BWHREIT
โพสต์แล้ว: พุธ ส.ค. 21, 2019 9:05 pm
‘บลูเวล แอสเซท’ รุกธุรกิจกองทรัสต์อิสระ ประเดิมลงทุน 3 โรงแรมชั้นนำในไทย
21/08/2019บลูเวล แอสเซท
HoonSmart.com>> “บลูเวล แอสเซท” รุกธุรกิจบริหารจัดการกองทรัสต์อิสระ ชูประสบการณ์และความเชี่ยวชาญทีมผู้บริหารด้านการบริหารอสังหาริมทรัพย์และแวดวงการเงิน ตั้งเป้าผู้บริหารกองทรัสต์โรงแรมที่มีขนาดสินทรัพย์ใหญ่ที่สุดในไทย ประเดิมตั้ง “กองทรัสต์บลูเวล ฮอสพิทอลลิตี้” เข้าลงทุนครั้งแรกในโรงแรมชั้นนำ 3 แห่งในไทย ประเมินธุรกิจโรงแรมและท่องเที่ยวยังแข็งแกร่ง
รุ่งยศ จันทภาษ
นายรุ่งยศ จันทภาษา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บลูเวล แอสเซท จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจบริหารจัดการกองทรัสต์อิสระ กล่าวว่า บริษัทฯ เล็งเห็นโอกาสเข้ารุกธุรกิจบริหารจัดการกองทรัสต์อิสระ โดยจุดเด่นของบลูเวล แอสเซท เกิดจากการรวมตัวของทีมผู้บริหารที่มีความเชี่ยวชาญด้านการบริหารอสังหาริมทรัพย์และประสบการณ์ทำงานในแวดวงการเงินในบริษัทที่เป็นผู้ประกอบการชั้นนำของประเทศไทย โดยมีประสบการณ์รวมมากกว่า 30 ปี จึงมีความเข้าใจด้านการบริหารอสังหาริมทรัพย์และบริหารจัดการกองทรัสต์เป็นอย่างดี ซึ่งถือเป็นทางเลือกใหม่ให้แก่เจ้าของทรัพย์สินในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนเพื่อนำไปใช้ขยายธุรกิจต่อไป
“เราต้องการเป็นคนกลางที่เชื่อมต่อเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ที่ต้องการเข้าถึงแหล่งเงินทุนเพื่อขยายธุรกิจ สามารถใช้กองทรัสต์เป็นเครื่องมือในการระดมทุน นำมาใช้พัฒนาโครงการได้อย่างรวดเร็วโดยไม่สูญเสียโอกาส จึงได้จัดตั้งทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าบลูเวล ฮอสพิทอลลิตี้ เพื่อเข้าลงทุนครั้งแรกในกรรมสิทธิ์และสิทธิการเช่าโรงแรม 3 แห่งที่อยู่ในแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวชาวไทยและต่างชาติ ซึ่งปัจจุบันเราได้ยื่นแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์และแบบรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ฯ แก่สำนักงาน ก.ล.ต.แล้ว” นายรุ่งยศ กล่าว
ทั้งนี้ จากข้อมูลไฟลิ่งกองทรัสต์จะลงทุนในกรรมสิทธิ์ และสิทธิการเช่าของโรงแรมทั้งหมด 3 แห่ง ประกอบด้วย 1) โรงแรมหรรษา สมุย รีสอร์ท แอนด์ สปา 2) โรงแรมแลงแฮม สแปลช จังเกิ้ล รีสอร์ท และสวนน้ำสแปลช จังเกิ้ล และ 3) โรงแรมเดอะ กรีนเนอรี่ รีสอร์ท เขาใหญ่ และศูนย์ประชุม KYCC
นายรุ่งยศ กล่าวว่า บริษัทฯ ประเมินภาพรวมธุรกิจโรงแรมและการท่องเที่ยวในประเทศไทยยังแข็งแกร่ง มีขีดความสามารถการแข่งขันที่ดีและมีศักยภาพในการเติบโตอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากเป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวทั่วโลกที่ต้องการเดินทางมาท่องเที่ยว โดยประเทศไทยติดอันดับ Best Country Tourism ติดต่อกันถึง 9 ปีนับจากปี 2553 ซึ่งมีแหล่งท่องเที่ยวชั้นนำที่มีชื่อเสียงระดับโลก เช่น ภูเก็ต สมุย พัทยา เชียงใหม่ กรุงเทพฯ ฯลฯ จึงเป็นโอกาสดีที่จะชูจุดเด่นด้านการท่องเที่ยวของไทยรองรับกับปริมาณนักท่องเที่ยวทั่วโลกที่คาดว่าภายใน 5 ปีข้างหน้าจะเพิ่มเป็น 