MoneyTalk@SET12/1/62เศรษฐกิจโลก/ไทย&แนวโน้มหุ้นปี62
โพสต์แล้ว: เสาร์ ม.ค. 12, 2019 10:58 pm
MoneyTalk@SET12/1/62
หัวข้อ 1 “เศรษฐกิจโลก เศรษฐกิจไทย และแนวโน้มหุ้น”
แขกรับเชิญ ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ
ดร.ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา และ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ดำเนินรายการ
ปลายปี 61 เห็นหุ้นปรับลงมาก แสดงให้เห็นว่านักวิเคราะห์เริ่มยอมรับเศรษฐกิจชะลอลง
เช่น apple ผลประกอบการและราคาหุ้นก็ปรับตัวลดลง
ปัจจุบันยังถกเกียงกันอยู่ว่า ตลาดปัจจุบันได้ price in การชะลอตัวลงหรือยัง
ล่าสุด FED ก็ออกมาบอกว่าดอกเบี้ยจะถอยอย่างค่อยเป็นค่อยไป หรือไม่ขึ้นก็ได้
การลดงบดุลของ FED ก็อาจจะถอยได้ถ้าสถานการณ์จำเป็น
ทำให้ตลาดกลับมาคึกคักขึ้น
รวมการการเจรจาระดับสูงระหว่างจีนกับอเมริกา
โดยมีความหวังว่าจะสงบศึกการค้าได้
1) FED ขึ้นดอกเบี้ยมากไปเร็วไป
2) Trade war จีน กับอเมริกา เริ่มรู้สึกว่าอาจไม่รุนแรง
อย่างกรณี apple ทิม คุก อ้างถึงยอดขาย apple ไม่ดี มาจากกำลังซื้อในประเทศจีนอ่อนแอลง
ซึ่งจีน+อเมริกา คิดเป็น 40% GDP โลก ถ้าหาก 2 ประเทศนี้เจริญเติบโตช้าลงและทะเลาะกันอีก
ย่อมกระทบกับเศรษฐกิจโลก
จีนเข้มงวดขึ้นกับการปล่อยสินเชื่อ ปัญหาเพราะบริษัทต่างๆกู้เงินไว้เยอะ
เช่น บริษัทกลุ่มที่ไม่ใช่การเงิน
ในอเมริกากู้เงินมีหนี้สิน 60% ของ GDP แต่ที่จีน 150% ของ GDP
แสดงให้เห็นการเติบโตที่่ผ่านมาของจีนมาจากหนี้ ซึ่งน่ากลัวมาก
ถ้าหากเติบโตแบบเดิมไปนานๆจะไม่สามารถทำได้
เปรียบเสมือนการสร้างหนี้เติบโตเร็วกว่ารายได้หลายเท่า
จีนจึงเริ่มลดดอกเบี้ย ลดการปล่อยกู้ ทำให้ค่าเงินหยวนอ่อน
ประเทศ emerging market อื่นค่าเงินจึงอ่อนตามไปด้วย
ตลาดอเมริกาช่วงนี้น่าจะเรียกว่าหมดยุค
ในยุค 10 ปีที่ผ่านมา FED พยายามฟื้นเศรษฐกิจโดยอุ้มราคาหุ้นให้สูง
ตั้งแต่ปี 2008 ที่ผ่านมานโยบายลดดอกเบี้ย, QE เพิ่มปริมาณเงินในระบบ
เพื่อให้คนมีเงินไปซื้อสินทรัพย์เสี่ยง คือหุ้น
หลักการที่ เบน เบเนเก้ ทำเพื่อกว้านซื้อสินทรัพย์คุณภาพดีทั้งหมดมาอยู่กับแบงค์ชาติ
แลกกับเงินสด คนที่ถือเงินสดไม่มีทางเลือก ต้องไปซื้อหุ้น
แบงค์ชาติสหรัฐเริ่มซื้อสินทรัพย์จาก 8 แสนล้าน เป็น 4 ล้านล้านเหรียญ
ตั้งแต่ ต.ค. 61 เริ่มปล่อยให้พันธบัตรที่ซื้ออยู่หมดอายุไปเรื่อยๆ
เดือนละ 5 หมื่นล้านเหรียญ ( 6 แสนล้านเหรียญ ต่อปี)
หลังจากนั้นหุ้นก็ค่อยๆไหลลงมา
ผู้ว่า FED คนใหม่ ให้สัมภาษณ์แล้วหุ้นขึ้นเยอะมาก
เพราะบอกว่าสามารถถอยนโยบายที่จะปล่อยพันธบัตรหมดอายุได้
เดิมตำราเศรษฐศาสตร์ไม่เคยมีการทำ QE
การทำ QE คือ ธนาคารกลาง พิมพ์เงินให้รัฐบาลใช้ฟรี
อย่างที่ญี่ปุ่นทำ QE ธนาคารกลางไล่ซื้อพันธบัตร
จนดอกเบี้ย พันธบัตร 10 ปี เป็น 0%
เหมือนรัฐบาลกู้เงินฟรี จึงมีหนี้เป็น 230% ของ GDP
โดยหลักการจึงไม่ควรทำอย่างนี้ อเมริกา จึงต้องค่อยๆถอยออกไป
ที่เรียกว่า QT (Quantitative Tightening)
Market Cap หุ้นอเมริกาเป็น 40% ของหุ้นโลก
