MoneyTalk special 29 Apr 2020 คุณโจ อนุรักษ์ บุญแสวง
โพสต์แล้ว: จันทร์ พ.ค. 04, 2020 8:29 am
MoneyTalk special 29 Apr 2020 6.00
คุยกับคุณโจ ลูกอีสาน ซึ่งมาพูดในรายการ MoneyTalk Special
ในหัวข้อ
-วิกฤตมาต้องทำอย่างไร
-ปรับพอร์ตอย่างไร
-วิกฤตรอบนี้ กลุ่มไหนต้องหลีกเลี่ยง กลุ่มไหนน่าสนใจ
-กลยุทธ์รอบนี้แตกต่างไปจากเดิมหรือไม่
-คุณโจคิดว่าตัวเองยังเป็นวีไออยู่หรือไม่
คุณโจ อนุรักษ์ บุญแสวง ถือว่าเป็นนักลงทุนวีไอ ที่มีวิวัฒนาการในการลงทุนท่านนึง
หลังจากเคยพูดคุยกับคุณโจ เมื่อต้นเดือนธค 2562 ว่าคุณโจ ได้เริ่มลองShort หุ้นขนาดใหญ่ที่ขึ้นเกินพื้นฐาน เนื่องจากยังมีแรงเก็งกำไร และ ประสบความสำเร็จพอสมควร
ในปีนี้ คุณโจ ก็เริ่มสังเกตวิกฤตโคโลน่าไวรัส ซึ่งเป็นชื่อเรียกในช่วงต้นๆ ตอนเริ่มเกิดที่ อู่ฮั่น ประเทศจีน
คุณโจบอกว่าเคยมีประสบการณ์จากโรคระบาดSarsมาแล้ว เพราะต้องไปทำธุระที่รพ ซึ่งมีคนป่วยอยู่ เลยเริ่มใส่ใจสถานการณ์ในช่วงนั้นที่เริ่มมีโรคระบาดที่อู่ฮั่น
และเริ่ม Short TFlex SET50 ในสัดส่วน 10% ของพอร์ตลงทุน เพื่อป้องกันหุ้นในภาวะขาลง. หุ้นไทยได้ตกหนักในเดือนมีนาคม และ มีcircuit breakerติดต่อกันหลายครั้ง ทำให้พอร์ตลดลงมามาก
แต่ก็ถือว่าเป็นช่วงที่น่าลงทุนที่สุดในรอบ10ปี ซึ่งดูย้อนแย้งกับความรู้สึก ซึ่งคนส่วนใหญ่จะกลัว ไม่กล้าลงทุน
หลังจากที่สถานการณ์ที่จีนเริ่มดีขึ้น รวมถึง ไทยมีคนติดเชื้อใหม่ลดลงเหลือ2หลัก ก็เริ่มสะสมหุ้นเข้าพอร์ต
คำถามว่า คุณโจ ถือหุ้นเต็มพอร์ต แล้วมีวิธีหาเงินมาซื้อหุ้นได้อย่างไร
คุณโจบอกว่าเงินที่นำมาลงทุนได้มาจาก 5 วิธี ดังนี้
1. หลังจากshort ดัชนีSET50 ในช่วงเริ่มเกิดโรคระบาด และดัชนีลงไป 30%แต่มีgearingสูง ทำให้ได้กำไรมา2เท่า ก็ขายและมาซื้อหุ้นที่ต้องการ
2.หุ้นที่อยู่ในพอร์ต ระดับราคาตกลงมาไม่เท่ากัน ตั้งแต่ 15%-70%
ซึ่งหุ้นที่ตกลง 15% เวลาขึ้นก็ไม่น่าจะเกิน 20%
ดังนั้น จึงได้ขายหุ้นที่ลงน้อยเพื่อไปซื้อหุ้นที่ดี แต่ราคาลงหนัก
ซึ่งมีโอกาสขึ้นในภายหลังมากกว่า
3.คุณโจมีลงทุนหุ้นในต่างประเทศ เช่น เวียดนาม ปกติ หุ้นขนาดใหญ่จะขึ้นลงตามดัชนีตลาดหุ้น
