How to get Super Rich Accidentally / ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์แล้ว: จันทร์ ม.ค. 21, 2019 9:39 am
How to get Super Rich "Accidentally"
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
งาน VI Summit 2019, KL, Malaysia
19-20 มกราคม 2019
เราได้มีโอกาสไปฟัง ดร. นิเวศน์ ขึ้นบรรยายบนเวที VI Summit 2019, KL, Malaysia เมื่อวันที่ 19 มกรา 2019 ที่ผ่านมา
งานนี้จัดโดย 8VIC Malaysia (ในส่วนรายละเอียดผู้จัดงาน ขอรอพี่ๆมาเสริม เพราะเราเพิ่งเคยไปเป็นครั้งเเรกค่ะ) คนที่ไปร่วมงานเป็นนักลงทุนแนวหุ้นเน้นคุณค่าจากประเทศเพื่อนบ้านอย่างเช่น จีน สิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย ไทย เวียดนาม มีคนร่วมงานครั้งนี้ประมาณ 900 คน (เยอะกว่าที่คิด) บน sentiment ของตลาดหุ้นที่เงินต่างชาติไหลออกจากตลาด Emerging market อย่างหนัก ในช่วงเวลาที่ต่างชาติขายออกจาก SET เกือบสามแสนล้านบาท เเละเพิ่งเริ่มกลับเข้ามาในตลาดเพื่อนบ้านเมื่อต้นปีที่ผ่านมา
จะขอเล่าถึง 3 หัวข้อที่เราชอบ เเต่วันนี้เล่าถึง ดร. นิเวศน์ก่อนค่ะ
ดร. นิเวศน์ ขึ้นบรรยายปิดท้ายงานวันแรก ทำให้เราเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ดร. นิเวศน์ “ของพวกเรา” ก็เป็นที่นิยมในหมู่นักลงทุนเพื่อนบ้านมากแค่ไหน เวลา ดร. บรรยายเค้าจะตั้งใจฟังกัน ฮือฮา เเละอยากจะถามคำถามกับ ดร. ... ที่ประเทศเพื่อนบ้านเค้าไม่มีเสาหลักที่จะมาเล่าเรื่องเกี่ยวกับการลงทุนแนวเน้นคุณค่าแบบที่เมืองไทยมี ...เวลาชั่วโมงนิดๆ ที่ ดร. นิเวศน์เล่าให้ฟังถึงวิธีการลงทุนและการหา Super Stocks เป็นการเล่าที่ธรรมชาติ และชัดเจนมากๆ แล้ววิธีการแบบนั้นจะพาเราไปสู่การรวยแบบ Super Rich ได้อย่างไร ดร. นิเวศน์ออกตัวอย่างถ่อมตัวว่าที่จริงแล้ว ดร. เป็นแบบนี้ได้เพราะความโชคดีที่ไปอยู่ถูกที่ ถูกเวลา และถูกวิธีการ
การจะรวยมากๆนั้น มักจะมีต้นทุน นั่นคือ
• เราต้องออมเงินที่เรามาได้อย่างน้อย 15% หรือมากกว่านั้น
• เราจะต้องใช้เงินอย่างประหยัด และไม่ได้บริโภคความหรูหรา อย่างน้อยก็จนกว่าเราจะเกษียณ หรือ ตาย
• เราจะต้องใส่เงินปันผล และ capital gain ทั้งหมดลงไปลงทุนใหม่ เอามาใช้ไม่ได้
แล้วสิ่งที่เราจะได้แลกเปลี่ยนกลับมาคืออะไร
• เราจะได้ “อนาคต” แทนที่จะเป็นสิ่งของ
• เราจะได้ความมั่นคง และความสบายใจ
• เราจะได้ความรู้สึกว่าเรารวย และรวยมาก
ขั้นตอนในการรวย
• เราจะต้องเอาเงินออมทั้งหมดไปลงในหุ้นเท่านั้น และถือให้ยาวมากๆ (30 ปีขึ้นไป) เพราะในระยะยาว “หุ้น” จะให้ผลตอบแทนดีที่สุด โดยเฉลี่ยประมาณ 10% ต่อปี และมีความเสี่ยงต่ำกว่าสินทรัพย์ประเภทอื่น (ในระยะสั้น หุ้น อาจจะผันผวนมาก แต่ถ้าถือไปยาวๆแล้วหุ้นมีความเสี่ยงต่ำ)
• ด้วยมหัศจรรย์แห่งผลตอบแทนแบบทบต้น หุ้นจะให้ return เป็นเท่าตัว ในทุกๆ 7 ปี
• เลือกลงทุนในหุ้นหลักๆ 12 ตัว ประมาณ 70% ของพอร์ต โดยภายใน 12 ตัว นั้น ต้องมีการ diversify ธุรกิจ
• ไม่ถือหุ้นตัวใด ตัวหนึ่งเกิน 30% ของพอร์ต
• และเพราะเราต้องถือหุ้นเป็นเวลานาน
... เราจึงต้องเลือกลงทุนในหุ้นเพียง 2 ประเภท เพื่อลงทุน
1) Super Stocks
2) Super Cheap Stocks
หน้าตาของหุ้น Super Stocks เป็นอย่างไร?
