ความรู้ในการลงทุน (ควบคู่กับความมั่นใจที่จะถือยาว)
โพสต์แล้ว: อังคาร ต.ค. 13, 2020 9:34 pm
ปัจจุบันคนส่วนใหญ่ที่เข้ามาเล่นหุ้น มัจะเล่นกันแบบวันนี้ซื้อเดี๋ยวอีกวันสองวันขาย บางคนก็เข้ามาซื้อโดยที่ไม่ได้ศึกษาถึงกิจการหรือศึกษาธุรกิจนั้นให้ดีว่าเขาดำเนินงานอย่างไร
แต่กลับซื้อตามที่เค้าพูดถึงหุ้นตัวนี้ว่ามันดีในสื่อที่วิเคราะห์เกี่ยวกับเรื่องหุ้น พอเราซื้อแบบไม่มีความรู้อะไรเลย บางทีก็ทำให้เกิดความเครียดได้นะจ้ะ เพราะเราจะต้องคอยดูตลอด ว่าราคามันขึ้นหรือยัง
แล้วเวลามันลงมันลงไปเยอะขนาดไหน ถ้าวันไหนหุ้นที่เราซื้อมันขึ้น เราก็ดีใจ (เฮฮฮฮฮ)
แต่ถ้าวันไหนมันเกิดลงขึ้นก็ทำให้ใจไม่ดีแล้ว
จนได้มาอ่านหนังสือชนะอย่างเต่าของ ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ที่ได้เขียนถึง วิธีการสร้างความมั่นใจในการลงทุน ที่จะทำให้เรากล้าถือหุ้นยาว ไม่ต้องกลัวหรือกังวลกับสิ่งที่ทำให้เราไม่สบายใจที่ทำให้ต้องขายหุ้นทิ้งไป จึงขอนำมาแชร์เป็นความรู้นะคะ
วิธีสร้างความมั่นใจในการลงทุน
1.ต้องสร้างความศรัทธาในหุ้น เป็นศรัทธาที่อิงอยู่กับประวัติและสถิติระยะยาวของตลาดหุ้น ทั้งของต่างประเทศและของไทยว่าในระยะยาวการลงทุนในหุ้นเป็นสิ่งที่ให้ผลตอบแทนงดงาม อย่างน้อยก็ 7- 8% ต่อปีทบต้นโอกาสที่จะได้ต่ำกว่านี้มีน้อยมากถ้าเราถือหุ้นที่เราซื้อ 15 ถึง 20 ปีขึ้นไป
2.เป็นเรื่องยากมากที่จะคาดการณ์ภาวะตลาดหุ้นปีต่อปี จะไม่ต้องพูดถึงเดือนต่อเดือน หรือวันต่อวัน เพราะฉะนั้นไม่มีประโยชน์ที่จะพยายามคาดการณ์ตลาดและซื้อหรือขายหุ้นทิ้งเป็นช่วงๆไป
3.เวลาลงทุนจะต้องลงทุนในหุ้นหลายตัวและหลายอุตสาหกรรมกระจายกันไปเป็นพอร์ตฟอลิโอ ที่สำคัญคือการดูผลตอบแทนของการลงทุน ควรจะดูโดยรวมทั้งพอร์ต ตราบใดที่ผลตอบแทนเป็น”บวก” เราก็สบายใจได้ว่าที่ทำมาถูกต้อง
แต่ถ้าหุ้นที่เราลงทุนบางตัวมันติด”ลบ” ก็ไม่ใช่ว่าหุ้นนั้นจะต้องขายทิ้งเสมอไป เราต้องพิจารณาอย่างไม่มีอคติไม่มีอารมณ์แบบไร้เหตุผล บางทีการติดลบแต่ก็ใช่ว่าจะไม่กลับมาเป็นบวกได้เพียงแต่คุณมั่นใจว่าหุ้นตัวนั้นมันพื้นมันมีพื้นฐานที่ดี ถึงมันจะลงคุณก็ไม่ต้องไปสนใจมัน
4.เราต้องมองหุ้นทุกตัวว่าเป็นธุรกิจ คือเป็นกิจการที่เราเป็นเจ้าของส่วนหนึ่ง มันมีมูลค่า (คือมีสินทรัพย์ มีคนที่มีความรู้ความสามารถทำงาน เป็นแบรนด์ที่อยู่ในใจผู้บริโภค)
ที่สำคัญเป็นกิจการที่ทำกำไร มีการจ่ายปันผล มีโอกาสเติบโตทางธุรกิจเพิ่มขึ้น (ไม่ใช่กระดาษหรือตัวเลขในบัญชีที่สามารถขึ้นลงได้อย่างรวดเร็วและมูลค่าอาจตกลงมหาศาลได้ในชั่วข้ามคืน)
