[Podcast] รีวิว + สิ่งที่ได้จากหนังสือ Mastering The Market Cycle
โพสต์แล้ว: พฤหัสฯ. ต.ค. 31, 2019 4:28 pm
ชุด Mastering The Market Cycle มีทั้งหมด 3 ตอน สามารถเข้าไปฟังได้ใน Spotify และ Apple Podcast ครับ (ในอนาคตน่าจะเอาลง Youtube เพิ่มด้วย)
Spotify
Part 1: https://open.spotify.com/episode/4XXnqsxp73BzOwODleOMCK
Part 2: https://open.spotify.com/episode/5aALxMHjRnlCc1gONh8TSm
Part 3: https://open.spotify.com/episode/3VIroA8yKkuEYPtQuH76Cy
Apple Podcast
Part 1: https://podcasts.apple.com/th/podcast/e ... 0454176018
Part 2: https://podcasts.apple.com/th/podcast/e ... 0454176017
Part 3: https://podcasts.apple.com/th/podcast/e ... 0454176019
ด้านล่างนี้คือเนื้อหาคร่าวๆ ใน Part 1 เผื่อใครอยากเห็นเนื้อหาคร่าวๆ ก่อนฟังครับ
ทำไมหนังสือเล่มนี้ถึงน่าสนใจ?
หนังสือเล่มนี้เขียนโดย Howard Marks ผู้เขียน The Most Important Things ที่แม้แต่ Buffett ยังชื่นชมว่า “นี่คือหนังสือมีประโยชน์ที่หาอ่านได้ยาก”
นอกจากนั้น Mastering The Market Cycle ยังเป็นหนังสือที่อุดมไปด้วยคำนิยมจากนักลงทุนและผู้จัดการกองทุนชื่อดังหลายคน เช่น Ray Dalio, Charlie Munger, Carl Icahn ฯลฯ
ความเห็นเชิง Positive เหล่านี้เป็นสัญญาณที่ดีว่าหนังสือเล่มนี้น่าจะพูดถึง Core ของการลงทุนที่สำคัญมากๆ
จนแม้แต่คนที่มีสไตล์การลงทุนที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิงก็ยังเห็นตรงกันว่านี่เป็นหนังสือที่ควรอ่าน
อ่านแล้วเป็นไง?
ส่วนตัวแล้วผิดหวังนิดหน่อย
จริงๆ แล้วหนังสือไม่ได้แย่ แต่ปัญหาคือหนังสือมันมีน้ำเยอะมาก และเนื้อหาส่วนใหญ่มันก็ซ้ำๆ กับ The Most Important Things
(มันซ้ำจนผมรู้สึกว่ามันแทบจะเป็นการเอาเนื้อหาเดิมมา re-write ใหม่ เพราะงั้นถ้าใครเคยอ่าน The Most Important Things มาจนปรุแล้ว ความน่าสนใจของหนังสือเล่มนี้ก็จะลดลงไปพอสมควร)
ภาพรวมและสไตล์ของหนังสือ
ก่อนอื่นเลยคือ ชื่อหนังสือบอกให้จับจังหวะก็จริง แต่มันไม่ใช่หนังสือแนว Technical
สไตล์ของหนังสือเป็นแบบบอกวิธีคิดมากกว่าบอกวิธีการ
บอกวิธีคิดแบบกว้างๆ แล้วให้ไปประยุกต์เอาเอง มากกว่าจะเป็นหนังสือ How To ที่บอกเราเป็นข้อๆ
เพราะงั้นหนังสือเล่มนี้จึงจะไม่มีการสอนให้เราดูตัวเลขหนี้สินหรือว่าดู ratio นู่นนี่นั่นเพื่อจับวัฎจักรเศรษฐกิจ
เนื้อหาส่วนใหญ่จะเป็นการอธิบายเศรษฐศาสตร์มหภาคพื้นฐานให้เข้าใจง่ายๆ ผสมๆ กับเรื่องจิตวิทยาตลาด
ก่อนซื้อเลยอยากให้พิจารณาดีๆ ก่อนว่าเราชอบหนังสือสไตล์นี้หรือเปล่า
หนังสือเล่มนี้มันเป็นหนังสือที่เราอาจจะได้อะไรจากมันไปมากมาย หรือว่าเราอาจจะไม่ได้อะไรจากมันเลยก็ได้
ซึ่งมันจะเป็นแบบไหน มันก็ขึ้นอยู่กับความคาดหวังแล้วก็รสนิยมในการอ่านของแต่ละคนด้วยเหมือนกัน
ทำไมการทำนายสภาวะเศรษฐกิจถึงไม่มีประโยชน์?
