จิตวิทยา Biasที่ทำให้ไม่ประสบความสำเร็จ thaiviรุ่น17 อ.พี่เวป
โพสต์แล้ว: อังคาร ก.ย. 22, 2020 2:04 am
จิตวิทยาการลงทุน อ.พี่เวป พรชัย lecture thaiVIรุ่น17 19/9/63
ที่ผมชอบเรื่องจิตวิทยา เพราะผมคิดว่าผมโดนเข้าไปเต็มๆ หลายข้อเลยที่เดียวครับ มันทำให้ สิ่งต่างๆที่เราสั่งสม ลงทุนลงแรงไป ตำราที่เราอ่านไป สุดท้ายเราทำตามมันไม่ได้....
ขออนุญาตเอาความรู้มาแชร์/ทบทวน กับเพื่อนๆนะครับ ใครมีอะไรแนะนำ เน้นย้ำ แก้ไข จุดไหน discussกันเลยนะครับ
เข้าเรื่องกันเลย
เกริ่น
ทฤษฎี Efficient Market Hypothesis หรือทฤษฎีตลาดมีประสิทธิภาพ มันจริงหรือไม่?
• ทุกคนสามารถเข้าถึงข่าวสารได้เท่าเทียมกัน
• แต่ละคนฉลาด ใช้เหตุผลในการตัดสินใจและไม่มีอคติ
• ราคาหุ้นจะสะท้อน ข้อมูลข่าวสารทุกอย่างทันที
• ไม่มีใครสามารถหากำไรจากราคาที่ผิดพลาดได้อย่างต่อเนื่อง
ในความเป็นจริงคือ
• มีเหตุการณ์ผิดปกติหลายอย่าง ในโลกของการลงทุน
• เกิดภาวะฟองสบู่และภาวะตลาดตกต่ำซ้ำแล้วซ้ำอีก
• คนไม่ได้ตัดสินใจด้วยเหตุผลตลอดเวลา
• อคติต่างๆมีลักษณะเป็นรูปแบบที่เกิดซ้ำแล้วซ้ำอีก
แม้แต่เรื่องในชีวิตประจำวัน
- คนเราไม่ได้ฉลาดและใช้เหตุผลในการตัดสินใจโดยไม่มีอคติ ถ้าคนเราใช้เหตุผล และความเหมาะสมในการตัดสินใจ คนเรา คงออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ควบคุมอาหาร ไม่สูบบุหรี่ หักห้ามใจไม่กินของหวานมากเกิน
ไม่ซื้อของหรูหราเกินฐานะ กันได้ไม่ยาก ไม่ต้องพูดถึงข่าวต่างๆที่เกิดเพราะความโลภล้วนๆ
- แต่ละคนตอบสนอง ต่อข่าวสารและโอกาสต่างๆได้ไม่เท่ากัน ยกตัวอย่าง ในชีวิตประจำวัน สมมุติคุณต่อแถวรอจ่ายเงิน อยู่ที่ ช่อง ต่อคิว อยู่ๆทันใดนั้นพนักงานเปิดช่องจ่ายเงินเพิ่มอีก 1 ช่อง ก็จะมีคนที่อยู่ใกล้เล็งเห็น เข้าไปได้ก่อน คนที่แม้จะอยู่ใกล้ แต่ยืนเล่นโทรศัพท์มือถืออยู่ ก็ไม่เห็น
ก่อนที่สุดท้ายแต่ละแถวจะกลับมายาวเท่าๆกันเหมือนเดิม
ทฤษฎีของ Daniel Kahneman
System1 thinking ลักษณะการคิดแบบไม่ต้องพยายาม สัญชาตญาณ
System2 thinking คิดช้าคิดอย่างละเอียด คิดอย่างแยบคาย
ในตลาดหุ้นเราห้ามใช้วิธีคิด แบบที่ 1 เลย แต่ในทางปฏิบัติทำได้ยาก และมันไวมากที่จะเผลอใช้วิธีคิดแบบที่1
ในการลงทุนเราต้องมีแต้มต่อ ไม่ว่าจะเป็น มีข้อมูลที่ดีกว่า วิเคราะห์ได้ดีกว่า และมีอคติน้อยกว่า