• เป็นบริษัทที่ยิ่งใหญ่ (great company) ที่ราคาหุ้นสมเหตุสมผล
• เมื่อหาเจอแล้ว ถือให้นานที่สุด อย่างน้อย 5 ปีขึ้นไป (ส่วนตัวของ ดร. จะถือเป็นสิบๆปี)
• มีการเติบโตเป็น 10 เด้ง ใน 10 ปี ( หุ้นเหล่านี้จะให้ผลตอบแทนประมาณ 26% ทบต้นในระยะเวลาดังกล่าว)
• เลือกหุ้นที่อยู่ใน mega trend, และเลือกหุ้นที่เป็นผู้ชนะในอุตสาหกรรม... ผู้ชนะจะมียอดขายสูงกว่าผู้แพ้แบบไม่เห็นฝุ่น
และผู้ชนะจะต้องมีลักษณะ ดังต่อไปนี้
1) Durable Competitive Advantage (มี brand ที่แข็งแกร่ง, มี economies of scale, มี network, ต้นทุนของผู้ใช้สูง ในการที่จะเปลี่ยนไปใช้ของคนอื่น, มีความผูกขาดโดยธรรมชาติ, สามารถควบคุมราคาวัตถุดิบให้ถูกลงได้, และไม่ถูกทำลายได้ง่ายๆด้วย IT หรือ technology)
2) อยู่ใน Virtuous cycle คือยิ่งทำธุรกิจ ยิ่งแข็งแกร่ง ยิ่งมี competitive advantage มากขึ้น
3) มีการเงินที่ดี ( ROE สูง, มี NPM จากการขายสูงเมื่อเทียบกับอุตสาหกรรม, กำไรเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ, มีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานดี, ไม่ต้องลงทุนไปกับพวกเครื่องักรหรือการซ่อมบำรุงเยอะ)
4) ราคาหุ้นสมเหตุสมผล (PE < 30, market cap ไม่สูงมาเมื่อเทียบกับศักยภาพการเติบโตของอุตสาหกรรม)
ส่วนหุ้น Super Cheap Stocks
• เป็นบริษัทที่ดี (good company) ที่จะไม่ตาย หรือไม่ถดถอยไปตามการกาลเวลา ไม่ถูก disrupt ง่ายๆ และมีการเติบโตของกำไรอย่างน้อย 10% และมีปันผลที่เหมาะสม
• ถือเอาไว้อย่างน้อยประมาณ 3 ปีเติบโตประมาณ 10-15% ต่อปี ในระยะเวลา 2-3 ปี
** ที่สำคัญ อย่าพยายามคาดเดาตลาด เพื่อที่จะเทรดหุ้น Super Stocks
แล้วเมื่อไรที่เราควรจะขาย Super Stocks ?