จึงมีผลกระทบกับตลาดหุ้นอื่นในโลกด้วย
Slide Global slowdown, strong baht
- แนวโน้มการผลิต เริ่มเห็นว่าไหลลงมา ตอกย้ำว่าเศรษฐกิจโตช้าลงทั้งโลก
ที่ระดับปัจจุบันยังเห็นว่าบวกอยู่โต 4-5% เหลือ 1-2%
ประเด็นคือจะลดลงต่อ หรือจะเริ่มคงที่
ซึ่งยังหาปัจจัยที่จะทำให้เพิ่มขึ้นไม่ได้
ธนาคารกลางอเมริกา,ยุโรป ยุติ QE แล้ว ต่อไปญี่ปุ่นก็จะลด QE ด้วย
BREXIT ก็ต้องมาลุ้นว่าจะออกหรือไม่
ดูแล้วมีแต่ประเด็นที่จะลุ้นความเสี่ยงขาลงมากกว่าขาขึ้น
- ทุกประเทศค่าเงินอ่อนกว่าดอลลาร์หมดเลย ยกเว้น ญี่ปุ่น กับ ไทย
ที่ค่าเงินแทบจะไม่อ่อนลง เป็นทั้งข้อดีและไม่ดี
ถ้าเศรษฐกิจชะลอและบาทแข็งจะยิ่งส่งออกยาก
แบงค์ชาติขึ้นดอกเบี้ย แต่ดอกเบี้ยระยะยาวลดลง
ตัวเลขเงินเฟ้อ ธ.ค. ต่ำลงไปออก ยิ่งทำให้ต่างชาตินำเงินซื้อพันธบัตรไทยมากขึ้น
บาทจึงยิ่งแข็งขึ้น ถ้าเราจะไปเที่ยวต่างประเทศในช่วงนี้ก็ดี
แบงค์ชาติไทยปรับดอกเบี้ยเพิ่ม
ให้เหตุผลว่ากลัวคนมีเงินจะไปหาที่ลงทุนหาผลตอบแทนสูง
แล้วจะมีพฤติกรรมเอาเงินไปฝากสหกรณ์ออมทรัพย์ที่ให้ดอกเบี้ยสูง
แต่เอาเงินไปเล่นหุ้นหรือไม่ได้ตรวจมาตรฐานเข้มข้น แล้วเกิดความเสี่ยง
หรือซื้อพันธบัตรที่ Unrated bond
ส่วนตัวเห็นว่าหากเป็นเช่นนั้นขึ้นแค่ 0.25 คงไม่พอ ต้องมากกว่านั้น
อีกเหตุผลแบงค์ชาติอยากมี Policy space เพื่อต่อไปสามารถลดดอกเบี้ยได้
โดยให้แนวทางว่าถ้ามีโอกาสเหมาะสมก็จะปรับขึ้น
แต่ก็ไม่แน่ใจว่าจะได้ปรับเพิ่มขึ้นไหม
หรืออย่างเข้าไปดูแลการซื้ออสังหาริมทรัพย์ Loan to Value
แบงค์ชาติอยู่ในโหมดที่อยากให้ใช้จ่ายอย่างระมัดระวัง
US vs China
- เวลาพูดถึงเรื่องสงครามการค้าอเมริกากับจีน
นักวิเคราะห์มักพูดกันว่าทรัมป์เป็นคนชอบกีดกันการค้า
อยากให้จีนซื้อของมากขึ้น ซึ่งทรัมป์คิดว่าตัวเองได้เปรียบจีนอยู่
แต่หากเศรษฐกิจอเมริกาเริ่มแย่ ทรัมป์จะรู้ตัวว่าตัวเองเริ่มแย่
แล้วทรัมป์จะคุยกับจีนรู้เรื่อง และจบลงได้
ขอเล่าในอีกด้าน ในฐานะเคยเป็นข้าราชการกระทรวงต่างประเทศ
เข้าใจว่าแนวคิดอเมริกาไม่ใช่ปัญหาเรื่องการค้า
แต่เป็นปัญหาว่าใครจะเป็นมหาอำนาจในอีก 20 ปีข้างหน้า
ปี 2000 บิล คลินตัน สนับสนุนให้จีนเข้า WTO
โดยมองว่าจีนจะเป็นพรรคพวกที่ดีของอเมริกา
GDP อเมริกาวันนั้นใหญ่กว่า 9 เท่า
การส่งออกของอเมริกามากกว่าจีนเท่าตัว การนำเข้ามากกว่า 5 เท่าตัว
เวลาผ่านไป 17 ปี...
เศรษฐกิจอเมริกาโตเกือบ 1 เท่า แต่จีนโตขึ้น 10 เท่า
การส่งออกจีนมากกว่าอเมริกาไปแล้ว
มันแสดงศักยภาพประเทศในการขายของ
การนำเข้าของอเมริกามากกว่าจีน
ถือเป็นจุดอ่อนเป็นการพึ่งพาต่างประเทศ
ถ้ามองในเชิงรัฐศาสตร์ จีนได้เปรียบกว่าอเมริกา 2 ด้านคือ
1.ประชากรอเมริกา 320 ล้านคน ประชากรจีน 1.4 พันล้านคน
2.นักเศรษฐศาสตร์บางคนดู GDP แบบ PPP (กำลังซื้อจริงเท่าไร)
ซึ่งถ้าดูแบบ PPP กำลังซื้อเศรษฐกิจจีนเท่ากับอเมริกาเมื่อปี 2016 ไปแล้ว
ที่สำคัญ คือ การคาดการณ์ของ bloomberg
บอกว่าอีก 10 ปี Nominal GDP ของจีน จะเท่ากับอเมริกา
คำถามคือ ถ้าคุณเป็นอเมริกาจะยอมหรือไม่ ?