เราต้องเรียนรู้ลักษณะกับดักเชิงจิตวิทยาแต่ละอย่างถ้าเรารู้จักพวกมันเราจะตระหนักถึงพวกมันได้ง่ายขึ้น และมีโอกาสที่จะรอดพ้นจากอิทธิพลของพวกมันได้มากขึ้น
อคติอย่างที่ 1 confirmation Bias
ผมขอเอาอคตินี้ขึ้นเป็นอันดับแรกเพราะเห็นพิษภัยของมัน อย่างมาก โดยเฉพาะเวลาเรา ลงทุนหุ้น/ วิเคราะห์ กันเป็นกลุ่มเป็นทีม เกรงใจกันไม่กล้าออกความเห็นแย้งกัน แย้งเพื่อน
หรือแม้แต่เรา หาข้อมูลคนเดียว อ่านบทวิเคราะห์ อ่านข้อมูลหุ้น คนเดียว confirmation bias ก็เกิดขึ้นได้ตั้งแต่เริ่มแรกที่เราเริ่มต้น Search หาข้อมูลกันเลยทีเดียวโดยที่บางทีก็ไม่รู้ตัว
ประโยคคำพูดที่เราจะใช้ Search ก็ลำเอียงแต่แรกแล้ว ก็จะได้ข้อมูลพวกนั้นออกมา มากกว่าปกติ
คนเรา มักให้น้ำหนักกับข้อมูลหรือความคิดเห็นที่ยืนยันความคิดของตัวเอง ในขณะเดียวกันก็มักจะมองข้าม
ให้น้ำหนักน้อยกับข้อมูลหรือความคิดเห็นที่ขัดแย้งกับความคิดของตัวเอง (พี่เวป : เรื่องการเมืองก็เช่นกัน คนที่เห็นต่างทางการเมืองอย่างมีอคติข้อนี้ เลยไม่มีทางคุยกันรู้เรื่อง)
ผลที่ตามมา มองข้ามข้อเสียหรือแง่ลบของหุ้นและบริษัท ซื้อหุ้นตัวหนึ่งในสัดส่วนที่เยอะเกินไป ถือหุ้นที่จริงๆไม่ได้ดีอย่างที่คิดนานเกินไป
วิธีช่วยแก้confimation bias คือการคิดตรงกันข้าม
ซื่อสัตย์กับตัวเอง ตั้งคำถามเราสามารถฆ่าหุ้นตัวนี้อย่างไรได้บ้าง คนที่ไม่ชอบพูดตัวนี้เขามีเหตุผลอะไร ถ้ามันดีจริงทำไมราคาถึงยังถูก หาคนมาคิดแย้ง (แต่ส่วนใหญ่เราจะ unfriend เค้าไปหมดแล้ว ฮา)
อคติอย่างที่ 2 Overconfidence Bias
ข้อนี้ ผมคิดว่า ผมก็โดนเต็มๆ ยิ่งศึกษามาก ความมั่นใจมันยิ่งลดลง555
คนเรามักจะมีความสามารถและความฉลาด คิดว่าคาดการณ์อนาคตได้ดี มากเกินความเป็นจริง เชื่อในวิจารณญาณของตัวเองมากเกินไป
(ประโยคที่ผมคิดว่าโดนใจ ที่พี่เวปพูด คือ เรามักจะ Overconfidence ว่าเราน่ะ… ไม่ได้ overconfidence )
คนอเมริกัน 94% คิดว่าตัวเองฉลาดกว่าระดับเฉลี่ย คน 86% คิดว่าตัวเองมี Common Sense ดีกว่าระดับเฉลี่ย และคน 79% คิดว่าตัวเองหน้าตาดีกว่าระดับเฉลี่ย
ทำไมเราถึง overconfident
• เป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่จะมองตัวเองดี มองบวก
• ได้ผลลัพธ์ดีๆติดต่อกัน (beginner luck)
• ทำสิ่งที่ตัวเองมีประสบการณ์น้อย (ยังไม่รู้ว่าจริงๆมันยาก มันมีปัจจัย 1234..)