แต่หุ้นขนาดเล็กจะไม่เคลื่อนไหวตามตลาด ก็จะทำการขายออก ซึ่งยังมีกำไร และนำมาลงทุนหุ้นไทย
4.นอกจากนี้ช่วงเดือน เมษายน จนถึงปลายเดือน พฤษภาคม เริ่มได้รับเงินปันผลจากหุ้นที่ลงทุนก็นำเงินปันผลมาลงทุนต่อ
5.สุดท้ายก็เริ่มใช้บัญชีMarginมาซื้อหุ้นซึ่งขณะที่ใช้ ดัชนีตกไปแล้ว 40% ซึ่งความเสี่ยงจะตกต่อก็น้อยลง
ก็ถือเป็นเงินลงทุนอีกก้อนที่สามารถนำเงินส่วนนี้มาลงทุนเพิ่มได้ แต่มีlimitว่าไม่เกินความเสี่ยงที่รับได้ (น่าจะ10%ของพอร์ต)
ช่วงนี้หุ้นไทยขึ้นมา 30%แล้วจากจุดต่ำสุด ก็มีหุ้นหลายตัวขึ้นมา 70% ก็มีขายออกไปบ้างแต่ส่วนใหญ่ยังถืออยู่ เพราะ วิกฤตคราวที่แล้ว ไม่ได้ประโยชน์จากวิกฤตมาก (น่าจะขายออกไปก่อน หรือ ไม่ได้ซื้อตอนต่ำๆมากพอ ) คราวนี้ก็จะถือข้ามวิกฤตไป เพราะหลายตัวปันผลกว่า 10%
หลังจากนี้ ถ้าจะลงทุนเพิ่ม ก็จะดูข้อมูลมากขึ้นหน่อย เพราะหุ้นก็ถูกน้อยลง ต้องเลือกเยอะขึ้น
อาจารย์เสน่ห์ถามคุณโจ ว่ายังเป็นนักลงทุนวีไอ อยู่หรือเปล่า
คุณโจตอบว่า ยังเป็นนักลงทุนวีไอซื้อหุ้น ยังยึดในหลักการลงทุนแบบวีไอ
ลงทุนหุ้นราคาที่มีส่วนลด และเป็นหุ้นที่ดี อยู่รอดได้ในอนาคต
แต่รายละเอียดในวิธีการลงทุนอาจมีการเปลี่ยนแปลงไป
ส่วน ดร นิเวศน์ เคยใช้Margin ในการซื้อหุ้น ตอนวิกฤตSubprime แต่คราวนี้ไม่ได้ใช้ แต่ก็มีเงินสด 6-7% ในพอร์ต ที่พร้อมลงทุน หลังลงทุนหุ้นเพิ่มไปหลายตัว (ตัวเดิม) แล้ว
ดร นิเวศน์ให้ความเห็นว่า ที่หุ้นขึ้นทั้งที่ Covid-19 ยังระบาดอยู่ เพราะว่า คนเริ่มเรียนรู้ว่าโรคระบาด ท้ายสุดก็มีจะวัคซีนในอีก 12-18 เดือนข้างหน้า ซึ่งมี70กว่าบริษัทกำลังออกวัคซีน
คนส่วนใหญ่รวมสถาบันก็เลยเริ่มเข้ามาซื้อหุ้นกลับ และ หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีในสหรัฐ ก็สามารถกลับขึ้นมาสูงกว่าเดิม เพราะรายได้สูงขึ้น จากวิกฤตนี้
ส่วน ดร ไพบูลย์ พูดว่า วิกฤตคราวนี้ จะระวังเรื่องสุขภาพเป็นอันดับแรก เนื่องจากอายุมากขึ้น
และพอร์ตโตกว่าตอนSubprimeเยอะ อันดับต่อมาค่อยมาดูเรื่องพอร์ตการลงทุน