อีก 10 ปีสีจิ้นผิงจะยังเป็นประธานธิบดีเพราะได้แก้ไขรัฐธรรมนูญ
แต่ทรัมป์ไม่รู้จะอยู่ถึงปลายปี 2020 หรือไม่
ถ้าลองไปอ่านบทวิเคราะห์หรือแนวคิดต่างๆในอเมริกาจะเข้าใจ
ฝ่ายความมั่นคงใช้คำว่า จีนเป็น existential threat
คือ เป็นภัยคุกคามการอยู่รอดของอเมริกา
เวลาเราวิเคราะห์มอบแบบนักลงทุน มองการค้าเป็น win win
แต่ในเชิงช่วงชิงความเป็นประเทศมหาอำนาจ
ดูแล้วอเมริกาอาจจะยอมไม่ได้
ดังนั้น สาระในการเจรจาของจีนกับอเมริกา
จะมีเรื่องที่ตกลงได้ และเรื่องที่ไม่สามารถตกลงกันได้
สังเกตว่าระดับเจ้าหน้าที่ที่เจรจากัน
จีนยอมซื้อสินค้าที่อเมริกาอยากให้ซื้อ เช่น ถั่วเหลือง,ข้าวโพด,
พืช GMO, แก๊สธรรมชาติ, เปิดตลาดให้โบรกเกอร์ในอเมริกาเข้ามาทำธุรกิจในจีน
สาระที่ไม่สามารถตกลงกันได้ คือ
1) อเมริกายังเชื่อว่าจีนขโมยเทคโนโลยี เช่น โรงแรมแมริออต์ถูก hack
ในปีก่อน มาจากกระทรวงความมั่นคงของจีนสั่ง
2) รัฐบาลจีนบังคับให้บริษัทเทคโนโลยีไปอเมริกาถ่ายโอนเทคโนโลยี
ให้ถ้าทำธุรกิจในจีน
3) รัฐบาลจีนสนับสนุนให้รัฐวิสาหกิจจีนเป็นผู้นำในเทคโลยีชั้นนำ 10 ประเภท
ในปี 2025
ตอนนี้สิ่งที่จีนขาดอยู่คือ เทคโนโลยีสู้ไม่ได้
ดังนั้นอเมริกาจะต้องกั๊กเรื่องเทคโลยี
โดยเฉพาะตอนนี้คือ 5G
จีนกับอเมริกากำลังแข่งกันเป็นผู้กำหนดบรรทัดฐาน
ธนาคารคือระบบโทรคมนาคมส่งเงิน
รถยนต์ก็มี GPS หมดแล้ว
ทุกอย่างใช้ระบบโทรคมนาคมหมดเลย
5G จะดีกว่า 4G 50-100 เท่า
ตอนนี้อยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อทีจะช่วงชิงกัน
ที่ผ่านมา 3G 4G ถูกกำหนดโดยอเมริกา
มีบริษัทที่เกี่ยวข้องกับ 5G คือ ควอคอม
ปีที่แล้วกำลังจะถูกบริษัทบรอดคอมซื้อทั้งบริษัท 1.2 แสนล้านเหรียญ
เกือบจะซื้อได้แล้ว โดนรัฐบาลอเมริกาเบรคไม่ให้ซื้อ
เพราะกลัวจะมีการมีความสัมพันธ์กับรัฐบาลจีนมากเกินไป
และจะได้เทคโนโลยีที่เกี่ยวกับ 5G ไป
หัวเหว่ยเป็นบริษัทผลิต hardware ที่เกี่ยวกับ 4G,5G ที่ใหญ่ที่สุดในโลก
ประเด็นคือ CFO ของหัวเหว่ยถูกจับเพราะไปละเมิดกฏหมายอเมริกา
ให้ไปแซงคชันอิหร่าน ซึ่งหัวเหว่ยไปมีสัมพันธ์กับบริษัทที่ทำธุรกิจกับอิหร่าน
ประเด็นหลักอเมริกากลัวว่ารัฐบาลจะคุมบริษัทเหล่านี้ได้และสั่งให้เอาข้อมูลมาให้
มีการประชุม Five eyes เป็นข้อตกลงระหว่าง สหรัฐ,อังกฤษ,ออสเตรเลีย,นิวซีแลนด์,แคนาดา
เป็นประเทศใกล้ชิดที่จะให้ข้อมูลลับ
ซึ่งตกลงกับ 5 ประเทศนี้ บอยคอตต์หัวเหว่ย ในการประมูล 5G
โดยมีการประกาศใน 5 ประเทศนี้จริงๆ ที่ไม่ให้จีนประมูล เพื่อความมั่นคง
รวมถึงล่าสุดญี่ปุ่นก็ประกาศเช่นกัน
สรุปคือระยะสั้นหุ้นอาจจะขึ้นได้เพราะทรัมป์สงบศึกชั่วคราว
ผลกระทบลึกๆ คือ นโยบายที่จะทำให้ global supply chain
ไม่เป็น global ปัจจุบันจะหาชิ้นส่วน,ประกอบ,ทำวิจัย ที่ไหนก็ได้ในโลก
เช่น apple ใช้ชิ้นส่วนจากหลายแหล่ง ประกอบและขายทั่วโลก
ทรัมป์ต้องการแบ่งว่า supply chain ของตัวเอง ก็จะเป็นของตัวเอง
เช่น บอก ฮาร์เลยเดวิดสัน, GM, apple ให้มาผลิตอเมริกา
ซึ่งจีนก็ทำแบบนั้นเหมือนกัน คือ belt and road เอาถนนทุกอย่างเข้าสู่จีน
ประเด็นคือ ถ้าแยก supply chain จะมีสูญญากาศไม่รู้จะไปที่ไหน
จะเกิดการชะลอตัว และ disrupt
อย่างจีนตอนนี้กล้าลงทุนในอเมริกาไหม
ตอนนี้ทุกคนต้องกลับมาคิด จะไม่ลงทุน ไม่จ้างงาน
ความเสี่ยงตรงนี้เป็นสิ่งที่จะกระทบ 2-3 ปีข้างหน้า