*พี่เวปให้ดูกราฟระดับความมั่นใจที่สวนทางกับระดับฝีมือที่แท้จริง
*พี่เวปให้ดูชนิดของกิจกรรม ว่าใช้ฝีมือหรือใช้โชค = การลงทุนในหุ้นในระยะสั้น ค่อนไปทางการใช้โชคอย่างมากใกล้เคียง กับ Slot Machine [ส่วนหมากรุกนั้นใกล้เคียงกับ การใช้ฝีมือมากที่สุด]
วิธีดูว่ากิจกรรมอะไรใช้โชคหรือใช้ฝีมือให้ลองทำตรงกันข้าม หมายความว่าถ้าเราตั้งใจที่จะแพ้มันต้องแพ้ได้ เช่นซื้อหุ้น 5 ตัวตั้งใจว่าพรุ่งนี้ให้มันลงทุกตัวสามารถควบคุมมันได้ไหม ระยะสั้นยาก บางตัวมันขึ้น
แต่ในระยะยาว จะใกล้เคียงไปทางด้านฝีมือมากขึ้นเรื่อยๆ ซื้อหุ้น 5 ตัวตั้งใจให้มันลงทุกตัวในระยะ 10 ปีอาจจะเลือกหุ้นเน่าได้ไม่ยาก
การลด overconfidence bias ถามตัวเองว่า เรามีหลักฐานอะไรที่พิสูจน์ว่าตัวเองเก่ง ถ้าคนที่มีความสามารถอย่างเราพยายามเท่าๆกับเราถือว่าประสบความสำเร็จแล้ว คนทั้งโลกคงประสบความสำเร็จกันมากมายแล้วหรือเปล่า ประวัติความสำเร็จของเรามีความต่อเนื่องยาวนานมา นานแค่ไหน
อคติอย่างที่ 3 Loss Aversion Bias หลีกเลี่ยงความสูญเสีย (Loss ความสูญเสีย, Aversionเกลียดชัง หลีกเลี่ยง)
คนเราจะพยายามหลีกเลี่ยงการขาดทุนมากกว่าการหากำไร
ความเสียใจที่เกิดจากการขาดทุน รุนแรงเป็น2เท่า ของความดีใจที่เกิดจากการได้กำไร
ผลที่ตามมา
ถือหุ้นขาดทุนนานเกินไป ขายไม่ลง ทำใจขายไม่ได้ รับไม่ได้ ถือเงินสดมากเกินไปเพราะกลัวขาดทุน
ขายหุ้นที่ได้กำไรเร็วเกินไป
วิธีคิดแก้ไข เช่น ถ้าถือหุ้นแดง(ดอยอยู่) ถามตัวเองว่า ถ้าสมมุติเราไม่ได้มีหุ้น เราถือแต่เงินสด ณ เวลานี้ ราคานี้ คุณภาพบริษัทนี้ เราจะเข้าซื้อหุ้นตัวนี้ไหม?