• เมื่อหุ้นตัวนั้นสูญเสียความเป็น Super Stocks
• เมื่อเราเจอหุ้น Super Stocksที่ดีกว่า แล้วเราไม่มีตังค์ เราคงต้องขายแล้ว switch ตัว
• เมื่อตลาดของอุตสาหกรรมหรือสินค้านั้นอิ่มตัว
• เมื่อหุ้นตัวนั้นแพงเกินไป
ยกตัวอย่างหุ้น Super Stocks ใน SET: CPALL, HMPRO, BH, BDMS, AOT, MINT, CPN, CENTEL, ADVANC
ส่วนที่สำคัญอีกอย่างนึงคือ การเพิ่มโอกาสที่จะรวย ... นั่นคือแก้ว 3 ดวงที่ ดร. เคยสอนพวกเราบ่อยๆ คือ
1) เงินต้น, 2) ผลตอบแทนทบต้น, และ 3) เวลา
คนที่จะมีเงินต้นเยอะๆ ถ้าไม่เพราะมีโชค ได้มรดก หรือแต่งงานกับคนรวย ... แต่ถ้าพวกเราเลยจุดนั้นกันมาเเล้ว สิ่งที่พวกเราจะทำได้คือ ทำงานที่ได้ค่าตอบแทนเยอะๆ และเก็บออมเอา ซึ่งตัวของ ดร. นิเวศน์เองก็ไม่ได้มีมรดก แต่ได้เงินต้นมาจากการทำงานและเก็บออม
ต่อมาคือนิสัยของคนที่จะเป็นนักลงทุนหุ้นเน้นคุณค่าโดยธรรมชาติคือ ประหยัด อดออม, คิดและมองโลกอย่างมีตรรกะ, มีวินัย, ส่วนคนที่ไม่ได้มีฐานะไม่ต้องน้อยใจ เพราะความจนก็อ่จจะช่วยให้เราเป็นนักลงทุน VI โดยธรรมชาติได้ (เพราะคนที่เกิดมาฐานะยากจน จะรู้คุณค่าของเงิน และพยายามใช้เงินให้คุ้มค่า)
ดร. ยังยกตัวอย่างนักลงทุนระดับโลก ซึ่งแน่นอนมี Warren Buffett ซึ่งจากการคำนวนน่าจะเริ่มด้วยเงินต้นประมาณ 1 ล้านเหรียญสหรัฐ ถือว่าเริ่มด้วยเงินต้นในปริมาณที่ดีเลยทีเดียว .. ปู่ Warren ผลตอบแทนทบต้นประมาณ 20% ต่อปี และ ระยะเวลาลงทุนประมาณ 63 ปีเข้าไปแล้ว มูลค่าทรัพย์สินตอนนี้ประมาณ US$ 80 billion
ต่อมาคือป้าแอน Anne Sheiber เป็นคนที่ระดับเราๆ ท่านๆ พอที่จะเป็นได้ เพราะเริ่มลงทุนด้วยเงินต้น 5,000 เหรียญสหรัฐ แถมเริ่มลงทุนตอนอายุ 50 ปีด้วยซ้ำ แต่ผลตอบแทนของป้าแอนอยู่ที่ประมาณ 18% ต่อปีทบต้น ลงทุนในหุ้นธรรมดาที่ป้าแอนรู้จักในชีวิตประจำวัน ระยะเวลาในการลงทุนคือ 50 ปี (เริ่มตอนอายุ 51, ตายตอนอายุ 101 ในปี 1995 ) มูลค่าทรัพย์สินประมาณ US$ 22 billion และบริจาคทั้งหมด
ส่วนตัวของ ดร. นิเวศน์เอง เริ่มต้นด้วยเงินลงทุน 600,000 เหรียญสหรัฐ โดยเก็บออมถึง 30% หรือมากกว่า ลงทุนมาประมาณ 22 ปี ด้วยผลตอบแทนทบต้นประมาณ 31% (เงินลงทุน 1 บาท กลายเป็น 370 บาท) มูลค่าทรัพย์สินประมาณ 200 ล้านเหรียญสหรัฐ (เท่าที่เปิด public)
แต่สิ่งสำคัญที่สุดที่ ดร. นิเวศน์ค้นพบคือ การมีสุขภาพที่ดี เพราะต้องอยู่รอดู ให้ผลตอบแทนทบต้นมันทำงาน ดังนั้นเราควรต้องหันมาดูแลใส่ใจสุขภาพ เพื่อรอชื่นชมผลงานการลงทุนของเราให้ผลิดอกออกผล นั่นเอง
จบแบบเก๋ๆค่ะ ดร. ^^
ขอบคุณทุกท่านที่อ่านมาถึงตรงนี้ ถ้ามีอะไรเสริม ทำได้เต็มที่เลยนะคะ และถ้าเราเขียนอะไรผิดพลาดไป ต้องขออภัยไว้ ณ. ที่นี้ด้วยค่ะ
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
งาน VI Summit 2019, KL, Malaysia
19-20 มกราคม 2019
