JP
โพสต์แล้ว: ศุกร์ ต.ค. 09, 2020 3:10 pm
“JSP” สืบตำนาน “สุภาพโอสถ” จ่อไอพีโอเข้าตลาดหุ้น ต่อยอดความยั่งยืน
วันที่ 8 ตุลาคม 2563 - 18:14 น.
สัมภาษณ์พิเศษ
สถานการณ์โควิด-19 ทำให้หลาย ๆ ธุรกิจต้องชะลอแผนการดำเนินงานด้านต่าง ๆ ไป แต่หลังจากคลายล็อกดาวน์ ผู้ประกอบธุรกิจก็ต้องพิจารณาว่า จะทบทวนแผน หรือเดินหน้าแผนเดิมต่อไป อย่างแผนการนำธุรกิจเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯก็เช่นเดียวกัน ซึ่ง “ประชาชาติธุรกิจ” ได้มีโอกาสพูดคุยกับ “ดร.สิทธิชัย แดงประเสริฐ” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โรงงานเภสัชอุตสาหกรรม เจเอสพี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ JSP ที่มีแผนจะเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างเตรียมความพร้อม
“ดร.สิทธิชัย” กล่าวถึงธุรกิจของบริษัทว่า เดิมทีบริษัทประกอบธุรกิจร้านขายยาและโรงงานผลิตยา โดยจดทะเบียนธุรกิจเมื่อประมาณ 69 ปีที่แล้ว ภายใต้แบรนด์ “อั้งง่วนเฮง สุภาพโอสถ” ซึ่งปัจจุบันการดำเนินธุรกิจเข้าสู่รุ่นที่ 3 แล้ว จึงเริ่มคิดถึงการส่งต่อธุรกิจให้เติบโตในอนาคตอย่างยั่งยืน ผ่านการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ
“ถ้าเทียบกัน เราก็อยู่ยุคเดียวกันกับแบรนด์ลิงถือลูกท้อ, ถ้วยทอง, โอสถสภา, ไทยนคร ฯลฯ เป็นรุ่นเดียวกันกับอากง เราก็ทำธุรกิจผลิตและจัดจำหน่ายยาแผนโบราณ พอมาถึงรุ่นผมก็ได้ไปแลกเปลี่ยนที่ประเทศออสเตรเลีย และอบรมเทคโนโลยีเพิ่มจากเยอรมนี ก็เริ่มเห็นเทรนด์เรื่องอาหารเสริม พอเรียนจบมาช่วยงานครอบครัว เราก็ขอคุณพ่อคุณแม่ทำเรื่องอาหารเสริมเพิ่มเติม”
โดยธุรกิจอาหารเสริมเป็นการลองผิดลองถูกมาเรื่อย ๆ จนมายืนได้เมื่อประมาณ 15 ปีที่แล้ว รายได้หลักมาจากการรับจ้างผลิต (OEM) ซึ่งบริษัทมีจุดแข็งที่ได้เปรียบกว่าโรงงานอื่น ๆ ตรงที่มีโรงงานรับผลิตยา ทั้งแผนโบราณและแผนปัจจุบัน รวมถึงมีมาตรฐานโรงงานสูงที่สุดในบรรดาโรงงานที่ผลิตอาหารเสริมเชิงสุขภาพ
“ดร.สิทธิชัย” บอกว่า นอกจากการรับจ้างผลิตยาแล้ว บริษัทยังมีการจัดตั้งห้องแล็บเพื่อศึกษาและพัฒนา ทั้งด้านกายภาพ ชีวภาพ และจุลชีวะ ซึ่งถือเป็นห้องแล็บระดับสูงที่โรงงานยาอื่น ๆ มักไม่ได้เน้นลงทุน ทำให้บริษัทมีการต่อยอดและพัฒนาองค์ความรู้ใหม่ ๆ ในวงการยา
ขณะที่ลูกค้าหลักของบริษัทส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มร้านค้าปลีกสมัยใหม่ (โมเดิร์นเทรด) อาทิ บู๊ทส์, วัตสัน,ฟาสซิโน (Fascino) รวมถึงยังมีบริษัทมหาชนที่เกือบทุกบริษัทเป็นลูกค้าของ JSP เช่น แพน ราชเทวี กรุ๊ป, ทีวี ไดเร็ค, วุฒิศักดิ์คลินิก, ดู เดย์ ดรีมสเนลไวท์ (SNAILWHITE), บิวตี้บุฟเฟต์เป็นต้น ส่งผลให้ปัจจุบันบริษัทเป็นหนึ่งในผู้รับจ้างผลิตยารายใหญ่ติดท็อป 3 ของประเทศ โดยพอร์ตรายได้ของบริษัทปัจจุบันมาจากการรับจ้างผลิต 75% และการขายผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ของตัวเองอีก 25%
