จับผิดหุ้น/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ก.ค. 21, 2019 4:49 pm
ก่อนที่จะเข้าไปวิเคราะห์หุ้นที่จะลงทุน สิ่งหนึ่งที่ผมมักจะทำก่อนเพื่อเป็นการประหยัดเวลาและไม่ทำให้ “หลงผิด” ไปกับหุ้นก็คือ การตรวจสอบว่าบริษัทและตัวหุ้นนั้นมีอะไรที่ “ผิดปกติ” หรือไม่? โดยที่ความผิดปกตินั้น อาจจะเป็นได้ทั้งการที่บริษัททำได้ดีกว่าปกติหรือแย่กว่าปกติเมื่อเปรียบเทียบกับสถานะของบริษัทหรือ “ธรรมชาติ” ของอุตสาหกรรม หรือไม่ก็เป็นการผิดปกติในด้านของราคาและปริมาณการซื้อขายหุ้นที่อาจจะมากเกินกว่าขนาดของ Market Cap. หรือเป็นเรื่องของมูลค่าของหุ้นที่อาจจะใหญ่โตจน “เป็นไปไม่ได้” เป็นต้น และถ้าจะว่าไปแล้ว อะไรก็ตามที่ผมรู้สึกว่า “ผิดปกติ” ผมก็จะเก็บความคิดนั้นไว้เพื่อเป็นเครื่องเตือนตัวเองว่า เราอาจจะมีโอกาสวิเคราะห์หุ้นตัวนั้นผิดได้ เราจะต้องระมัดระวังมากขึ้น
การ “จับผิด” ตัวหุ้นที่เห็นได้ง่ายและชัดเจนที่สุดน่าจะเป็นเรื่องของปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดวันต่อวัน หุ้นตัวไหนที่มีปริมาณการซื้อขาย “มากกว่าปกติมาก” นั้นน่าจะวัดจากปริมาณการซื้อขายหุ้นเทียบกับ Market Cap. ของหุ้นของบริษัท โดยทั่วไป ผมคิดว่าหุ้นที่มีปริมาณการซื้อขายต่อวันสูงกว่า 1% ก็น่าจะถือว่าเป็นหุ้นที่มีการ “เก็งกำไร” สูง ซึ่งหมายถึงว่ามีคนเล่นหุ้นตัวนั้นมาก คือซื้อหุ้นมาเพื่อที่จะขายต่อทำกำไรอย่างรวดเร็ว พวกเขาคงไม่ได้คิดถึงเรื่องของพื้นฐานของกิจการนักแต่มักเน้นที่ข่าวหรือ “สตอรี่” ของบริษัทที่มักจะไม่ค่อยจริงหรือเป็นไปได้ยาก ดังนั้น เวลาเราวิเคราะห์หุ้นเหล่านี้ เราอาจจะต้องระวังว่า ราคาหุ้นอาจจะสูงกว่ามูลค่าพื้นฐานถ้าเรื่องราวต่าง ๆ นั้นมีโอกาสที่จะไม่เกิดขึ้นหรือไม่สำเร็จสูง อย่างไรก็ตาม ตัวเลขปริมาณการซื้อขายหุ้นนี้ก็คงต้องมีการประเมินว่ามันสูงเกิน 1% ไปมากน้อยแค่ไหน เช่นเดียวกัน เราต้องดูว่าปริมาณหุ้นหมุนเวียนในตลาดของหุ้นตัวนั้นเป็นอย่างไร เพราะถ้าหุ้นหมุนเวียนนั้นมีน้อยเช่น มีแค่ 10 กว่าเปอร์เซ็นต์ อัตราการซื้อขาย 1% ก็จะยิ่งดูสูงขึ้น แต่ถ้าหุ้นหมุนเวียนสูง อัตรา 1% ต่อวันก็อาจจะยอมรับได้
