หน้า 1 จากทั้งหมด 1

MoneyTalk@SET21/4/62หุ้นเด่น&การเมืองกับหุ้นไทยปี62

โพสต์แล้ว: จันทร์ เม.ย. 22, 2019 12:54 am
โดย i-salmon
Moneytalk@SET 21/4/62
ช่วงที่ 1 “หุ้นเด่นหลังสงกรานต์”
1. คุณ ประเสริฐ มริตตนะพร / กรรมการ บมจ. ช.การช่าง (CK)
2. คุณ ชาญวิทย์ อนัคกุล / ประธานคณะเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.พริมา มารีน (PRM)
3. คุณ สุวิทย์ ยอดจรัส / ประธานกรรมการบริหาร บมจ.สหการประมูล (AUCT)

อ.เสน่ห์ ศรีสุวรรณ และ นพ.ศุภศักดิ์ หล่อธนวณิชย์ ดำเนินรายการ

ภาพรวมการดำเนินธุรกิจ
CK
ช.การช่าง ก่อตั้งมาเกือบ 50 ปี ตัว ช. รากฐานจากภาษาจีน คือ ความเชี่ยวชาญ ช่ำชอง
ธุรกิจเริ่มจากก่อสร้างงานทหารจนไปร่วมกับต่างประเทศ, ทำสะพานแขวน, สร้างทางด่วน
รถไฟฟ้าใต้ดิน, สร้างมหาวิทยาลัยต่างๆทั่วประเทศ, สร้างโรงน้ำประปา ให้บริษัท TTW,
สร้างเขื่อน/ฝายน้ำล้นในลาว เช่น น้ำงึม 2, สร้างตึกอาคารหลายแห่ง
เช่น Energy complex ปตท.,การไฟฟ้านครหลวง
ปัจจุบันงานหลักคือ ไซยบุรีที่ลาว มูลค่างานเกือบ 1 แสนล้านบาท, รฟฟ.ใต้ดิน
สายสีน้ำเงินส่วนต่อขยาย ส่วนของสถานีสนามชัย,อิสรภาพ เป็นรถไฟฟ้าใต้ดิบอันแรกที่ทำอุโมงค์ลอดแม่น้ำเจ้าพระยา
งานระบบการจัดหารถไฟฟ้า เป็นหน้าที่ BEM เดือน ทยอยเข้าทดสอบ
ตั้งแต่ เม.ย.62 ถึง มี.ค.63 จนครบ 35 ขบวน

โปรเจค 2 ล้านล้านคงทยอยเข้ามาเรื่อยๆ ที่คาดว่ากำลังจะประมูลเร็วๆนี้ เช่น
- ทางด่วนพระราม 3 มูลค่า 3-4 หมื่นล้าน มี 5 สัญญา กำลังจะประมูล 4 สัญญาเป็นงานโยธา เราจะเข้าร่วมประมูล
- รถไฟฟ้าสายม่วงใต้ เตาปูน-ราษฏร์บูรณะ 7.7 หมื่นล้านบาท อยู่ระหว่าง EIA รอประมูลเร็วๆนี้
- สายสีส้มใหม่ ตลิ่งชัน-ศูนย์วัฒนธรรม 9 หมื่นกว่าล้านบาท (ปัจจุบันทำงานสายสีส้ม ศูนย์วัฒนธรรม-มีนบุรี progress 20%)
- โครงการรถไฟทางคู่ 4-5 สัญญา เช่น จิระ-อุบล (ปัจจุบันทำ จิระ-ขอนแก่นอยู่)
คู่แข่งที่จะประมูลก็ต้องมียื่นคุณสมบัติ เช่น ประสบการณ์, งบการเงิน เป็นต้น
ถ้าเทียบต่างชาติเราก็มีประสบการณ์และเครื่องมือความพร้อมต่างๆอยู่แล้ว
มีบางโครงการใหญ่ก็ร่วมลงทุนกับเจ้าอื่น เช่น ลงทุนร่วมกับ CP, CK 5%, BEM 10%
ไซยบุรี ทดสอบแล้ว และขายไฟฟ้าบางส่วน เหลือแค่ติดตั้งเทอร์ไบน์ให้ครบ ในสิ้นเดือน ต.ค.62
และขายไฟฟ้า EGAT 95% ขายให้ลาว 5% 7.7 พันล้านหน่วย คิดเป็น รายได้ 1.5 หมื่นล้านบาทต่อปี
ไซยบุรีเป็นบ.ลูก CKP (CKP ถือ 37.5% ในไซยบุรี)

ปัจจุบันมี Backlog ราว 5 หมื่นล้านบาท ทยอยรับรู้ปีละ 2-3 หมื่นล้านบาท
ซึ่งก็ต้องประมูลรับโครงการใหม่เข้ามาเพิ่มเติม
มีกำลังพล และสถาบันการเงินพร้อมสนับสนุน

PRM
มี 4 ธุรกิจหลัก
1) ขนส่งน้ำมันดิบ/น้ำมันสำเร็จรูป ทั้งในประเทศและต่างประเทศ
เช่น จาก ระยอง ไป กทม./ภูเก็ต/สงขลา, น้ำมันสำเร็จรูป
เช่น high speed diesel, gasohol95, น้ำมันเครื่องบิน เป็นต้น
เดิมมีเรือ 13 ลำ รวมระวาง 4 หมื่นกว่าตัน
เรามีการปรับเปลี่ยนพอร์ตโฟลิโอ แล้วไป takeover บริษัท Big Sea บริษัทเรืออันดับ 2
ในการขนส่งในประเทศ และทำให้ net profit margin ปีที่ผ่านมาได้ใกล้เคียงกับปี 60
ปริมาณเรือจาก 13 ลำเป็น 26 ลำ ทำให้ขยายกำลังขนส่งทันที,
มีคนประจำเรือที่มีประสบการณ์ทันที(ทั่วไปใช้เวลา 2-5 ปี กัปตันเรือ 10 ปี)
รับรู้รายได้และได้กลุ่มลูกค้าจาก Big sea ทันที
เช่น เชลล์,เชฟรอน,บางจาก และ ปตท. บางส่วน
ทำให้ขยายปริมาณขนส่งจาก 37% เป็น 49%

การเข้าซื้อเป็นการทยอยซื้อโดยมี commit เงื่อนไขเรื่องกำไรที่Big sea จะทำได้
ปีแล้วซื้อ 70% ซึ่งทำได้ดีกว่าเป้า 5 ล้านบาท
ปีนี้แผนซื้อ ก.ค. 10% และปีถัดไปอีก 10% โดยมี commit ในเรื่องกำไรที่จะทำได้
แม้เป็นเจ้าใหญ่ในตลาด แต่ก็ให้ความสำคัญให้มีการแข่งขันตามกลไกตลาด
ให้พนักงานทำงานมีประสิทธิภาพการทำงาน,มีความปลอดภัย

2) ธุรกิจเรือกักเก็บน้ำมัน(FSU) ทั้งน้ำมันดิบ และน้ำมันเตา มีไว้สำหรับกักเก็บน้ำมันเพื่อทำกำไรจากราคา
อย่างน้ำมันเตาปีที่ผ่านมามีการเปลี่ยนนโยบายจีนในการผลิตน้ำมันเตา
ทำให้ น้ำมันดิบเข้าไปใช้ในโรงกลั่นเลยโดยไม่ต้องกักเก็บ ทำให้ธุรกิจส่วนนี้ของเราตกต่ำลง

3) การให้บริการ offshore แท่นที่ผลิตต้องเก็บน้ำมันไว้ก่อน

4) เรือที่พักอาศัย ให้คนทำงานในทะเล ทำงาน 14 วัน อยู่อาศัย
รวมถึงธุรกิจบริหารจัดการเรือ ให้มั่นใจว่าอุปกรณ์ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ ดูแลรักษาอย่างดี มีความปลอดภัย