✕
สำหรับแผนการเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯนั้น “ดร.สิทธิชัย” กล่าวว่า บริษัทมีแผนเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) เพื่อส่งต่อธุรกิจไปยังรุ่นต่อ ๆ ไป หรือเพื่อให้ธุรกิจมีความยั่งยืนกว่าการเป็นเพียงธุรกิจครอบครัว
นอกจากนี้ยังจะช่วยลดต้นทุนทางการเงินที่บริษัทกู้ยืมจากสถาบันการเงินอีกด้วย ซึ่งบริษัทวางแผนไว้ว่าจะนำเงินระดมทุนที่ได้ไปขยายกิจการ ทั้งการปรับปรุงเครื่องจักร, ขยายกำลังการผลิต, สร้างแบรนด์, ทำการตลาดเพิ่มเติม และการประมูลยาเข้าโรงพยาบาล
“การยกระดับเป็นบริษัทมหาชน และเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังช่วยสร้างความมั่นใจแก่ลูกค้ามากขึ้นด้วย โดยเฉพาะลูกค้าต่างชาติที่ต้องการทำธุรกิจร่วมกับบริษัท จากเดิมที่เราเป็นผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ลูกค้าอาจไม่มั่นใจในมาตรฐานบัญชี”
ย้อนไปเมื่อวันที่ 18 ธ.ค. 2561 บริษัทได้จดทะเบียนแปรสภาพเป็นบริษัทมหาชนจำกัด และได้เปลี่ยนแปลงมูลหุ้นที่ตราไว้จากเดิม 100.00 บาท/หุ้น เป็น 0.5 บาท/หุ้น ขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการเพิ่มทุนจดทะเบียน และจะกำหนดปริมาณหุ้นสามัญที่จะเสนอขายประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) โดยคาดว่าจะยื่นหนังสือชี้ชวน (ไฟลิ่ง) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ในช่วงปลายเดือน ต.ค.นี้ และคาดว่าจะเสนอขายหุ้น IPO ได้ภายในเดือน เม.ย.ปีหน้า
สำหรับผลดำเนินงานปี 2563 นี้ “ดร.สิทธิชัย” กล่าวว่า บริษัทมีกำไรงวดครึ่งปีแรกที่ 19.19 ล้านบาท เพิ่มจากปี 2562 ที่ทั้งปีมีกำไร 23.57 ล้านบาท
ขณะที่รายได้ในปีนี้ตั้งเป้าเติบโตทะลุ 400 ล้านบาท จากปีที่แล้วที่มีรายได้รวม 369.45 ล้านบาท โดยครึ่งปีแรกมีรายได้เข้ามาแล้ว 251.99 ล้านบาท
ซึ่งจากสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ที่เกิดขึ้น กลับกลายเป็นผลดีแก่บริษัท เนื่องจากลูกค้ามีความตระหนักเรื่องสุขภาพมากขึ้น ส่งผลให้ยอดขายผลิตภัณฑ์อาหารเสริมบางรายการปรับเพิ่มขึ้นถึง 10 เท่า รวมถึงช่วงเดือน เม.ย.กรมสรรพสามิตประกาศให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการใช้แอลกอฮอล์ เพื่อไปผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด ทางโรงงานของ JSP ก็ได้มีการผลิตแอลกอฮอล์ล้างมือจำหน่ายอีกด้วย จึงนับว่าได้ประโยชน์จากโควิด-19
ท่ามกลางวิกฤตโรคระบาด ธุรกิจเกี่ยวกับสุขภาพดูจะมีโอกาสสร้างการเติบโตได้มากขึ้น และน่าจะเป็นจังหวะที่ดีในการเข้าระดมทุนผ่านตลาดหุ้น
วันที่ 8 ตุลาคม 2563 - 18:14 น.