เราได้มีโอกาสไปฟัง ดร. นิเวศน์ ขึ้นบรรยายบนเวที VI Summit 2019, KL, Malaysia เมื่อวันที่ 19 มกรา 2019 ที่ผ่านมา
งานนี้จัดโดย 8VIC Malaysia (ในส่วนรายละเอียดผู้จัดงาน ขอรอพี่ๆมาเสริม เพราะเราเพิ่งเคยไปเป็นครั้งเเรกค่ะ) คนที่ไปร่วมงานเป็นนักลงทุนแนวหุ้นเน้นคุณค่าจากประเทศเพื่อนบ้านอย่างเช่น จีน สิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย ไทย เวียดนาม มีคนร่วมงานครั้งนี้ประมาณ 900 คน (เยอะกว่าที่คิด) บน sentiment ของตลาดหุ้นที่เงินต่างชาติไหลออกจากตลาด Emerging market อย่างหนัก ในช่วงเวลาที่ต่างชาติขายออกจาก SET เกือบสามแสนล้านบาท เเละเพิ่งเริ่มกลับเข้ามาในตลาดเพื่อนบ้านเมื่อต้นปีที่ผ่านมา
จะขอเล่าถึง 3 หัวข้อที่เราชอบ เเต่วันนี้เล่าถึง ดร. นิเวศน์ก่อนค่ะ
ดร. นิเวศน์ ขึ้นบรรยายปิดท้ายงานวันแรก ทำให้เราเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ดร. นิเวศน์ “ของพวกเรา” ก็เป็นที่นิยมในหมู่นักลงทุนเพื่อนบ้านมากแค่ไหน เวลา ดร. บรรยายเค้าจะตั้งใจฟังกัน ฮือฮา เเละอยากจะถามคำถามกับ ดร. ... ที่ประเทศเพื่อนบ้านเค้าไม่มีเสาหลักที่จะมาเล่าเรื่องเกี่ยวกับการลงทุนแนวเน้นคุณค่าแบบที่เมืองไทยมี ...เวลาชั่วโมงนิดๆ ที่ ดร. นิเวศน์เล่าให้ฟังถึงวิธีการลงทุนและการหา Super Stocks เป็นการเล่าที่ธรรมชาติ และชัดเจนมากๆ แล้ววิธีการแบบนั้นจะพาเราไปสู่การรวยแบบ Super Rich ได้อย่างไร ดร. นิเวศน์ออกตัวอย่างถ่อมตัวว่าที่จริงแล้ว ดร. เป็นแบบนี้ได้เพราะความโชคดีที่ไปอยู่ถูกที่ ถูกเวลา และถูกวิธีการ
การจะรวยมากๆนั้น มักจะมีต้นทุน นั่นคือ
• เราต้องออมเงินที่เรามาได้อย่างน้อย 15% หรือมากกว่านั้น
• เราจะต้องใช้เงินอย่างประหยัด และไม่ได้บริโภคความหรูหรา อย่างน้อยก็จนกว่าเราจะเกษียณ หรือ ตาย
• เราจะต้องใส่เงินปันผล และ capital gain ทั้งหมดลงไปลงทุนใหม่ เอามาใช้ไม่ได้
แล้วสิ่งที่เราจะได้แลกเปลี่ยนกลับมาคืออะไร
• เราจะได้ “อนาคต” แทนที่จะเป็นสิ่งของ
• เราจะได้ความมั่นคง และความสบายใจ
• เราจะได้ความรู้สึกว่าเรารวย และรวยมาก
ขั้นตอนในการรวย
• เราจะต้องเอาเงินออมทั้งหมดไปลงในหุ้นเท่านั้น และถือให้ยาวมากๆ (30 ปีขึ้นไป) เพราะในระยะยาว “หุ้น” จะให้ผลตอบแทนดีที่สุด โดยเฉลี่ยประมาณ 10% ต่อปี และมีความเสี่ยงต่ำกว่าสินทรัพย์ประเภทอื่น (ในระยะสั้น หุ้น อาจจะผันผวนมาก แต่ถ้าถือไปยาวๆแล้วหุ้นมีความเสี่ยงต่ำ)
• ด้วยมหัศจรรย์แห่งผลตอบแทนแบบทบต้น หุ้นจะให้ return เป็นเท่าตัว ในทุกๆ 7 ปี
• เลือกลงทุนในหุ้นหลักๆ 12 ตัว ประมาณ 70% ของพอร์ต โดยภายใน 12 ตัว นั้น ต้องมีการ diversify ธุรกิจ
• ไม่ถือหุ้นตัวใด ตัวหนึ่งเกิน 30% ของพอร์ต
• และเพราะเราต้องถือหุ้นเป็นเวลานาน
... เราจึงต้องเลือกลงทุนในหุ้นเพียง 2 ประเภท เพื่อลงทุน
1) Super Stocks
2) Super Cheap Stocks
หน้าตาของหุ้น Super Stocks เป็นอย่างไร?