เรียงลำดับรายได้จากสูงสุดไปต่ำสุด เรือกักเก็บน้ำมัน,เรือขนส่ง,ให้บริการที่พักและบริหารจัดการ
เปรียบเทียบอัตรากำไร เรือกักเก็บน้ำมันลอยน้ำดีกว่าเรือขนส่ง
เรือใหญ่เวลาได้รายได้เยอะ เจ็บก็เจ็บเยอะ แต่เรือเล็กเหมือนหนูถีบจักร
ตัวที่เป็นเรือขนส่งในประเทศจะเสถียรกว่า เติบโต และทำกำไรได้ดี

อย่างปีที่แล้วเรือขนส่งในประเทศกำไรเติบโต 80% เกิดจากการบริหารจัดการ
1) มีการขนสินค้ากลับซึ่งทำกำไรได้ดี
2) เพิ่มเรือใหม่ เช่น ร่องน้ำเจ้าพระยา เรือที่ออกแบบใหม่ขนส่งเพิ่มได้จาก 2 เป็น 3 ล้านลิตร
มีการขายเรือเก่าทิ้ง ซึ่งมีการสั่งซื้อล่วงหน้า

เรือ floating storage เรารับจ้างเก็บ ไม่มีความเสี่ยงเรื่องราคาน้ำมัน
ธุรกิจเรือที่พัก – ถ้าหาก ปตท.ซื้อในส่วนของเชฟรอนทั้งหมดในอีก 2 ปีข้างหน้า
จะมีโอกาสสำหรับเรา ซึ่งได้ศึกษาและเตรียมการไว้แล้ว

AUCT

สหการประมูลดำเนินการมา 27 ปี เข้าตลาดหลักทรัพย์มาเป็นปีที่ 6
ธุรกิจเมื่อก่อนไม่มีคนรู้จัก ซึ่งเรายังไม่เคยมีปีไหนที่ขาดทุน
ปีที่เศรษฐกิจในประเทศมีปัญหา เรากลับได้อาณิสงค์บวก

หลังปี 40 มีวิกฤติเศรษฐกิจ เรามีเพิ่มประมูลอสังหา,บ้าน,ที่ดิน,คอนโด
ทำให้มีประสบการณ์ในการประมูลเพิ่มขึ้น
ตอนเข้าตลาดหลักทรัพย์เรานิยามตัวเองว่าเป็น
การซื้อขายประเภทหนึ่งที่จะสร้าง fair value
นอกจากนั้นเราได้เป็นผู้ดำเนินการประมูลคลื่น 4G ให้กับ กสทช.
ทำให้ได้ราคาที่ดี และ good governance
เราจึงวางตัวเป็นผู้ให้บริการกิจกรรมการประมูลทุกประเภท

สัดส่วนรายได้เมื่อก่อน 90% คือรถยนต์ ปัจจุบัน รถยนต์ 76% รถมอเตอร์ไซค์ 10%
ถัดมาเป็นค่าขนส่ง ซึ่งจ้างบริษัทอื่นดำเนินการ ปีหนึ่งขนส่งรถราว 1 แสนคัน

ช่วงที่ผ่านมาการค้าขายเป็นแบบ B2B
ขาเข้าเป็นรถที่เข้าสถาบันการเงินยึดเข้ามา และผู้มาประมูลพ่อค้าเต็นท์รถ
เราเห็นว่ามีรถใหม่ 1 ล้านคันต่อปี 10 ปีก็ 10 ล้านคัน
ดังนั้นรถหมุนเวียนมือสองใน 5 ปีคือ 5 ล้านคัน กำไรหลักร้อยล้าน
เรามองว่าตลาด B2C ลูกค้าที่จะซื้อขายรถมือสองใหญ่กว่าเป็น 10 เท่า
ซึ่งเราเตรียมความพร้อมมา 5 ปีแล้ว เราสร้าง application สื่อสารกับลูกค้าโดยตรง
เราออกโปรแกรมประมูล online เป็นเวบไซต์ และสร้าง greenbook เป็นราคากลางรถ
เรามีการประมูลทุกสาขาทุกวัน เราจึงน่าจะเป็นคนที่สามารถทำ big data
และ share ราคารถมือสองให้กับผู้เกี่ยวข้องใน supply chain ได้ ซึ่งทำให้เราเชื่อมต่อกับผู้บริโภคโดยตรงได้

รถเมืองไทย ราคาแพงที่สุดในโลก เพราะมีภาษีบวกเข้าไปเยอะ
ถ้าหากขายรถเมืองไทยใช้แล้วไปต่างประเทศจะยากมาก
การซื้อรถมือสอง 90% ผ่าน finance การประมูลรถมือสองได้ ต้องทราบราคาล่วงหน้า
ถ้าหากดูในเวบไซต์ต่างๆ ราคาที่เห็นในเวบ กับราคาจริงต่างกันอย่างน้อย 30%
หากไปดูใน application ของเราจะเห็นราคาทุกวันที่มีการเปลี่ยนแปลง
เอาไปคำนวณ และไปคุยกับ finance เพื่อขอยอดมาประมูลได้
เราต้องสร้างบริการรองรับให้ครบถ้วนคือความสะดวกสบาย
เราเชื่อว่า greenbook มีความแม่นยำที่สุดในประเทศไทย

อย่าง Super car เรามีประมูลปีละ 2 ครั้งให้กับกรมศุลากากร
พวกนี้ถ้าสมองกลหายไปขับไม่ได้ เป็นอะไรที่ละเอียดอ่อน
ถ้าประมูลที่กรมศุลากร ขับใครเบนซ์ได้ก็ขับเบนท์ลี่ได้
ซึ่งถ้าประมูลผ่านเราจะสบายใจว่าขับได้

เดิมมีลูกค้าเป็นเต็นท์รถ 7 พันราย ปัจจุบันทำมา 3 ปีที่เป็นลูกค้า end user
เพิ่มปีละ 1 หมื่นล้านสะสมไว้ก่อน ซึ่งที่มาประมูล online กับเรา จบประมูลได้ 10%

สิ่งที่ลูกค้าจะได้คือ ราคาที่ดี,บริการตรวจสภาพให้ ซึ่งมีคนกลางจะสบายใจกว่าผู้ขาย
ปัจจุบันมีเงินสดเยอะไม่มีหนี้ เอาไว้ไปขยายบริการตรวจสภาพ

ภาพข้อมูลทั่วไปจะเข้าใจว่ารถยึดจากธนาคารชะลอตัวลง
แต่สิ่งทีเกิดขึ้นมียอดยึดรถมากขึ้น และยอดประมูลสูงขึ้น

รายได้มาจากการประมูลต่อคัน ไม่ขึ้นกับประเภทของรถ
รถยนต์ 8,000 บาท, มอเตอร์ไซค์ 1,500 บาท ซึ่งเราไม่คิดจะปรับราคาเพิ่ม
ปัจจุบัน Market share เราได้เพิ่มเพราะคู่แข่งเพิ่มราคาประมูล

___________________________________________________________________
ผลดำเนินงานที่ผ่านมาและแนวโน้ม
CK
รายได้ก่อสร้าง 2.9 หมื่นล้านบาท รายได้รวม 3.1 หมื่นล้านบาท กำไร 2400 ล้านบาท
ก่อสร้างคงข้างคงที่ แต่มีกำไรขายเงินลงทุนบริษัทลูก
มี backlog 5 หมื่นล้านบาท และคิดว่าจะมีประมูลงานอีกหลายโครงการ
โดยตัวแม่น่าจะมีรายได้ 2-3 หมื่นล้านบาท ตัวลูกก็คาดว่ารายได้จะขยับขึ้น
BEM ปีก่อน 1.9 หมื่นล้านบาท(มีขายเงินลงทุน)
ทางด่วนเรามีผู้ใช้บริการ 1.2 ล้านเที่ยวต่อวัน
เรื่องข้อตกลงขยายอายุสัมปทาน ศาลตัดสินใจแล้ว
ข้อเสนออยู่ระหว่างการพิจารณาของการทางพิเศษฯ(กทพ.)
การตัดสินอาจจะขยายอายุสัมปทาน หรือจ่ายเงิน
ถ้าขยายอายุสัมปทาน เรื่องอัตรากำไรที่จะได้ต้องรอดูอีกที
แต่ปริมาณรถยนต์ในอนาคตคงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