สัมภาษณ์พิเศษ
สถานการณ์โควิด-19 ทำให้หลาย ๆ ธุรกิจต้องชะลอแผนการดำเนินงานด้านต่าง ๆ ไป แต่หลังจากคลายล็อกดาวน์ ผู้ประกอบธุรกิจก็ต้องพิจารณาว่า จะทบทวนแผน หรือเดินหน้าแผนเดิมต่อไป อย่างแผนการนำธุรกิจเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯก็เช่นเดียวกัน ซึ่ง “ประชาชาติธุรกิจ” ได้มีโอกาสพูดคุยกับ “ดร.สิทธิชัย แดงประเสริฐ” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โรงงานเภสัชอุตสาหกรรม เจเอสพี (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ JSP ที่มีแผนจะเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างเตรียมความพร้อม
“ดร.สิทธิชัย” กล่าวถึงธุรกิจของบริษัทว่า เดิมทีบริษัทประกอบธุรกิจร้านขายยาและโรงงานผลิตยา โดยจดทะเบียนธุรกิจเมื่อประมาณ 69 ปีที่แล้ว ภายใต้แบรนด์ “อั้งง่วนเฮง สุภาพโอสถ” ซึ่งปัจจุบันการดำเนินธุรกิจเข้าสู่รุ่นที่ 3 แล้ว จึงเริ่มคิดถึงการส่งต่อธุรกิจให้เติบโตในอนาคตอย่างยั่งยืน ผ่านการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ
“ถ้าเทียบกัน เราก็อยู่ยุคเดียวกันกับแบรนด์ลิงถือลูกท้อ, ถ้วยทอง, โอสถสภา, ไทยนคร ฯลฯ เป็นรุ่นเดียวกันกับอากง เราก็ทำธุรกิจผลิตและจัดจำหน่ายยาแผนโบราณ พอมาถึงรุ่นผมก็ได้ไปแลกเปลี่ยนที่ประเทศออสเตรเลีย และอบรมเทคโนโลยีเพิ่มจากเยอรมนี ก็เริ่มเห็นเทรนด์เรื่องอาหารเสริม พอเรียนจบมาช่วยงานครอบครัว เราก็ขอคุณพ่อคุณแม่ทำเรื่องอาหารเสริมเพิ่มเติม”
โดยธุรกิจอาหารเสริมเป็นการลองผิดลองถูกมาเรื่อย ๆ จนมายืนได้เมื่อประมาณ 15 ปีที่แล้ว รายได้หลักมาจากการรับจ้างผลิต (OEM) ซึ่งบริษัทมีจุดแข็งที่ได้เปรียบกว่าโรงงานอื่น ๆ ตรงที่มีโรงงานรับผลิตยา ทั้งแผนโบราณและแผนปัจจุบัน รวมถึงมีมาตรฐานโรงงานสูงที่สุดในบรรดาโรงงานที่ผลิตอาหารเสริมเชิงสุขภาพ
“ดร.สิทธิชัย” บอกว่า นอกจากการรับจ้างผลิตยาแล้ว บริษัทยังมีการจัดตั้งห้องแล็บเพื่อศึกษาและพัฒนา ทั้งด้านกายภาพ ชีวภาพ และจุลชีวะ ซึ่งถือเป็นห้องแล็บระดับสูงที่โรงงานยาอื่น ๆ มักไม่ได้เน้นลงทุน ทำให้บริษัทมีการต่อยอดและพัฒนาองค์ความรู้ใหม่ ๆ ในวงการยา
ขณะที่ลูกค้าหลักของบริษัทส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มร้านค้าปลีกสมัยใหม่ (โมเดิร์นเทรด) อาทิ บู๊ทส์, วัตสัน,ฟาสซิโน (Fascino) รวมถึงยังมีบริษัทมหาชนที่เกือบทุกบริษัทเป็นลูกค้าของ JSP เช่น แพน ราชเทวี กรุ๊ป, ทีวี ไดเร็ค, วุฒิศักดิ์คลินิก, ดู เดย์ ดรีมสเนลไวท์ (SNAILWHITE), บิวตี้บุฟเฟต์เป็นต้น ส่งผลให้ปัจจุบันบริษัทเป็นหนึ่งในผู้รับจ้างผลิตยารายใหญ่ติดท็อป 3 ของประเทศ โดยพอร์ตรายได้ของบริษัทปัจจุบันมาจากการรับจ้างผลิต 75% และการขายผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ของตัวเองอีก 25%
