ลงทุนมาราธอนแบบ วอเร็น บัฟเฟตต์/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์แล้ว: เสาร์ ต.ค. 24, 2020 12:58 pm
เวลาคนพูดถึงวอเร็น บัฟเฟตต์ นั้น ภาพแรกที่นึกถึงก็คือ เขาเป็นนักลงทุนหมายเลขหนึ่งของโลกและทำผลงานการลงทุนที่ยอดเยี่ยมที่สุดตลอดกาล หุ้นตัวไหนที่บัฟเฟตต์เข้าซื้อ หุ้นตัวนั้นก็มักจะวิ่งขึ้นแบบ “ติดจรวด” ดังนั้น พอร์ตการลงทุนของเขาแต่ละปีก็น่าจะดีเยี่ยม และแน่นอน จะต้องเอาชนะตลาดแบบ “ขาดลอย” บางคนอาจจะเคยได้ยินว่าปี ๆ หนึ่งผลตอบแทนที่ได้นั้นหลายสิบเปอร์เซ็นต์และแทบจะไม่ค่อยติดลบเลย แต่ทั้งหมดนั้น เป็นจริงหรือ? เรามาดูกันว่าผลงานการลงทุนตลอดชีวิตของบัฟเฟตต์เป็นอย่างไร?
วอเร็น บัฟเฟตต์ เกิดในปี 1930 ซึ่งภาวะเศรษฐกิจอเมริกันและโลกอยู่ในช่วง Great Depression หรือวิกฤติครั้งใหญ่ซึ่งเกิดขึ้นในปี 1929 ที่เมืองโอมาฮา รัฐเนบราสกา นับถึงวันนี้เขาก็มีอายุครบ 90 ปีแล้ว ตามประวัตินั้น ตั้งแต่ยังเป็นเด็กเริ่มรู้ความเขาก็ “ลงทุน” แล้ว เช่น ลงทุนขายน้ำในงานรื่นเริงของท้องถิ่น แต่หุ้นตัวแรกที่เขาซื้อนั้นเกิดขึ้นตอนเขาอายุแค่ 11 ขวบ พอเรียนจบมหาวิทยาลัยตอนอายุประมาณ 21 ปี เขาก็เริ่มทำงานทางด้านหลักทรัพย์ในฐานะที่เป็นนักวิเคราะห์และบริหารกองทุนรวมเป็นเวลาสั้น ๆ หลังจากนั้นเมื่ออายุ 26 ปี เขาก็จัดตั้งและบริหารกองทุนที่เป็นห้างหุ้นส่วนเองโดยมีเงินที่มีคนมาลงทุนเริ่มต้นประมาณ 100,000 เหรียญ โดยที่เป็นเงินส่วนของเขาเองเพียงเล็กน้อย แต่เขาจะได้รับส่วนแบ่งจากกำไรที่สูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดด้วยทุกปี จากวันนั้น เขาก็ลงทุนมาตลอดจนถึงวันนี้คิดเป็นเวลา 60-70 ปี และกลายเป็นตำนานของนักลงทุนที่ยังมีชีวิตอยู่
สถิติการลงทุนของวอเร็น บัฟเฟตต์ ในแง่ของความมั่งคั่งส่วนตัวที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เป็นระยะเวลายาวนานนั้น มีการบันทึกไว้โดยผู้ที่ติดตามประวัติและผลงานย้อนหลังของเขาซึ่งพอจะ “ประมาณ” เป็นมูลค่าที่ผมจะกล่าวต่อไป ซึ่งผมเองคิดว่า ในช่วงแรก ๆ ก่อนที่เขาจะดังและมีเงินจำนวนมากนั้น น่าจะเป็นตัวเลขที่อาจจะคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงได้มาก นอกจากนั้น ในช่วงที่ยังมีความมั่งคั่งไม่มาก เงินที่เพิ่มขึ้นมาของเขายังมาจากเงินที่ได้จากการทำงานโดยเฉพาะเงินส่วนแบ่งกำไรจากการบริหารกองทุนของเขา หรือเปรียบง่าย ๆ ก็คือ มีเงินเติมเข้าไปในพอร์ตหุ้นส่วนตัวของเขาต่อเนื่องเป็นเวลาประมาณ 13 ปี แต่หลังจากนั้นเมื่อเขาเปลี่ยนจากการบริหารกองทุนเป็นการใช้บริษัทเบิร์กไชร์เป็นบริษัทโฮลดิ้ง เมื่อเขามีอายุประมาณ 40 ปี ความมั่งคั่งทุกอย่างของเขาก็มาจากหุ้นเบิร์กไชร์เป็นหลัก และสถิติการลงทุนและความมั่งคั่งของเขาหลังจากนั้นก็น่าจะถูกต้องเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์
เมื่อบัฟเฟตต์อายุครบ 30 ปีในปี 1960 นั้น เขามีเงินหรือความมั่งคั่งถึงประมาณ 1 ล้านเหรียญหรือถ้าคิดเป็นเงินไทยวันนี้ก็ประมาณ 30 ล้านบาทแล้ว อาจจะดูว่าไม่มาก แต่ถ้ามองว่านั่นคือสภาวะเมื่อ 60 ปีก่อนที่เมืองไทยยังใช้สามล้อคนถีบเป็นหลัก บ้านที่ผมอยู่เป็นบ้านไม้มุงหลังคาสังกะสี และถนนในกรุงเทพมีไม่กี่สาย การทำอาหารยังใช้ถ่านไม้เป็นหลัก น้ำที่ใช้ยังต้องไปหาบมาจากที่อื่น บ้านยังไม่มีเครื่องใช้ไฟ้ฟ้าแม้แต่ชิ้นเดียว ก็ต้องถือว่าบัฟเฟตต์รวยเป็น “Millionaire” หรือ “เศรษฐีเงินล้าน” แล้วตั้งแต่อายุ 30 ปี ซึ่งแม้แต่ในอเมริกาก็ถือว่า “ไม่ธรรมดา” และผมจะตั้งต้นจากจุดนี้ที่จะดูหรือวัดผลงานการลงทุนของบัฟเฟตต์ว่าเป็นอย่างไร เพราะถ้าวัดจากวันเริ่มต้นลงทุนของเขาตอนอายุ 26 ปีนั้น เม็ดเงินที่ลงทุนมีน้อยมากและยังมีการ “เติมเงิน” จำนวนมากเข้ามาอย่างต่อเนื่อง การวัดก็จะไม่ค่อยมีความหมาย เหมือนกับบอกว่าซื้อหุ้นครั้งแรกด้วยเงิน 100,000 บาท แต่แค่ 3-4 ปีกลายเป็น 10 หรือ 100 ล้านบาทแล้ว
อีก 10 ปีต่อมา ในปี 1970 และบัฟเฟตต์อายุครบ 40 ปี เงินหรือความมั่งคั่งของบัฟเฟตต์โตเร็วมาก จาก 1 กลายเป็นประมาณ 34 ล้านเหรียญ หรือโตขึ้น 33 เท่าตัวในเวลา 10 ปี คิดเป็นผลตอบแทนทบต้นถึงปีละ 42% นี่คือความ “สุดยอด” ผลงานการลงทุนของบัฟเฟตต์ และทำให้บัฟเฟตต์กลายเป็น เศรษฐีหุ้น “พันล้านบาท” แล้วในยามที่การลงทุนในตลาดหุ้นโดยทั่วไปอยู่ในภาวะที่ซบเซา เพราะในช่วงเวลาเดียวกันนั้น ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวขึ้นจากประมาณ 616 จุดเป็น 839 จุด หรือโตขึ้นทบต้นปีละแค่ 3.1% เหตุผลอาจจะเป็นเพราะอเมริกากำลังอยู่ในช่วงของสงครามเวียตนามและสงครามเย็นกับโซเวียตรัสเซียที่กำลังทวีความรุนแรงขึ้น อย่างไรก็ตาม ผลงานสุดยอดนี้ ส่วนสำคัญส่วนหนึ่งก็คือ พอร์ตของบัฟเฟตต์ยังไม่ใหญ่เกินไปและเขายังสามารถลงทุนแบบ Focus หรือเน้นลงทุนในหุ้นน้อยตัวได้
