9/63มีข่าวชาวภูเก็ตจะร่วมกันโหวตว่าจะมีทราเวลบับเบิลไหม จากข้อมูลที่มีถ้าไม่มีการท่องเที่ยวตายแน่ผมเดาว่าเห็นด้วยแต่ผลลัพธ์ที่ตามออกมาคือไม่เห็นด้วย ทั้งที่ชาวภูเก็ตที่อยู่ในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวมีเยอะมาก ผมคิดเหตุและผลแล้วคิดว่าไม่น่าผิดแต่ก็ผิด แล้วความผิดพลาดอันนี้ทำให้ซื้อหุ้นเกี่ยวกับการท่องเที่ยวผิดจังหวะไปพอสมควร ผมไม่ได้คิดเผื่อเลยว่าจะผิดแต่ถ้าโอกาสผิดมันมีถึงระดับหนึ่ง สิ่งที่ควรทำมากกว่าอาจจะเป็นซื้อครึ่งหนึ่งเดือนกันยาแล้วช่วงเดือน 10 ถึง 11 ซื้ออีกครึ่ง แต่ก็ต้องยอมรับผลของมันถ้าเราผิด ซึ่งก็คือชาวภูเก็ตยอมรับทราเวลบั๊บเบิล ก็ต้องซื้อเพิ่มในราคาแพงเกิน เพราะภายในปลายปียังไงต้องมีข่าวดีเรื่องวัคซีนใช้ได้อยู่แล้ว ซึ่งผมมองว่าถ้ามีข่าวนี้แบบเป็นทางการหุ้นท่องเที่ยวขึ้นแน่เเล้วก็ขึ้นจริงๆ
ควรสำนึกไว้ตลอดเวลาว่าเราผิดได้ตลอด
-กระโปรง
ตอนเราใส่กางเกงคนบอกว่าเราใส่กระโปรงถ้าเราใส่กางเกงแน่ๆก็ไม่ต้องสนใจเพราะการที่ผู้คนกล่าวหาจะยังไงมันก็ไม่มีทางเปลี่ยนกางเกงเป็นกระโปรงได้
ภาค2จะเน้นไปที่ประสบการณ์&บทเรียนการลงทุนปี 2563 ขอดูฟีตแบคภาคหนึ่งก่อนถ้าน้อยกว่าที่คิดทั้งไลค์ทั้งแชร์ก็อาจจะไม่เขียนประสบการณ์และบทเรียนที่ตกผลึกมากขึ้นในปีที่ผ่านมา เพราะการเรียบเรียงประสบการณ์อันล้ำค่าใช้เวลาเยอะมากถ้าคนได้ประโยชน์ไม่เยอะ น่าจะเสียเวลาเปล่าในการเรียบเรียง สู้เก็บประสบการณ์ไว้ใช้กับตัวเอง
ดีกว่า
# สนใจสั่งซื้อหนังสือตามรูปโปรไฟล์อินบ็อกซ์มาได้ครับราคาปก 250 จ่ายเพียง 200 แถมส่งฟรี ไฮไลท์คือแชร์ประสบการณ์ลงทุนหุ้นเป็นตัวๆทุกปี รวมกัน 10 ปี ไม่ต้องไปโดนเองก่อนในตลาดหุ้น ลิงค์สรุปเนื้อหาหลักๆในหนังสือ
https://www.facebook.com/10224555446661 ... =n&sfns=mo
ชอบกดไลค์ใช่กดแชร์
ข้อมูลดีๆซ่อนอยู่ในคอมเม้นต์อย่าลืมอ่านกัน
ทุกไลค์ทุกแชร์ทุกคอมเม้นต์เป็นกำลังใจและสื่อให้ผมรู้ว่าคอนเทนท์ลักษณะนี้มีคนชอบกันขนาดไหน คอนเทนท์ลักษณะไหนไม่ค่อยนิยมจะค่อยๆหายไปครับ
VI Buffet byเอกธำรง #1ทศวรรษกับบทเรียนชีวิตที่เพิ่มขึ้นภาค1บทเรียนชีวิตในภาพรวม020164