ครั้งหนึ่ง Buffett เคยคุยกับ Marks และบอกกับเขาว่า คุณลักษณะของข้อมูลที่ดีมันจะต้องมีสองคุณลักษณะด้วยกัน
คุณลักษณะแรกคือข้อมูลนั้นมันจะต้อง Important หรือว่าเป็นข้อมูลที่สำคัญ เพราะถ้ามันเป็นข้อมูลที่ไม่สำคัญ มันก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่เราจะเสียเวลาไปวุ่นวายกับมัน
ส่วนคุณลักษณะอย่างที่สองคือข้อมูลนั้นมันจะต้องเป็นข้อมูลที่ Knowable หรือว่าเป็นข้อมูลเราพอจะเข้าถึงและคาดการณ์มันได้
แต่ปัญหาของนักลงทุนส่วนใหญ่คือการที่พวกเขามักจะเสียเวลาไปวุ่นวายอยู่กับข้อมูลที่มัน Important แต่มันไม่ Knowable
ตัวอย่างของข้อมูลที่มัน Important แต่มันไม่ Knowable คือข้อมูลที่มันเป็น Macro Factor อย่างเช่น อัตราดอกเบี้ย หรือการเติบโตของ GDP
ข้อมูลเหล่านี้เป็นข้อมูลที่สำคัญ ถ้าคุณสามารถคาดการณ์ข้อมูลที่มันมี correlation กับการเคลื่อนไหวของหุ้นอย่างอัตราดอกเบี้ยได้แบบแม่นยำ
คุณก็แทบจะบอกได้ค่อนข้างแน่นอนเลยว่าหุ้นมันจะขึ้นหรือลง มันเป็นข้อมูลที่สำคัญมากๆ กับทิศทางตลาดหุ้นจริงๆ
แต่ประเด็นคือข้อมูลที่มันสำคัญมากๆ นี้มันดันเป็นข้อมูลที่มัน Unknowable หรือว่าคาดการณ์ไม่ได้ และไม่มีใครรู้ดีไปกว่าใคร
หรือพูดอีกอย่างก็คือ การทำนาย Macro Factor เหล่านี้มันสำคัญมากๆ ก็จริง แต่ขณะเดียวกันมันก็ดันเป็นสิ่งที่ไม่มีใครรู้ด้วย เพราะงั้นมันก็เลยไม่มีประโยชน์อะไร
หรือถ้ามันจะมีคนรู้ข้อมูลเหล่านี้ดีกว่าคนอื่นมันก็คงไม่ใช่รายย่อย แต่มันต้องเป็นพวกกองทุนใหญ่ๆ ที่มี Data เยอะๆ หรือไม่งั้นก็ต้องเป็นพวก Insider ไปเลย
แต่ถ้าเรายังเป็นแค่พนักงานเงินเดือนที่ยังต้องนั่งอ่านข่าวโซเชียล
ความแม่นยำในการคาดการณ์เศรษฐกิจของเรามันก็จะแค่พอๆ กับรายย่อยคนอื่นๆ นั่นแหละ
เพราะว่าข้อมูลที่เราอ่านตามโซเชียล คนอื่นๆ ทั่วโลกมันก็อ่านได้เหมือนกัน (และคนที่เขาเขียนข้อมูลนี้ให้เราอ่านเขาก็ต้องรู้ข้อมูลนี้ก่อนเราอีก)
เพราะงั้นกว่าที่ข้อมูลนี้จะมาถึงเรา ราคามันก็จะถูก Priced in ลงไปแล้วประมาณนึงเสมอ
ซึ่งพอเป็นแบบนั้นมันก็จะทำให้ผลตอบแทนของเรามันไม่ได้ Outperform คนอื่นๆ ในตลาดอยู่ดี
และถ้าอนาคตนั้นมันสามารถ Forecast ได้ง่ายๆ ด้วยการอ่านข่าวหรืออ่านบทความในโซเชียล
ถ้างั้นมันก็แสดงว่าอนาคตนั้นมันเป็นอนาคตที่ง่ายต่อการคาดการณ์อยู่แล้ว
ซึ่งพอมันง่ายมันก็จะทำให้ผลตอบแทนจากการทายถูกมันน้อยลงตามไปด้วย
เพราะพอมันง่ายคนอื่นๆ มันก็จะทายถูกเหมือนกัน Value ในการทายถูกมันก็เลยไม่ค่อยมี
และเราจะไปคิดว่า “ฉันไม่โลภ ได้เท่าคนอื่นก็ไม่เห็นเป็นไร” ไม่ได้
เพราะถ้าเราเป็น Active Investor แล้วเราดันได้ผลตอบแทนแค่ในระดับเฉลี่ย