ปัจจุบันคนใช้ easypass ยังน้อยอยู่
รถไฟฟ้าใต้ดินปริมาณผู้โดยสาร 3.2 แสนคนต่อวัน จาก 2 แสนกว่าเมื่อ 4-5 ปีก่อน
ต่อไปยิ่งขยายออกไปนอกเมืองก็จะมีคนเพิ่มขึ้น และทำให้สายวงกลมข้างในเพิ่มขึ้น

TTW รายได้ 6 พันล้านบาท
กำลังผลิตสูงสุด TTW เพิ่มจาก 3 เป็น 5.4 แสนคิวต่อวัน
ประปาปทุมฯ 1.8 เป็น 4.8 แสนคิวต่อวัน
มีการเพิ่มกำลังผลิต และปริมาณการใช้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

CKP รายได้ 8 พันล้านบาท
มีรายได้หลักจากเขื่อนน้ำงึมเป็นหลัก
กำลังผลิตราวจะเพิ่มจาก 1000 เป็น 2100 MW
การทดลองเดินเทอร์ไบน์เรียบร้อยดี คิดว่าจะสามารถเพิ่มกำลังผลิตได้ตามแผน

ภาพข้างหน้ายังมีโครงการในลาวที่น่าจะลงทุนได้อีกหลายแห่ง เป็นหมื่นMW
รวมถึงในพม่าก็น่าจะมีโครงการที่ลงทุนได้
และจะแผนเกี่ยวกับโซลาร์บางส่วน

CK มีพนักงานราว 2 พันคน เรื่องกฏหมายการตั้งสำรองเกษียณ
มีผลกระทบกับต้นทุนบ้าง แต่มีตั้งสำรองตั้งแต่ปี 61 แล้ว

งานก่อสร้างคำนึงถึงสังคม และผู้มีส่วนได้เสีย
อย่าง PM 2.5 ช่วงที่ผ่านมา มีการหยุดทำงานบางวัน,พรมน้ำและเปิดพื้นที่ให้จราจรผ่านไปได้

ปีนี้บริษัทลูกดีขึ้นหมด ปีนี้ rating จากเดิม A- stable ปรับเป็น A stable

PRM
ปี 61 ปรับพอร์ตรายได้เน้นเรือขนส่งในประเทศหรือเรือที่เดินประเทศใกล้เคียง
ซึ่งอัตรากำไรโต 120% โดยหักบิ๊กซีไป ธุรกิจ prm เดิมโต 80%
เรือขนส่งขนาดใหญ่ที่วิ่งระหว่างประเทศปรับกลยุทธ์ให้เช่าเป็นเที่ยว / ให้เช่าตามระยะเวลา
ทำให้ผลกำไรเกือบ Breakeven แต่ก็ยังไม่มีกำไร
ซึ่งจะทำสัญญาระยะยาวไม่ได้ทำเป็นปี ทำเป็นช่วง
โดยคอยประเมินจากสถานการณ์ตลาดสำหรับเรือแสนตันในปีนี้และข้างหน้า

เรือกักเก็บน้ำมัน ปีที่ผ่านมาเป็นช่วงปรับตัว มองถึงปีถัดไปเรื่องน้ำมันกำมะถันต่ำ
เดิมวางไว้ว่าจะเห็นผลในไตรมาส 2 แต่ปลายปี 61 ก็มีลูกค้าเข้ามาจองเรือแล้ว
ลูกค้าเข้ามาจองเรือ 5 ลำเต็ม 100% ซึ่งลูกค้าต้องการเพิ่ม
ตอนนี้มีเรือ VLCC ที่เพิ่มมาใหม่จะเข้าเดือน เม.ย. และ พ.ค.
รวมเรือ 3 แสนตันจะเข้ามาเป็น 7 ลำ เป็น utilization ทั้งหมด
เห็นได้ชัดว่า FSU ดีขึ้นอย่างชัดเจนมาจาก
จากกฏข้อบังคับองค์กรการเรือระหว่างประเทศให้เรือทุกลำตั้งแต่ปี 2020
ต้องใช้น้ำมันที่มีซัลเฟอร์ต่ำ ซึ่งมีผลกระทบกับการเกิดฝนกรด

เรือขนส่งในประเทศ มีแผนรับเรือใหม่ทั้งหมด 6 ลำ
- เรือ 5 พันตัน 1 ลำ รับไปแล้วเดือนมี.ค. 62
- เรือ 3 พันตัน 5 ลำ ภายในมิ.ย.62 ตอนนี้รับมาแล้ว 2 ลำ
ไตรมาส 4 ปี 62 เรือ 5 หมื่นตัน อีก 1 ลำ สำหรับขนน้ำมันในประเทศ

รายได้เติบโตไม่ต่ำ 15-20% กำไรโตพอๆกัน
ซึ่งเราก็มีการจัดการความเสี่ยงในด้านต่างๆ
เทคนิค - เรือแบบไหน,ผสมน้ำมันแบบไหน
Compliance - ต้องได้ตามข้อบังคับสากลและกรมเจ้าท่า
Finance - ดูออกไปข้างหน้าไกล
ตลาด - ถ้ายังไม่มา อย่าทำธุรกิจ ให้ลูกค้า confirm กับเราก่อนจึงขยายเรือ
อย่าง VLCC ราคาเกือบ 1 พันล้าน/ลำ เรือ3พันตัน ต่อใหม่ 260 ล้านบาท/ลำ

มีโอกาสdisruption จากการที่เราผูกกับน้ำมันไหม เช่น เปลี่ยนมาใช้รถยนต์ไฟฟ้า
มีการศึกษาธุรกิจต่อยอด อย่างไรก็ตามน้ำมันยังมีการเติบโต ยังมีการใช้งาน

เรื่องการท่อต่อผ่านทะเล มีการศึกษาเยอะ อย่างคอคอดกระก็ศึกษามานานแล้ว แต่ยังไม่เกิด

เงินสดและปันผล บริษัทมีการทำ cashflow ล่วงหน้าเป็น 10 ปี ปันผลปีนี้ 12 สตางค์ต่อหุ้น
คิดเป็นปันผล 90% กว่าของกำไร ตามนโยบายคือไม่น้อยกว่า 30%

AUCT
แนวโน้มการใช้รถในประเทศไทยเพิ่มขึ้น
การขนส่งมวลชนในไทยอย่างขาดอีกเยอะ
จึงยังต้องใช้งานรถในแนวราบ

การซื้อรถยนต์ปัจจุบันผ่าน finance 90% ขัดแย้งระหว่างเจ้าหนี้กับลูกหนี้
มีกฏหมายคุ้มครองผู้บริโภค จึงทำให้ auct มีโอกาสเข้าไปดูแลกลุ่มนี้
ลูกค้าแบงค์เดิมเคยให้รถเรา 70% ตอนนี้กลายเป็นเกือบ 100%
ซึ่งเรามี good governance มีการบริหารความเสี่ยงต่างๆได้ดี

ปี 61 รายได้เพิ่ม 23% กำไรเพิ่ม 64% และกำไรต่อหุ้น 0.3 บาท , ปันผลเกือบหมด
เพราะมี cashflow เกินกำไรอยู่แล้ว ไม่ได้ขาดเงินสดในการขยาย นโยบายปันผลไม่น้อยกว่า 40%