5.ซื้อหุ้นของบริษัทที่มีความเข้มแข็ง คือมีผลการดำเนินงานที่ดีสม่ำเสมอ อนาคตน่าจะดีต่อไปอีกนานในราคาถูก หรือราคายุติธรรมถ้าเป็นหุ้นของกิจการที่โดดเด่นมากๆ
6.ถ้าทำได้พยายามสัมผัสกับสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ของบริษัทให้มากที่สุด ถ้าเป็นสินค้าบริโภคจะเป็นเรื่องง่ายที่เราต้องคอยตรวจสอบสังเกต และหลังใช้ทุกครั้งที่เกิดความไม่มั่นใจ กลับไปที่บ้านไปตรวจสอบความนิยม กลับไปลองใช้ ความมั่นใจก็จะกลับคืนมาอย่าปล่อยให้ราคาหุ้นในตลาดหุ้นเป็นตัวกำหนดชี้นำอารมณ์และความคิดของเรา
7.การพบผู้บริหารบริษัทและเยี่ยมชมบริษัท เดี๋ยวนี้ทำได้ง่ายขึ้นเพราะตลาดหลักทรัพย์ได้มีการจัดทำ oppday ให้ผู้บริหารได้มาชี้แจงการทำงานและผลของการดำเนินงานของบริษัท
ซึ่งนักลงทุนทั่วไปสามารถเข้าร่วมฟังได้ ส่งเสริมผู้ลงทุนไทยเองมีการจัดเข้าเยี่ยมชมกิจการของบริษัทจดทะเบียนที่สมาชิกสามารถเข้าร่วมได้
วิธีการสร้างความมั่นใจที่ ดร.นิเวศน์ ได้กล่าวมาทั้งหมดนี้ คือ การสร้างความรอบรู้ในตลาดหุ้น ตัวผู้บริหาร ตัวธุรกิจ และภาวะของธุรกิจที่บริษัททำอยู่ ซึ่งจะเป็นความรู้พื้นฐานที่ทำให้เราเข้าใจ เกิดเป็นความมั่นใจในการลงทุน
แต่สิ่งที่นักลงทุนควรระวัง คือ อย่าปล่อยให้เกิดเป็นความมั่นใจจนเกินไป เพราะจะเป็นสิ่งที่น่ากลัว (อาจทำให้เกิดการติดดอยได้จ้า
)
มาร่วมกันแชร์ข้อมูล ข้อแนะนำ และความรู้ดีๆได้นะคะ (ขอบคุณค่ะ
)
แต่กลับซื้อตามที่เค้าพูดถึงหุ้นตัวนี้ว่ามันดีในสื่อที่วิเคราะห์เกี่ยวกับเรื่องหุ้น พอเราซื้อแบบไม่มีความรู้อะไรเลย บางทีก็ทำให้เกิดความเครียดได้นะจ้ะ เพราะเราจะต้องคอยดูตลอด ว่าราคามันขึ้นหรือยัง
แล้วเวลามันลงมันลงไปเยอะขนาดไหน ถ้าวันไหนหุ้นที่เราซื้อมันขึ้น เราก็ดีใจ (เฮฮฮฮฮ)
จนได้มาอ่านหนังสือชนะอย่างเต่าของ ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ที่ได้เขียนถึง วิธีการสร้างความมั่นใจในการลงทุน ที่จะทำให้เรากล้าถือหุ้นยาว ไม่ต้องกลัวหรือกังวลกับสิ่งที่ทำให้เราไม่สบายใจที่ทำให้ต้องขายหุ้นทิ้งไป จึงขอนำมาแชร์เป็นความรู้นะคะ
วิธีสร้างความมั่นใจในการลงทุน
1.ต้องสร้างความศรัทธาในหุ้น เป็นศรัทธาที่อิงอยู่กับประวัติและสถิติระยะยาวของตลาดหุ้น ทั้งของต่างประเทศและของไทยว่าในระยะยาวการลงทุนในหุ้นเป็นสิ่งที่ให้ผลตอบแทนงดงาม อย่างน้อยก็ 7- 8% ต่อปีทบต้นโอกาสที่จะได้ต่ำกว่านี้มีน้อยมากถ้าเราถือหุ้นที่เราซื้อ 15 ถึง 20 ปีขึ้นไป