2,000 – 3,000 ล้านคน จากปัจจุบันประมาณ 1,800 ล้านคน เช่นเดียวกันจำนวนประชากรจีนที่คาดว่าในปี 2563 จะมีหนังสือเดินทางอยู่ที่ 240 ล้านคน เพิ่มขึ้นเท่าตัวจาก 2 ปีก่อน จำนวนประชากรชนชั้นกลางที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและเทรนการแชร์ประสบการณ์ท่องเที่ยวผ่านสื่อสังคมออนไลน์ รวมถึงการสนับสนุนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศทั้งจากภาครัฐและเอกชน ที่เป็นปัจจัยหนุนการเติบโตของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทยได้เป็นอย่างดี
ขณะที่ภาพรวมการท่องเที่ยวของไทยในปีที่ผ่านมามีอัตราการเติบโตที่ดี โดยมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาในประเทศไทยกว่า 38 ล้านคน โดยเฉพาะจังหวัดภูเก็ต ซึ่งเป็นหนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติให้ความสนใจ ติดอันดับที่ 12 ของ World Most Visited City in 2018 จากการจัดอันดับโดย Mastercard Global Destination Cities Index ที่มีนักท่องเที่ยวกว่า 9 ล้านคน โดยเฉพาะในช่วง 6 เดือนแรกของปีที่ผ่านมา ทำสถิติจำนวนนักท่องเที่ยวสูงสุดในรอบ 10 ปี ส่งผลให้อัตราการการเข้าพักของโรงแรมในภูเก็ตเฉลี่ยอยู่ที่ 75% ในปีที่ผ่านมา และในปีนี้คาดว่าปริมาณนักท่องเที่ยวยังมีแนวโน้มการเติบโตที่ดี จากความนิยมของนักท่องเที่ยวจากประเทศอินเดีย ที่เพิ่มขึ้นถึง 40% หลังเปิดเที่ยวบินตรงจากเมืองเดลี มุมไบ บังกะลอร์ มายังจังหวัดภูเก็ต
ส่วนเกาะสมุยในปีที่ผ่านมา มีนักท่องเที่ยวประมาณกว่า 2.7 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 8% โดยปัจจุบันโรงแรมในสมุยมีซัพพลายรวมกันประมาณกว่า 2 หมื่นห้องพัก ซึ่งยังไม่เพียงพอกับความต้องการของนักท่องเที่ยวในช่วงไฮซีซั่น ขณะที่เขาใหญ่ก็เป็นเมืองท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมจากคนไทยเดินทางมาพักผ่อนและทำกิจกรรมอบรมสัมมนาตลอดทั้งปี รวมถึงเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีปริมาณโอโซนสูงติดอันดับ 7 ของโลก ทำให้นักท่องเที่ยวชาวไทยให้ความสนใจเดินทางไปท่องเที่ยวพักผ่อนมากขึ้น
“การท่องเที่ยวถือเป็นธุรกิจสำคัญที่ขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจให้แก่ประเทศ โดยประเทศไทยมีจุดเด่นหลายด้านที่เป็นปัจจัยส่งเสริมการท่องเที่ยว ทั้งธรรมชาติที่เป็นเอกลักษณ์ วัฒนธรรม รสชาติอาหารและความอุดมสมบูรณ์ของวัตถุดิบ ศักยภาพของประเทศที่เป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวในภูมิภาคอาเซียนในอัตราค่าบริการที่คุ้มค่า รวมถึงสามารถท่องเที่ยวได้ตลอด 365 วัน จึงสามารถตั้งราคาห้องพักและค่าบริการในอัตราที่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่เข้าถึงได้ ในคอนเซป affordable luxury นอกจากนี้ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมโดยภาครัฐ ยังเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่จะสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน” นายรุ่งยศ กล่าว