✕
สำหรับแผนการเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯนั้น “ดร.สิทธิชัย” กล่าวว่า บริษัทมีแผนเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) เพื่อส่งต่อธุรกิจไปยังรุ่นต่อ ๆ ไป หรือเพื่อให้ธุรกิจมีความยั่งยืนกว่าการเป็นเพียงธุรกิจครอบครัว
นอกจากนี้ยังจะช่วยลดต้นทุนทางการเงินที่บริษัทกู้ยืมจากสถาบันการเงินอีกด้วย ซึ่งบริษัทวางแผนไว้ว่าจะนำเงินระดมทุนที่ได้ไปขยายกิจการ ทั้งการปรับปรุงเครื่องจักร, ขยายกำลังการผลิต, สร้างแบรนด์, ทำการตลาดเพิ่มเติม และการประมูลยาเข้าโรงพยาบาล
“การยกระดับเป็นบริษัทมหาชน และเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังช่วยสร้างความมั่นใจแก่ลูกค้ามากขึ้นด้วย โดยเฉพาะลูกค้าต่างชาติที่ต้องการทำธุรกิจร่วมกับบริษัท จากเดิมที่เราเป็นผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ลูกค้าอาจไม่มั่นใจในมาตรฐานบัญชี”
ย้อนไปเมื่อวันที่ 18 ธ.ค. 2561 บริษัทได้จดทะเบียนแปรสภาพเป็นบริษัทมหาชนจำกัด และได้เปลี่ยนแปลงมูลหุ้นที่ตราไว้จากเดิม 100.00 บาท/หุ้น เป็น 0.5 บาท/หุ้น ขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการเพิ่มทุนจดทะเบียน และจะกำหนดปริมาณหุ้นสามัญที่จะเสนอขายประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) โดยคาดว่าจะยื่นหนังสือชี้ชวน (ไฟลิ่ง) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ในช่วงปลายเดือน ต.ค.นี้ และคาดว่าจะเสนอขายหุ้น IPO ได้ภายในเดือน เม.ย.ปีหน้า
สำหรับผลดำเนินงานปี 2563 นี้ “ดร.สิทธิชัย” กล่าวว่า บริษัทมีกำไรงวดครึ่งปีแรกที่ 19.19 ล้านบาท เพิ่มจากปี 2562 ที่ทั้งปีมีกำไร 23.57 ล้านบาท
ขณะที่รายได้ในปีนี้ตั้งเป้าเติบโตทะลุ 400 ล้านบาท จากปีที่แล้วที่มีรายได้รวม 369.45 ล้านบาท โดยครึ่งปีแรกมีรายได้เข้ามาแล้ว 251.99 ล้านบาท
ซึ่งจากสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ที่เกิดขึ้น กลับกลายเป็นผลดีแก่บริษัท เนื่องจากลูกค้ามีความตระหนักเรื่องสุขภาพมากขึ้น ส่งผลให้ยอดขายผลิตภัณฑ์อาหารเสริมบางรายการปรับเพิ่มขึ้นถึง 10 เท่า รวมถึงช่วงเดือน เม.ย.กรมสรรพสามิตประกาศให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการใช้แอลกอฮอล์ เพื่อไปผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด ทางโรงงานของ JSP ก็ได้มีการผลิตแอลกอฮอล์ล้างมือจำหน่ายอีกด้วย จึงนับว่าได้ประโยชน์จากโควิด-19
ท่ามกลางวิกฤตโรคระบาด ธุรกิจเกี่ยวกับสุขภาพดูจะมีโอกาสสร้างการเติบโตได้มากขึ้น และน่าจะเป็นจังหวะที่ดีในการเข้าระดมทุนผ่านตลาดหุ้น