การจับผิดในด้านของราคาหุ้นนั้น สิ่งที่ผมจะดูก็คือ “ความผันผวนของราคาหุ้น” โดยเฉพาะที่ “ร้อนแรง” มาก ๆ นั้น ราคาที่ปรับตัวขึ้นหรือลงมักจะสูงกว่าปกติมาก บางวันกระโดดขึ้น 3-5% โดยที่ไม่มีเรื่องราวอะไรเลยหรือมีแต่ข่าวที่ไม่ได้น่าตื่นเต้นในด้านของพื้นฐาน ตัวอย่างเช่น ผู้บริหารหรือ “แหล่งข่าว” คาดว่ากำไรไตรมาศนี้จะ “โต” เป็นต้น อาการของราคาหุ้นที่ดีดตัวขึ้นแรงเป็นนิจสินนั้น สิ่งที่ผมกังวลก็คือ มันอาจจะเป็นหุ้นที่ถูก “Corner” หรือหุ้นที่ผู้บริหารและ/หรือนักลงทุนรายใหญ่ได้ซื้อหุ้นจนเหลืออยู่ในมือของนักลงทุนรายย่อยน้อยมากจนทำให้เมื่อมีคนเข้ามาซื้อหุ้นเพิ่มอีก ราคาก็จะ “กระโดด” ขึ้นไปแรงมาก ในสถานการณ์แบบนี้ ราคาหุ้นก็มักจะ “อยู่ในการควบคุม” ของคนบางคนหรือบางกลุ่มได้
สุดท้ายในเรื่องของราคาหุ้นก็คือ ผมมักจะดู Market Cap. ของหุ้นก่อนที่จะเริ่มเข้าไปวิเคราะห์ เพราะมูลค่าตลาดของหุ้นนั้นมันบ่งบอกถึง “ขนาด” ของกิจการว่ามันใหญ่แค่ไหน ซึ่งผมก็มักจะดูว่ามันอยู่ในอุตสาหกรรมอะไร คู่แข่งที่มีขนาดใหญ่มี Market Cap. เท่าไรเทียบกับขนาดของบริษัท ถ้าพบว่าบริษัทอยู่ในอุตสาหกรรมที่ไม่ได้ใหญ่โตนักหรือยอดขายของบริษัทก็ไม่ได้สูงมากแต่มูลค่าหุ้นของบริษัทในขณะนั้นสูง “เป็นหมื่นเป็นแสนล้านบาท” ผมก็จะต้องระวังมากเวลาวิเคราะห์ หรือไม่ก็เลิกดูหรือเลิกสนใจไปเลย เพราะโอกาสที่เราจะซื้อหุ้นคงจะมีน้อย หรือถ้าซื้อก็มีโอกาส “ผิดอย่างแรง” สูง
การ “จับผิด” ตัวบริษัทเองนั้นก็เป็นเรื่องสำคัญมาก สิ่งที่ผมจะดูก็คือยอดขายและกำไรของกิจการ แต่ที่อาจจะสำคัญยิ่งกว่าก็คือ “กำไรต่อยอดขาย” หรือ Net Profit Margin โดยยอดขายนั้นจะเป็นตัวที่บ่งบอกถึงการเจริญเติบโตของธุรกิจว่ามีลูกค้าเพิ่มขึ้นมากน้อยแค่ไหน แต่ข้อมูลนี้ต้องดูว่ามันเป็นยอดขายจากสินค้าเดิมของบริษัทหรือไม่ การที่ยอดขายเพิ่มขึ้นเนื่องมาจากการขายสินค้าใหม่ที่บริษัทไปซื้อกิจการอื่นมานั้น ผมจะไม่ให้ความสำคัญนัก ต่อจากยอดขายก็เป็นเรื่องของกำไร ซึ่งเป็นตัวเลขที่สำคัญมาก แต่นี่ก็จะต้องเป็นกำไรจากยอดขายสินค้าเดิมของบริษัทมากกว่า “กำไรพิเศษ” ที่เกิดขึ้นครั้งเดียว การเติบโตของกำไรที่โตเป็น 30-50% ต่อปีนั้น เป็นสิ่งที่ผมเองต้องระวังมาก เพราะนี่มักจะไม่ใช่กำไรที่จะยั่งยืนและเป็นสิ่งผิดปกติที่ผมกำลังจับ
สุดท้ายก็คือ กำไรต่อยอดขายที่ผมจะมองดูว่าบริษัทอยู่ในอุตสาหกรรมใดและสินค้าของบริษัทเป็นอะไร โดยทั่วไป สินค้าแต่ละอย่างมักจะมีตัวเลขกำไรต่อยอดขายมาตรฐาน เช่น การค้าปลีกอาจจะมีกำไรต่อยอดขายประมาณ 3-5% สินค้าโภคภัณฑ์อาจจะ 2-3% โรงพยาบาลอาจจะ 8-15% สินค้าผู้บริโภคอาจจะ 5-10% อะไรทำนองนี้ ถ้าบริษัทมีมาร์จินที่แตกต่างมาก ผมก็จะดูเป็นพิเศษ แต่ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ ผมจะดูข้อมูลย้อนหลังอย่างน้อย 5 ปี ว่าเป็นอย่างไร ถ้าพบว่ามาร์จินของบริษัทปีล่าสุดนั้นสูงผิดปกติ ผมก็จะต้องระวังว่ามันอาจจะไม่ยั่งยืน ปีต่อไปมาร์จินอาจจะลดลงกลับสู่ภาวะปกติได้