มันแปลว่า เวลา ความทุ่มเท ความพยายาม ที่เราเสียไปในการศึกษาเรื่องการลงทุนมันไม่มีประโยชน์อะไรเลย
ถ้าคุณจะเป็นนักลงทุนที่เข้ามาคิดและทำเหมือนๆ กับคนอื่นแล้วได้ผลตอบแทนแค่ในระดับเฉลี่ย
ถ้างั้นคุณไปซื้อ Index Fund เอาก็ได้ ไม่ต้องเหนื่อย ไม่ต้องเสียเวลาด้วย
กุญแจสำคัญของการเป็น Superior Investor จึงเป็นการคิดต่าง
ถ้าเราอยากได้ผลตอบแทนที่มันแตกต่างไปจากค่าเฉลี่ย ยังไงเราก็ต้องคิดและทำให้มันต่างจากคนส่วนใหญ่
ถ้างั้นแบบนี้แปลว่าเราต้องไปเป็น Contrarian หรือเป็นพวกสวนกระแสใช่มั้ย?
คำตอบคือไม่ใช่ เพราะถ้าเราลองคิดดูดีๆ เราจะเห็นว่าการคิดต่างเพื่อให้ได้ผลตอบแทนที่ต่างจากค่าเฉลี่ยมันสามารถพาเราไปได้ทั้งสองทางเลย
มันอาจจะ “ต่างแบบได้มากกว่าตลาด” หรือ “ต่างแบบได้น้อยกว่าตลาด” ก็ได้
วิธีแบบ Contrarian ที่สักแต่ว่าจะตอบให้มันต่างจากชาวบ้านมันไม่เวิร์ค
เพราะในช่วงเวลาส่วนใหญ่ ถ้าคุณเป็น Contrarian คุณจะขาดทุน!!!
สาเหตุเป็นเพราะว่า วิธีที่มันเป็นวิธีมาตรฐานที่คนส่วนใหญ่ใช้ในการทำนายตัวเลขทางเศรษฐกิจ มันคือการทำสิ่งที่เรียกว่า Extrapolate
Extrapolate คือการนำข้อมูลที่เรามีอยู่ในปัจจุบันมา Forecast สิ่งที่มันกำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้
เช่น สมมติว่าถ้าตอนนี้เศรษฐกิจกำลังแย่ ตัวเลขทุกอย่างกำลังถดถอย
คนที่ใช้การ Extrapolate ก็จะมองว่า ถ้าปัจจุบันเศรษฐกิจมันไม่ดี เดือนหน้า หรือว่าในอนาคตอันใกล้ เศรษฐกิจก็จะยังไม่ดีอยู่แบบนั้น
ซึ่งปัญหาของการ Extrapolate มันไม่ใช่ว่าเราทำแล้วเราจะได้คำตอบที่ผิด
กลับกัน วิธีคิดแบบ Extrapolate หลายครั้งมันมักจะทำให้เราได้คำตอบที่ถูกต้องด้วยซ้ำ เพราะว่าตัวเลขทางเศรษฐกิจเหล่านี้มันก็มักจะมีแนวโน้มประมาณนึงอยู่แล้ว
ปัญหาของการ Extrapolate มันจึงไม่ใช่ว่าเรา Extrapolate แล้วเราจะได้คำตอบที่ผิด
แต่ปัญหาของการ Extrapolate คือวิธีนี้มันเป็นวิธีที่คนส่วนใหญ่ในการ Forecast เศรษฐกิจ
ซึ่งพอคนส่วนใหญ่ใช้วิธีนี้ มันเลยไปทำให้ทุกคนคาดการณ์ถูกเหมือนกันหมด
ซึ่งพอทุกคนทายถูกกันหมด ราคามันเลยถูก Priced in ลงไปแล้ว
ทำให้สุดท้ายแล้วเราก็จะได้กำไรน้อย..หรืออาจจะไม่ได้กำไรเลยอยู่ดี แม้ว่าเราอาจจะคาดการณ์อนาคตนั้นได้ถูกต้องก็ตาม
หลายคนอาจจะเคยได้ยินวลีที่ว่า “คนส่วนใหญ่มันมักจะผิดเสมอในตลาดหุ้น”
แต่นั่นอาจจะไม่จริงเสมอไป เพราะหลายครั้งคนส่วนใหญ่ก็ตอบถูก
แต่เวลาที่คนส่วนใหญ่ตอบถูกมันจะถูกพร้อมๆ กัน มันจะไปถูกในรอบเล็กๆ ไปถูกใน Challenge ง่ายๆ ซึ่งพอมันง่ายและทุกคนถูกพร้อมกันหมด Value ในการตอบถูกของมันจึงน้อยตามไปด้วย
ซึ่งสถานการณ์แบบนี้มันเป็นช่วงเวลาส่วนใหญ่ในตลาดด้วย
