“เมื่ออเมริกากับจีนทะเลาะกัน”/กฤษฏา บุญเรือง
โพสต์แล้ว: พุธ มิ.ย. 05, 2019 8:10 am
ประเทศไทยโชคดีที่มีความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจอย่างแน่นแฟ้นกับสองมหาอำนาจ อันดับหนึ่งคืออเมริกาและอันดับสองคือจีน คาดว่าอีกประมาณ 12 ปีเศรษฐกิจจีนจะโตแซงอเมริกา การสลับอันดับแชมป์ไม่กระทบไทยมากเพราะอย่างไรก็ตามไทยก็จะได้ประโยชน์จากสองมหาอำนาจต่อไป สินค้าและการบริการของไทยเป็นสิ่งที่เรามั่นใจว่าผู้บริโภคทั้งสองประเทศจะยังคงมีความต้องการและให้ความเชื่อถือเสมอ
การเผชิญหน้าหรือสงครามเศรษฐกิจที่กำลังเป็นข่าวใหญ่และเริ่มสร้างความปั่นป่วนให้กับเศรษฐกิจทั่วโลกเป็นสิ่งเตือนให้ทุกฝ่ายต้องปรับตัว เมื่อเกิดขึ้นครั้งนี้ได้ก็อาจจะเกิดขึ้นอีก ถึงแม้สถานการณ์จะคลี่คลายก็ไม่ควรชะล่าใจ เหตุการณ์ครั้งนี้เป็นสัญญาณเตือนให้ทุกฝ่ายต้องเตรียมตัวเพื่อครั้งหน้า
ดีใจที่เห็นคนไทยรุ่นใหม่หลายท่านเริ่มอ่านทิศทางลมออก จากเดิมที่มักมุ่งจับผู้บริโภคตะวันตกซึ่งใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลัก กลับมาเพิ่มสินค้าและการบริการที่มีภาษาจีนกลางด้วย บุคลากรในสถานบริการต่างๆเริ่มการฝึกฝนทั้งสองภาษาควบคู่กัน นอกจากในกรุงเทพแล้วหลายจังหวัดได้ตื่นตัวมีโรงเรียนที่สอนภาษาอังกฤษและจีนกลาง ผู้ค้าขายทั่วไปก็เริ่มมีความเชี่ยวชาญการสนทนาภาษาที่ใช้ประโยชน์จริงมากขึ้น
ตัวแปรที่สำคัญซึ่งคาดว่าอีกประมาณ2-5ปีคงจะเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภคอย่างที่เราตั้งตัวแทบไม่ติด นั่นคือการก้าวกระโดดของเทคโนโลยีสื่อสารที่มักจะมีการใช้คำว่า “5G”
5Gเป็นระบบของการสื่อสารทางดิจิตอลที่เพิ่มสมรรถนะสูงกว่ามาตรฐาน4Gในปัจจุบันเกิน20เท่า ความเร็วและปริมาณของข้อมูลที่เพิ่มขึ้นจะกระทบชีวิตประจำวันแทบทุกด้าน ตั้งแต่ตื่นจนถึงเข้านอน การศึกษาค้นคว้า การแพทย์การพยาบาล การซื้อขาย การประกอบอาชีพ งานอดิเรก กีฬาและสังคมต่างๆจะโดนบังคับให้เปลี่ยนหมด
ยักษ์ใหญ่ทางเศรษฐกิจใกล้เราก็คือจีนซึ่งมีแนวโน้มค่อนข้างแน่นอนว่าจะเป็นผู้นำของโลกทางด้านเทคโนโลยีสื่อสารเนื่องจากได้ลงทุนวิจัยและพัฒนาด้านนี้มามาก ตัวอย่างที่จะเกิดขึ้นคือรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าแบบไม่ต้องใช้คนขับจะกลายเป็นพาหนะสามัญในภูมิภาคเอเชีย การเงินการธนาคารซื้อขายแลกเปลี่ยนต่างๆต้องรื้อฟื้นใหม่หมดและผู้บริโภคจะตอบสนองกับความเร็วและปริมาณการสื่อสารแบบใหม่และจะกดดันให้ผู้ประกอบการต้องปรับตัวทุกด้าน
เอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะมีรถไฟความเร็วสูงเชื่อมต่อกับจีนและอาจโยงทั้งภูมิภาคไปต่อกับอินเดียด้วย การคมนาคมทางอากาศและทางนำ้ยุคใหม่จะเปิดช่องทางการทำมาหากินและการแข่งขันกว้างไกลและยุติธรรมมากอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ปริมาณผู้บริโภคซึ่งอยู่ในรัศมีบินไม่เกิน 6 ชั่วโมงจากประเทศไทยนั้นมีจำนวนเกินค่อนโลก การวางแผนธุรกิจและการลงทุนแบบปัจจุบันคงจะเริ่มจางหายไปและสมรรถนะใหม่5Gจะเป็นโจทย์ที่ทุกคนต้องเฉลยให้ทันสถานการณ์
ส่วนยักษ์ใหญ่ที่อยู่ไกลคือสหรัฐอเมริกาก็คงปรับตัวได้และจะยังมีอิทธิพลครองตำแหน่งผู้นำทางเศรษฐกิจและสังคมของโลกระดับต้นๆต่อไป อเมริกาสร้างมาตรฐานโลกไว้หลายอย่างและแพร่หลายวิธีเป็นเวลาหลายทศวรรษ ความเป็นอเมริกันจึงเป็นที่ยอมรับและนิยมแพร่หลาย ลูกหลานของชาวโลกที่เข้าไปศึกษาหรือประกอบอาชีพอยู่ในสหรัฐก็คงสามารถสานต่อเศรษฐกิจให้มั่นคงต่อไปและจะเป็นตัวถ่วงดุลย์กับมหาอำนาจดาวรุ่งทั้งจีนและอินเดีย
กรณีบริษัทHuawei Technologiesจากจีนซึ่งกำลังเจอลมพายุจากรัฐบาลทรัมพ์โดยการสั่งห้ามหลายบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของอเมริกาให้ยกเลิกสัญญาและใบอนุญาตต่างๆรวมทั้งการงดใช้ระบบปฎิบัติการแอนดรอยด์ของบริษัท Google โดยอ้างว่าHuaweiเป็นเครื่องมือของรัฐบาลจีนในการแทรกแซงและเป็นภัยต่อความมั่นคงของอเมริกาและพันธมิตรทั้งที่จริงแล้วรัฐบาลอเมริกันชุดนี้มีจุดประสงค์หลักคือต้องการขัดขาให้Huaweiสดุดและเดินช้าหน่อยเพราะเกรงว่าจีนจะนำลิ่วเรื่อง5G ซึ่งจะส่งผลข้างเคียงเป็นการเปลี่ยนขั้วอำนาจทางการทหารและเศรษฐกิจแทบทุกอุตสาหกรรม
การปะทะกันระหว่างสองมหาอำนาจครั้งนี้คงจะยืดเยื้อสร้างความเสียหายไปอย่างน้อยถึงเดือนพฤศจิกายนปีค.ศ. 2020 ซึ่งจะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีของอเมริกา จีนเริ่มแสดงท่าทีออกชัดเจนในการกดดันประธานาธิบดีทรัมพ์โดยการงดซื้อสินค้าเกษตรกรรมจากมลรัฐที่คะแนนเสียงสำคัญมากในการเลือกตั้งครั้งหน้า การลงทุนภาคเอกชนรวมทั้งตลาดหุ้นในอเมริกาก็เริ่มระส่ำระสาย ไม่มีการวิเคราะห์แนวโน้มของบริษัทมหาชนโดยใช้หลักการเหมือนปกติเพราะกระแสลมการเมืองมาแรง การทะเลาะกันครั้งนี้น่าเป็นห่วงแต่เราทุกคนก็ต้องพยายามทำใจหนักแน่นและกระจายความเสี่ยงออกไป ท่านควรเลี่ยงการลงทุนที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการค้าระหว่างอเมริกากับจีน รออ่านทิศทางลมและปรับเปลี่ยนตัวเราไปตามนั้นครับ