2.เป็นเรื่องยากมากที่จะคาดการณ์ภาวะตลาดหุ้นปีต่อปี จะไม่ต้องพูดถึงเดือนต่อเดือน หรือวันต่อวัน เพราะฉะนั้นไม่มีประโยชน์ที่จะพยายามคาดการณ์ตลาดและซื้อหรือขายหุ้นทิ้งเป็นช่วงๆไป
3.เวลาลงทุนจะต้องลงทุนในหุ้นหลายตัวและหลายอุตสาหกรรมกระจายกันไปเป็นพอร์ตฟอลิโอ ที่สำคัญคือการดูผลตอบแทนของการลงทุน ควรจะดูโดยรวมทั้งพอร์ต ตราบใดที่ผลตอบแทนเป็น”บวก” เราก็สบายใจได้ว่าที่ทำมาถูกต้อง
แต่ถ้าหุ้นที่เราลงทุนบางตัวมันติด”ลบ” ก็ไม่ใช่ว่าหุ้นนั้นจะต้องขายทิ้งเสมอไป เราต้องพิจารณาอย่างไม่มีอคติไม่มีอารมณ์แบบไร้เหตุผล บางทีการติดลบแต่ก็ใช่ว่าจะไม่กลับมาเป็นบวกได้เพียงแต่คุณมั่นใจว่าหุ้นตัวนั้นมันพื้นมันมีพื้นฐานที่ดี ถึงมันจะลงคุณก็ไม่ต้องไปสนใจมัน
4.เราต้องมองหุ้นทุกตัวว่าเป็นธุรกิจ คือเป็นกิจการที่เราเป็นเจ้าของส่วนหนึ่ง มันมีมูลค่า (คือมีสินทรัพย์ มีคนที่มีความรู้ความสามารถทำงาน เป็นแบรนด์ที่อยู่ในใจผู้บริโภค)
ที่สำคัญเป็นกิจการที่ทำกำไร มีการจ่ายปันผล มีโอกาสเติบโตทางธุรกิจเพิ่มขึ้น (ไม่ใช่กระดาษหรือตัวเลขในบัญชีที่สามารถขึ้นลงได้อย่างรวดเร็วและมูลค่าอาจตกลงมหาศาลได้ในชั่วข้ามคืน)
5.ซื้อหุ้นของบริษัทที่มีความเข้มแข็ง คือมีผลการดำเนินงานที่ดีสม่ำเสมอ อนาคตน่าจะดีต่อไปอีกนานในราคาถูก หรือราคายุติธรรมถ้าเป็นหุ้นของกิจการที่โดดเด่นมากๆ
6.ถ้าทำได้พยายามสัมผัสกับสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ของบริษัทให้มากที่สุด ถ้าเป็นสินค้าบริโภคจะเป็นเรื่องง่ายที่เราต้องคอยตรวจสอบสังเกต และหลังใช้ทุกครั้งที่เกิดความไม่มั่นใจ กลับไปที่บ้านไปตรวจสอบความนิยม กลับไปลองใช้ ความมั่นใจก็จะกลับคืนมาอย่าปล่อยให้ราคาหุ้นในตลาดหุ้นเป็นตัวกำหนดชี้นำอารมณ์และความคิดของเรา
7.การพบผู้บริหารบริษัทและเยี่ยมชมบริษัท เดี๋ยวนี้ทำได้ง่ายขึ้นเพราะตลาดหลักทรัพย์ได้มีการจัดทำ oppday ให้ผู้บริหารได้มาชี้แจงการทำงานและผลของการดำเนินงานของบริษัท
ซึ่งนักลงทุนทั่วไปสามารถเข้าร่วมฟังได้ ส่งเสริมผู้ลงทุนไทยเองมีการจัดเข้าเยี่ยมชมกิจการของบริษัทจดทะเบียนที่สมาชิกสามารถเข้าร่วมได้
วิธีการสร้างความมั่นใจที่ ดร.นิเวศน์ ได้กล่าวมาทั้งหมดนี้ คือ การสร้างความรอบรู้ในตลาดหุ้น ตัวผู้บริหาร ตัวธุรกิจ และภาวะของธุรกิจที่บริษัททำอยู่ ซึ่งจะเป็นความรู้พื้นฐานที่ทำให้เราเข้าใจ เกิดเป็นความมั่นใจในการลงทุน
แต่สิ่งที่นักลงทุนควรระวัง คือ อย่าปล่อยให้เกิดเป็นความมั่นใจจนเกินไป เพราะจะเป็นสิ่งที่น่ากลัว (อาจทำให้เกิดการติดดอยได้จ้า
มาร่วมกันแชร์ข้อมูล ข้อแนะนำ และความรู้ดีๆได้นะคะ (ขอบคุณค่ะ