• เป็นบริษัทที่ยิ่งใหญ่ (great company) ที่ราคาหุ้นสมเหตุสมผล
• เมื่อหาเจอแล้ว ถือให้นานที่สุด อย่างน้อย 5 ปีขึ้นไป (ส่วนตัวของ ดร. จะถือเป็นสิบๆปี)
• มีการเติบโตเป็น 10 เด้ง ใน 10 ปี ( หุ้นเหล่านี้จะให้ผลตอบแทนประมาณ 26% ทบต้นในระยะเวลาดังกล่าว)
• เลือกหุ้นที่อยู่ใน mega trend, และเลือกหุ้นที่เป็นผู้ชนะในอุตสาหกรรม... ผู้ชนะจะมียอดขายสูงกว่าผู้แพ้แบบไม่เห็นฝุ่น
และผู้ชนะจะต้องมีลักษณะ ดังต่อไปนี้
1) Durable Competitive Advantage (มี brand ที่แข็งแกร่ง, มี economies of scale, มี network, ต้นทุนของผู้ใช้สูง ในการที่จะเปลี่ยนไปใช้ของคนอื่น, มีความผูกขาดโดยธรรมชาติ, สามารถควบคุมราคาวัตถุดิบให้ถูกลงได้, และไม่ถูกทำลายได้ง่ายๆด้วย IT หรือ technology)
2) อยู่ใน Virtuous cycle คือยิ่งทำธุรกิจ ยิ่งแข็งแกร่ง ยิ่งมี competitive advantage มากขึ้น
3) มีการเงินที่ดี ( ROE สูง, มี NPM จากการขายสูงเมื่อเทียบกับอุตสาหกรรม, กำไรเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ, มีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานดี, ไม่ต้องลงทุนไปกับพวกเครื่องักรหรือการซ่อมบำรุงเยอะ)
4) ราคาหุ้นสมเหตุสมผล (PE < 30, market cap ไม่สูงมาเมื่อเทียบกับศักยภาพการเติบโตของอุตสาหกรรม)
ส่วนหุ้น Super Cheap Stocks
• เป็นบริษัทที่ดี (good company) ที่จะไม่ตาย หรือไม่ถดถอยไปตามการกาลเวลา ไม่ถูก disrupt ง่ายๆ และมีการเติบโตของกำไรอย่างน้อย 10% และมีปันผลที่เหมาะสม
• ถือเอาไว้อย่างน้อยประมาณ 3 ปีเติบโตประมาณ 10-15% ต่อปี ในระยะเวลา 2-3 ปี
** ที่สำคัญ อย่าพยายามคาดเดาตลาด เพื่อที่จะเทรดหุ้น Super Stocks
แล้วเมื่อไรที่เราควรจะขาย Super Stocks ?