การเผชิญหน้าหรือสงครามเศรษฐกิจที่กำลังเป็นข่าวใหญ่และเริ่มสร้างความปั่นป่วนให้กับเศรษฐกิจทั่วโลกเป็นสิ่งเตือนให้ทุกฝ่ายต้องปรับตัว เมื่อเกิดขึ้นครั้งนี้ได้ก็อาจจะเกิดขึ้นอีก ถึงแม้สถานการณ์จะคลี่คลายก็ไม่ควรชะล่าใจ เหตุการณ์ครั้งนี้เป็นสัญญาณเตือนให้ทุกฝ่ายต้องเตรียมตัวเพื่อครั้งหน้า
ดีใจที่เห็นคนไทยรุ่นใหม่หลายท่านเริ่มอ่านทิศทางลมออก จากเดิมที่มักมุ่งจับผู้บริโภคตะวันตกซึ่งใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลัก กลับมาเพิ่มสินค้าและการบริการที่มีภาษาจีนกลางด้วย บุคลากรในสถานบริการต่างๆเริ่มการฝึกฝนทั้งสองภาษาควบคู่กัน นอกจากในกรุงเทพแล้วหลายจังหวัดได้ตื่นตัวมีโรงเรียนที่สอนภาษาอังกฤษและจีนกลาง ผู้ค้าขายทั่วไปก็เริ่มมีความเชี่ยวชาญการสนทนาภาษาที่ใช้ประโยชน์จริงมากขึ้น
ตัวแปรที่สำคัญซึ่งคาดว่าอีกประมาณ2-5ปีคงจะเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภคอย่างที่เราตั้งตัวแทบไม่ติด นั่นคือการก้าวกระโดดของเทคโนโลยีสื่อสารที่มักจะมีการใช้คำว่า “5G”
5Gเป็นระบบของการสื่อสารทางดิจิตอลที่เพิ่มสมรรถนะสูงกว่ามาตรฐาน4Gในปัจจุบันเกิน20เท่า ความเร็วและปริมาณของข้อมูลที่เพิ่มขึ้นจะกระทบชีวิตประจำวันแทบทุกด้าน ตั้งแต่ตื่นจนถึงเข้านอน การศึกษาค้นคว้า การแพทย์การพยาบาล การซื้อขาย การประกอบอาชีพ งานอดิเรก กีฬาและสังคมต่างๆจะโดนบังคับให้เปลี่ยนหมด
ยักษ์ใหญ่ทางเศรษฐกิจใกล้เราก็คือจีนซึ่งมีแนวโน้มค่อนข้างแน่นอนว่าจะเป็นผู้นำของโลกทางด้านเทคโนโลยีสื่อสารเนื่องจากได้ลงทุนวิจัยและพัฒนาด้านนี้มามาก ตัวอย่างที่จะเกิดขึ้นคือรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าแบบไม่ต้องใช้คนขับจะกลายเป็นพาหนะสามัญในภูมิภาคเอเชีย การเงินการธนาคารซื้อขายแลกเปลี่ยนต่างๆต้องรื้อฟื้นใหม่หมดและผู้บริโภคจะตอบสนองกับความเร็วและปริมาณการสื่อสารแบบใหม่และจะกดดันให้ผู้ประกอบการต้องปรับตัวทุกด้าน
เอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะมีรถไฟความเร็วสูงเชื่อมต่อกับจีนและอาจโยงทั้งภูมิภาคไปต่อกับอินเดียด้วย การคมนาคมทางอากาศและทางนำ้ยุคใหม่จะเปิดช่องทางการทำมาหากินและการแข่งขันกว้างไกลและยุติธรรมมากอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ปริมาณผู้บริโภคซึ่งอยู่ในรัศมีบินไม่เกิน 6 ชั่วโมงจากประเทศไทยนั้นมีจำนวนเกินค่อนโลก การวางแผนธุรกิจและการลงทุนแบบปัจจุบันคงจะเริ่มจางหายไปและสมรรถนะใหม่5Gจะเป็นโจทย์ที่ทุกคนต้องเฉลยให้ทันสถานการณ์
ส่วนยักษ์ใหญ่ที่อยู่ไกลคือสหรัฐอเมริกาก็คงปรับตัวได้และจะยังมีอิทธิพลครองตำแหน่งผู้นำทางเศรษฐกิจและสังคมของโลกระดับต้นๆต่อไป อเมริกาสร้างมาตรฐานโลกไว้หลายอย่างและแพร่หลายวิธีเป็นเวลาหลายทศวรรษ ความเป็นอเมริกันจึงเป็นที่ยอมรับและนิยมแพร่หลาย ลูกหลานของชาวโลกที่เข้าไปศึกษาหรือประกอบอาชีพอยู่ในสหรัฐก็คงสามารถสานต่อเศรษฐกิจให้มั่นคงต่อไปและจะเป็นตัวถ่วงดุลย์กับมหาอำนาจดาวรุ่งทั้งจีนและอินเดีย
กรณีบริษัทHuawei Technologiesจากจีนซึ่งกำลังเจอลมพายุจากรัฐบาลทรัมพ์โดยการสั่งห้ามหลายบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของอเมริกาให้ยกเลิกสัญญาและใบอนุญาตต่างๆรวมทั้งการงดใช้ระบบปฎิบัติการแอนดรอยด์ของบริษัท Google โดยอ้างว่าHuaweiเป็นเครื่องมือของรัฐบาลจีนในการแทรกแซงและเป็นภัยต่อความมั่นคงของอเมริกาและพันธมิตรทั้งที่จริงแล้วรัฐบาลอเมริกันชุดนี้มีจุดประสงค์หลักคือต้องการขัดขาให้Huaweiสดุดและเดินช้าหน่อยเพราะเกรงว่าจีนจะนำลิ่วเรื่อง5G ซึ่งจะส่งผลข้างเคียงเป็นการเปลี่ยนขั้วอำนาจทางการทหารและเศรษฐกิจแทบทุกอุตสาหกรรม
การปะทะกันระหว่างสองมหาอำนาจครั้งนี้คงจะยืดเยื้อสร้างความเสียหายไปอย่างน้อยถึงเดือนพฤศจิกายนปีค.ศ. 2020 ซึ่งจะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีของอเมริกา จีนเริ่มแสดงท่าทีออกชัดเจนในการกดดันประธานาธิบดีทรัมพ์โดยการงดซื้อสินค้าเกษตรกรรมจากมลรัฐที่คะแนนเสียงสำคัญมากในการเลือกตั้งครั้งหน้า การลงทุนภาคเอกชนรวมทั้งตลาดหุ้นในอเมริกาก็เริ่มระส่ำระสาย ไม่มีการวิเคราะห์แนวโน้มของบริษัทมหาชนโดยใช้หลักการเหมือนปกติเพราะกระแสลมการเมืองมาแรง การทะเลาะกันครั้งนี้น่าเป็นห่วงแต่เราทุกคนก็ต้องพยายามทำใจหนักแน่นและกระจายความเสี่ยงออกไป ท่านควรเลี่ยงการลงทุนที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการค้าระหว่างอเมริกากับจีน รออ่านทิศทางลมและปรับเปลี่ยนตัวเราไปตามนั้นครับ