จาก 3 เดือนแรกถ้าคิดไปถึงสิ้นปีเราน่าจะเกินเป้า
ยังไม่รวมกิจกรรมพิเศษเกี่ยวกับการตรวจสภาพ
เม.ย.-พ.ค. จะทำสถานตรวจสภาพรถเอกชน (ตรอ). ที่ทันสมัยที่สุดในไทย
โดยใช้เครื่องมือแบบตรวจสอบรถแข่ง วัดแรงม้า,วัดช่วงล่าง
คนที่มาซื้อรถจากเราจะรับรองให้ คิดค่าบริการ 400 บาท
ปกติ ตรอ.ทั่วไปคิด 200 บาท

ตอนนี้สัดส่วนรายได้ยังเกิดจาก B2B เป็นหลัก
ราคารถสภาพดี ปีต่ำ แทนที่จะได้ราคาไม่ดี จะได้ราคาที่ยุติธรรม
เชื่อว่าทุกคนจะเป็นผู้ซื้อหรือผู้ขายก็อยากได้

วางแผนงบประมาณ 62 จะมีค่าใช้จ่ายทำการตลาด B2C
พอ ม.ค. มาประเมินสถานการณ์การเมือง,สภาพแวดล้อมต่างๆ
จึงตัดลดค่าใช้จ่ายส่วนนี้ออกไป
วันนี้ใช้ค่าใช้จ่ายการตลาดทางอ้อมซึ่งได้ผลมากกว่า
วันที่แนวโน้มเศรษฐกิจชัดเจน
ดีกว่าเป้า แต่ค่าใช้จ่ายต่ำกว่าเป้า
การตรวจสภาพถ้าไม่ทำเองวันนี้จะเสียลูกค้าไป

การประมูล 5G ถ้ามีคิดว่าเราจะเป็นทางเลือกหนึ่ง เพราะเรามีคุณสมบัติเคยทำ มีเทคโนโลยี
แต่วันนี้ทุกคนยังงงกันอยู่ มันมีหลายมิติ เช่น 4G ต้องเอาคลื่นคืนจาก TV digital ด้วย
มองโอกาสถ้า 5G มาถึงคนจะประมูลจากที่ไหนก็ได้
เช่น ดูทีวีจากที่บ้านเห็นภาพ3มิติที่ช่วยประมูลได้เลย


[To be continue Part 2 ]

Re: MoneyTalk@SET21/4/62หุ้นเด่น&การเมืองกับหุ้นไทยปี62

โพสต์แล้ว: จันทร์ เม.ย. 22, 2019 1:10 am
โดย i-salmon
ช่วงที่ 2 “การเมืองกับหุ้นไทยในปีเลือกตั้ง 2562”
1. ดร.สมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์ / ผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจการเมือง
2. คุณ วัชระ แก้วสว่าง (เสี่ยป๋อง) / นักลงทุนผู้คร่ำหวอด
3. คุณ วิน พรหมแพทย์ / ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน CIMB PRINCIPAL
4. Dr. Andrew Stotz / นักวิเคราะห์อาวุโส ผู้เชี่ยวชาญตลาดหุ้นไทย
5. ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร / ปรมาจารย์การลงทุนแบบเน้นคุณค่า

ดร.ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา และ อ. เสน่ห์ ศรีสุวรรณ ดำเนินรายการ


ปัจจัยการเมืองจะกระทบหุ้นอย่างไร?
อ.สมชาย
ปัจจัยการเมืองไม่ได้เป็นตัวตัดสิน แต่เป็นตัวอธิบายไปที่ตัวเศรษฐกิจ
กำไรต่อหุ้นสัมพันธ์กับเรื่องเศรษฐกิจขยายตัวอย่างไร
บางทีการเมืองวุ่น หุ้นก็ขึ้นได้

การเมืองคงจะเห็นภาพค่อนข้างชัด กลุ่มที่ได้ชัดต้องมี 376 เสียง
ซึ่งกลุ่มที่กุมสว.ก็จะจัดตั้งรัฐบาลได้ คือ 250 + 126
ประเด็นคือ จัดตั้งแล้วจะมีปัญหาไหม เพราะรัฐธรรมนูญกำหนดว่า
สว.ที่จะอยู่ได้มีสิทธิเลือกนายกฯร่วมกับ สส.
ขณะเดียวกัน ไม่มีสิทธิ์ในการตัดสิน กฏหมาย แค่ดีเลย์ได้
ยกเว้นกฏหมายฉบับนั้นออกมาแบบปฏิรูป ทำให้รัฐบาลที่ผ่านการโหวต ของ สส.+สว.
จะบริหารได้ในลักษณะที่มีประสิทธิภาพหรือไม่?
มีความขัดแย้งในการการเลือกตั้งได้ เสียงเดียว แต่ 2 ลัง
เกิด Overhanging(ส่วนเกิน) ไปกระทบพรรคอื่น ทำให้มีคะแนนเสียงเกิน 500
แต่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ที่ 500 จึงต้องเอาสัดส่วน 7 หมื่นกว่ามาหาร
ก็จะมีข้อโต้แย้งจะมีไม่กี่พรรคที่ได้ แต่ถ้าใช้กรอบทศนิยม จะทำให้มีพรรคเล็กเข้ามามาก
ไม่แน่ใจว่าจะจบแบบไหน ศาลรัฐธรรมนูญจะรับหรือไม่รับ
แต่หวังว่าทุกอย่างจบลงภายใน 9 พ.ค.

จึงขอคิดว่า กลุ่มที่จะตั้งรัฐบาลได้จะมีเสถียรภาพก็ขึ้นกับคะแนนเสียงเกิน 250 แค่ไหน
แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ได้กระทบ EPS แต่กระทบกับเชิงสิทธิมนุษยชน,รัฐศาสตร์
ซึ่งโลกกำลังเข้าสู่ยุคเปลี่ยนแปลง
ปี 400 กว่า ช่วงก่อนคริสตศักราช มีการเข้าสู่ประชาธิปไตยเสียงข้างมาก
ซึ่งไม่ยอมรับสิทธิเสรีภาพ ทำให้โสเครตีสถูกประหารชีวิตด้วยการดื่มยาพิษ
อริสโตเติล ต้องสร้างทฤษฎีใหม่ การเมืองที่ดี ไม่ได้เกี่ยวว่า
ต้องมี 1 คนเป็นผู้นำ หรือหลายคน หรือประชาธิปไตย ขึ้นกับ จริยธรรม
ถ้าเป็น 1 คนดี เป็น monarchy ถ้าเลว tyranny
ถ้าหลายคนดี เป็น aristocracy ถ้าเลว oligarchy
ถ้าเสียงข้างมากดี ไม่เรียก democracy เรียก polity ถ้าเลวเรียก democracy
ดังนั้นที่คุยกันว่าประธิปไตยดี อย่าเพิ่งไปเชื่อมั่น
ประชาธิปไตยมี 2 แบบ คือ แบบที่ดี ซึ่งต่างชาติใช้เวลา 2 พันปี
เป็น ประชาธิปไตย เสรีนิยม
กับอีกประเภทหนึ่งเป็นประชาธิปไตยที่ ไม่ได้คำนึงถึงเสรีภาพ
นำไปสู่เผด็จการเสียงข้างมาก
ดังนั้นที่เถียงกันคือที่จริงเป็นเผด็จการทั้งคู่
ด้านหนึ่งเผด็จการทหาร กับ เผด็จการเสียงข้างมาก
เป็นวาทะกรรมทางเศรษฐกิจ