เพราะงั้นถ้าเราเป็น Contrarian ที่สักแต่ว่าจะตอบให้มันไม่เหมือนคนอื่น สุดท้ายเราจะกลายเป็นคนที่ขาดทุนในช่วงเวลาส่วนใหญ่แบบนี้สะสมไปเรื่อยๆ แล้วมันจะทำให้เราได้ผลตอบแทนที่น้อยกว่าค่าเฉลี่ย
เพราะงั้นลำพังแค่ “ความแตกต่าง” มันไม่สามารถทำให้เราเป็น Superior Investor ได้
แต่การจะเป็น Superior Investor เราต้องทำให้ได้สองอย่างคือ “Different” and “Better”
แค่ “แตกต่าง” หรือว่า “Different” อย่างเดียวมันไม่พอ
แต่การแตกต่างนั้นมันจะต้องเป็นการแตกต่างที่ “Better” หรือว่า “ดีกว่า” คนอื่นด้วย
ทุกครั้งที่เราจะต่างเราต้องมีเหตุผลด้วยว่าทำไมเราถึงจะต่าง
และเหตุผลนั้นมันต้องเป็นเหตุผลที่ดีกว่าคนอื่น เราถึงจะได้กำไรในระดับที่มัน Outperformance
แต่ถ้าเราพิจารณาคำอธิบายที่ผ่านมา
เราจะพบว่าการที่เราจะทั้ง Different แล้วก็ Better ไปพร้อมๆ กันในข้อมูลที่เป็น Macro Factor มันเป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย
เพราะธรรมชาติของการทำนาย Macro Factor คือ ถ้าเราคิดต่าง เราจะกลายเป็นคนที่ผิด แต่ถ้าเราไม่ต่างเราก็จะได้ผลตอบแทนแค่ในระดับเฉลี่ยอยู่ดี
คุณสมบัติของคนที่จะ beat ตลาดได้คือคนๆ นั้นจะต้องคิดต่าง
แต่การเป็น Macro Investor มันย้อนแย้งตรงที่ ถ้าคุณคิดต่างเมื่อไหร่ คุณมักจะกลายเป็นคนที่ผิดและขาดทุน
แต่ถ้าคุณไม่ต่าง คุณก็จะได้ผลตอบแทนแค่ในระดับเฉลี่ยเท่านั้น (ซึ่งก็ไม่ได้สำหรับ Active Investor เหมือนกัน)
เพราะงั้นถ้าเราเป็นรายย่อยที่ไม่มีข้อได้เปรียบเรื่อง Data หรือ Inside การมาวุ่นวายอยู่กับการทำนาย Macro Factor มันจึงเป็นเรื่องที่ไม่มีประโยชน์อะไรเลย
หรือพูดอีกอย่างคือ ข้อมูลที่มันเป็น Macro Factor นั้น
บางช่วงมันจะ “Important” แต่มันจะ “ไม่ Knowable”
ในขณะที่บางช่วงนั้นมันจะ Knowable แต่การที่มัน Knowable แล้วทุกคนก็รู้สิ่งนั้น ข้อมูลนั้นมันก็จะกลายเป็นข้อมูลที่มันไม่ Important อีกต่อไป
Macro Factor มันมักจะขาดคุณสมบัติของข้อมูลที่ดีข้อใดข้อนึงไปเสมอ
เพราะงั้นแทนที่เราจะไปหวังรวยเร็วๆ ด้วยการทำในสิ่งที่มันเป็นไปไม่ได้แบบนี้
เราควรจะโฟกัสไปที่ข้อมูลที่มัน Important แล้วก็ Knowable อย่างพวกพื้นฐานบริษัทจะดีกว่า
เพราะแม้ว่าเราอาจจะไม่สามารถรู้อนาคตของบริษัทได้แบบ 100%
แต่อย่างน้อยมันก็สามารถคาดการณ์ได้ง่ายกว่าการทำนายเศรษฐกิจมหภาค
(แต่เราก็ต้อง Balanced ความยากให้ดีเช่นกัน เพราะถ้าเกิดเราไปเลือก Challenge ที่มัน Knowable มากๆ แล้วทุกคนก็คาดการณ์ได้เหมือนกันหมด ข้อมูลนั้นมันก็จะกลายเป็นข้อมูลที่มันไม่ Important อีกต่อไป)
แล้วการทำนายวิกฤติเศรษฐกิจล่ะ?