สำหรับบริษัทฯ มีวิสัยทัศน์เป็นผู้บริหารกองทรัสต์ที่ลงทุนในโรงแรมและธุรกิจที่เกี่ยวข้องที่มีขนาดทรัพย์สินรวมใหญ่ที่สุดในประเทศไทย โดยบริษัทฯ ให้ความสำคัญในการคัดเลือกทรัพย์สินที่มีศักยภาพในการสร้างรายได้และการเติบโต ซึ่งในช่วงกว่า 1 ปีที่ผ่านมา ได้พิจารณาคัดเลือกโรงแรมเป็นจำนวนกว่า 60 โรงแรม เพื่อให้ได้ทรัพย์สินที่มีคุณภาพนำมาจัดตั้งกองทรัสต์อิสระ โดยนโยบายการลงทุนที่สำคัญได้แก่ (1) ทรัพย์สินต้องตั้งอยู่ในทำเลที่โดดเด่นบนแหล่งท่องเที่ยวชั้นนำของประเทศไทยและไม่กระจุกตัวอยู่ในจังหวัดใดจังหวัดหนึ่ง เพื่อลดความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุน (2) คอนเซปต์โรงแรมต้องส่งเสริมและสะท้อนเอกลักษณ์ของจังหวัดที่ตั้งอยู่ (3) เดินทางสะดวกหรืออยู่ไม่ไกลจากสนามบินและอยู่ใกล้แหล่งท่องเที่ยวสำคัญ (4) มีผลการดำเนินงานที่ดี และ (5) มีผู้บริหารโรงแรมที่มีประสบการณ์ ความเชี่ยวชาญและเครือข่ายที่แข็งแกร่ง
นอกจากนี้ การลงทุนในกองทรัสต์ที่บริหารจัดการโดยผู้จัดการกองทรัสต์อิสระ ซึ่งไม่มีความเกี่ยวข้องหรือเป็นบริษัทในเครือเจ้าของทรัพย์สิน มีข้อดีคือ (1) กองทรัสต์มีโอกาสเติบโตอย่างรวดเร็วจากการเข้าลงทุนในทัรพย์สินใหม่ได้อย่างอิสระ (2) มีการกระจายความเสี่ยงที่ดี สามารถลงทุนในทรัพย์สินที่หลากหลาย (3) เป็นทางเลือกให้แก่เจ้าของทรัพย์สินสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนเพื่อใช้ขยายธุรกิจ (4) ผู้ลงทุนจะได้รับผลตอบแทนจากเงินปันผลที่สม่ำเสมอ และมีโอกาสได้รับกำไรจากมูลค่าหน่วยทรัสต์ที่เพิ่มขึ้น (5) มีผู้เชี่ยวชาญทำหน้าที่บริหารจัดการกองทรัสต์ เพื่อให้ทรัพย์สินสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีแก่ผู้ถือหน่วย และ (6) ผู้จัดการกองทรัสต์จะทำหน้าที่ต่อรองผลประโยชน์แทนผู้ลงทุน
21/08/2019บลูเวล แอสเซท
HoonSmart.com>> “บลูเวล แอสเซท” รุกธุรกิจบริหารจัดการกองทรัสต์อิสระ ชูประสบการณ์และความเชี่ยวชาญทีมผู้บริหารด้านการบริหารอสังหาริมทรัพย์และแวดวงการเงิน ตั้งเป้าผู้บริหารกองทรัสต์โรงแรมที่มีขนาดสินทรัพย์ใหญ่ที่สุดในไทย ประเดิมตั้ง “กองทรัสต์บลูเวล ฮอสพิทอลลิตี้” เข้าลงทุนครั้งแรกในโรงแรมชั้นนำ 3 แห่งในไทย ประเมินธุรกิจโรงแรมและท่องเที่ยวยังแข็งแกร่ง
รุ่งยศ จันทภาษ
นายรุ่งยศ จันทภาษา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บลูเวล แอสเซท จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจบริหารจัดการกองทรัสต์อิสระ กล่าวว่า บริษัทฯ เล็งเห็นโอกาสเข้ารุกธุรกิจบริหารจัดการกองทรัสต์อิสระ โดยจุดเด่นของบลูเวล แอสเซท เกิดจากการรวมตัวของทีมผู้บริหารที่มีความเชี่ยวชาญด้านการบริหารอสังหาริมทรัพย์และประสบการณ์ทำงานในแวดวงการเงินในบริษัทที่เป็นผู้ประกอบการชั้นนำของประเทศไทย โดยมีประสบการณ์รวมมากกว่า 30 ปี จึงมีความเข้าใจด้านการบริหารอสังหาริมทรัพย์และบริหารจัดการกองทรัสต์เป็นอย่างดี ซึ่งถือเป็นทางเลือกใหม่ให้แก่เจ้าของทรัพย์สินในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนเพื่อนำไปใช้ขยายธุรกิจต่อไป