การจับผิดที่สำคัญอีกเรื่องหนึ่งก็คือการที่ Operation หรือการปฏิบัติการของบริษัทนั้น “ดีเกินไป” เช่น ต้นทุนต่ำกว่าคู่แข่งอย่างมีนัยสำคัญโดยที่ “แหล่งของประสิทธิภาพ” นั้นไม่ชัดเจน หรือสามารถขายสินค้าในตลาดใหม่ ๆ ได้ในราคาที่สูงเท่า ๆ กับหรือสูงกว่าตลาดเดิมโดยที่ไม่ต้องใช้ต้นทุนทางการตลาดเพิ่ม นอกจากนั้น การจับผิดจะต้องดูไปถึงตัวเลขลูกหนี้ที่อาจจะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับยอดขายซึ่งอาจจะเป็นสัญญาณอันตรายที่บ่งบอกว่าธุรกิจอาจมีปัญหาในการเก็บเงินจากลูกหนี้ได้ เป็นต้น
การจับผิดกลุ่มสุดท้ายที่จะต้องดูก่อนที่จะวิเคราะห์และลงทุนในหุ้นก็คือ ดูว่าบริษัทมีการทำ “วิศวกรรมทางการเงิน” เพื่อเพิ่มมูลค่าของหุ้นหรือไม่ ตัวอย่างก็เช่น การออกวอแร้นต์จำนวนมาก การแตกพาร์ของหุ้นโดยไม่สมเหตุผล การออกหุ้นใหม่แบบ Private Placement ให้กับบุคคลภายนอกในราคาต่ำ หรืออะไรก็ตามที่ไม่เกี่ยวข้องกับพื้นฐานของบริษัทแต่มีศักยภาพที่จะ Dilute หรือทำให้ผู้ถือหุ้นต้องถูกแบ่งกำไรออกไปในอนาคต สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้นอกจากอาจจะทำให้มูลค่าหุ้นที่เราเห็นลดลงแล้ว บางทียังบ่งบอกว่าเจ้าของหรือผู้บริหารพยายามเพิ่มราคาหุ้นหรือความมั่งคั่งให้ตนเองโดยที่ไม่ได้อิงกับพื้นฐานของกิจการเพียงอย่างเดียวด้วย
ถ้าตรวจสอบแล้วยังไม่เห็นว่ามีอะไรผิดปกติ การวิเคราะห์ของเราก็จะเริ่มขึ้นได้ด้วยความสบายใจว่าอย่างน้อยเราไม่ได้ “ถูกหลอก” หรือถูกทำให้ “หลงเข้าใจผิด” และมองภาพทุกอย่างสดใสหรือดีกว่าความเป็นจริง ซึ่งนั่นจะทำให้เราให้มูลค่าของหุ้นสูงกว่าที่ควรเป็นและอาจจะเข้าไปซื้อหุ้นที่แพงเกินพื้นฐาน เพื่อถือลงทุน “ระยะยาว” ซึ่งในที่สุดก็จะขาดทุนหรือไม่ได้กำไรทั้ง ๆ ที่เราก็อาจจะ “วิเคราะห์อย่างดีแล้ว”
การทำอะไรที่เริ่มต้นด้วยการ “จับผิด” นั้น ดูไปแล้วก็เหมือนคนที่ “มองโลกในแง่ร้าย” และคนที่มองโลกในแง่ร้ายนั้น คนมักจะคิดว่าไม่น่าจะประสบความสำเร็จได้ดีเท่ากับคนที่ “มองโลกในแง่ดี” อย่างที่เรามักจะเชื่อในเกือบทุกวงการ อย่างไรก็ตาม ในเรื่องของการลงทุนนั้น ความสำคัญในเรื่องของความสำเร็จซึ่งก็คือการทำกำไรจากหลักทรัพย์นั้นไม่สำคัญเท่ากับการหลีกเลี่ยงความล้มเหลวจากการขาดทุน