ประเด็นนึงที่มักจะถูกพูดถึงเกี่ยวกับการ Forecast ก็คือเรื่องของการทำนายวิกฤตเศรษฐกิจ
เรามักจะได้ยินกันมาตลอดว่าวิกฤติเศรษฐกิจเป็นสิ่งที่ทำนายไม่ได้
แต่บางคนก็อาจจะบอกว่า “วิกฤติรอบที่ผ่านมาก็เห็นมีคนทายถูกนี่ แล้วทำไมถึงยังบอกว่าเศรษฐกิจมัน Forecast ไม่ได้?”
เกี่ยวกับเรื่องนี้ ต้องบอกว่าจริงๆ แล้วมันไม่ใช่ว่ามันไม่มีใครที่สามารถทายวิกฤติเศรษฐกิจได้ ทุกๆ วิกฤติมันจะมีคนทายถูกเสมอแหละ
แต่ปัญหาคือ วิกฤติแต่ละรอบนั้น คนที่จะทายถูกมันมักจะไม่ใช่คนๆ เดิม
ตัวอย่างเช่น ตอนปี 2000 ที่เป็นวิกฤติดอทคอม เซียน A อาจจะสามารถทายได้ แต่ตอนปี 2008 เซียน A ก็อาจจะทำนายวิกฤติ Sub Prime ไม่ได้
ในขณะที่เซียน B ที่ทายวิกฤติ Sub Prime ได้ แต่ตอนดอทคอมเขาก็อาจจะไม่ได้ออกมาพูดอะไรเลยเหมือนกัน
พอเป็นแบบนี้มันเลยกลายเป็นว่าเราจะไม่สามารถยึดเซียนคนไหนเป็น Role Model แล้วก็ก๊อป Opinion ของเขามาใช้กับวัฎจักรเศรษฐกิจทุกๆ รอบได้เลย
เพราะว่าความแม่นยำมันจะเปลี่ยนไปอยู่ที่คนนู้นทีคนนี้ที
รอบนี้คนนี้อาจจะทายถูก แต่รอบหน้ามันอาจจะเปลี่ยนไปเป็นอีกคนนึง
ปัญหาคือเราไม่รู้เลยว่า ณ Cycle รอบปัจจุบันเซียนคนไหนจะเป็นคนที่ทายถูก
เราไม่รู้ว่า ณ Cycle รอบปัจจุบัน เราควรจะต้อง “ลอก” ความเห็นของเซียนคนไหนดี
ส่วนอีกเหตุผลนึงที่ทำให้การ Forecast มันไม่มีประโยชน์ก็เป็นเพราะว่า
เวลาที่เราจะให้เครดิตใครว่าเขาทำนายวิกฤติได้นั้น เราต้องไม่ดูแค่ว่าเขาพูดอะไรในปีที่มันกำลังจะเกิดวิกฤติ
แต่เราต้องย้อนไปดูด้วยว่าสองสามปีก่อนหน้านั้น Forecaster เหล่านี้เขาได้พูดอะไรเอาไว้
หากไปเช็คดู เราอาจจะพบว่าคนที่เราเห็นว่าเขาทายวิกฤติได้นั้น จริงๆ แล้วเขาอาจจะไม่ได้ทายถูกอะไรเลย
เพราะถ้าเราลองย้อนไปดู เราอาจจะพบว่าจริงๆ แล้ว Forecaster เหล่านี้เขาอาจจะไม่ได้ทายแม่นอะไรเลย
แต่เขาแค่หน้าด้านแทงแบบเดิมซ้ำๆ ทุกปีๆ จนกว่ามันจะถูกเท่านั้นเอง
นอกจากนั้นเรายังต้องไปดูอีกด้วยว่าหลังจากที่วิกฤติมันจบไปแล้ว
คนที่ได้ชื่อว่าสามารถคาดการณ์วิกฤติปี 2008 ได้เหล่านี้ เขาสามารถคาดการณ์การฟื้นตัวและได้กลับไปซื้อหุ้นในตอนที่เป็นขาขึ้นรอบใหม่ในปี 2009 ด้วยรึเปล่า?