ในปี 1980 หรืออีกหนึ่งทศวรรษถัดมา พอร์ตบัฟเฟตต์ยังคงเติบโตอย่างรวดเร็วมาก เป็น 376 ล้านเหรียญ หรือเป็นเศรษฐี “หมื่นล้านบาท” โตขึ้นอีก 10 เท่าตัวในเวลา 10 ปี หรือโตปีละ 27% แบบทบต้นในขณะที่ดัชนีดาวโจนส์กลับไม่ไปไหนเลย เพิ่มขึ้นแค่ประมาณ 100 จุดเป็น 956 จุด ในเวลายาวนานถึง 10 ปี หรือเพิ่มขึ้นเพียงปีละ 1.3% นี่คือช่วงเวลาที่เลวร้ายมากโดยเฉพาะในช่วง วิกฤติตลาดหุ้นปี 1973-74 ซึ่งภาวะเงินเฟ้อของอเมริกันสูงมากเป็นเลข 2 หลักอานิสงค์จากวิกฤติน้ำมันครั้งแรกที่เป็นผลจากสงครามระหว่างอาหรับและอิสราเอลและต่อด้วยวิกฤติน้ำมันครั้งที่สองอีกในปี 1979
อีก 10 ปีต่อมาเมื่อบัฟเฟตต์อายุ 60 ปี ในปี 1990 ผลตอบแทนการลงทุนของบัฟเฟตต์ก็ “ทะลุโลก” พอร์ตของบัฟเฟตต์โตขึ้นเป็น 16,500 ล้านเหรียญ หรือกว่า 500,000 ล้านบาทไทย ผลตอบแทนทบต้นเฉลี่ยปีละ 46% พอร์ตโตขึ้น 43 เท่า ในขณะที่ดัชนีดาวโจนส์ก็เริ่มฟื้นตัวดีขึ้นเป็น 2,510 จุด คิดเป็นผลตอบแทนทบต้นเฉลี่ยปีละประมาณ 10% โดยเฉลี่ยแล้ว ในช่วง 30 ปีแรกของบัฟเฟตต์นั้น เขาทำผลตอบแทนทบต้นเฉลี่ยได้ถึงประมาณปีละ 38% ในขณะที่ในช่วงเวลาเดียวกัน ดาวโจนส์หรือตลาดนั้นเติบโตขึ้นเพียงปีละ 4.8% บัฟเฟตต์สามารถชนะตลาดได้ถึงปีละ 33.4% ซึ่งน่าจะถือว่าเป็นผลงานที่ “ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลก” ที่น่าจะหาคนทำไม่ได้โดยเฉพาะถ้าคิดว่ามันเป็นพอร์ตที่ใหญ่โตมากและอยู่มายาวนานถึง 30 ปี
หลังจากปี 1990 แล้ว ดูเหมือนว่าผลตอบแทนยอดเยี่ยมของบัฟเฟตต์จะถดถอยลงมาก ส่วนหนึ่งน่าจะเป็นเพราะพอร์ตที่ใหญ่โตจนทำให้แนวการลงทุนแบบเน้นหุ้นน้อยตัวจะทำไม่ได้อีกต่อไปและเขาต้องลงทุนในหุ้นตัวใหญ่และตัวยักษ์เป็นหลัก สิบปีต่อมาในปี 2000 นั้น ผลตอบทบต้นโดยเฉลี่ยของบัฟเฟตต์ทำได้เพียง 8% ต่อปี อย่างไรก็ตาม พอร์ตของเขาก็ยังโตขึ้นเป็น 35,700 ล้านเหรียญ หรือ 1 ล้านล้านบาทไทยไปแล้ว อย่างไรก็ตาม ดาวโจนส์กลับโตขึ้นเป็น 10,590 จุด ให้ผลตอบแทนทบต้นถึงปีละ 15.5% โตเร็วเป็น 2 เท่าของพอร์ตบัฟเฟตต์ กลายเป็น “ทศวรรษทอง” ของตลาดหุ้นอเมริกา หุ้น “ไฮเท็ค” กำลังบูมจนกลายเป็นฟองสบู่ในช่วงสิ้นทศวรรษและกำลังจะแตก