ถ้าเป็นเรื่องหุ้น คือ หลังเลือกตั้ง เราจะเป็นประชาธิปไตย
แต่เป็นแบบที่ไม่มีการถ่วงดุล เต็มที่
ผลกระทบ ต่างชาติดู human right แย่ แต่ประเด็นหลักอยู่ที่เศรษฐกิจ
ถ้าเกิดการประท้วงรุนแรงก็กระทบ ซึ่งไม่น่าเกิดขึ้น เพราะมีรัฐสภา
แต่จะมีปัญหาเพราะไม่มีมาตรา 44 แต่กลับมีรัฐธรรมนูญที่คนต้องการแก้
จะเกิดกิจกรรมนอกสภา กับในรัฐสภาเองจะมีเรื่อง “ปริ่มน้ำนิดหน่อย”
ปัญหา 2 เรื่องคือ กฏหมายออกไม่ได้ กับ งบประมาณออกไม่ได้
ถ้าไม่มีเสียงข้างมาก หวังว่าภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับนี้
สถาบันด้านทหารยังมีน้ำหนัก และประกอบกับลักษณะการเมืองไทย
จะทำให้การปริ่มน้ำประคองตัวเองและผ่านการออกงบประมาณได้
หรือถ้าหากประคองไม่ได้ ก็จะมีการเปลี่ยนรัฐบาลซึ่งยังมี สว. 250 เสียงเป็นตัวตั้ง
เกิดการกระเพื่อมแต่ก็ยังขยับไปได้เรื่อยๆ ซึ่งไม่ได้ทำให้เศรษฐกิจพัง

สรุปภาพรวมคือ
1.เศรษฐกิจโลกอยู่ในขาลง IMF ก็มีการปรับลดลง แต่ดีกว่าตอนต้น
เช่น จีน GDP คาดจะเหลือ 6% โดยไตรมาสแรกออกมา OK น่าจะอยู่ที่ 6% กว่า
2.สงครามการค้า หรือที่จริงคือสงครามเผื่อความอยู่รอดของประเทศ (existential war)
อเมริกาเล่นงานจีน เพราะจีนประกาศศักดาที่จะมาแข่งขัน อย่างเช่น made in china 2025
ถึงจุดหนึ่งที่ไม่สามารถเล่นงานแบบ zero sum game (มีคนได้ มีคนเสีย)
มันกำลังเป็น negative sum game(เสียประโยชน์ทุกฝ่าย) อเมริกาก็ย่ำแย่ด้วย
จึงสามารถทำนายได้ว่าถ้าเร็วภายใน 2 เดือนนี้การเจรจาระหว่างจีนกับอเมริกาจะจบลง
แต่ถ้าช้าไม่เกินครึ่งปี เพราะจะนำไปสู่ข้อแรกคือเรื่องการกีดกันทางการค้า
อเมริกาบีบจีนหลายรอบด้านภาษี รวมกัน 2.5 แสนล้านเหรียญ
จีนตอบโต้ด้วย 1.1 แสนล้านเหรียญ
ถ้าตกลงกันได้สิ่งเหล่านี้จะลดลง

ปัญหาคือ จีนต้องมีนำเข้า ส่งออกของจีนจะมีปัญหา
อยู่ในฐานะที่ต้องปรับตัวโครงสร้าง จึงยังอยู่ในขาลง

อเมริกา GDP โต 2.5% Trump Effect จบลงแล้วในไตรมาสที่ 4

ยุโรป เดือน ต.ค. กว่าจะรู้ Brexit เป็นอย่างไร
แต่ความไม่แน่นอนนี้ทำอัตราการเติบโตใน EU จาก 1.8 อาจลดลงต่ำกว่า 1
ญี่ปุ่นมีเรื่องภาษีทางการค้า ที่จะดึงให้ตกลงมา

ไทย ส่งออกโตได้ 3% ก็บุญแล้ว
ตัวช่วยคือท่องเที่ยว จีนน่าจะกลับมา,
งบประมาณภาครัฐ 7.8 แสนล้าน เข้าในครึ่งปีหลัง แม้ช่วงนี้จะชะลอบ้าง
การบริโภคของเอกชนที่เป็น สินค้าคงทนเช่น รถยนต์ แย่ลงเพราะปีก่อนดีมาก
แต่สินค้าทั่วไปยังอยู่ในเกณฑ์
เชื่อว่าไทยน่าจะ GDP โต 3.5-3.8% เทียบกับปีก่อน 4.1% ถือว่าใช้ได้

สิ่งที่คนกังวลคือ เสถียรภาพการเมืองจะนำไปสู่เสถียรภาพของนโยบายหรือไม่
ตัวอย่างเช่น ถ้าหาก เทราซ่า เมย์ยุบสภา นายโควินขึ้นเป็นนายก คาดการณ์ได้หุ้นตกเละเทะ
เพราะโควินมีนโยบาย nationalization
แต่ประเทศไทยไม่น่ามีแบบนี้ เพราะการเมืองบ้านเราไม่ได้มีอุดมการณ์เท่าไร
สิ่งที่เป็นโยบายที่จะทำให้นักลงทุนมั่นใจ ไม่ว่าใครเป็นรัฐบาล ก็ต้องทำ
1.ส่งเสริมท่องเที่ยว
2.EEC นำไปสู่การเชื่อมโยงโครงการต่างๆ ขยายไปสู่ 3 จังหวัด
อาทิตย์หน้านายกจะไปประชุมที่ปักกิ่งซึ่งจะเชื่อมโยง 1belt1road
นำไปสู่การเชื่อมโยง GMS, EEC, Pearl river delta, Greater bay-มาเก๊า-ฮ่องกง-กวางตุ้ง

สรุปว่าการเมืองไม่ได้ไปเปลี่ยนสมมติฐานการขยายตัวของเศรษฐกิจ
GDP 3.5-3.8% ไม่ดีไม่แย่เกินไป คาดว่าหุ้นไทย Sideway ในช่วง 150 จุด

คุณAndrew
ผมมาอยู่ที่ไทยตั้งแต่ 1992
ประเทศไทยกำลังอยู่ในถนนที่ไปสู่ประชาธิปไตย แต่เป็นเส้นทางที่เป็นหลุมเป็นบ่อ
ซึ่งครั้งนี้เป็นการเลือกตั้งครั้งแรกที่มีพรรคการเมืองต่อต้านทหาร
มันต้องใช้เวลาสักระยะที่จะไปถึงประชาธิปไตย ส่วนตัวเชื่อว่ามันจะมาถึง
คิดว่าคงมีคนไทยน้อยมากที่ต้องการมีรัฐบาลทหาร
ถึงแม้ประชาชนจะต้องการประชาธิปไตย แต่เขาก็ต้องการความสงบ เสถียรภาพ
เชื่อว่าในการเลือกตั้ง 2-3 ครั้งหน้า จะเป็นเส้นทางให้เราเข้าใกล้ประชาธิปไตย
ซึ่งก็เป็นทางที่เรากำลังเดินไปกว่า 30 ปี
แต่สิ่งสำคัญที่ได้เรียนรู้คือประเทศไทยต้องหลีกเลี่ยงการสร้างสถานการณ์ความวุ่นวาย
พวกเราต้องช่วยกันให้หยุดการสร้างความขัดแย้ง
และร่วมมือด้วยกันเพื่อแก้ปัญหาประชาธิปไตย

ประชาธิปไตยไม่ได้ดีขนาดนั้น ดูอย่างเช่น อเมริกา
ตอนผมเป็นเด็ก ครูบอกว่าทุกคนในห้องเรียนนี้สามารถโตไปเป็นประธาธิบดีอเมริกาได้
แล้วมันก็เกิดขึ้น โดนัลด์ ทรัมป์ได้เป็นประธานธิบดี
ประเด็นคือ ประชาธิปไตยไม่ว่าใครได้เป็นรัฐบาล แล้วประชาชนได้ประโยชน์อะไร
ผมอยู่ประเทศไทยมา 30 ปี และได้ท่องเที่ยวไปทั่วโลก
ผมบอกเลยว่า เราต้องให้รัฐบาล สร้างประโยชน์ให้ประชาชน มากกว่านี้
ทั้งด้าน การศึกษา , โครงสร้างพื้นฐาน, พัฒนาธุรกิจที่สร้างมูลค่าเพิ่มสูง
หวังว่าระหว่างทางที่เราเข้าสู่การเป็นประชาธิปไตย ประชาชนก็จะได้ประโยชน์มากขึ้นด้วย