สุดท้ายขอขอบคุณ พิธีกร ดร ไพบูลย์ ดร นิเวศน์ อจ.เสน่ห์ อจ. ถาวร และ คุณโจ ที่มาให้ความรู้ครับ
คุยกับคุณโจ ลูกอีสาน ซึ่งมาพูดในรายการ MoneyTalk Special
ในหัวข้อ
-วิกฤตมาต้องทำอย่างไร
-ปรับพอร์ตอย่างไร
-วิกฤตรอบนี้ กลุ่มไหนต้องหลีกเลี่ยง กลุ่มไหนน่าสนใจ
-กลยุทธ์รอบนี้แตกต่างไปจากเดิมหรือไม่
-คุณโจคิดว่าตัวเองยังเป็นวีไออยู่หรือไม่
คุณโจ อนุรักษ์ บุญแสวง ถือว่าเป็นนักลงทุนวีไอ ที่มีวิวัฒนาการในการลงทุนท่านนึง
หลังจากเคยพูดคุยกับคุณโจ เมื่อต้นเดือนธค 2562 ว่าคุณโจ ได้เริ่มลองShort หุ้นขนาดใหญ่ที่ขึ้นเกินพื้นฐาน เนื่องจากยังมีแรงเก็งกำไร และ ประสบความสำเร็จพอสมควร
ในปีนี้ คุณโจ ก็เริ่มสังเกตวิกฤตโคโลน่าไวรัส ซึ่งเป็นชื่อเรียกในช่วงต้นๆ ตอนเริ่มเกิดที่ อู่ฮั่น ประเทศจีน
คุณโจบอกว่าเคยมีประสบการณ์จากโรคระบาดSarsมาแล้ว เพราะต้องไปทำธุระที่รพ ซึ่งมีคนป่วยอยู่ เลยเริ่มใส่ใจสถานการณ์ในช่วงนั้นที่เริ่มมีโรคระบาดที่อู่ฮั่น
และเริ่ม Short TFlex SET50 ในสัดส่วน 10% ของพอร์ตลงทุน เพื่อป้องกันหุ้นในภาวะขาลง. หุ้นไทยได้ตกหนักในเดือนมีนาคม และ มีcircuit breakerติดต่อกันหลายครั้ง ทำให้พอร์ตลดลงมามาก
แต่ก็ถือว่าเป็นช่วงที่น่าลงทุนที่สุดในรอบ10ปี ซึ่งดูย้อนแย้งกับความรู้สึก ซึ่งคนส่วนใหญ่จะกลัว ไม่กล้าลงทุน
หลังจากที่สถานการณ์ที่จีนเริ่มดีขึ้น รวมถึง ไทยมีคนติดเชื้อใหม่ลดลงเหลือ2หลัก ก็เริ่มสะสมหุ้นเข้าพอร์ต
คำถามว่า คุณโจ ถือหุ้นเต็มพอร์ต แล้วมีวิธีหาเงินมาซื้อหุ้นได้อย่างไร
คุณโจบอกว่าเงินที่นำมาลงทุนได้มาจาก 5 วิธี ดังนี้
1. หลังจากshort ดัชนีSET50 ในช่วงเริ่มเกิดโรคระบาด และดัชนีลงไป 30%แต่มีgearingสูง ทำให้ได้กำไรมา2เท่า ก็ขายและมาซื้อหุ้นที่ต้องการ
2.หุ้นที่อยู่ในพอร์ต ระดับราคาตกลงมาไม่เท่ากัน ตั้งแต่ 15%-70%
ซึ่งหุ้นที่ตกลง 15% เวลาขึ้นก็ไม่น่าจะเกิน 20%
ดังนั้น จึงได้ขายหุ้นที่ลงน้อยเพื่อไปซื้อหุ้นที่ดี แต่ราคาลงหนัก
ซึ่งมีโอกาสขึ้นในภายหลังมากกว่า
3.คุณโจมีลงทุนหุ้นในต่างประเทศ เช่น เวียดนาม ปกติ หุ้นขนาดใหญ่จะขึ้นลงตามดัชนีตลาดหุ้น