ถึงปี 2010 หรืออีก 10 ปีต่อมา ดัชนีดาวโจนส์ไม่ได้ไปไหนเลย ปิดที่ 11,060 จุด เป็น “ทศวรรษที่หายไป” อีกครั้งหนึ่ง อานิสงค์จากวิกฤติซับไพร์มในปี 2008 ผลตอบแทนทบต้นเท่ากับแค่ปีละ 0.44% พอร์ตบัฟเฟตต์เองก็ไม่ได้ดีกว่ากันมาก เติบโตขึ้นเพียงปีละ 2.8% โดยเฉลี่ยและมีมูลค่า 47,000 ล้านเหรียญ อย่างไรก็ตาม ในช่วงปี 2008 น่าจะก่อนวิกฤติ เขาได้กลายเป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดของโลกด้วยเม็ดเงินประมาณ 62,000 ล้านเหรียญ อาจจะเป็นเพราะว่าเขาทำได้ไม่ดี แต่คนอื่นแย่ยิ่งกว่า
ถึงปัจจุบัน หรือประมาณอีก 10 ปีต่อมา พอร์ตของบัฟเฟตต์ก็ยังทำผลงานที่ไม่ดีนัก ทำได้เพียง 5.3% แบบทบต้นต่อปี พอร์ตปรับขึ้นเป็น 78,900 ล้านเหรียญ ในขณะที่ดาวโจนส์โตขึ้นมากเป็นประมาณ 28,600 จุด ให้ผลตอบแทนทบต้นต่อปีถึง 10% ในช่วง 10 ปี อานิสงค์จากหุ้นที่เป็น “เศรษฐกิจใหม่” ในขณะที่หุ้นส่วนใหญ่ของบัฟเฟตต์นั้นเป็นหุ้นในเศรษฐกิจเก่าและเขาแทบจะไม่ค่อยได้ขายหุ้นที่บางทีถือมาหลายสิบปี และแม้ว่าเขาจะเริ่มเข้ามาซื้อหุ้นอย่างแอ็ปเปิลเป็นจำนวนมาก แต่ก็ยังไม่พอที่จะแข่งขันกับหุ้นเศรษฐกิจใหม่ขนาดยักษ์จำนวนมากที่อยู่ในตลาด และนี่ทำให้อันดับความมั่งคั่งของเขาค่อย ๆ ลดลงจนกลายเป็นอันดับ 4 หรือ 5 ของโลก เพราะถูกแทนที่จากเศรษฐีหุ้นรุ่นใหม่ที่เป็นเจ้าของธุรกิจไฮเท็ค
ถ้านับช่วง 30 ปีหลังของบัฟเฟตต์จากอายุ 60 ถึง 90 ปีแล้ว ผลตอบแทนการลงทุนทบต้นโดยเฉลี่ยของบัฟเฟตต์ตกอยู่ที่ประมาณแค่ 5.4% ในขณะที่ดัชนีดาวโจนส์กลับให้ผลตอบแทน 8.5% แต่ถ้านับตลอด 60 ปี บัฟเฟตต์ทำได้ถึงประมาณ 20.7% ในขณะที่ดัชนีดาวโจนส์หรือตลาดทำได้แค่ 6.6% ก็ต้องถือว่าบัฟเฟตต์นั้นน่าจะเป็นสุดยอดนักลงทุนเอกของโลกในศตวรรษที่ 20 อย่างแน่นอน และนี่ก็คือผลงานการลงทุนแบบ “มาราธอน” ของบัฟเฟตต์ที่ไม่เหมือนใครเลย
วอเร็น บัฟเฟตต์ เกิดในปี 1930 ซึ่งภาวะเศรษฐกิจอเมริกันและโลกอยู่ในช่วง Great Depression หรือวิกฤติครั้งใหญ่ซึ่งเกิดขึ้นในปี 1929 ที่เมืองโอมาฮา รัฐเนบราสกา นับถึงวันนี้เขาก็มีอายุครบ 90 ปีแล้ว ตามประวัตินั้น ตั้งแต่ยังเป็นเด็กเริ่มรู้ความเขาก็ “ลงทุน” แล้ว เช่น ลงทุนขายน้ำในงานรื่นเริงของท้องถิ่น แต่หุ้นตัวแรกที่เขาซื้อนั้นเกิดขึ้นตอนเขาอายุแค่ 11 ขวบ พอเรียนจบมหาวิทยาลัยตอนอายุประมาณ 21 ปี เขาก็เริ่มทำงานทางด้านหลักทรัพย์ในฐานะที่เป็นนักวิเคราะห์และบริหารกองทุนรวมเป็นเวลาสั้น ๆ หลังจากนั้นเมื่ออายุ 26 ปี เขาก็จัดตั้งและบริหารกองทุนที่เป็นห้างหุ้นส่วนเองโดยมีเงินที่มีคนมาลงทุนเริ่มต้นประมาณ 100,000 เหรียญ โดยที่เป็นเงินส่วนของเขาเองเพียงเล็กน้อย แต่เขาจะได้รับส่วนแบ่งจากกำไรที่สูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดด้วยทุกปี จากวันนั้น เขาก็ลงทุนมาตลอดจนถึงวันนี้คิดเป็นเวลา 60-70 ปี และกลายเป็นตำนานของนักลงทุนที่ยังมีชีวิตอยู่
