รอบ2ที่หมดเพราะรัฐบาลเชาวลิตครับ ปิด56ไฟแนนซ์
หุ้นที่มีอยู่พวกตระกูลไฟ จึงมีค่าเป็น0ครับ
เพราะอยู่บ้านนอกออกของไม่ทัน
ยังไม่ได้เป็นเซียนครับ
ถ้าเป็นเซียนก็คงไม่หมดนี่หมดไป2รอบ
หมดจากการเก็งกำไร(ก็เลยลืมเก็งขาดทุน)
สมัยก่อนเราไม่เป็นมวยเท่าไหร่
เช้ามาขับรถไปห้องค้า
อ่านหนังสือพิมพ์ อ่านเปเปอร์ที่เขาแจก
แล้วถึงดูวอลุ่ม ตัวไหนที่บิดเยอะๆเราก็เคาะออบเฟอร์เลย
เคยจำได้ว่า...เวลาหุ้นลงหนักๆ
เคยขายราคาฟลอ3วันไม่หลุดเพราะไปตั้งทีหลังเขาครับ
สมัยนั้นราคาซิลลิ่งกับฟลอแค่10% สมัยนี้30%ครับ
ประวัติศาสตร์สอนไว้เป็นบทเรียน
สมัยนั้นไม่มี ท่านดร.นิเวศน์ คอยชี้ทางให้เห็นการลงทุนแบบVI
ที่ลงทุนในหุ้นที่มีคุณค่า
เล่นหุ้นอะไรก็ไม่มันส์
เท่ากับไฟแนนซ์และหุ้นแบ๊งก์
เพราะชีวิตประจำวันมันก็ใกล้กับ2อย่างนี้
เราเลยมาเรียนรู้การผิดพลาดได้จากประสพการณ์ตอนหมดเงินแล้ว
สมัยนั้นจะมีหนังสือเกี่ยวกับหุ้น
ทุกสิ้นเดือนจะรายงานว่ากองทุนไหน
ถือหุ้นอะไร เพิ่มขึ้นหรือลดลงเท่าไหร่ พิมพ์ขาย(สมัยนี้ไม่มี)
เมื่อก่อนเขาไม่ได้รายการ แยกให้ดูเหมือนทุกวันนี้
ที่มีนักลงทุนสถาบันซื้อหรือขายเท่าไหร่?
นักลงทุนต่างประเทศซื้อหรือขายเท่าไหร่?
นักลงทุนทั่วไป(รายย่อย)ซื้อหรือขายเท่าไหร่?
เล่นกันไปแบบตาบอดคลำช้าง
เราได้ข้อมูลจากหนังสือถึงได้มาดูว่าพวกกองทุนเขาซื้อถือหุ้นอะไร
ดูแล้วก็น่าติดตาม ที่พวกกองทุนเก็บหุ้นปันผลไว้ทุกกองทุน
ล้วนแต่หุ้นดีๆแต่ไม่ค่อยมีสภาพคล่อง
เนื่องจากคำว่าถือคือไม่ขาย
เราก็ต้องมาพัฒนาเลียนแบบเขาไปครับ
สมัยก่อนไม่มีคอมฯหรืออินเตอร์เนทต่อเข้าเซทเทรด
ไม่มีที่ค้นหาข้อมูลบริษัทที่เราสนใจ
ไม่มีเครื่องมือช่วยเราเรื่องการลงทุน
ไม่มีเวปไซด์ไว้แลกเปลี่ยนความคิดเห็น
หรือถามข้อข้องใจของสังคมนักลงทุน
สมัยนี้ดีมาก
มีรายงานการซื้อขายแต่ละกลุ่มหลังปิดตลาด
ทำให้เราพอคาดเดาตามนักลงทุนต่างชาติและกองทุนได้
สมัยก่อนต่างชาติโหดมาก
เวลาเขาขายเขาจะขายแบบให้ลงไปที40-50%เลย
(ราคาของหุ้นแต่ละตัว)
เพื่อให้พวกที่เล่นหุ้นด้วยบัญชีมาร์จิ้นนำหลักทรัพย์มาเพิ่มกับทาง บล.