สิ่งที่ทรัมป์ทำแย่ที่สุดสำหรับอเมริกาคือยกเลิก TPP
ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์ของโอบามา ที่จะปิดล้อมเศรษฐกิจของจีน
หลังจากนั้นจีนจึงเร่ง belt and road เพื่อดึงประเทศในภูมิภาคมาเป็นพวก
หลักการถ้าอเมริกาต้องการรักษา supply chain โลก และโดดเดี่ยวจีน
ต้องใช้ TPP เท่านั้น
ทางเลือกของไทย สมมติ TPP ฟื้นกลับขึ้นมาก็ต้องดูว่าจะอยู่กับอเมริกาหรือไม่
ไม่เช่นนั้นก็ต้องเลือกไปอยู่กับจีน
ตอนยุคนั้น TPP อเมริกามาเชิญไทยเป็นรายแรกๆ
นายกในไทยคือคุณยิ่งลักษณ์ก็ตอบรับอยากเข้า
แต่สุดท้ายทางเรา NGO ไม่ให้เข้า
เศรษฐกิจไทยปี 62 คาดการณ์ชะลอตัวลง
GDP ปี 61 โต 4%กว่า ปี 62 โต 3.7-3.8%
การส่งออก ปี 61 โต 8% ปี 62 โต 4-5%
หลายคนหวังว่าประกาศการเลือกตั้ง และหาเสียงเศรษฐกิจจะบูม
ส่วนตัวไม่เคยเชื่อว่าจะทำให้ดี
มองว่าจะมีช่วงสูญญากาศ เพราะการเลือกตั้งจะโอนอำนาจจากลุ่มหนึ่งไปกลุ่มหนึ่ง
ซึ่งรัฐบาลนิติบัญญัติจะกลายเป็นสภาผู้แทนราษฎร จะทำอะไรได้ยากกว่าเดิม
คงเป็นการเร่งอะไรต่างๆไม่ได้
ถัดมาจะหาเสียงใช้เงินเยอะแยะเอาเงินจากไหน
กกต./นโบบายหาเสียงก็ถูกควบคุมเข้ม
นักการเมืองก็ต้องคิดว่าผลตอบแทนจะคุ้มไหม
ระบบเลือกตั้งที่เป็นสัดส่วนผสมจะทำให้ทะเลาะกัน
เลือก สส. 2 คน แต่กาใบเดียว
ที่บอกว่าเลือกตั้งแล้วจะประกาศผลได้เร็ว
ต้องระวังจะต้องใช้ 60 วัน เพราะจะมีการฟ้องร้องเพื่อช่วงชิงทุกคะแนน
จะมีการฟ้องกับเยอะ เพราะคะแนนของคนที่แพ้ก็มีความหมายกับการได้
สส. ปาร์ตี้ลิสต์ 1 คน 7 หมื่นกว่าคะแนน
ตลาดหุ้นไทย
มองว่าครึ่งแรกจะมีความไม่แน่นอน ทำให้ตลาดหุ้นไปได้ยาก
มีแต่ downside มากกว่า upside
แต่ไม่รู้เมื่อไรที่ตลาดจะ price in ทุกอย่างเข้าไป
ภัทรให้ target SET ประมาณ 1600
โดยหวังว่าครึ่งปีหลังจะมีรัฐบาลและหวังว่าปีถัดไปจะดีขึ้น
ปีนี้ที่อเมริกาจะเริ่มขาดดุลงบประมาณมากขึ้น
และทรัมป์ทะเลาะกับรัฐสภา ,ประเด็นการอนุมัติขยายเพดานหนี้
รวมถึงสงครามการค้ากับจีนที่ยังไม่แน่นอนว่าจะสงบ
ที่สำคัญอเมริกาอย่ามีเงินเฟ้อ ถ้าหากขึ้นไป 3% มีปัญหาแน่นอน
ผู้ว่า FED บอกว่าตอนนี้มีเวลาไม่ขึ้นดอกเบี้ยได้ เพราะเงินเฟ้อต่ำ
เป้าเงินเฟ้อคือ 2%
มีโอกาสที่เศรษฐกิจจะถดถอย ถ้าอเมริกากับจีนมีปัญหาขึ้นไปอีก
รวมถึงถ้าหากอังกฤษก็ brexit ออกมาอีก
จะทำให้กระบวนการผลิตในยุโรปเสียหาย ที่อังกฤษกระชากตัวเองออกมา
ซึ่งอังกฤษใหญ่เป็นเบอร์ 3 ของยุโรป ไม่รู้ว่าจะออกมาแบบไหน
ตัวเลขล่าสุดของเยอรมันแผ่วลงกว่าที่นักวิเคราะห์คาด
ข้อดีของประเทศไทย
เนื่องจากบาทแข็ง, เกินดุลบัญชีเดินสะพัด
ถ้าแบงค์ชาติจะลดดอกเบี้ยทำได้ทันที
เป้าเงินเฟ้อแบงค์ชาติ 2.5% ตัวเลขล่าสุดราว 1%
ตอนนี้ที่แบงค์ชาติกังวลคือ financial stability
แนวโน้มราย Sector
คิดว่าท่องเที่ยวยังดี และกลุ่มที่ defensive ก็น่าจะยังดี
ภาคท่องเที่ยว, ภาครักษาพยาบาลก็ดีเป็น medical tourism ไปด้วย
ต้องดูเป็นรายตัวมากขึ้น
การใช้จ่ายรัฐบาล
คิดว่าไม่น่าจะดี เนื่องจาก 3 ปีก่อนตั้งงบประมาณไม่พอ และจะมีงบกลางปี
ปีนี้งบอาจจะขาด เพราะเป็นช่วงเลือกตั้ง
Mega project ขอสิทธิลงทุน BOI
งบส่วนใหญ่ในต่างจังหวัด เป็น ถนนกับรถไฟรางคู่ เป็นเม็ดเงินไม่เยอะ
เม็ดเงินที่เยอะคือ รถไฟฟ้า ที่กำลังสร้างอยู่ในกรุงเทพ
ส่วนที่ตัวหวังคือ EEC ซึ่งยังไม่เริ่มเลย