สถิติการลงทุนของวอเร็น บัฟเฟตต์ ในแง่ของความมั่งคั่งส่วนตัวที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เป็นระยะเวลายาวนานนั้น มีการบันทึกไว้โดยผู้ที่ติดตามประวัติและผลงานย้อนหลังของเขาซึ่งพอจะ “ประมาณ” เป็นมูลค่าที่ผมจะกล่าวต่อไป ซึ่งผมเองคิดว่า ในช่วงแรก ๆ ก่อนที่เขาจะดังและมีเงินจำนวนมากนั้น น่าจะเป็นตัวเลขที่อาจจะคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงได้มาก นอกจากนั้น ในช่วงที่ยังมีความมั่งคั่งไม่มาก เงินที่เพิ่มขึ้นมาของเขายังมาจากเงินที่ได้จากการทำงานโดยเฉพาะเงินส่วนแบ่งกำไรจากการบริหารกองทุนของเขา หรือเปรียบง่าย ๆ ก็คือ มีเงินเติมเข้าไปในพอร์ตหุ้นส่วนตัวของเขาต่อเนื่องเป็นเวลาประมาณ 13 ปี แต่หลังจากนั้นเมื่อเขาเปลี่ยนจากการบริหารกองทุนเป็นการใช้บริษัทเบิร์กไชร์เป็นบริษัทโฮลดิ้ง เมื่อเขามีอายุประมาณ 40 ปี ความมั่งคั่งทุกอย่างของเขาก็มาจากหุ้นเบิร์กไชร์เป็นหลัก และสถิติการลงทุนและความมั่งคั่งของเขาหลังจากนั้นก็น่าจะถูกต้องเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์
เมื่อบัฟเฟตต์อายุครบ 30 ปีในปี 1960 นั้น เขามีเงินหรือความมั่งคั่งถึงประมาณ 1 ล้านเหรียญหรือถ้าคิดเป็นเงินไทยวันนี้ก็ประมาณ 30 ล้านบาทแล้ว อาจจะดูว่าไม่มาก แต่ถ้ามองว่านั่นคือสภาวะเมื่อ 60 ปีก่อนที่เมืองไทยยังใช้สามล้อคนถีบเป็นหลัก บ้านที่ผมอยู่เป็นบ้านไม้มุงหลังคาสังกะสี และถนนในกรุงเทพมีไม่กี่สาย การทำอาหารยังใช้ถ่านไม้เป็นหลัก น้ำที่ใช้ยังต้องไปหาบมาจากที่อื่น บ้านยังไม่มีเครื่องใช้ไฟ้ฟ้าแม้แต่ชิ้นเดียว ก็ต้องถือว่าบัฟเฟตต์รวยเป็น “Millionaire” หรือ “เศรษฐีเงินล้าน” แล้วตั้งแต่อายุ 30 ปี ซึ่งแม้แต่ในอเมริกาก็ถือว่า “ไม่ธรรมดา” และผมจะตั้งต้นจากจุดนี้ที่จะดูหรือวัดผลงานการลงทุนของบัฟเฟตต์ว่าเป็นอย่างไร เพราะถ้าวัดจากวันเริ่มต้นลงทุนของเขาตอนอายุ 26 ปีนั้น เม็ดเงินที่ลงทุนมีน้อยมากและยังมีการ “เติมเงิน” จำนวนมากเข้ามาอย่างต่อเนื่อง การวัดก็จะไม่ค่อยมีความหมาย เหมือนกับบอกว่าซื้อหุ้นครั้งแรกด้วยเงิน 100,000 บาท แต่แค่ 3-4 ปีกลายเป็น 10 หรือ 100 ล้านบาทแล้ว