อคติอย่างที่ 4 Cognitive dissonance Bias (การรับรู้/ความเข้าใจ ขัดแย้ง)
ในชีวิตประจำวัน เจอเยอะมากๆ
คือ เวลาสิ่งที่ควรทำ กับสิ่งที่อยากทำ ไม่เหมือนกัน
คนเราจะหาเหตุผลหลอกตัวเองให้ได้ทำในสิ่งที่อยากทำ หรือหาเหตุผล(เหตุผลอ่อนๆ เหตุผลเข้าข้างตัวเอง)มาหักล้าง
เวลาสิ่งที่ควรเชื่อกับสิ่งที่อยากเชื่อไม่เหมือนกัน คนเราจะรู้สึกไม่สบายใจ และจะพยายามหาเหตุผลมาหลอกตัวเอง
ให้ได้เชื่อในสิ่งที่อยากเชื่อ หรือหาเหตุผลหักล้างเพื่อไม่ต้องเชื่อสิ่งที่ควรเชื่อ
บิดเบือนเหตุผล ความจำ หรือเหตุการณ์ในอดีตเพื่อให้สอดคล้องกับความเชื่อของตนเอง
ยกตัวอย่าง คนเงินเดือนไม่มาก อยากมีวินัยการออมเงินแต่ก็อยากขับ bmwรุ่นใหม่ ใส่เหตุผลเข้าข้างตัวเองว่า ของมันต้องมี มีแล้วเติมพลังชีวิต มีแรงขับไปหาตังเพิ่มใหม่ได้ บลาๆ
อคติอย่างที่ 5 Representativeness Bias (reperesentative = ตัวแทน ผู้แทน)
คนเรามีแนวโน้มที่จะจัดหมวดหมู่ สิ่งของ และความคิด เช่น หุ้น value หุ้น growth หุ้นปันผล หุ้นอิ่มตัวแล้ว เป็นต้น
คือ คนเราใช้ข้อมูลจำนวน น้อย มาสรุป เพื่อให้เข้าใจง่าย ประหยัดพลังงานสมอง
อื่นๆ เช่น วิกฤต เกิดทุก10ปี (อย่างรอบนี้ก็12ปี)
ผลที่ตามมา ตัดสินใจลงทุน โดยข้อมูลที่ไม่มากพอ คิดว่าคาดเดาได้มากเกินไป
เราด่วนตัดสินหุ้นบางตัวไปโดยการจัดกลุ่ม ก่อนที่จะได้ศึกษาอย่างละเอียดรึเปล่า
อคติอย่างที่ 6 Familiarity Bias
คนเรา มักจะชอบสิ่งที่ตัวเองคุ้นเคย ยิ่งคุ้นเคยยิ่งชอบ
ตัดตัวเลือกอื่นๆมากมายที่ไม่รู้จัก
ไม่ซื้อหุ้นที่ตัวเองไม่เคยใช้สินค้า/บริการ
ซื้อหุ้นของบริษัทในประเทศเท่านั้น
อคติอย่างที่ 7 Hindsight Bias
พอเหตุการณ์ได้เกิดขึ้นแล้ว คนเรามีแนวโน้มที่จะคิดว่า ตัวเองรู้ก่อนแล้วว่ามันจะต้องเกิดขึ้น
ทำให้คนประเมินความสามารถในการคาดการณ์ของตัวเองสูงเกินไป
คนประเภทหวยออกแล้วค่อยพูด
ผลคือ
ขาดโอกาสในการเรียนรู้
แยกแยะไม่ได้ว่าความสำเร็จเกิดจากโชคหรือความสามารถ
อคติอย่างที่ 8 Availability Bias
คนเรามักพิจารณาจากข้อมูลที่ตัวเองนึกได้ หรือคุ้นเคย แค่บางส่วน
ความทรงจำของเรา มันมีทั้งที่เลือนลางไป และคงอยู่ฝังใจ
ตาม The sins of Memory 2 ชนิด คือ
The Sin of Transience คือ ความทรงจำปกติ จะถูกลืมเลือนไปตามกาลเวลา
The Sin of Persistence คือ ความทรงจำที่กระตุ้นอารมณ์มากๆ ทั้งดีและไม่ดี เราจะจำได้
ผลคือ
ตอบสนองต่อเหตุการณ์ล่าสุดมากเกินไป ตัดสินใจจากเรื่องราวล่าสุด ให้น้ำหนักเรื่องราวล่าสุดมากเกินไป
เหลืออีกนิดหน่อย วันนี้ดึกแล้ว เดี๋ยวไว้มาแชร์ต่อนะครับ
ที่ผมชอบเรื่องจิตวิทยา เพราะผมคิดว่าผมโดนเข้าไปเต็มๆ หลายข้อเลยที่เดียวครับ มันทำให้ สิ่งต่างๆที่เราสั่งสม ลงทุนลงแรงไป ตำราที่เราอ่านไป สุดท้ายเราทำตามมันไม่ได้....