ซึ่งถ้าตอนที่ตลาดกำลังกลับมาเป็นขาขึ้นแล้วเขาไม่ได้ซื้อหุ้น
มันก็อาจจะหมายความว่าจริงๆ แล้วคนเหล่านี้เขาก็อาจจะไม่ได้เป็น Forecaster ที่เก่งจนสามารถทำนายอนาคตได้อะไรหรอก
แต่เขาแค่อาจจะเป็นคนที่มองโลกแง่ร้ายอยู่ตลอดเวลาเท่านั้นเอง
เขาอาจจะแค่เป็นคนที่เชื่อว่ามันจะต้องมึเรื่องไม่ดีอะไรสักอย่างเกิดขึ้นกับตลาดหุ้นอยู่ตลอดเวลาเฉยๆ ก็ได้
ซึ่งนิสัยมองโลกแง่ร้ายแบบนี้มันอาจจะทำให้เขาได้ชื่อว่าสามารถคาดการณ์วิกฤติได้ก็จริง
แต่ขณะเดียวกัน ไอ้ความมองโลกแง่ร้ายนี้มันก็จะทำให้เขาพลาดและไม่ได้ซื้อหุ้นในที่ตอนตลาดมันกลับมาเป็นกระทิงรอบใหม่ด้วยเหมือนก้น
และสุดท้ายมันก็จะไปทำให้ผลตอบแทนของคนเหล่านี้มันก็จะธรรมดา แม้ว่าเขาอาจจะได้ชื่อว่าสามารถทายวิกฤติได้ก็ตาม
เพราะงั้นถ้าเราไม่ได้ต้องการกำไรแต่เราแค่อยากดังก็ให้เราทำแบบนี้ก็ได้
ให้แทงแบบเดิมๆ ซ้ำๆ ไปเลย
ถ้าเราอยากจะมองโลกแง่ร้ายก็ให้มองโลกแง่ร้ายไปตลอด
อย่าไปเปลี่ยนคำตอบกลับไปกลับมา ไม่ว่า condition ของเศรษฐกิจมันจะเปลี่ยนไปยังไงก็ให้ยืนยันคำตอบแบบเดิมไปเรื่อยๆ แล้ววันนึงคำตอบของเรามันจะถูกเอง
ซึ่งพอถึงตอนนั้นเราก็จะดังไปเลย แต่ผลตอบแทนในการลงทุนของเรามันก็จะงั้นๆ อยู่ดี
เพราะการ Forecast มันจะช่วยเพิ่มผลตอบแทนได้ก็ต่อเมื่อเราสามารถทำนายมันได้ถูกต้องสม่ำเสมอเท่านั้น
แต่ถ้าเราแค่ทายถูกเป็นครั้งคราว สิ่งเดียวที่มันจะเพิ่มขึ้นมามันคือชื่อเสียงของเรา ไม่ใช่ผลตอบแทน
เพราะงั้นประเด็นจริงๆ ของเรื่องนี้มันจึงไม่ใช่ว่ามันไม่มีใครที่สามารถทายวิกฤติได้
วิกฤติทุกครั้งมันมีคนทายถูกเสมอแหละ แต่การทำนายอนาคตมันจะมีประโยชน์ก็ต่อเมื่อเราสามารถทำนายมันได้อย่างถูกต้องต่อเนื่องเท่านั้น
และในโลกนี้มันแทบไม่มีใครที่สามารถทายถูกอย่างต่อเนื่องมากพอจนเขาสามารถเอาการ Forecast ไปใช้เป็นแต้มต่อในการลงทุนได้เลย
การลงทุนกับการคิดแบบ Probability
การคิดแบบ Probability เป็นหัวข้อที่ต่อเนื่องมาจากประเด็นเรื่องการทำนายอนาคต
เพราะพอบอกว่าอนาคตเป็นสิ่งที่ทำนายไม่ได้ คำถามที่มักจะตามมาก็คือ
“อ้าว....งั้นแบบนี้แปลว่าเราก็ไม่ควรลงทุนรึเปล่า เพราะถ้าเกิดเราไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นยังไงแล้วเราไปลงทุนมันก็จะกลายเป็นการพนันไปรึเปล่า?”