อีก 10 ปีต่อมา ในปี 1970 และบัฟเฟตต์อายุครบ 40 ปี เงินหรือความมั่งคั่งของบัฟเฟตต์โตเร็วมาก จาก 1 กลายเป็นประมาณ 34 ล้านเหรียญ หรือโตขึ้น 33 เท่าตัวในเวลา 10 ปี คิดเป็นผลตอบแทนทบต้นถึงปีละ 42% นี่คือความ “สุดยอด” ผลงานการลงทุนของบัฟเฟตต์ และทำให้บัฟเฟตต์กลายเป็น เศรษฐีหุ้น “พันล้านบาท” แล้วในยามที่การลงทุนในตลาดหุ้นโดยทั่วไปอยู่ในภาวะที่ซบเซา เพราะในช่วงเวลาเดียวกันนั้น ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวขึ้นจากประมาณ 616 จุดเป็น 839 จุด หรือโตขึ้นทบต้นปีละแค่ 3.1% เหตุผลอาจจะเป็นเพราะอเมริกากำลังอยู่ในช่วงของสงครามเวียตนามและสงครามเย็นกับโซเวียตรัสเซียที่กำลังทวีความรุนแรงขึ้น อย่างไรก็ตาม ผลงานสุดยอดนี้ ส่วนสำคัญส่วนหนึ่งก็คือ พอร์ตของบัฟเฟตต์ยังไม่ใหญ่เกินไปและเขายังสามารถลงทุนแบบ Focus หรือเน้นลงทุนในหุ้นน้อยตัวได้
ในปี 1980 หรืออีกหนึ่งทศวรรษถัดมา พอร์ตบัฟเฟตต์ยังคงเติบโตอย่างรวดเร็วมาก เป็น 376 ล้านเหรียญ หรือเป็นเศรษฐี “หมื่นล้านบาท” โตขึ้นอีก 10 เท่าตัวในเวลา 10 ปี หรือโตปีละ 27% แบบทบต้นในขณะที่ดัชนีดาวโจนส์กลับไม่ไปไหนเลย เพิ่มขึ้นแค่ประมาณ 100 จุดเป็น 956 จุด ในเวลายาวนานถึง 10 ปี หรือเพิ่มขึ้นเพียงปีละ 1.3% นี่คือช่วงเวลาที่เลวร้ายมากโดยเฉพาะในช่วง วิกฤติตลาดหุ้นปี 1973-74 ซึ่งภาวะเงินเฟ้อของอเมริกันสูงมากเป็นเลข 2 หลักอานิสงค์จากวิกฤติน้ำมันครั้งแรกที่เป็นผลจากสงครามระหว่างอาหรับและอิสราเอลและต่อด้วยวิกฤติน้ำมันครั้งที่สองอีกในปี 1979
อีก 10 ปีต่อมาเมื่อบัฟเฟตต์อายุ 60 ปี ในปี 1990 ผลตอบแทนการลงทุนของบัฟเฟตต์ก็ “ทะลุโลก” พอร์ตของบัฟเฟตต์โตขึ้นเป็น 16,500 ล้านเหรียญ หรือกว่า 500,000 ล้านบาทไทย ผลตอบแทนทบต้นเฉลี่ยปีละ 46% พอร์ตโตขึ้น 43 เท่า ในขณะที่ดัชนีดาวโจนส์ก็เริ่มฟื้นตัวดีขึ้นเป็น 2,510 จุด คิดเป็นผลตอบแทนทบต้นเฉลี่ยปีละประมาณ 10% โดยเฉลี่ยแล้ว ในช่วง 30 ปีแรกของบัฟเฟตต์นั้น เขาทำผลตอบแทนทบต้นเฉลี่ยได้ถึงประมาณปีละ 38% ในขณะที่ในช่วงเวลาเดียวกัน ดาวโจนส์หรือตลาดนั้นเติบโตขึ้นเพียงปีละ 4.8% บัฟเฟตต์สามารถชนะตลาดได้ถึงปีละ 33.4% ซึ่งน่าจะถือว่าเป็นผลงานที่ “ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลก” ที่น่าจะหาคนทำไม่ได้โดยเฉพาะถ้าคิดว่ามันเป็นพอร์ตที่ใหญ่โตมากและอยู่มายาวนานถึง 30 ปี