ขออนุญาตเอาความรู้มาแชร์/ทบทวน กับเพื่อนๆนะครับ ใครมีอะไรแนะนำ เน้นย้ำ แก้ไข จุดไหน discussกันเลยนะครับ
เข้าเรื่องกันเลย
เกริ่น
ทฤษฎี Efficient Market Hypothesis หรือทฤษฎีตลาดมีประสิทธิภาพ มันจริงหรือไม่?
• ทุกคนสามารถเข้าถึงข่าวสารได้เท่าเทียมกัน
• แต่ละคนฉลาด ใช้เหตุผลในการตัดสินใจและไม่มีอคติ
• ราคาหุ้นจะสะท้อน ข้อมูลข่าวสารทุกอย่างทันที
• ไม่มีใครสามารถหากำไรจากราคาที่ผิดพลาดได้อย่างต่อเนื่อง
ในความเป็นจริงคือ
• มีเหตุการณ์ผิดปกติหลายอย่าง ในโลกของการลงทุน
• เกิดภาวะฟองสบู่และภาวะตลาดตกต่ำซ้ำแล้วซ้ำอีก
• คนไม่ได้ตัดสินใจด้วยเหตุผลตลอดเวลา
• อคติต่างๆมีลักษณะเป็นรูปแบบที่เกิดซ้ำแล้วซ้ำอีก
แม้แต่เรื่องในชีวิตประจำวัน
- คนเราไม่ได้ฉลาดและใช้เหตุผลในการตัดสินใจโดยไม่มีอคติ ถ้าคนเราใช้เหตุผล และความเหมาะสมในการตัดสินใจ คนเรา คงออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ควบคุมอาหาร ไม่สูบบุหรี่ หักห้ามใจไม่กินของหวานมากเกิน
ไม่ซื้อของหรูหราเกินฐานะ กันได้ไม่ยาก ไม่ต้องพูดถึงข่าวต่างๆที่เกิดเพราะความโลภล้วนๆ
- แต่ละคนตอบสนอง ต่อข่าวสารและโอกาสต่างๆได้ไม่เท่ากัน ยกตัวอย่าง ในชีวิตประจำวัน สมมุติคุณต่อแถวรอจ่ายเงิน อยู่ที่ ช่อง ต่อคิว อยู่ๆทันใดนั้นพนักงานเปิดช่องจ่ายเงินเพิ่มอีก 1 ช่อง ก็จะมีคนที่อยู่ใกล้เล็งเห็น เข้าไปได้ก่อน คนที่แม้จะอยู่ใกล้ แต่ยืนเล่นโทรศัพท์มือถืออยู่ ก็ไม่เห็น
ก่อนที่สุดท้ายแต่ละแถวจะกลับมายาวเท่าๆกันเหมือนเดิม
ทฤษฎีของ Daniel Kahneman
System1 thinking ลักษณะการคิดแบบไม่ต้องพยายาม สัญชาตญาณ
System2 thinking คิดช้าคิดอย่างละเอียด คิดอย่างแยบคาย
ในตลาดหุ้นเราห้ามใช้วิธีคิด แบบที่ 1 เลย แต่ในทางปฏิบัติทำได้ยาก และมันไวมากที่จะเผลอใช้วิธีคิดแบบที่1
ในการลงทุนเราต้องมีแต้มต่อ ไม่ว่าจะเป็น มีข้อมูลที่ดีกว่า วิเคราะห์ได้ดีกว่า และมีอคติน้อยกว่า
เราต้องเรียนรู้ลักษณะกับดักเชิงจิตวิทยาแต่ละอย่างถ้าเรารู้จักพวกมันเราจะตระหนักถึงพวกมันได้ง่ายขึ้น และมีโอกาสที่จะรอดพ้นจากอิทธิพลของพวกมันได้มากขึ้น
อคติอย่างที่ 1 confirmation Bias