และรถไฟความเร็วสูงที่เชื่อมสามสนามบินก็ยังไม่เริ่ม
ในหลักการต้องการใช้สนามบินอู่ตะเภา มีศักยภาพเหมือนดอนเมือง
ทุกวันนี้ 26-27 ล้านคน จาก capacity 20 ล้านคน
แต่ตอนนี้อู่ตะเภาใช้แค่ 1 ล้าน ยังเหลืออยู่เยอะ
ที่สุวรรณภูมิก็แออัดเช่นกัน หากโอนออกไปได้ จะถ่ายเทไปได้หมด
ซึ่งสร้างการท่องเที่ยวแถวนั้นได้ดี ก็จะสร้างรายได้เพิ่มได้มาก
project mro สถานที่ซ่อมบำรุงเครื่องบิน สร้างเขตเศรษฐกิจที่อู่ตะเภา
สร้างเขตผลิตชิ้นส่วนเครื่องบิน
รวมถึง project ขยายท่าเรือมาบตราพุต แหลมฉบัง
ต้องหวังว่าสิ่งต่างๆเหล่านี้เดินไปตามรัฐบาลว่า ซึ่งใช้เวลา 5 ปี
ปัญหาคือ ที่ดินราคาขึ้นไปคอย แต่ธุรกิจยังไม่ได้เริ่ม
ช่วงที่ 2 >> สรุปเพิ่มเติมใน Post ถัดไปครับ
หัวข้อ 1 “เศรษฐกิจโลก เศรษฐกิจไทย และแนวโน้มหุ้น”
แขกรับเชิญ ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ
ดร.ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา และ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ดำเนินรายการ
ปลายปี 61 เห็นหุ้นปรับลงมาก แสดงให้เห็นว่านักวิเคราะห์เริ่มยอมรับเศรษฐกิจชะลอลง
เช่น apple ผลประกอบการและราคาหุ้นก็ปรับตัวลดลง
ปัจจุบันยังถกเกียงกันอยู่ว่า ตลาดปัจจุบันได้ price in การชะลอตัวลงหรือยัง
ล่าสุด FED ก็ออกมาบอกว่าดอกเบี้ยจะถอยอย่างค่อยเป็นค่อยไป หรือไม่ขึ้นก็ได้
การลดงบดุลของ FED ก็อาจจะถอยได้ถ้าสถานการณ์จำเป็น
ทำให้ตลาดกลับมาคึกคักขึ้น
รวมการการเจรจาระดับสูงระหว่างจีนกับอเมริกา
โดยมีความหวังว่าจะสงบศึกการค้าได้
1) FED ขึ้นดอกเบี้ยมากไปเร็วไป
2) Trade war จีน กับอเมริกา เริ่มรู้สึกว่าอาจไม่รุนแรง
อย่างกรณี apple ทิม คุก อ้างถึงยอดขาย apple ไม่ดี มาจากกำลังซื้อในประเทศจีนอ่อนแอลง
ซึ่งจีน+อเมริกา คิดเป็น 40% GDP โลก ถ้าหาก 2 ประเทศนี้เจริญเติบโตช้าลงและทะเลาะกันอีก
ย่อมกระทบกับเศรษฐกิจโลก
จีนเข้มงวดขึ้นกับการปล่อยสินเชื่อ ปัญหาเพราะบริษัทต่างๆกู้เงินไว้เยอะ
เช่น บริษัทกลุ่มที่ไม่ใช่การเงิน
ในอเมริกากู้เงินมีหนี้สิน 60% ของ GDP แต่ที่จีน 150% ของ GDP
แสดงให้เห็นการเติบโตที่่ผ่านมาของจีนมาจากหนี้ ซึ่งน่ากลัวมาก
ถ้าหากเติบโตแบบเดิมไปนานๆจะไม่สามารถทำได้
เปรียบเสมือนการสร้างหนี้เติบโตเร็วกว่ารายได้หลายเท่า
จีนจึงเริ่มลดดอกเบี้ย ลดการปล่อยกู้ ทำให้ค่าเงินหยวนอ่อน
ประเทศ emerging market อื่นค่าเงินจึงอ่อนตามไปด้วย
ตลาดอเมริกาช่วงนี้น่าจะเรียกว่าหมดยุค
ในยุค 10 ปีที่ผ่านมา FED พยายามฟื้นเศรษฐกิจโดยอุ้มราคาหุ้นให้สูง
ตั้งแต่ปี 2008 ที่ผ่านมานโยบายลดดอกเบี้ย, QE เพิ่มปริมาณเงินในระบบ
เพื่อให้คนมีเงินไปซื้อสินทรัพย์เสี่ยง คือหุ้น
หลักการที่ เบน เบเนเก้ ทำเพื่อกว้านซื้อสินทรัพย์คุณภาพดีทั้งหมดมาอยู่กับแบงค์ชาติ
แลกกับเงินสด คนที่ถือเงินสดไม่มีทางเลือก ต้องไปซื้อหุ้น
แบงค์ชาติสหรัฐเริ่มซื้อสินทรัพย์จาก 8 แสนล้าน เป็น 4 ล้านล้านเหรียญ
ตั้งแต่ ต.ค. 61 เริ่มปล่อยให้พันธบัตรที่ซื้ออยู่หมดอายุไปเรื่อยๆ
เดือนละ 5 หมื่นล้านเหรียญ ( 6 แสนล้านเหรียญ ต่อปี)
หลังจากนั้นหุ้นก็ค่อยๆไหลลงมา
ผู้ว่า FED คนใหม่ ให้สัมภาษณ์แล้วหุ้นขึ้นเยอะมาก
เพราะบอกว่าสามารถถอยนโยบายที่จะปล่อยพันธบัตรหมดอายุได้
เดิมตำราเศรษฐศาสตร์ไม่เคยมีการทำ QE
การทำ QE คือ ธนาคารกลาง พิมพ์เงินให้รัฐบาลใช้ฟรี