“เราต้องการเป็นคนกลางที่เชื่อมต่อเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ที่ต้องการเข้าถึงแหล่งเงินทุนเพื่อขยายธุรกิจ สามารถใช้กองทรัสต์เป็นเครื่องมือในการระดมทุน นำมาใช้พัฒนาโครงการได้อย่างรวดเร็วโดยไม่สูญเสียโอกาส จึงได้จัดตั้งทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าบลูเวล ฮอสพิทอลลิตี้ เพื่อเข้าลงทุนครั้งแรกในกรรมสิทธิ์และสิทธิการเช่าโรงแรม 3 แห่งที่อยู่ในแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวชาวไทยและต่างชาติ ซึ่งปัจจุบันเราได้ยื่นแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์และแบบรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ฯ แก่สำนักงาน ก.ล.ต.แล้ว” นายรุ่งยศ กล่าว
ทั้งนี้ จากข้อมูลไฟลิ่งกองทรัสต์จะลงทุนในกรรมสิทธิ์ และสิทธิการเช่าของโรงแรมทั้งหมด 3 แห่ง ประกอบด้วย 1) โรงแรมหรรษา สมุย รีสอร์ท แอนด์ สปา 2) โรงแรมแลงแฮม สแปลช จังเกิ้ล รีสอร์ท และสวนน้ำสแปลช จังเกิ้ล และ 3) โรงแรมเดอะ กรีนเนอรี่ รีสอร์ท เขาใหญ่ และศูนย์ประชุม KYCC
นายรุ่งยศ กล่าวว่า บริษัทฯ ประเมินภาพรวมธุรกิจโรงแรมและการท่องเที่ยวในประเทศไทยยังแข็งแกร่ง มีขีดความสามารถการแข่งขันที่ดีและมีศักยภาพในการเติบโตอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากเป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวทั่วโลกที่ต้องการเดินทางมาท่องเที่ยว โดยประเทศไทยติดอันดับ Best Country Tourism ติดต่อกันถึง 9 ปีนับจากปี 2553 ซึ่งมีแหล่งท่องเที่ยวชั้นนำที่มีชื่อเสียงระดับโลก เช่น ภูเก็ต สมุย พัทยา เชียงใหม่ กรุงเทพฯ ฯลฯ จึงเป็นโอกาสดีที่จะชูจุดเด่นด้านการท่องเที่ยวของไทยรองรับกับปริมาณนักท่องเที่ยวทั่วโลกที่คาดว่าภายใน 5 ปีข้างหน้าจะเพิ่มเป็น 2,000 – 3,000 ล้านคน จากปัจจุบันประมาณ 1,800 ล้านคน เช่นเดียวกันจำนวนประชากรจีนที่คาดว่าในปี 2563 จะมีหนังสือเดินทางอยู่ที่ 240 ล้านคน เพิ่มขึ้นเท่าตัวจาก 2 ปีก่อน จำนวนประชากรชนชั้นกลางที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและเทรนการแชร์ประสบการณ์ท่องเที่ยวผ่านสื่อสังคมออนไลน์ รวมถึงการสนับสนุนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศทั้งจากภาครัฐและเอกชน ที่เป็นปัจจัยหนุนการเติบโตของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทยได้เป็นอย่างดี
ขณะที่ภาพรวมการท่องเที่ยวของไทยในปีที่ผ่านมามีอัตราการเติบโตที่ดี โดยมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาในประเทศไทยกว่า 38 ล้านคน โดยเฉพาะจังหวัดภูเก็ต ซึ่งเป็นหนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติให้ความสนใจ ติดอันดับที่ 12 ของ World Most Visited City in 2018 จากการจัดอันดับโดย Mastercard Global Destination Cities Index ที่มีนักท่องเที่ยวกว่า 9 ล้านคน โดยเฉพาะในช่วง 6 เดือนแรกของปีที่ผ่านมา ทำสถิติจำนวนนักท่องเที่ยวสูงสุดในรอบ 10 ปี ส่งผลให้อัตราการการเข้าพักของโรงแรมในภูเก็ตเฉลี่ยอยู่ที่ 75% ในปีที่ผ่านมา และในปีนี้คาดว่าปริมาณนักท่องเที่ยวยังมีแนวโน้มการเติบโตที่ดี จากความนิยมของนักท่องเที่ยวจากประเทศอินเดีย ที่เพิ่มขึ้นถึง 40% หลังเปิดเที่ยวบินตรงจากเมืองเดลี มุมไบ บังกะลอร์ มายังจังหวัดภูเก็ต