ผมขอเอาอคตินี้ขึ้นเป็นอันดับแรกเพราะเห็นพิษภัยของมัน อย่างมาก โดยเฉพาะเวลาเรา ลงทุนหุ้น/ วิเคราะห์ กันเป็นกลุ่มเป็นทีม เกรงใจกันไม่กล้าออกความเห็นแย้งกัน แย้งเพื่อน
หรือแม้แต่เรา หาข้อมูลคนเดียว อ่านบทวิเคราะห์ อ่านข้อมูลหุ้น คนเดียว confirmation bias ก็เกิดขึ้นได้ตั้งแต่เริ่มแรกที่เราเริ่มต้น Search หาข้อมูลกันเลยทีเดียวโดยที่บางทีก็ไม่รู้ตัว
ประโยคคำพูดที่เราจะใช้ Search ก็ลำเอียงแต่แรกแล้ว ก็จะได้ข้อมูลพวกนั้นออกมา มากกว่าปกติ
คนเรา มักให้น้ำหนักกับข้อมูลหรือความคิดเห็นที่ยืนยันความคิดของตัวเอง ในขณะเดียวกันก็มักจะมองข้าม
ให้น้ำหนักน้อยกับข้อมูลหรือความคิดเห็นที่ขัดแย้งกับความคิดของตัวเอง (พี่เวป : เรื่องการเมืองก็เช่นกัน คนที่เห็นต่างทางการเมืองอย่างมีอคติข้อนี้ เลยไม่มีทางคุยกันรู้เรื่อง)
ผลที่ตามมา มองข้ามข้อเสียหรือแง่ลบของหุ้นและบริษัท ซื้อหุ้นตัวหนึ่งในสัดส่วนที่เยอะเกินไป ถือหุ้นที่จริงๆไม่ได้ดีอย่างที่คิดนานเกินไป
วิธีช่วยแก้confimation bias คือการคิดตรงกันข้าม
ซื่อสัตย์กับตัวเอง ตั้งคำถามเราสามารถฆ่าหุ้นตัวนี้อย่างไรได้บ้าง คนที่ไม่ชอบพูดตัวนี้เขามีเหตุผลอะไร ถ้ามันดีจริงทำไมราคาถึงยังถูก หาคนมาคิดแย้ง (แต่ส่วนใหญ่เราจะ unfriend เค้าไปหมดแล้ว ฮา)
อคติอย่างที่ 2 Overconfidence Bias
ข้อนี้ ผมคิดว่า ผมก็โดนเต็มๆ ยิ่งศึกษามาก ความมั่นใจมันยิ่งลดลง555
คนเรามักจะมีความสามารถและความฉลาด คิดว่าคาดการณ์อนาคตได้ดี มากเกินความเป็นจริง เชื่อในวิจารณญาณของตัวเองมากเกินไป
(ประโยคที่ผมคิดว่าโดนใจ ที่พี่เวปพูด คือ เรามักจะ Overconfidence ว่าเราน่ะ… ไม่ได้ overconfidence )
คนอเมริกัน 94% คิดว่าตัวเองฉลาดกว่าระดับเฉลี่ย คน 86% คิดว่าตัวเองมี Common Sense ดีกว่าระดับเฉลี่ย และคน 79% คิดว่าตัวเองหน้าตาดีกว่าระดับเฉลี่ย
ทำไมเราถึง overconfident
• เป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่จะมองตัวเองดี มองบวก
• ได้ผลลัพธ์ดีๆติดต่อกัน (beginner luck)
• ทำสิ่งที่ตัวเองมีประสบการณ์น้อย (ยังไม่รู้ว่าจริงๆมันยาก มันมีปัจจัย 1234..)