อย่างที่ญี่ปุ่นทำ QE ธนาคารกลางไล่ซื้อพันธบัตร
จนดอกเบี้ย พันธบัตร 10 ปี เป็น 0%
เหมือนรัฐบาลกู้เงินฟรี จึงมีหนี้เป็น 230% ของ GDP
โดยหลักการจึงไม่ควรทำอย่างนี้ อเมริกา จึงต้องค่อยๆถอยออกไป
ที่เรียกว่า QT (Quantitative Tightening)
Market Cap หุ้นอเมริกาเป็น 40% ของหุ้นโลก
จึงมีผลกระทบกับตลาดหุ้นอื่นในโลกด้วย
Slide Global slowdown, strong baht
- แนวโน้มการผลิต เริ่มเห็นว่าไหลลงมา ตอกย้ำว่าเศรษฐกิจโตช้าลงทั้งโลก
ที่ระดับปัจจุบันยังเห็นว่าบวกอยู่โต 4-5% เหลือ 1-2%
ประเด็นคือจะลดลงต่อ หรือจะเริ่มคงที่
ซึ่งยังหาปัจจัยที่จะทำให้เพิ่มขึ้นไม่ได้
ธนาคารกลางอเมริกา,ยุโรป ยุติ QE แล้ว ต่อไปญี่ปุ่นก็จะลด QE ด้วย
BREXIT ก็ต้องมาลุ้นว่าจะออกหรือไม่
ดูแล้วมีแต่ประเด็นที่จะลุ้นความเสี่ยงขาลงมากกว่าขาขึ้น
- ทุกประเทศค่าเงินอ่อนกว่าดอลลาร์หมดเลย ยกเว้น ญี่ปุ่น กับ ไทย
ที่ค่าเงินแทบจะไม่อ่อนลง เป็นทั้งข้อดีและไม่ดี
ถ้าเศรษฐกิจชะลอและบาทแข็งจะยิ่งส่งออกยาก
แบงค์ชาติขึ้นดอกเบี้ย แต่ดอกเบี้ยระยะยาวลดลง
ตัวเลขเงินเฟ้อ ธ.ค. ต่ำลงไปออก ยิ่งทำให้ต่างชาตินำเงินซื้อพันธบัตรไทยมากขึ้น
บาทจึงยิ่งแข็งขึ้น ถ้าเราจะไปเที่ยวต่างประเทศในช่วงนี้ก็ดี
แบงค์ชาติไทยปรับดอกเบี้ยเพิ่ม
ให้เหตุผลว่ากลัวคนมีเงินจะไปหาที่ลงทุนหาผลตอบแทนสูง
แล้วจะมีพฤติกรรมเอาเงินไปฝากสหกรณ์ออมทรัพย์ที่ให้ดอกเบี้ยสูง
แต่เอาเงินไปเล่นหุ้นหรือไม่ได้ตรวจมาตรฐานเข้มข้น แล้วเกิดความเสี่ยง
หรือซื้อพันธบัตรที่ Unrated bond
ส่วนตัวเห็นว่าหากเป็นเช่นนั้นขึ้นแค่ 0.25 คงไม่พอ ต้องมากกว่านั้น
อีกเหตุผลแบงค์ชาติอยากมี Policy space เพื่อต่อไปสามารถลดดอกเบี้ยได้
โดยให้แนวทางว่าถ้ามีโอกาสเหมาะสมก็จะปรับขึ้น
แต่ก็ไม่แน่ใจว่าจะได้ปรับเพิ่มขึ้นไหม
หรืออย่างเข้าไปดูแลการซื้ออสังหาริมทรัพย์ Loan to Value
แบงค์ชาติอยู่ในโหมดที่อยากให้ใช้จ่ายอย่างระมัดระวัง
US vs China
- เวลาพูดถึงเรื่องสงครามการค้าอเมริกากับจีน
นักวิเคราะห์มักพูดกันว่าทรัมป์เป็นคนชอบกีดกันการค้า
อยากให้จีนซื้อของมากขึ้น ซึ่งทรัมป์คิดว่าตัวเองได้เปรียบจีนอยู่
แต่หากเศรษฐกิจอเมริกาเริ่มแย่ ทรัมป์จะรู้ตัวว่าตัวเองเริ่มแย่
แล้วทรัมป์จะคุยกับจีนรู้เรื่อง และจบลงได้
ขอเล่าในอีกด้าน ในฐานะเคยเป็นข้าราชการกระทรวงต่างประเทศ
เข้าใจว่าแนวคิดอเมริกาไม่ใช่ปัญหาเรื่องการค้า
แต่เป็นปัญหาว่าใครจะเป็นมหาอำนาจในอีก 20 ปีข้างหน้า
ปี 2000 บิล คลินตัน สนับสนุนให้จีนเข้า WTO
โดยมองว่าจีนจะเป็นพรรคพวกที่ดีของอเมริกา
GDP อเมริกาวันนั้นใหญ่กว่า 9 เท่า
การส่งออกของอเมริกามากกว่าจีนเท่าตัว การนำเข้ามากกว่า 5 เท่าตัว
เวลาผ่านไป 17 ปี...
เศรษฐกิจอเมริกาโตเกือบ 1 เท่า แต่จีนโตขึ้น 10 เท่า
การส่งออกจีนมากกว่าอเมริกาไปแล้ว
มันแสดงศักยภาพประเทศในการขายของ
การนำเข้าของอเมริกามากกว่าจีน
ถือเป็นจุดอ่อนเป็นการพึ่งพาต่างประเทศ
ถ้ามองในเชิงรัฐศาสตร์ จีนได้เปรียบกว่าอเมริกา 2 ด้านคือ
1.ประชากรอเมริกา 320 ล้านคน ประชากรจีน 1.4 พันล้านคน
2.นักเศรษฐศาสตร์บางคนดู GDP แบบ PPP (กำลังซื้อจริงเท่าไร)
ซึ่งถ้าดูแบบ PPP กำลังซื้อเศรษฐกิจจีนเท่ากับอเมริกาเมื่อปี 2016 ไปแล้ว
ที่สำคัญ คือ การคาดการณ์ของ bloomberg
บอกว่าอีก 10 ปี Nominal GDP ของจีน จะเท่ากับอเมริกา
คำถามคือ ถ้าคุณเป็นอเมริกาจะยอมหรือไม่ ?