หลังจากปี 1990 แล้ว ดูเหมือนว่าผลตอบแทนยอดเยี่ยมของบัฟเฟตต์จะถดถอยลงมาก ส่วนหนึ่งน่าจะเป็นเพราะพอร์ตที่ใหญ่โตจนทำให้แนวการลงทุนแบบเน้นหุ้นน้อยตัวจะทำไม่ได้อีกต่อไปและเขาต้องลงทุนในหุ้นตัวใหญ่และตัวยักษ์เป็นหลัก สิบปีต่อมาในปี 2000 นั้น ผลตอบทบต้นโดยเฉลี่ยของบัฟเฟตต์ทำได้เพียง 8% ต่อปี อย่างไรก็ตาม พอร์ตของเขาก็ยังโตขึ้นเป็น 35,700 ล้านเหรียญ หรือ 1 ล้านล้านบาทไทยไปแล้ว อย่างไรก็ตาม ดาวโจนส์กลับโตขึ้นเป็น 10,590 จุด ให้ผลตอบแทนทบต้นถึงปีละ 15.5% โตเร็วเป็น 2 เท่าของพอร์ตบัฟเฟตต์ กลายเป็น “ทศวรรษทอง” ของตลาดหุ้นอเมริกา หุ้น “ไฮเท็ค” กำลังบูมจนกลายเป็นฟองสบู่ในช่วงสิ้นทศวรรษและกำลังจะแตก
ถึงปี 2010 หรืออีก 10 ปีต่อมา ดัชนีดาวโจนส์ไม่ได้ไปไหนเลย ปิดที่ 11,060 จุด เป็น “ทศวรรษที่หายไป” อีกครั้งหนึ่ง อานิสงค์จากวิกฤติซับไพร์มในปี 2008 ผลตอบแทนทบต้นเท่ากับแค่ปีละ 0.44% พอร์ตบัฟเฟตต์เองก็ไม่ได้ดีกว่ากันมาก เติบโตขึ้นเพียงปีละ 2.8% โดยเฉลี่ยและมีมูลค่า 47,000 ล้านเหรียญ อย่างไรก็ตาม ในช่วงปี 2008 น่าจะก่อนวิกฤติ เขาได้กลายเป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดของโลกด้วยเม็ดเงินประมาณ 62,000 ล้านเหรียญ อาจจะเป็นเพราะว่าเขาทำได้ไม่ดี แต่คนอื่นแย่ยิ่งกว่า
ถึงปัจจุบัน หรือประมาณอีก 10 ปีต่อมา พอร์ตของบัฟเฟตต์ก็ยังทำผลงานที่ไม่ดีนัก ทำได้เพียง 5.3% แบบทบต้นต่อปี พอร์ตปรับขึ้นเป็น 78,900 ล้านเหรียญ ในขณะที่ดาวโจนส์โตขึ้นมากเป็นประมาณ 28,600 จุด ให้ผลตอบแทนทบต้นต่อปีถึง 10% ในช่วง 10 ปี อานิสงค์จากหุ้นที่เป็น “เศรษฐกิจใหม่” ในขณะที่หุ้นส่วนใหญ่ของบัฟเฟตต์นั้นเป็นหุ้นในเศรษฐกิจเก่าและเขาแทบจะไม่ค่อยได้ขายหุ้นที่บางทีถือมาหลายสิบปี และแม้ว่าเขาจะเริ่มเข้ามาซื้อหุ้นอย่างแอ็ปเปิลเป็นจำนวนมาก แต่ก็ยังไม่พอที่จะแข่งขันกับหุ้นเศรษฐกิจใหม่ขนาดยักษ์จำนวนมากที่อยู่ในตลาด และนี่ทำให้อันดับความมั่งคั่งของเขาค่อย ๆ ลดลงจนกลายเป็นอันดับ 4 หรือ 5 ของโลก เพราะถูกแทนที่จากเศรษฐีหุ้นรุ่นใหม่ที่เป็นเจ้าของธุรกิจไฮเท็ค
ถ้านับช่วง 30 ปีหลังของบัฟเฟตต์จากอายุ 60 ถึง 90 ปีแล้ว ผลตอบแทนการลงทุนทบต้นโดยเฉลี่ยของบัฟเฟตต์ตกอยู่ที่ประมาณแค่ 5.4% ในขณะที่ดัชนีดาวโจนส์กลับให้ผลตอบแทน 8.5% แต่ถ้านับตลอด 60 ปี บัฟเฟตต์ทำได้ถึงประมาณ 20.7% ในขณะที่ดัชนีดาวโจนส์หรือตลาดทำได้แค่ 6.6% ก็ต้องถือว่าบัฟเฟตต์นั้นน่าจะเป็นสุดยอดนักลงทุนเอกของโลกในศตวรรษที่ 20 อย่างแน่นอน และนี่ก็คือผลงานการลงทุนแบบ “มาราธอน” ของบัฟเฟตต์ที่ไม่เหมือนใครเลย