ส่วนเกาะสมุยในปีที่ผ่านมา มีนักท่องเที่ยวประมาณกว่า 2.7 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 8% โดยปัจจุบันโรงแรมในสมุยมีซัพพลายรวมกันประมาณกว่า 2 หมื่นห้องพัก ซึ่งยังไม่เพียงพอกับความต้องการของนักท่องเที่ยวในช่วงไฮซีซั่น ขณะที่เขาใหญ่ก็เป็นเมืองท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมจากคนไทยเดินทางมาพักผ่อนและทำกิจกรรมอบรมสัมมนาตลอดทั้งปี รวมถึงเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีปริมาณโอโซนสูงติดอันดับ 7 ของโลก ทำให้นักท่องเที่ยวชาวไทยให้ความสนใจเดินทางไปท่องเที่ยวพักผ่อนมากขึ้น
“การท่องเที่ยวถือเป็นธุรกิจสำคัญที่ขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจให้แก่ประเทศ โดยประเทศไทยมีจุดเด่นหลายด้านที่เป็นปัจจัยส่งเสริมการท่องเที่ยว ทั้งธรรมชาติที่เป็นเอกลักษณ์ วัฒนธรรม รสชาติอาหารและความอุดมสมบูรณ์ของวัตถุดิบ ศักยภาพของประเทศที่เป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวในภูมิภาคอาเซียนในอัตราค่าบริการที่คุ้มค่า รวมถึงสามารถท่องเที่ยวได้ตลอด 365 วัน จึงสามารถตั้งราคาห้องพักและค่าบริการในอัตราที่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่เข้าถึงได้ ในคอนเซป affordable luxury นอกจากนี้ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมโดยภาครัฐ ยังเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่จะสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน” นายรุ่งยศ กล่าว
สำหรับบริษัทฯ มีวิสัยทัศน์เป็นผู้บริหารกองทรัสต์ที่ลงทุนในโรงแรมและธุรกิจที่เกี่ยวข้องที่มีขนาดทรัพย์สินรวมใหญ่ที่สุดในประเทศไทย โดยบริษัทฯ ให้ความสำคัญในการคัดเลือกทรัพย์สินที่มีศักยภาพในการสร้างรายได้และการเติบโต ซึ่งในช่วงกว่า 1 ปีที่ผ่านมา ได้พิจารณาคัดเลือกโรงแรมเป็นจำนวนกว่า 60 โรงแรม เพื่อให้ได้ทรัพย์สินที่มีคุณภาพนำมาจัดตั้งกองทรัสต์อิสระ โดยนโยบายการลงทุนที่สำคัญได้แก่ (1) ทรัพย์สินต้องตั้งอยู่ในทำเลที่โดดเด่นบนแหล่งท่องเที่ยวชั้นนำของประเทศไทยและไม่กระจุกตัวอยู่ในจังหวัดใดจังหวัดหนึ่ง เพื่อลดความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุน (2) คอนเซปต์โรงแรมต้องส่งเสริมและสะท้อนเอกลักษณ์ของจังหวัดที่ตั้งอยู่ (3) เดินทางสะดวกหรืออยู่ไม่ไกลจากสนามบินและอยู่ใกล้แหล่งท่องเที่ยวสำคัญ (4) มีผลการดำเนินงานที่ดี และ (5) มีผู้บริหารโรงแรมที่มีประสบการณ์ ความเชี่ยวชาญและเครือข่ายที่แข็งแกร่ง
นอกจากนี้ การลงทุนในกองทรัสต์ที่บริหารจัดการโดยผู้จัดการกองทรัสต์อิสระ ซึ่งไม่มีความเกี่ยวข้องหรือเป็นบริษัทในเครือเจ้าของทรัพย์สิน มีข้อดีคือ (1) กองทรัสต์มีโอกาสเติบโตอย่างรวดเร็วจากการเข้าลงทุนในทัรพย์สินใหม่ได้อย่างอิสระ (2) มีการกระจายความเสี่ยงที่ดี สามารถลงทุนในทรัพย์สินที่หลากหลาย (3) เป็นทางเลือกให้แก่เจ้าของทรัพย์สินสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนเพื่อใช้ขยายธุรกิจ (4) ผู้ลงทุนจะได้รับผลตอบแทนจากเงินปันผลที่สม่ำเสมอ และมีโอกาสได้รับกำไรจากมูลค่าหน่วยทรัสต์ที่เพิ่มขึ้น (5) มีผู้เชี่ยวชาญทำหน้าที่บริหารจัดการกองทรัสต์ เพื่อให้ทรัพย์สินสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีแก่ผู้ถือหน่วย และ (6) ผู้จัดการกองทรัสต์จะทำหน้าที่ต่อรองผลประโยชน์แทนผู้ลงทุน