อีก 10 ปีสีจิ้นผิงจะยังเป็นประธานธิบดีเพราะได้แก้ไขรัฐธรรมนูญ
แต่ทรัมป์ไม่รู้จะอยู่ถึงปลายปี 2020 หรือไม่
ถ้าลองไปอ่านบทวิเคราะห์หรือแนวคิดต่างๆในอเมริกาจะเข้าใจ
ฝ่ายความมั่นคงใช้คำว่า จีนเป็น existential threat
คือ เป็นภัยคุกคามการอยู่รอดของอเมริกา
เวลาเราวิเคราะห์มอบแบบนักลงทุน มองการค้าเป็น win win
แต่ในเชิงช่วงชิงความเป็นประเทศมหาอำนาจ
ดูแล้วอเมริกาอาจจะยอมไม่ได้
ดังนั้น สาระในการเจรจาของจีนกับอเมริกา
จะมีเรื่องที่ตกลงได้ และเรื่องที่ไม่สามารถตกลงกันได้
สังเกตว่าระดับเจ้าหน้าที่ที่เจรจากัน
จีนยอมซื้อสินค้าที่อเมริกาอยากให้ซื้อ เช่น ถั่วเหลือง,ข้าวโพด,
พืช GMO, แก๊สธรรมชาติ, เปิดตลาดให้โบรกเกอร์ในอเมริกาเข้ามาทำธุรกิจในจีน
สาระที่ไม่สามารถตกลงกันได้ คือ
1) อเมริกายังเชื่อว่าจีนขโมยเทคโนโลยี เช่น โรงแรมแมริออต์ถูก hack
ในปีก่อน มาจากกระทรวงความมั่นคงของจีนสั่ง
2) รัฐบาลจีนบังคับให้บริษัทเทคโนโลยีไปอเมริกาถ่ายโอนเทคโนโลยี
ให้ถ้าทำธุรกิจในจีน
3) รัฐบาลจีนสนับสนุนให้รัฐวิสาหกิจจีนเป็นผู้นำในเทคโลยีชั้นนำ 10 ประเภท
ในปี 2025
ตอนนี้สิ่งที่จีนขาดอยู่คือ เทคโนโลยีสู้ไม่ได้
ดังนั้นอเมริกาจะต้องกั๊กเรื่องเทคโลยี
โดยเฉพาะตอนนี้คือ 5G
จีนกับอเมริกากำลังแข่งกันเป็นผู้กำหนดบรรทัดฐาน
ธนาคารคือระบบโทรคมนาคมส่งเงิน
รถยนต์ก็มี GPS หมดแล้ว
ทุกอย่างใช้ระบบโทรคมนาคมหมดเลย
5G จะดีกว่า 4G 50-100 เท่า
ตอนนี้อยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อทีจะช่วงชิงกัน
ที่ผ่านมา 3G 4G ถูกกำหนดโดยอเมริกา
มีบริษัทที่เกี่ยวข้องกับ 5G คือ ควอคอม
ปีที่แล้วกำลังจะถูกบริษัทบรอดคอมซื้อทั้งบริษัท 1.2 แสนล้านเหรียญ
เกือบจะซื้อได้แล้ว โดนรัฐบาลอเมริกาเบรคไม่ให้ซื้อ
เพราะกลัวจะมีการมีความสัมพันธ์กับรัฐบาลจีนมากเกินไป
และจะได้เทคโนโลยีที่เกี่ยวกับ 5G ไป
หัวเหว่ยเป็นบริษัทผลิต hardware ที่เกี่ยวกับ 4G,5G ที่ใหญ่ที่สุดในโลก
ประเด็นคือ CFO ของหัวเหว่ยถูกจับเพราะไปละเมิดกฏหมายอเมริกา
ให้ไปแซงคชันอิหร่าน ซึ่งหัวเหว่ยไปมีสัมพันธ์กับบริษัทที่ทำธุรกิจกับอิหร่าน
ประเด็นหลักอเมริกากลัวว่ารัฐบาลจะคุมบริษัทเหล่านี้ได้และสั่งให้เอาข้อมูลมาให้
มีการประชุม Five eyes เป็นข้อตกลงระหว่าง สหรัฐ,อังกฤษ,ออสเตรเลีย,นิวซีแลนด์,แคนาดา
เป็นประเทศใกล้ชิดที่จะให้ข้อมูลลับ
ซึ่งตกลงกับ 5 ประเทศนี้ บอยคอตต์หัวเหว่ย ในการประมูล 5G
โดยมีการประกาศใน 5 ประเทศนี้จริงๆ ที่ไม่ให้จีนประมูล เพื่อความมั่นคง
รวมถึงล่าสุดญี่ปุ่นก็ประกาศเช่นกัน
สรุปคือระยะสั้นหุ้นอาจจะขึ้นได้เพราะทรัมป์สงบศึกชั่วคราว
ผลกระทบลึกๆ คือ นโยบายที่จะทำให้ global supply chain
ไม่เป็น global ปัจจุบันจะหาชิ้นส่วน,ประกอบ,ทำวิจัย ที่ไหนก็ได้ในโลก
เช่น apple ใช้ชิ้นส่วนจากหลายแหล่ง ประกอบและขายทั่วโลก
ทรัมป์ต้องการแบ่งว่า supply chain ของตัวเอง ก็จะเป็นของตัวเอง
เช่น บอก ฮาร์เลยเดวิดสัน, GM, apple ให้มาผลิตอเมริกา
ซึ่งจีนก็ทำแบบนั้นเหมือนกัน คือ belt and road เอาถนนทุกอย่างเข้าสู่จีน
ประเด็นคือ ถ้าแยก supply chain จะมีสูญญากาศไม่รู้จะไปที่ไหน
จะเกิดการชะลอตัว และ disrupt
อย่างจีนตอนนี้กล้าลงทุนในอเมริกาไหม
ตอนนี้ทุกคนต้องกลับมาคิด จะไม่ลงทุน ไม่จ้างงาน
ความเสี่ยงตรงนี้เป็นสิ่งที่จะกระทบ 2-3 ปีข้างหน้า
สิ่งที่ทรัมป์ทำแย่ที่สุดสำหรับอเมริกาคือยกเลิก TPP
ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์ของโอบามา ที่จะปิดล้อมเศรษฐกิจของจีน
หลังจากนั้นจีนจึงเร่ง belt and road เพื่อดึงประเทศในภูมิภาคมาเป็นพวก
หลักการถ้าอเมริกาต้องการรักษา supply chain โลก และโดดเดี่ยวจีน
ต้องใช้ TPP เท่านั้น