ซึ่งไม่ใช่แบบนั้น
เพราะจริงๆ แล้วการจะลงทุนให้ประสบความสำเร็จเราไม่จำเป็นต้องถึงขนาดรู้อนาคตก็ได้
แต่แค่เราพอมองเห็นแนวโน้มของสิ่งที่จะเกิดขึ้น แค่นั้นมันก็เพียงพอที่จะทำให้เราได้ผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวแล้ว
ตัวอย่างเช่น ลองจินตนาการว่าตรงหน้าคุณมีโถอยู่โถหนึ่ง
ในโถนี้มีลูกบอลอยู่ 100 ลูก
บางลูกเป็นสีดำ บางลูกเป็นสีขาว
ทีนี้ถามว่า ถ้าให้คุณเลือกว่าลูกบอลลูกต่อไปที่หยิบขึ้นมาจากโถมันจะเป็นสีอะไร
คุณจะตอบว่าสีดำหรือว่าสีขาว?
ถ้าคุณมีข้อมูลอยู่แค่นี้ คุณจะทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าการเดา (และการเดาก็ไม่ใช่การกระทำที่เราจะไปคาดหวังอะไรจากมันได้สักเท่าไหร่)
เพราะงั้นในชีวิตจริง ถ้าคุณไปเจอสถานการณ์ที่คุณไม่รู้อะไรเลยแบบนี้ คุณก็ไม่ควรลงทุน
แต่หากว่าคุณ “รู้” หรือสามารถ “ประเมิน” ได้ว่าสัดส่วนลูกบอลสีดำต่อสีขาวมันเป็นเท่าไหร่ แบบนี้จะเริ่มน่าสนใจขึ้นมาแล้ว
เราจะลงทุนหรือว่าไม่ลงทุน หลายครั้งมันขึ้นอยู่กับความน่าจะเป็นตรงนี้เลย
ตัวอย่างเช่น สมมติว่าถ้าสัดส่วนลูกบอลสีดำต่อสีขาวมันเป็น 50:50
กรณีแบบนี้ นักลงทุนทั่วๆ ไปอาจจะมองว่าเราจะเล่นหรือว่าไม่เล่นก็ได้
เพราะมันก็แฟร์ๆ โอกาสมันคือ 50/50 เราไม่ได้เสียเปรียบอะไร นักลงทุนทั่วไปจะคิดแบบนี้
แต่คนที่เป็นนักลงทุนที่เก่งจะไม่สนใจดีลในลักษณะนี้เลย
เพราะว่าเมื่อโอกาสมันแค่ 50/50 มันก็หมายความว่าเราจะได้ผลตอบแทนที่มัน Superior ก็ต่อเมื่อเราโชคดีเท่านั้น
ซึ่งนักลงทุนที่เก่งจะไม่เอาความโชคดีมาเป็นส่วนหนึ่งในการตัดสินใจหรือออกแบบกลยุทธ์การลงทุน
เราไม่ควรออกแบบกลยุทธ์ที่มันจะสำเร็จก็ต่อเมื่อเราโชคดี
แต่มันกลับกันเลย
เวลาที่เราออกแบบกลยุทธ์ เราควรที่จะออกแบบโดยคิดเผื่อเอาไว้ว่าเราอาจจะต้องโชคร้ายด้วยซ้ำ
เพราะงั้นในกรณีที่ความน่าจะเป็นมันคือ 50/50
นักลงทุนที่เก่งก็จะยังไม่สนใจอยู๋ดี เพราะว่ามันไม่มี Advantage อะไรที่จะทำให้เขาได้เปรียบ
แต่ถ้าเกิดว่าสัดส่วนของลูกบอลสีดำต่อสีขาวมันเป็น 70:30
แบบนี้จะเริ่มน่าสนใจแล้ว
เพราะมันหมายความว่าถ้าเราเล่น 10 ครั้ง เราจะชนะถึง 7 ครั้ง
ถ้าเราลงเงินรอบละ 10 เหรียญ เล่น 10 ครั้ง เราชนะ 7 ครั้ง แพ้ 3 ครั้ง
เราจะได้เงินทั้งหมด 70 เหรียญ และเสียเงิน 30 เหรียญ เบ็ดเสร็จแล้วคือเราจะกำไรจากดีลครั้งนี้ 40 เหรียญ
เราจะเห็นว่าเราไม่จำเป็นต้องรู้อนาคตเราถึงจะได้กำไร
เราไม่จำเป็นต้องรู้ว่าบอลลูกต่อไปมันจะเป็นสีอะไร
อย่างในกรณีนี้ ถามว่าเรารู้มั้ยว่าลูกบอลลูกต่อไปที่ถูกหยิบออกมามันจะเป็นสีอะไร?