ดังนั้น การหาจุดที่อาจจะทำให้เราเสียหายอย่างหนักได้ตั้งแต่แรกจึงเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่ง ชาร์ลี มังเกอร์ เคยกล่าวว่า เขาอยากรู้ว่าเขาจะตายที่ไหนเพื่อที่ว่าเขาจะได้ไม่ไปที่นั่น ผมเองตีความว่า มังเกอร์ บอกให้เราพยายามหลีกเลี่ยง “จุดอันตราย” ของการลงทุนที่อาจจะทำให้เรา “ตาย” ได้ และการ “จับผิด” ก็เป็นหนึ่งในวิธีที่จะหลีกเลี่ยงจุดตายนั้น
การ “จับผิด” ตัวหุ้นที่เห็นได้ง่ายและชัดเจนที่สุดน่าจะเป็นเรื่องของปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดวันต่อวัน หุ้นตัวไหนที่มีปริมาณการซื้อขาย “มากกว่าปกติมาก” นั้นน่าจะวัดจากปริมาณการซื้อขายหุ้นเทียบกับ Market Cap. ของหุ้นของบริษัท โดยทั่วไป ผมคิดว่าหุ้นที่มีปริมาณการซื้อขายต่อวันสูงกว่า 1% ก็น่าจะถือว่าเป็นหุ้นที่มีการ “เก็งกำไร” สูง ซึ่งหมายถึงว่ามีคนเล่นหุ้นตัวนั้นมาก คือซื้อหุ้นมาเพื่อที่จะขายต่อทำกำไรอย่างรวดเร็ว พวกเขาคงไม่ได้คิดถึงเรื่องของพื้นฐานของกิจการนักแต่มักเน้นที่ข่าวหรือ “สตอรี่” ของบริษัทที่มักจะไม่ค่อยจริงหรือเป็นไปได้ยาก ดังนั้น เวลาเราวิเคราะห์หุ้นเหล่านี้ เราอาจจะต้องระวังว่า ราคาหุ้นอาจจะสูงกว่ามูลค่าพื้นฐานถ้าเรื่องราวต่าง ๆ นั้นมีโอกาสที่จะไม่เกิดขึ้นหรือไม่สำเร็จสูง อย่างไรก็ตาม ตัวเลขปริมาณการซื้อขายหุ้นนี้ก็คงต้องมีการประเมินว่ามันสูงเกิน 1% ไปมากน้อยแค่ไหน เช่นเดียวกัน เราต้องดูว่าปริมาณหุ้นหมุนเวียนในตลาดของหุ้นตัวนั้นเป็นอย่างไร เพราะถ้าหุ้นหมุนเวียนนั้นมีน้อยเช่น มีแค่ 10 กว่าเปอร์เซ็นต์ อัตราการซื้อขาย 1% ก็จะยิ่งดูสูงขึ้น แต่ถ้าหุ้นหมุนเวียนสูง อัตรา 1% ต่อวันก็อาจจะยอมรับได้
การจับผิดในด้านของราคาหุ้นนั้น สิ่งที่ผมจะดูก็คือ “ความผันผวนของราคาหุ้น” โดยเฉพาะที่ “ร้อนแรง” มาก ๆ นั้น ราคาที่ปรับตัวขึ้นหรือลงมักจะสูงกว่าปกติมาก บางวันกระโดดขึ้น 3-5% โดยที่ไม่มีเรื่องราวอะไรเลยหรือมีแต่ข่าวที่ไม่ได้น่าตื่นเต้นในด้านของพื้นฐาน ตัวอย่างเช่น ผู้บริหารหรือ “แหล่งข่าว” คาดว่ากำไรไตรมาศนี้จะ “โต” เป็นต้น อาการของราคาหุ้นที่ดีดตัวขึ้นแรงเป็นนิจสินนั้น สิ่งที่ผมกังวลก็คือ มันอาจจะเป็นหุ้นที่ถูก “Corner” หรือหุ้นที่ผู้บริหารและ/หรือนักลงทุนรายใหญ่ได้ซื้อหุ้นจนเหลืออยู่ในมือของนักลงทุนรายย่อยน้อยมากจนทำให้เมื่อมีคนเข้ามาซื้อหุ้นเพิ่มอีก ราคาก็จะ “กระโดด” ขึ้นไปแรงมาก ในสถานการณ์แบบนี้ ราคาหุ้นก็มักจะ “อยู่ในการควบคุม” ของคนบางคนหรือบางกลุ่มได้