ทางเลือกของไทย สมมติ TPP ฟื้นกลับขึ้นมาก็ต้องดูว่าจะอยู่กับอเมริกาหรือไม่
ไม่เช่นนั้นก็ต้องเลือกไปอยู่กับจีน
ตอนยุคนั้น TPP อเมริกามาเชิญไทยเป็นรายแรกๆ
นายกในไทยคือคุณยิ่งลักษณ์ก็ตอบรับอยากเข้า
แต่สุดท้ายทางเรา NGO ไม่ให้เข้า
เศรษฐกิจไทยปี 62 คาดการณ์ชะลอตัวลง
GDP ปี 61 โต 4%กว่า ปี 62 โต 3.7-3.8%
การส่งออก ปี 61 โต 8% ปี 62 โต 4-5%
หลายคนหวังว่าประกาศการเลือกตั้ง และหาเสียงเศรษฐกิจจะบูม
ส่วนตัวไม่เคยเชื่อว่าจะทำให้ดี
มองว่าจะมีช่วงสูญญากาศ เพราะการเลือกตั้งจะโอนอำนาจจากลุ่มหนึ่งไปกลุ่มหนึ่ง
ซึ่งรัฐบาลนิติบัญญัติจะกลายเป็นสภาผู้แทนราษฎร จะทำอะไรได้ยากกว่าเดิม
คงเป็นการเร่งอะไรต่างๆไม่ได้
ถัดมาจะหาเสียงใช้เงินเยอะแยะเอาเงินจากไหน
กกต./นโบบายหาเสียงก็ถูกควบคุมเข้ม
นักการเมืองก็ต้องคิดว่าผลตอบแทนจะคุ้มไหม
ระบบเลือกตั้งที่เป็นสัดส่วนผสมจะทำให้ทะเลาะกัน
เลือก สส. 2 คน แต่กาใบเดียว
ที่บอกว่าเลือกตั้งแล้วจะประกาศผลได้เร็ว
ต้องระวังจะต้องใช้ 60 วัน เพราะจะมีการฟ้องร้องเพื่อช่วงชิงทุกคะแนน
จะมีการฟ้องกับเยอะ เพราะคะแนนของคนที่แพ้ก็มีความหมายกับการได้
สส. ปาร์ตี้ลิสต์ 1 คน 7 หมื่นกว่าคะแนน
ตลาดหุ้นไทย
มองว่าครึ่งแรกจะมีความไม่แน่นอน ทำให้ตลาดหุ้นไปได้ยาก
มีแต่ downside มากกว่า upside
แต่ไม่รู้เมื่อไรที่ตลาดจะ price in ทุกอย่างเข้าไป
ภัทรให้ target SET ประมาณ 1600
โดยหวังว่าครึ่งปีหลังจะมีรัฐบาลและหวังว่าปีถัดไปจะดีขึ้น
ปีนี้ที่อเมริกาจะเริ่มขาดดุลงบประมาณมากขึ้น
และทรัมป์ทะเลาะกับรัฐสภา ,ประเด็นการอนุมัติขยายเพดานหนี้
รวมถึงสงครามการค้ากับจีนที่ยังไม่แน่นอนว่าจะสงบ
ที่สำคัญอเมริกาอย่ามีเงินเฟ้อ ถ้าหากขึ้นไป 3% มีปัญหาแน่นอน
ผู้ว่า FED บอกว่าตอนนี้มีเวลาไม่ขึ้นดอกเบี้ยได้ เพราะเงินเฟ้อต่ำ
เป้าเงินเฟ้อคือ 2%
มีโอกาสที่เศรษฐกิจจะถดถอย ถ้าอเมริกากับจีนมีปัญหาขึ้นไปอีก
รวมถึงถ้าหากอังกฤษก็ brexit ออกมาอีก
จะทำให้กระบวนการผลิตในยุโรปเสียหาย ที่อังกฤษกระชากตัวเองออกมา
ซึ่งอังกฤษใหญ่เป็นเบอร์ 3 ของยุโรป ไม่รู้ว่าจะออกมาแบบไหน
ตัวเลขล่าสุดของเยอรมันแผ่วลงกว่าที่นักวิเคราะห์คาด
ข้อดีของประเทศไทย
เนื่องจากบาทแข็ง, เกินดุลบัญชีเดินสะพัด
ถ้าแบงค์ชาติจะลดดอกเบี้ยทำได้ทันที
เป้าเงินเฟ้อแบงค์ชาติ 2.5% ตัวเลขล่าสุดราว 1%
ตอนนี้ที่แบงค์ชาติกังวลคือ financial stability
แนวโน้มราย Sector
คิดว่าท่องเที่ยวยังดี และกลุ่มที่ defensive ก็น่าจะยังดี
ภาคท่องเที่ยว, ภาครักษาพยาบาลก็ดีเป็น medical tourism ไปด้วย
ต้องดูเป็นรายตัวมากขึ้น
การใช้จ่ายรัฐบาล
คิดว่าไม่น่าจะดี เนื่องจาก 3 ปีก่อนตั้งงบประมาณไม่พอ และจะมีงบกลางปี
ปีนี้งบอาจจะขาด เพราะเป็นช่วงเลือกตั้ง
Mega project ขอสิทธิลงทุน BOI
งบส่วนใหญ่ในต่างจังหวัด เป็น ถนนกับรถไฟรางคู่ เป็นเม็ดเงินไม่เยอะ
เม็ดเงินที่เยอะคือ รถไฟฟ้า ที่กำลังสร้างอยู่ในกรุงเทพ
ส่วนที่ตัวหวังคือ EEC ซึ่งยังไม่เริ่มเลย
และรถไฟความเร็วสูงที่เชื่อมสามสนามบินก็ยังไม่เริ่ม
ในหลักการต้องการใช้สนามบินอู่ตะเภา มีศักยภาพเหมือนดอนเมือง
ทุกวันนี้ 26-27 ล้านคน จาก capacity 20 ล้านคน
แต่ตอนนี้อู่ตะเภาใช้แค่ 1 ล้าน ยังเหลืออยู่เยอะ
ที่สุวรรณภูมิก็แออัดเช่นกัน หากโอนออกไปได้ จะถ่ายเทไปได้หมด
ซึ่งสร้างการท่องเที่ยวแถวนั้นได้ดี ก็จะสร้างรายได้เพิ่มได้มาก
project mro สถานที่ซ่อมบำรุงเครื่องบิน สร้างเขตเศรษฐกิจที่อู่ตะเภา
สร้างเขตผลิตชิ้นส่วนเครื่องบิน
รวมถึง project ขยายท่าเรือมาบตราพุต แหลมฉบัง
ต้องหวังว่าสิ่งต่างๆเหล่านี้เดินไปตามรัฐบาลว่า ซึ่งใช้เวลา 5 ปี
ปัญหาคือ ที่ดินราคาขึ้นไปคอย แต่ธุรกิจยังไม่ได้เริ่ม
ช่วงที่ 2 >> สรุปเพิ่มเติมใน Post ถัดไปครับ