เราไม่รู้ แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาเลย เพราะขอแค่เรารู้ “ความน่าจะเป็น” ของมัน แล้วเล่นในจำนวนครั้งที่มันมากพอ
แค่นั้นมันก็เพียงพอที่จะทำให้เรามีผลตอบแทนที่ดีได้แล้ว
หรือพูดง่ายๆ คือ การลงทุนมันอาจจะเป็นเรื่องของการเดิมพันกับอนาคตก็จริง
แต่เราก็ไม่จำเป็นต้องทายอนาคตให้มันแม่นยำ 100% เราถึงจะได้กำไร
ถ้าเราประเมินความน่าจะเป็นได้ถูกต้อง เลือก bet เฉพาะในเกมที่เราได้เปรียบ และสร้างพอร์ตที่มีแต่หุ้นที่มีโอกาสชนะ 70% ขึ้นไปแบบนี้
แค่นี้มันก็เพียงพอที่จะทำให้เรามีผลตอบแทนที่ดีได้แล้ว โดยที่เราไม่จำเป็นต้องรู้อนาคตของการลงทุนแต่ละครั้งให้แม่นยำแบบ 100% เลย
แต่สิ่งที่สำคัญเกี่ยวกับการคิดแบบ Probability คือ
การที่เราบอกว่าโอกาสชนะมันเป็น 7:3 มันไม่ได้การันตีว่าเราจะต้องชนะเสมอไป
เพราะการที่มันมีโอกาสมากกว่ามันไม่ได้หมายความว่าสิ่งๆ นั้นมันจะต้องเกิดขึ้นแน่ๆ
บางทีลูกบอลลูกต่อไปมันอาจจะเป็นสีขาวก็ได้ เพราะยังไงมันก็ยังมีโอกาสเหลืออยู่ 30%
เราต้องเตือนตัวเองว่าเราไม่ได้แทงดำเพราะเราคิดว่าเราต้องชนะ “ชัวร์ๆ”
แต่เราแทงดำเพียงเพราะว่า “มันมีโอกาสชนะมากกว่า”
นี่คือการคิดในรูปแบบของความน่าจะเป็น
แต่นักลทุนทั่วๆ ไปจะไม่ได้คิดแบบนี้
นักลงทุนทั่วๆ ไปจะคิดว่า วิธีเดียวที่จะทำให้เราได้กำไรมากๆ คือการที่ต้องไป “รู้” ให้ได้ว่าลูกบอลลูกต่อไปมันจะเป็นสีอะไร
พวกเขาจะพยายามไปหาเคล็ดลับที่จะทำให้เขารู้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคต
แต่น่าเสียดายว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง เพราะสุดท้ายแล้วอนาคตมันเป็นสิ่งที่ไม่มีใครรู้
หรือถ้าให้เปรียบเทียบ คนเหล่านี้ก็อาจจะเหมือนกับคนที่พยายามจะไปรู้ในสิ่งที่มัน Unknowable อย่างเช่นอัตราดอกเบี้ยหรือการเติบโตของ GDP
แทนที่พวกเขาจะคิดในรูปแบบของความน่าจะเป็น แล้วเตรียมใจว่าบางครั้งอาจจะต้องแพ้บ้าง
แต่พวกเขากลับฟุ้งฝันถึงวิธีที่จะทำให้ตัวเองชนะได้แบบชัวร์ๆ
แล้วสุดท้ายพวกเขาก็มักจะต้องผิดหวัง
เพราะสิ่งที่เขาตามหานั้นไม่มีอยู่จริง