สุดท้ายในเรื่องของราคาหุ้นก็คือ ผมมักจะดู Market Cap. ของหุ้นก่อนที่จะเริ่มเข้าไปวิเคราะห์ เพราะมูลค่าตลาดของหุ้นนั้นมันบ่งบอกถึง “ขนาด” ของกิจการว่ามันใหญ่แค่ไหน ซึ่งผมก็มักจะดูว่ามันอยู่ในอุตสาหกรรมอะไร คู่แข่งที่มีขนาดใหญ่มี Market Cap. เท่าไรเทียบกับขนาดของบริษัท ถ้าพบว่าบริษัทอยู่ในอุตสาหกรรมที่ไม่ได้ใหญ่โตนักหรือยอดขายของบริษัทก็ไม่ได้สูงมากแต่มูลค่าหุ้นของบริษัทในขณะนั้นสูง “เป็นหมื่นเป็นแสนล้านบาท” ผมก็จะต้องระวังมากเวลาวิเคราะห์ หรือไม่ก็เลิกดูหรือเลิกสนใจไปเลย เพราะโอกาสที่เราจะซื้อหุ้นคงจะมีน้อย หรือถ้าซื้อก็มีโอกาส “ผิดอย่างแรง” สูง
การ “จับผิด” ตัวบริษัทเองนั้นก็เป็นเรื่องสำคัญมาก สิ่งที่ผมจะดูก็คือยอดขายและกำไรของกิจการ แต่ที่อาจจะสำคัญยิ่งกว่าก็คือ “กำไรต่อยอดขาย” หรือ Net Profit Margin โดยยอดขายนั้นจะเป็นตัวที่บ่งบอกถึงการเจริญเติบโตของธุรกิจว่ามีลูกค้าเพิ่มขึ้นมากน้อยแค่ไหน แต่ข้อมูลนี้ต้องดูว่ามันเป็นยอดขายจากสินค้าเดิมของบริษัทหรือไม่ การที่ยอดขายเพิ่มขึ้นเนื่องมาจากการขายสินค้าใหม่ที่บริษัทไปซื้อกิจการอื่นมานั้น ผมจะไม่ให้ความสำคัญนัก ต่อจากยอดขายก็เป็นเรื่องของกำไร ซึ่งเป็นตัวเลขที่สำคัญมาก แต่นี่ก็จะต้องเป็นกำไรจากยอดขายสินค้าเดิมของบริษัทมากกว่า “กำไรพิเศษ” ที่เกิดขึ้นครั้งเดียว การเติบโตของกำไรที่โตเป็น 30-50% ต่อปีนั้น เป็นสิ่งที่ผมเองต้องระวังมาก เพราะนี่มักจะไม่ใช่กำไรที่จะยั่งยืนและเป็นสิ่งผิดปกติที่ผมกำลังจับ
สุดท้ายก็คือ กำไรต่อยอดขายที่ผมจะมองดูว่าบริษัทอยู่ในอุตสาหกรรมใดและสินค้าของบริษัทเป็นอะไร โดยทั่วไป สินค้าแต่ละอย่างมักจะมีตัวเลขกำไรต่อยอดขายมาตรฐาน เช่น การค้าปลีกอาจจะมีกำไรต่อยอดขายประมาณ 3-5% สินค้าโภคภัณฑ์อาจจะ 2-3% โรงพยาบาลอาจจะ 8-15% สินค้าผู้บริโภคอาจจะ 5-10% อะไรทำนองนี้ ถ้าบริษัทมีมาร์จินที่แตกต่างมาก ผมก็จะดูเป็นพิเศษ แต่ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ ผมจะดูข้อมูลย้อนหลังอย่างน้อย 5 ปี ว่าเป็นอย่างไร ถ้าพบว่ามาร์จินของบริษัทปีล่าสุดนั้นสูงผิดปกติ ผมก็จะต้องระวังว่ามันอาจจะไม่ยั่งยืน ปีต่อไปมาร์จินอาจจะลดลงกลับสู่ภาวะปกติได้