*พี่เวปให้ดูกราฟระดับความมั่นใจที่สวนทางกับระดับฝีมือที่แท้จริง
*พี่เวปให้ดูชนิดของกิจกรรม ว่าใช้ฝีมือหรือใช้โชค = การลงทุนในหุ้นในระยะสั้น ค่อนไปทางการใช้โชคอย่างมากใกล้เคียง กับ Slot Machine [ส่วนหมากรุกนั้นใกล้เคียงกับ การใช้ฝีมือมากที่สุด]
วิธีดูว่ากิจกรรมอะไรใช้โชคหรือใช้ฝีมือให้ลองทำตรงกันข้าม หมายความว่าถ้าเราตั้งใจที่จะแพ้มันต้องแพ้ได้ เช่นซื้อหุ้น 5 ตัวตั้งใจว่าพรุ่งนี้ให้มันลงทุกตัวสามารถควบคุมมันได้ไหม ระยะสั้นยาก บางตัวมันขึ้น
แต่ในระยะยาว จะใกล้เคียงไปทางด้านฝีมือมากขึ้นเรื่อยๆ ซื้อหุ้น 5 ตัวตั้งใจให้มันลงทุกตัวในระยะ 10 ปีอาจจะเลือกหุ้นเน่าได้ไม่ยาก
การลด overconfidence bias ถามตัวเองว่า เรามีหลักฐานอะไรที่พิสูจน์ว่าตัวเองเก่ง ถ้าคนที่มีความสามารถอย่างเราพยายามเท่าๆกับเราถือว่าประสบความสำเร็จแล้ว คนทั้งโลกคงประสบความสำเร็จกันมากมายแล้วหรือเปล่า ประวัติความสำเร็จของเรามีความต่อเนื่องยาวนานมา นานแค่ไหน
อคติอย่างที่ 3 Loss Aversion Bias หลีกเลี่ยงความสูญเสีย (Loss ความสูญเสีย, Aversionเกลียดชัง หลีกเลี่ยง)
คนเราจะพยายามหลีกเลี่ยงการขาดทุนมากกว่าการหากำไร
ความเสียใจที่เกิดจากการขาดทุน รุนแรงเป็น2เท่า ของความดีใจที่เกิดจากการได้กำไร
ผลที่ตามมา
ถือหุ้นขาดทุนนานเกินไป ขายไม่ลง ทำใจขายไม่ได้ รับไม่ได้ ถือเงินสดมากเกินไปเพราะกลัวขาดทุน
ขายหุ้นที่ได้กำไรเร็วเกินไป
วิธีคิดแก้ไข เช่น ถ้าถือหุ้นแดง(ดอยอยู่) ถามตัวเองว่า ถ้าสมมุติเราไม่ได้มีหุ้น เราถือแต่เงินสด ณ เวลานี้ ราคานี้ คุณภาพบริษัทนี้ เราจะเข้าซื้อหุ้นตัวนี้ไหม?