สำหรับตลาดหุ้น ผลกระทบใหญ่เกิดเมื่อตลาดหุ้นอเมริกาตก
ส่วนตัวเชื่อว่า ตลาดหุ้นอเมริกาจะตกลงมากกว่า 20-30% ใน 6-12 เดือนข้างหน้า
เนื่องด้วย ดอกเบี้ยที่ต่ำเป็นพิเศษ มานาน , การขาดดุลของรัฐบาลเพิ่มขึ้น ส่งผลกับค่าเงิน USD
คนก็ไม่อยากเอาเงินมาลงทุนในตลาดอเมริกา ดังนั้นค่าเงินก็จะอ่อน
และตอนนี้หุ้นอเมริกาก็แพงมาก แต่ยังไม่ถึงกับเป็นฟองสบู่
ตลาดหุ้นไทยก็จะได้ประโยชน์ด้วย แม้ว่าเริ่มแรกตลาดหุ้นก็ตกลงตามอเมริกา
แต่ ASEAN มีความผันผวนต่ำ เชื่อว่า นักลงทุนที่ลงทุนในตลาดโลก
จะแบ่งเงินมาลงทุนที่ ASEAN ทำให้ขึ้นสวนตลาด US ได้เป็น safe heaven
จึงไม่ได้กังวลกับไทย หรือการเลือกตั้งมาก
อย่างไรก็ตามตลาดหุ้นไทยไม่ได้ถูก จึงไม่ได้รีบเข้าซื้อ
เชื่อว่าในอีก 12-24 เดือนข้างหน้า
ไทยกับ ASEAN จะดีมาก เทียบกับ US หรือภูมิภาคอื่น

Risk ของประเทศไทย
1) การขาดแคลนแรงงาน เป็นปัญหาใหญ่ของธุรกิจ
จำเป็นต้องเอาระบบอัตโนมัติเข้ามาทดแทน ไม่เช่นนั้นจะกระทบจากค่าแรงที่ปรับสูงขึ้น
2) ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในโลก มีบทวิจัยว่า บริษัทใหญ่ ในโลกทำกำไรได้ดีมาก
ในขณะที่บริษัทขนาดเล็กกำลังสูญเสียเงิน จึงต้องระวังว่า วิกฤติครั้งถัดไปอาจเกิดกับบริษัทขนาดเล็ก
หรือขนาดกลางก็ได้ ดังนั้นถ้าจะลงทุนต้องดูว่าบริษัทนั้นมี อัตรากำไรดี และไม่มีหนี้สูงเกินไป

คุณวัชระ
เห็นด้วยกับอ.สมชายว่าการเมืองอาจเป็นแค่ส่วนประกอบ
ตัวเลขผลประกอบการ หรือเศรษฐกิจเป็นเรื่องสำคัญกว่า
นักวิเคราะห์เริ่มปรับลด eps ตลาดปี 62 ลงมาเหลือ 106
ถ้าให้กรอบ PE15 เท่า SET 1600 , PE 16 SET 1700
เป็น base case ที่มองเป็น side way
กรอบเทคนิคอลเป็น down trend line เป็น สามเหลี่ยมวิ่งขึ้นและชน
ถ้าทะลุกรอบนี้ และ macd week ผ่านสูงขึ้นจะดูพอมีแรงซื้อบ้าง
จะเริ่มไต่ระดับ ก็ต้องติดตามข่าวการเมือง ทุกคนรอหลังวันที่ 9 พ.ค.
ระหว่างนี้ทำได้ก็รอ และประเมิน
ที่ตลาดยืนได้ ส่วนหนึ่งเป็น order จากดัชนี msci มีการปรับคำนวณใหม่
และเอา nvdr เข้าคำนวณ ทำให้มีส่วนที่ได้เพิ่ม 2600 ล้านเหรียญ
ทำให้ sentiment ดีขึ้นมาหลังเลือกตั้ง ช่วงพยุงตลาดได้ส่วนหนึ่ง
อาทิตย์ที่แล้ว มีมาตรา 44 ช่วยบริษัทสื่อสารให้แบ่งจ่ายสิบปี และช่วยเหลือ TV digital

ส่วนตัวเล่น momentum play ถ้ามีเหตุการณ์อะไรเกิดก็นำมาใช้ประโยชน์
ในด้านเทคนิคใน 5-10 สัปดาห์ข้างหน้าอาจมีช่องว่างในการเล่นขึ้นได้บ้า
แต่ก็ต้องติดตามทุกอย่างเปลี่ยนเร็ว

ที่คุณ Andrew เตือนเรื่องตลาดอเมริกาก็เห็นด้วย
Invert yield curve ปีที่แล้วมีเกินมาแล้ว 1 ครั้ง หุ้นอเมริกาลงแรงมาก
ทำให้ล้างพอร์ตเลย ตอนปี 2007 เคยเกิด และทำให้มีวิกฤติ subprime ตอน 2008
เมื่อเดือน มี.ค. ก็เกิดเหตุการณ์นี้อีกครั้ง จึงเริ่มกลัว
ทั้งนี้หุ้นที่เรามีก็อาจจะไม่ลงก็ได้

เศรษฐกิจก็โยงกับหุ้นเรื่องความเชื่อมั่น ถ้าสมานฉันท์กันก็คงมีสิ่งต่างๆดีขึ้น
อีกอย่างที่น่าจะช่วยเศรษฐกิจคือปลูกพืชสีเขียว(กัญชา)
แต่ต้องควบคุมให้ดี เอาไปขายต่างประเทศได้
รายได้ส่วนใหญ่คนไทยมาจากข้าว แต่ความนิยมลดลง
คนที่กินมากคือคนใช้แรงงาน
ถ้าทำได้ ชาวนาก็ลืมตาอ้าปากได้ คนก็จับจ่ายมากขึ้น

คุณวิน
ขอพูดในส่วนภาวะตลาด มีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างตลาดทุน
เมื่อก่อนเราไปค้นหาหุ้น ซื้อเก็บไว้แล้วรอคนไปเจอ ขายทำกำไร
ระยะหลังมีกองทุน ETF ปีหนึ่งหลายล้านล้านดอลลาร์ ลงทุนในหุ้นตามน้ำหนักดัชนี
เช่น MSCI เพิ่มน้ำหนัก 10% ในไทย ETF ซื้อหุ้นตัวนั้นเพิ่ม 10% ตาม
สังเกตเวลาฝรั่งเข้าออกหุ้นไทย จะซื้อกวาดทั้งตลาด ไม่ขึ้นกับถูกหรือแพง
เวลาขายก็ยกแผงเหมือนกัน จะเห็นภาพแบบนี้มากขึ้น
จะเห็นหุ้นหลายตัวที่แพงแล้วแพงอีก และถูกแล้วถูกอีก ขึ้นกับดัชนี
ETF จึงเป็นตัวทำให้ตลาดเปลี่ยนไปมาก
ปีนี้หุ้นจีนขึ้นมา 30% เพราะ MSCI เอาหุ้นจีน A share เข้าดัชนีมากขึ้น
ความยากคือ อดีตเราเคยหวังว่าหุ้นที่เราชอบจะมีคนมาค้นพบ
อนาคตหุ้นที่ชอบจะมีคนมาเจอช้าลง
เมื่อก่อนหุ้นไทยมาซื้อ blue chip ตอนนี้ซื้อ ETF ทีเดียวจบแล้ว
ไม่เสียเวลามาเลือกหุ้นรายตัว เป็นปัจจัยที่มีผลกับเรามาก
ในทางกลับกัน ก็มีโอกาสลงทุน ถ้าเจอหุ้นไทยลงแรงๆ โดยไม่มีเหตุผลซีเรียสมาก
จะเห็นว่ามีแรงซื้อกลับมาเร็วมาก ซึ่งหุ้นไทยตอนนี้แพง ถ้าเทียบย้อนหลัง 16 ปี เทียบตัวเองในอดีต
ตอนนี้แพงมาก มีโอกาสถูกลงกว่านี้ 75% สหรัฐมีโอกาส 80%
ปัจจัยลบระยะสั้นคือ โอกาสหุ้นโลกปรับฐานเพราะปรับขึ้นมาเยอะ,
ระยะกลาง-ยาว มีโอกาสหุ้นสหรัฐเป็นขาลง, เศรษฐกิจมีผล ไม่มาก
ตลาดรับรู้ไปแล้วว่าโตช้าลง ไทยเติบโตกลางๆ ไม่ได้บวกลบมากมาย