การจับผิดที่สำคัญอีกเรื่องหนึ่งก็คือการที่ Operation หรือการปฏิบัติการของบริษัทนั้น “ดีเกินไป” เช่น ต้นทุนต่ำกว่าคู่แข่งอย่างมีนัยสำคัญโดยที่ “แหล่งของประสิทธิภาพ” นั้นไม่ชัดเจน หรือสามารถขายสินค้าในตลาดใหม่ ๆ ได้ในราคาที่สูงเท่า ๆ กับหรือสูงกว่าตลาดเดิมโดยที่ไม่ต้องใช้ต้นทุนทางการตลาดเพิ่ม นอกจากนั้น การจับผิดจะต้องดูไปถึงตัวเลขลูกหนี้ที่อาจจะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับยอดขายซึ่งอาจจะเป็นสัญญาณอันตรายที่บ่งบอกว่าธุรกิจอาจมีปัญหาในการเก็บเงินจากลูกหนี้ได้ เป็นต้น
การจับผิดกลุ่มสุดท้ายที่จะต้องดูก่อนที่จะวิเคราะห์และลงทุนในหุ้นก็คือ ดูว่าบริษัทมีการทำ “วิศวกรรมทางการเงิน” เพื่อเพิ่มมูลค่าของหุ้นหรือไม่ ตัวอย่างก็เช่น การออกวอแร้นต์จำนวนมาก การแตกพาร์ของหุ้นโดยไม่สมเหตุผล การออกหุ้นใหม่แบบ Private Placement ให้กับบุคคลภายนอกในราคาต่ำ หรืออะไรก็ตามที่ไม่เกี่ยวข้องกับพื้นฐานของบริษัทแต่มีศักยภาพที่จะ Dilute หรือทำให้ผู้ถือหุ้นต้องถูกแบ่งกำไรออกไปในอนาคต สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้นอกจากอาจจะทำให้มูลค่าหุ้นที่เราเห็นลดลงแล้ว บางทียังบ่งบอกว่าเจ้าของหรือผู้บริหารพยายามเพิ่มราคาหุ้นหรือความมั่งคั่งให้ตนเองโดยที่ไม่ได้อิงกับพื้นฐานของกิจการเพียงอย่างเดียวด้วย
ถ้าตรวจสอบแล้วยังไม่เห็นว่ามีอะไรผิดปกติ การวิเคราะห์ของเราก็จะเริ่มขึ้นได้ด้วยความสบายใจว่าอย่างน้อยเราไม่ได้ “ถูกหลอก” หรือถูกทำให้ “หลงเข้าใจผิด” และมองภาพทุกอย่างสดใสหรือดีกว่าความเป็นจริง ซึ่งนั่นจะทำให้เราให้มูลค่าของหุ้นสูงกว่าที่ควรเป็นและอาจจะเข้าไปซื้อหุ้นที่แพงเกินพื้นฐาน เพื่อถือลงทุน “ระยะยาว” ซึ่งในที่สุดก็จะขาดทุนหรือไม่ได้กำไรทั้ง ๆ ที่เราก็อาจจะ “วิเคราะห์อย่างดีแล้ว”
การทำอะไรที่เริ่มต้นด้วยการ “จับผิด” นั้น ดูไปแล้วก็เหมือนคนที่ “มองโลกในแง่ร้าย” และคนที่มองโลกในแง่ร้ายนั้น คนมักจะคิดว่าไม่น่าจะประสบความสำเร็จได้ดีเท่ากับคนที่ “มองโลกในแง่ดี” อย่างที่เรามักจะเชื่อในเกือบทุกวงการ อย่างไรก็ตาม ในเรื่องของการลงทุนนั้น ความสำคัญในเรื่องของความสำเร็จซึ่งก็คือการทำกำไรจากหลักทรัพย์นั้นไม่สำคัญเท่ากับการหลีกเลี่ยงความล้มเหลวจากการขาดทุน ดังนั้น การหาจุดที่อาจจะทำให้เราเสียหายอย่างหนักได้ตั้งแต่แรกจึงเป็นเรื่องจำเป็นอย่างยิ่ง ชาร์ลี มังเกอร์ เคยกล่าวว่า เขาอยากรู้ว่าเขาจะตายที่ไหนเพื่อที่ว่าเขาจะได้ไม่ไปที่นั่น ผมเองตีความว่า มังเกอร์ บอกให้เราพยายามหลีกเลี่ยง “จุดอันตราย” ของการลงทุนที่อาจจะทำให้เรา “ตาย” ได้ และการ “จับผิด” ก็เป็นหนึ่งในวิธีที่จะหลีกเลี่ยงจุดตายนั้น