อคติอย่างที่ 4 Cognitive dissonance Bias (การรับรู้/ความเข้าใจ ขัดแย้ง)
ในชีวิตประจำวัน เจอเยอะมากๆ
คือ เวลาสิ่งที่ควรทำ กับสิ่งที่อยากทำ ไม่เหมือนกัน
คนเราจะหาเหตุผลหลอกตัวเองให้ได้ทำในสิ่งที่อยากทำ หรือหาเหตุผล(เหตุผลอ่อนๆ เหตุผลเข้าข้างตัวเอง)มาหักล้าง
เวลาสิ่งที่ควรเชื่อกับสิ่งที่อยากเชื่อไม่เหมือนกัน คนเราจะรู้สึกไม่สบายใจ และจะพยายามหาเหตุผลมาหลอกตัวเอง
ให้ได้เชื่อในสิ่งที่อยากเชื่อ หรือหาเหตุผลหักล้างเพื่อไม่ต้องเชื่อสิ่งที่ควรเชื่อ
บิดเบือนเหตุผล ความจำ หรือเหตุการณ์ในอดีตเพื่อให้สอดคล้องกับความเชื่อของตนเอง
ยกตัวอย่าง คนเงินเดือนไม่มาก อยากมีวินัยการออมเงินแต่ก็อยากขับ bmwรุ่นใหม่ ใส่เหตุผลเข้าข้างตัวเองว่า ของมันต้องมี มีแล้วเติมพลังชีวิต มีแรงขับไปหาตังเพิ่มใหม่ได้ บลาๆ
อคติอย่างที่ 5 Representativeness Bias (reperesentative = ตัวแทน ผู้แทน)
คนเรามีแนวโน้มที่จะจัดหมวดหมู่ สิ่งของ และความคิด เช่น หุ้น value หุ้น growth หุ้นปันผล หุ้นอิ่มตัวแล้ว เป็นต้น
คือ คนเราใช้ข้อมูลจำนวน น้อย มาสรุป เพื่อให้เข้าใจง่าย ประหยัดพลังงานสมอง
อื่นๆ เช่น วิกฤต เกิดทุก10ปี (อย่างรอบนี้ก็12ปี)
ผลที่ตามมา ตัดสินใจลงทุน โดยข้อมูลที่ไม่มากพอ คิดว่าคาดเดาได้มากเกินไป
เราด่วนตัดสินหุ้นบางตัวไปโดยการจัดกลุ่ม ก่อนที่จะได้ศึกษาอย่างละเอียดรึเปล่า
อคติอย่างที่ 6 Familiarity Bias
คนเรา มักจะชอบสิ่งที่ตัวเองคุ้นเคย ยิ่งคุ้นเคยยิ่งชอบ
ตัดตัวเลือกอื่นๆมากมายที่ไม่รู้จัก
ไม่ซื้อหุ้นที่ตัวเองไม่เคยใช้สินค้า/บริการ
ซื้อหุ้นของบริษัทในประเทศเท่านั้น
อคติอย่างที่ 7 Hindsight Bias
พอเหตุการณ์ได้เกิดขึ้นแล้ว คนเรามีแนวโน้มที่จะคิดว่า ตัวเองรู้ก่อนแล้วว่ามันจะต้องเกิดขึ้น
ทำให้คนประเมินความสามารถในการคาดการณ์ของตัวเองสูงเกินไป
คนประเภทหวยออกแล้วค่อยพูด
ผลคือ
ขาดโอกาสในการเรียนรู้
แยกแยะไม่ได้ว่าความสำเร็จเกิดจากโชคหรือความสามารถ
อคติอย่างที่ 8 Availability Bias
คนเรามักพิจารณาจากข้อมูลที่ตัวเองนึกได้ หรือคุ้นเคย แค่บางส่วน
ความทรงจำของเรา มันมีทั้งที่เลือนลางไป และคงอยู่ฝังใจ
ตาม The sins of Memory 2 ชนิด คือ
The Sin of Transience คือ ความทรงจำปกติ จะถูกลืมเลือนไปตามกาลเวลา
The Sin of Persistence คือ ความทรงจำที่กระตุ้นอารมณ์มากๆ ทั้งดีและไม่ดี เราจะจำได้
ผลคือ
ตอบสนองต่อเหตุการณ์ล่าสุดมากเกินไป ตัดสินใจจากเรื่องราวล่าสุด ให้น้ำหนักเรื่องราวล่าสุดมากเกินไป
เหลืออีกนิดหน่อย วันนี้ดึกแล้ว เดี๋ยวไว้มาแชร์ต่อนะครับ