ปีที่แล้ว หุ้น mid, small cap โดนขายยกแผง เป็นครั้งแรกในรอบ 8 ปี
ทำให้ผู้จัดการที่ลงทุนในหุ้นเหล่านี้แพ้ดัชนีเป็นส่วนใหญ่ ปีนี้มีหลายตัวฟื้นขึ้นมาแรง
ถ้าเห็นหุ้นไทยลงแรงๆ เช่นต่ำกว่า 1600 น่าสนใจ เพราะปัจจัยพื้นฐานไม่แย่
แค่ตลาดแพง ลงมาถูกก็ควรซื้อ

LTF/RMF หลายคนมองว่าช่วยคนรายได้เยอะ ช่วยลดภาษี
ความเห็นมองอีกมิติ ว่ามีหลายคนเงินเดือนไม่ได้เยอะ แต่ได้สิทธิ์ตรงนี้ลดภาษี
คนไทยได้ถูกสอนให้เป็นชาวสวน หุ้นตกคนก็จะไปซื้อ ltf
เป็นแรงซื้อไม่ให้ตลาดหุ้นไทยตกลงไป
หุ้นจีนขึ้นแรงลงแรง รายย่อยเล่นระยะสั้น ไม่มีคนมาสวนทางเหมือนเรา
ถ้าเป็นไปได้ ก็อยากให้รัฐบาลใหม่ส่งเสริมพฤติกรรมคนไทยให้ออมเงินในหุ้นให้เป็น

ดร.นิเวศน์
ขอพูดอีกมุมหนึ่ง ผ่านการเมืองมาหลายสิบปี
ซึ่งทุกครั้งก็ผ่านมาได้ เศรษฐกิจก็ไม่ได้ชะงักอะไร
การปกครองโดยรัฐประหารก็มีตลอด
ทุกครั้งเศรษฐกิจก็ดีไม่ได้มีปัญหาอะไร
เหมือนเค้กก้อนหนึ่งรัฐบาลจะมาอย่างไรก็กระทบเศรษฐกิจไม่มาก
ถ้าคนไทยทั้งหมดผลิตได้ดี เติบโตได้ดี เศรษฐกิจก็โตเร็ว ทำงาน ต้องกินต้องใช้
จนถึงวันนี้คนไทยแก่ตัวลง ลูกน้อยลง ขึ้นกับประชากรเป็นหลัก
รัฐบาลมีส่วนกับเศรษฐกิจไม่มาก มีเงินก้อนหนึ่ง
การปกครองประเทศเป็นเรื่องการแย่งอำนาจกัน ตลอด 50-60 ปี
พอชนะได้อำนาจมา แต่ไม่ได้ทำให้เค้กใหญ่ขึ้นเพราะทำโดยคนทั้งประเทศ
มีสิทธิอนุมัติงบประมาณ แบ่งสันปันส่วนให้กับกลุ่มที่สนับสนุน

รัฐบาลใหม่เสถียรภาพน่าจะไม่ดี
เค้กน่าจะเล็กลงหรือไม่โต
แต่รัฐบาลปัจจุบันเอง ถ้ามองในมุมต่างชาติ ยังไงก็ดีกว่ารัฐบาลปัจจุบัน
หลายประเทศอาจมีกฏที่ไม่ให้ลงทุนรัฐบาลเผด็จการ(junta)
อย่างน้อยของใหม่มาก็มีกติกาอะไรต่างๆ
ต้องดูว่าคนใหม่จะแบ่งเค้กอย่างไร กระทบกลุ่มไหน
ถ้ามากไปก็มีปัญหา เช่น ออกนโยบายเพิ่มค่าแรง 500 บาท ก็จะยุ่งหน่อย
หรือ คิดภาษีคนเล่นหุ้นก็กระทบ

_____________________________________________________________________
ฝากประเด็นเพิ่มเติม

อ.สมชาย
ในเชิงทฤษฎี เมืองไทยเล่นหุ้นไม่ค่อยเกี่ยวกับการเมือง
แต่เมืองนอกเกี่ยวมาก
พรรคการเมืองในโลกมี 3 ประเภท
1. ideological party เป็นพรรคการเมืองในเชิงอุดมการณ์ มีนโยบาย ถาวร ผูกพันเป็นองค์รวม
พรรค มาร์คซิส, คริสเตียน เดโมแครต ซึ่งพรรคแบบนี้กำลังตายไป
เค้าเรียกว่า the end of ideology จึงกลายพันธุ์มาเป็นแบบที่ 2
2.strategic party มีนโยบายถาวร แต่ไม่องค์รวมเป็น ideology จะมีพรรคแบบนี้เยอะมากในยุโรป
ซึ่งพรรคแบบที่ 1 และ 2 นี้จะส่งผลกระทบตลาดหุ้น ทำให้เกิด structural change
เปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างเศรษฐกิจ ตัวอย่างเช่น ที่ เวเนซูเอล่า พอ ฮูโก้ ชาเวส จะมาเป็นผู้นำ
รู้ได้เลยว่า หุ้นตกแน่ เพราะเขาเน้น populism,nationalization
3.tactical party เป็นพรรคเฉพาะกิจ ไม่มีอุดมการณ์
การบริหารเศรษฐกิจไม่ได้เป็นตามขั้นตอนการเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง
พรรคการเมืองของประเทศไทยเป็นแบบนี้
ดังนั้นจะเห็นตัวอย่างต่างประเทศพรรคที่มีแนวคิดต่างกันทำงานร่วมกัน
ต้องใช้เวลาตกลงกันนานหลายเดือน แต่ของเมืองไทยเข้าไปคุยกันในครึ่งชั่วโมงได้คำตอบ
ดังนั้น การเล่นหุ้นจะง่าย พรรคไหนที่ขึ้นมาไม่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงมากๆ
เป็นไปตามที่ดร.นิเวศน์พูด

จากนี้ไปใน 5-10 ปีข้างหน้า การเมืองไทยจะเข้ามาเกี่ยวข้อง
สังเกตว่าตั้งแต่ 1995 SET ไม่เคยขึ้นถึง 1700 กว่า
เพราะที่ผ่านมาเราไม่เคยรู้ว่า เสียความสามารถแข่งขัน
ตั้งแต่ยุค digital ปี 1990 มีการ present ที่เจนีวา เรื่อง Formatting address
นำไปสู่ web 1.0 พอโลกทั้งใบเปลี่ยน สงครามเย็นสิ้นสุด อัตราการเติบโตไทย
ปรับไม่ทันโลก ขยายตัว 3.8% ต่ำสุดใน ASEAN ที่เฉลี่ย 5.3%

โลกกำลังเข้าสู่ปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 digital ผสมกับ biotech, AI, Robot,
Codification of money เราปรับตัวไม่ทัน จะมีคนตกงาน เราทำได้แต่ low end
แต่ต้องนำเข้า medium กับ high end
GDP ไทยจะติดแหงกที่ 3-4% แม้หนี้ครัวเรือนจะลดจาก 80% เหลือ 70%
กำลังซื้อรากหญ้ามีปัญหา ต้องยอมรับว่า เรามีคนรวย 5% ครอบครอง GDP 66%