• เมื่อหุ้นตัวนั้นสูญเสียความเป็น Super Stocks
• เมื่อเราเจอหุ้น Super Stocksที่ดีกว่า แล้วเราไม่มีตังค์ เราคงต้องขายแล้ว switch ตัว
• เมื่อตลาดของอุตสาหกรรมหรือสินค้านั้นอิ่มตัว
• เมื่อหุ้นตัวนั้นแพงเกินไป
ยกตัวอย่างหุ้น Super Stocks ใน SET: CPALL, HMPRO, BH, BDMS, AOT, MINT, CPN, CENTEL, ADVANC
ส่วนที่สำคัญอีกอย่างนึงคือ การเพิ่มโอกาสที่จะรวย ... นั่นคือแก้ว 3 ดวงที่ ดร. เคยสอนพวกเราบ่อยๆ คือ
1) เงินต้น, 2) ผลตอบแทนทบต้น, และ 3) เวลา
คนที่จะมีเงินต้นเยอะๆ ถ้าไม่เพราะมีโชค ได้มรดก หรือแต่งงานกับคนรวย ... แต่ถ้าพวกเราเลยจุดนั้นกันมาเเล้ว สิ่งที่พวกเราจะทำได้คือ ทำงานที่ได้ค่าตอบแทนเยอะๆ และเก็บออมเอา ซึ่งตัวของ ดร. นิเวศน์เองก็ไม่ได้มีมรดก แต่ได้เงินต้นมาจากการทำงานและเก็บออม
ต่อมาคือนิสัยของคนที่จะเป็นนักลงทุนหุ้นเน้นคุณค่าโดยธรรมชาติคือ ประหยัด อดออม, คิดและมองโลกอย่างมีตรรกะ, มีวินัย, ส่วนคนที่ไม่ได้มีฐานะไม่ต้องน้อยใจ เพราะความจนก็อ่จจะช่วยให้เราเป็นนักลงทุน VI โดยธรรมชาติได้ (เพราะคนที่เกิดมาฐานะยากจน จะรู้คุณค่าของเงิน และพยายามใช้เงินให้คุ้มค่า)
ดร. ยังยกตัวอย่างนักลงทุนระดับโลก ซึ่งแน่นอนมี Warren Buffett ซึ่งจากการคำนวนน่าจะเริ่มด้วยเงินต้นประมาณ 1 ล้านเหรียญสหรัฐ ถือว่าเริ่มด้วยเงินต้นในปริมาณที่ดีเลยทีเดียว .. ปู่ Warren ผลตอบแทนทบต้นประมาณ 20% ต่อปี และ ระยะเวลาลงทุนประมาณ 63 ปีเข้าไปแล้ว มูลค่าทรัพย์สินตอนนี้ประมาณ US$ 80 billion
ต่อมาคือป้าแอน Anne Sheiber เป็นคนที่ระดับเราๆ ท่านๆ พอที่จะเป็นได้ เพราะเริ่มลงทุนด้วยเงินต้น 5,000 เหรียญสหรัฐ แถมเริ่มลงทุนตอนอายุ 50 ปีด้วยซ้ำ แต่ผลตอบแทนของป้าแอนอยู่ที่ประมาณ 18% ต่อปีทบต้น ลงทุนในหุ้นธรรมดาที่ป้าแอนรู้จักในชีวิตประจำวัน ระยะเวลาในการลงทุนคือ 50 ปี (เริ่มตอนอายุ 51, ตายตอนอายุ 101 ในปี 1995 ) มูลค่าทรัพย์สินประมาณ US$ 22 billion และบริจาคทั้งหมด
ส่วนตัวของ ดร. นิเวศน์เอง เริ่มต้นด้วยเงินลงทุน 600,000 เหรียญสหรัฐ โดยเก็บออมถึง 30% หรือมากกว่า ลงทุนมาประมาณ 22 ปี ด้วยผลตอบแทนทบต้นประมาณ 31% (เงินลงทุน 1 บาท กลายเป็น 370 บาท) มูลค่าทรัพย์สินประมาณ 200 ล้านเหรียญสหรัฐ (เท่าที่เปิด public)
แต่สิ่งสำคัญที่สุดที่ ดร. นิเวศน์ค้นพบคือ การมีสุขภาพที่ดี เพราะต้องอยู่รอดู ให้ผลตอบแทนทบต้นมันทำงาน ดังนั้นเราควรต้องหันมาดูแลใส่ใจสุขภาพ เพื่อรอชื่นชมผลงานการลงทุนของเราให้ผลิดอกออกผล นั่นเอง
จบแบบเก๋ๆค่ะ ดร. ^^
ขอบคุณทุกท่านที่อ่านมาถึงตรงนี้ ถ้ามีอะไรเสริม ทำได้เต็มที่เลยนะคะ และถ้าเราเขียนอะไรผิดพลาดไป ต้องขออภัยไว้ ณ. ที่นี้ด้วยค่ะ