ถ้าไม่มีมาเพิ่ม เมื่อหุ้นลงถึงระดับหนึ่ง
หุ้นในพอท์ตของลูกค้าก็จะถูกจับขาย เพราะเป็นกติกา
เมื่อต่างชาติขายจนลงไประดับหนึ่ง
รายย่อยถูกจับขายอีกก็เท่ากับทำร้ายตลาดให้ลงไปอีก
เมื่อเป็นเช่นนี้ก็จะเข้าทางต่างชาติไปรอรับซื้อได้ราคาต่ำๆ
เพื่อนๆผมถูกจับหุ้นขายจนหมดยังไม่พอ
หลักทรัพย์พวกอาคารพานิชที่ดินและตั๋วเงินฝากที่นำมาค้ำประกัน
ก็ถูกยึดไปชำระค่าบัญชีมาร์จิ้นด้วย
เรื่องยาวครับเล่าลำบาก
แต่ถ้ารู้จักใครที่เล่นหุ้นย้อนไปสัก15ปีเขาจะมีประสพการณ์เล่าให้ฟังครับ
ผมถึงพูดอย่างเต็มปากเต็มคำว่า
...ผมมาจากนักเก็งกำไร
ผมพูดอย่างภาคภูมิใจว่า....หมดมา2รอบ
ทุกวันนี้ก็ยังนึกว่ายังดี ที่ปรับปรุงตัวเอง
มาเล่นหุ้นแบบไร่นาสวนผสม
คือถือหุ้นลงทุนรอรับเงินปันผล70%
มีเงินอีก20%ไว้ไปขุดพลอย
และสำรองไว้10%
เพราะในอดีต พอหมดแล้วหมดจริงๆ
ต้องไปก้มหน้าก้มตาทำมาหาเก็บ
กว่าจะเหลือพอมีเงินเหลือ
ก็เหมือนมีใครมากวักมือให้เข้าไปซื้อขายหุ้นอีก
ชาตินี้คงเลิกเล่นหุ้นไม่ได้
แต่เราแก่แล้วควรจะเลือกถือความเสี่ยงให้น้อยลง
ถ้าหมดรอบนี้ อายุก็มากแล้วคงหมดเวลาแก้ตัว
แต่ถ้าใครไม่อยากหมดและไม่โลภ ก็ควรลงทุนแนวVI
อ่านหนังสือท่าน ดร.นิเวศน์ (ตีแตก)สัก2-3รอบ
เรียนรู้และวิเคราะห์ตามนั้น เป็นหนังสือเกี่ยวกับหุ้นที่ดีที่สุดเท่าที่ผมได้อ่านมาครับ
ส่วนใครจะอ้างปีเตอร์ลินซ์ บับเฟ่และอื่นฯ
ผมว่าจะไปก๊อปปี้ต่างประเทศลำบาก
เนื่องจากเศรษฐกิจของเรา
นิสัยของการลงทุนของรายย่อยบ้านเราไม่เหมือนพวกเมกาเลย
บริษัทจดทะเบียนของเราก็ไม่เหมือนเขา ตลาดหุ้นบ้านเราไม่มี
หุ้นไมโครซอฟ ไม่มีหุ้นเวชภัณฑ์ ไม่มีหุ้นบริษัทขายอาวุธสงคราม
ไม่มีหุ้นใบมีดโกน
และที่สำคัญที่สุด ตลาดบ้านเรามีรายย่อยมากกว่านักลงทุนสถาบัน
มันจึงมีความผันผวนสูง และที่เมกาเขามีกองทุนเยอะกว่ารายย่อย
เวลาใครเขาคุยถึงบับเฟ่หรือปรมาจารย์ต่างชาติ
ผมจะไม่เข้าไปแจมเลยสังเกตดูผมได้
แต่ถ้าเป็นข้อคิดความเห็นของท่าน ดร.นิเวศน์ ผมชอบมาก
ผมจะซื้อหนังสือของท่านทุกเล่มตอนนี้ออกมา3เล่มแล้ว
และตามอ่านบทความของท่านทุกวันอังคารทาง นสพ.กรุงเทพธุรกิจ ผมชอบการวิเคราะห์หุ้นและการดูงบการเงินของท่าน ดร.นิเวศน์
ที่ไม่ใช้ภาษาซับซ้อน
เนื่องจากผมการศึกษามาน้อยครับ
ผมว่ายาวมากแล้วไม่ค่อยมีเนื้อมีแต่น้ำทนๆอ่านคนแก่ขี้บ่นเอาหน่อยนะครับ
เล่นหุ้นให้เล่นแบบเป็นเจ้าของกิจการ และก่อนจะซื้อหุ้นตัวไหน
ไปค้นหาผลประกอบการย้อนหลังสัก3-5ปี ดูอุตสาหกรรมด้วย
ดูผู้บริหารด้วยว่านามสกุลน่าเชื่อถือแค่ไหนบริหารงานโปร่งใสหรือเปล่า
ดูแนวโน้มและควรคาดการว่า3-5ปีข้างหน้า
บริษัทที่เราจะเข้าไปร่วมเป็นเจ้าของจะเป็นยังไง
ขอให้โชคดีและปลอดภัยในการลงทุนครับ