แต่หุ้นขนาดเล็กจะไม่เคลื่อนไหวตามตลาด ก็จะทำการขายออก ซึ่งยังมีกำไร และนำมาลงทุนหุ้นไทย
4.นอกจากนี้ช่วงเดือน เมษายน จนถึงปลายเดือน พฤษภาคม เริ่มได้รับเงินปันผลจากหุ้นที่ลงทุนก็นำเงินปันผลมาลงทุนต่อ
5.สุดท้ายก็เริ่มใช้บัญชีMarginมาซื้อหุ้นซึ่งขณะที่ใช้ ดัชนีตกไปแล้ว 40% ซึ่งความเสี่ยงจะตกต่อก็น้อยลง
ก็ถือเป็นเงินลงทุนอีกก้อนที่สามารถนำเงินส่วนนี้มาลงทุนเพิ่มได้ แต่มีlimitว่าไม่เกินความเสี่ยงที่รับได้ (น่าจะ10%ของพอร์ต)
ช่วงนี้หุ้นไทยขึ้นมา 30%แล้วจากจุดต่ำสุด ก็มีหุ้นหลายตัวขึ้นมา 70% ก็มีขายออกไปบ้างแต่ส่วนใหญ่ยังถืออยู่ เพราะ วิกฤตคราวที่แล้ว ไม่ได้ประโยชน์จากวิกฤตมาก (น่าจะขายออกไปก่อน หรือ ไม่ได้ซื้อตอนต่ำๆมากพอ ) คราวนี้ก็จะถือข้ามวิกฤตไป เพราะหลายตัวปันผลกว่า 10%
หลังจากนี้ ถ้าจะลงทุนเพิ่ม ก็จะดูข้อมูลมากขึ้นหน่อย เพราะหุ้นก็ถูกน้อยลง ต้องเลือกเยอะขึ้น
อาจารย์เสน่ห์ถามคุณโจ ว่ายังเป็นนักลงทุนวีไอ อยู่หรือเปล่า
คุณโจตอบว่า ยังเป็นนักลงทุนวีไอซื้อหุ้น ยังยึดในหลักการลงทุนแบบวีไอ
ลงทุนหุ้นราคาที่มีส่วนลด และเป็นหุ้นที่ดี อยู่รอดได้ในอนาคต
แต่รายละเอียดในวิธีการลงทุนอาจมีการเปลี่ยนแปลงไป
ส่วน ดร นิเวศน์ เคยใช้Margin ในการซื้อหุ้น ตอนวิกฤตSubprime แต่คราวนี้ไม่ได้ใช้ แต่ก็มีเงินสด 6-7% ในพอร์ต ที่พร้อมลงทุน หลังลงทุนหุ้นเพิ่มไปหลายตัว (ตัวเดิม) แล้ว
ดร นิเวศน์ให้ความเห็นว่า ที่หุ้นขึ้นทั้งที่ Covid-19 ยังระบาดอยู่ เพราะว่า คนเริ่มเรียนรู้ว่าโรคระบาด ท้ายสุดก็มีจะวัคซีนในอีก 12-18 เดือนข้างหน้า ซึ่งมี70กว่าบริษัทกำลังออกวัคซีน
คนส่วนใหญ่รวมสถาบันก็เลยเริ่มเข้ามาซื้อหุ้นกลับ และ หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีในสหรัฐ ก็สามารถกลับขึ้นมาสูงกว่าเดิม เพราะรายได้สูงขึ้น จากวิกฤตนี้
ส่วน ดร ไพบูลย์ พูดว่า วิกฤตคราวนี้ จะระวังเรื่องสุขภาพเป็นอันดับแรก เนื่องจากอายุมากขึ้น
และพอร์ตโตกว่าตอนSubprimeเยอะ อันดับต่อมาค่อยมาดูเรื่องพอร์ตการลงทุน
สุดท้ายขอขอบคุณ พิธีกร ดร ไพบูลย์ ดร นิเวศน์ อจ.เสน่ห์ อจ. ถาวร และ คุณโจ ที่มาให้ความรู้ครับ