โลกเข้าสู่ social media การแยกขั้วยังรุนแรง เพราะคนกลุ่มนี้ไม่ยอมข้ามมา ยังอยู่ที่อันเก่า
ถ้าไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้
จำนวนคนที่เป็น Disenchanted จะมากขึ้น และคนกลุ่มนี้จะเรียกร้อง
สร้างแรงกดดันทางการเมืองมากขึ้น บวกกับคนหนุ่มสาวที่เข้ามาเลือกตั้งครั้งแรก 8 ล้านคน
ซึ่งสัดส่วนเป็น 14% ของคนที่เลือกตั้งได้
ยังไม่รวมถึง 25-30 ปี จะเปลี่ยนdemographic ของไทย
จะมองโลกต้องการปรับเปลี่ยนโครงสร้าง จึงไม่ชอบทหาร
ความสามารถในการแข่งขันของเราไม่ทันในการเข้าสู่โลกตรงนี้
ดังนั้น 5-10 ปีนี้ผลกระทบจากการเมืองจะมีการเปลี่ยนแปลง
สังเกตดูว่าการแยกขั้วตั้งแต่ 2014 ยังรุนแรงถึงวันนี้

คุณ Andrew
เงื่อนไขในการลงทุนคือ ดอกเบี้ยต่ำ, มีอัตรากำไรเพิ่ม และมีภาษีที่ลดลง
จะทำให้ตลาดหุ้นดี ซึ่งรัฐบาลสามารถทำสิ่งนี้ได้
ในชีวิตจริงต้องมีสมดุล ถ้าอะไรที่มันมากเกินไปสุดท้ายก็พัง
ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นกับอเมริกาคือ มีดอกเบี้ยต่ำไป, ลดภาษีมากเกินไป และอัตรากำไรก็เพิ่มขึ้นสูงไป
ส่วนตัวสิ่งสำคัญสุดคือ ต้องมีเสถียรภาพ และทำกำไรได้
ซึ่งถ้ามีสองสิ่งนี้ตลาดก็จะไม่พัง ซึ่งเชื่อว่าประเทศไทยมีตรงนี้ดีอยู่ไม่ว่าใครจะเป็นรัฐบาล

เศรษฐกิจไทยยังอยู่ในทรงที่ดี ความเสี่ยงใหญ่สุดคือ หนี้ครัวเรือน
แต่ก็ไม่ได้คิดว่าจะทำให้เศรษฐกิจพัง
ตลาดไทยตอนนี้ราคาสมเหตุสมผล ถ้ามีระยะเวลาถือครองได้ยาว
ก็ยังไม่ต้องออกจากตลาดหุ้น ดีกว่าพยายามจะทำเงินด้วยการเข้าออกบ่อยๆจะเสียโอกาส

คุณวัชระ
รอวันที 9 พ.ค. ก็จะรู้ว่าสูตรออกแบบไหน รู้ว่าขั้วไหน นายกฯก็จะเป็นคนที่สว.เลือก
ในมุมนักเทคนิค วิ่งไปตีเป็นรอบ ตำรวจมาก็วงแตก
ถ้าผ่าน downtrend line 1685 คนที่อั้นมานานก็จะกลับมาบ้าง
รวมถึง msci ทำให้ sentiment ต่อออกไป หลัง 31 พ.ค. น่าจะเป็นวันสุดท้าย
หุ้นก็เลือกเอาว่านโยบายกระตุ้นอะไร สิ่งที่กลัวและหลอนอยู่คือ invert yield curve
โดยเฉลี่ยเมืองนอกนิยมคำว่า sell in May and go back again September
มีเก็บสถิติ 40 ปี จะกำไร 5600% แต่ใครซื้อ May ขาย Sep ติดลบ 4%

คุณวิน
เห็นด้วยกับหลายท่าน ระยะสั้นการเมืองมีผลไม่มากนัก
Bloomberg ประกาศว่าไทยมีความทุกข์ยากต่ำสุดในโลก อัตราว่างงานต่ำ,เงินเฟ้อต่ำ
ต่างชาติเค้ามองไทย สถาบันการเงินเข้มแข็ง ดอกเบี้ยจ่ายต่ำกว่าในภูมิภาค เงินบาทแข็ง คนซื้อพันธบัตรมีความเชื่อมั่น
เราคงไม่อยากเห็นการประท้วงอีก อยากเห็นการเติบโต
อเมริกาเป็นประชาธิปไตย แต่ผู้นำห่วย เศรษฐกิจดี เงินเฟ้อต่ำ อัตราจ้างงานต่ำ
ส่งเสริมคนเก่ง IT ส่งเสริม startup จึงบูม มีหลาย sector ที่แผ่ว IT ดีการจ้างงานดี บริโภคดี
จีนเป็นคอมมิวนิสต์ แต่ผู้นำเก่ง แก้ปัญหาอสังหา, shadow banking
ปรับประเทศพึ่งพาภาครัฐมาในประเทศ ส่งเสริม IT ในจีนคนทำ startup fail มีจ้างงานทำ
ประเทศไทย บ้านเราคนไม่กล้าทำ startup กลัวไม่มีงาน
จุดเสียเรื่องหนี้ครัวเรือน เรามีภาครัฐที่ใหญ่ไป อุ้ยอ้าย ไม่มีประสิทธิภาพ

ดร.นิเวศน์
รัฐบาลที่กำลังหมดอายุต้องรีบแบ่งเค้ก
ขึ้นรัฐบาลประกาศขึ้นค่าแรง ออกนโยบายต่างๆเพราะไม่รู้จะอยู่ได้นานแค่ไหน
โอกาสที่จะเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเป็นเรื่องเป็นราวยาว เพราะมัวแต่แบ่งเค้ก
คิดว่าค่าแรงจะมาก่อน เพราะแรงงานได้เยอะ เลือกตั้งใหม่ ประชานิยมจะออกรวดเร็ว
แม้โดยรวมประเทศจะเหมือนๆเดิม


ขอบพระคุณ อ.ไพบูลย์ อ.นิเวศน์ อ.เสน่ห์ พี่หมอเค และ ทีมงาน Moneytalk ทุกท่านในการจัดงานขึ้น
ขอบคุณและแขกรับเชิญทุกท่านที่ให้สาระประโยชน์ ทั้งข้อมูลบริษัท และให้มุมมองทั้งในเลือกการลงทุนและเศรษฐกิจ,การเมือง
หากผมเข้าใจผิดพลาดหรือบกพร่องไปอย่างไร ขออภัยไว้ด้วยครับ สามารถติดตาม VDO สัมมนาฉบับเต็ม
ได้ทั้งทาง internet Facebook,Youtube และ TV Digital ช่อง 19 Spring News

Moneytalk@SET ครั้งต่อไป อาทิตย์ 12 พ.ค. จอง เสาร์ 4 พ.ค.62
หัวข้อ 1 สัมภาษณ์ 3 บริษัท – SAWAD,อีก 2 บริษัทอยู่ระหว่างยืนยัน
หัวข้อ 2 สัมมนาเกี่ยวกับหุ้นและการเมือง (อยู่ระหว่างเชิญแขก 4 ท่าน)

Re: MoneyTalk@SET21/4/62หุ้นเด่น&การเมืองกับหุ้นไทยปี62

โพสต์แล้ว: จันทร์ เม.ย. 22, 2019 4:40 am
โดย theenuch
ขอบคุณมากค่ะน้องบิ๊ก :)

Re: MoneyTalk@SET21/4/62หุ้นเด่น&การเมืองกับหุ้นไทยปี62

โพสต์แล้ว: จันทร์ เม.ย. 22, 2019 10:48 am
โดย amornkowa
ขอบคุณบิ๊กครับ

Re: MoneyTalk@SET21/4/62หุ้นเด่น&การเมืองกับหุ้นไทยปี62

โพสต์แล้ว: จันทร์ เม.ย. 22, 2019 2:43 pm
โดย Adlerns
ขอบคุณมากครับ :D