Money@SET23/12/62ลงทุนอะไรดี&กลยุทธ์VIปี62
โพสต์แล้ว: อาทิตย์ ธ.ค. 23, 2018 5:04 pm
สัมมนา Money Talk@SET
วันอาทิตย์ที่ 23 ธันวาคม 2561
ช่วงที่ 1 “ลงทุนอะไรดีปี 62?”
1) ดร.สุวรรณ วลัยเสถียร
2) ดร.สมจินต์ ศรไพศาล
3) คุณ จักรพงษ์ เมษพันธุ์
ดร.ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา และ อ.เสน่ห์ ศรีสุวรรณ ดำเนินรายการ
_____________________
ลงทุนอะไรดีปี 62?
ดร.สุวรรณ
สมัยก่อนถ้าลงทุนหุ้น ถือไว้จะ side way up โตขึ้นไปเรื่อยๆ
แต่ตอนนี้คงลงทุนแบบขี้เกียจไม่ได้
ปีนี้ตลาดหลักทรัพย์ลงไปกว่า 7-8%
ระยะหลังติดตามดูตลาดนิวยอร์ค ก็ปรับตัวลดลงอย่างน่ากลัว
โดยที่จริงไม่ได้มีอะไรมาก สิ่งที่เกิดขึ้นคือ
1.ผลประกอบการออกมาก็ค่อนข้างดี ไม่ได้มีวิกฤติแบบ hambergur crisis, subprime
2.บริษัทหลายแห่งก็ยังมีเงินสดเหลือจำนวนมาก
เช่น apple, google, microsoft, คุณปูบัฟเฟตต์ ก็มีเงินกันเป็นแสนล้านเหรียญ
3.ทรัมป์ลดภาษ๊นิติบุคคลทำให้บริษัทจดทะเบียนอัตรากำไรดีขึ้น
4.อัตราคนว่างงานลดลงเหลือ 3% กว่า
จากข้อมูลในอดีต ถ้าลงทุนระยะยาวในหุ้น
ผลตอบแทนเฉลี่ยจะโตเร็วกว่าฝากแบงค์ 8.06%
แต่ต้องพยายามจัดการความผันผวน ต้องตั้งสติให้ดี
หลายคนเข้าออกผิดเวลา ถ้าหากซื้อหุ้นอยู่นิ่งๆ 20 ปี ได้ผลตอบแทนเฉลี่ย 8.2%
แต่หลายคนเข้าๆออกๆ ผลตอบแทนเฉลี่ยเหลือเพียง 4.7%
ธรรมชาติคนทั่วไปเมื่อซื้อหุ้นวันแรกก็เก็งว่าหุ้นจะขึ้น (optimism)
แต่เมื่อหุ้นขึ้นมาดีใจ (elation)
พอหุ้นตกลงก็กระวนกระวายใจ (nervous)
พอตกลงไปอีกก็กลัว (fear) ทำให้หนีออกจากตลาด
ซึ่งหากอยู่ต่อไปหุ้นดีๆก็จะกลับขึ้นมาใหม่สูงกว่าเดิม
อย่างเช่น บัฟเฟตต์ที่ไม่เคยขายโคคาโคล่า
ดังนั้นต้องถามตัวเองว่า อยากเป็นนักลงทุน ก็ต้องถือยาว
หรือ เป็นนักค้า ก็ต้องถือสั้น
ในช่วงที่เกิดวิกฤติ หุ้นจะตกลงอย่างมาก ต้องเข้าใจธรรมชาติที่เคยเกิดในอดีต
ในการลงทุนมีบางสิ่งบางอย่างที่ควบคุมได้ และควบคุมไม่ได้
สิ่งที่ควบคุมไม่ได้คือ ความผันผวนตลาด, อัตราดอกเบี้ย, เงินเฟ้อ
แต่สิ่งที่ควบคุมได้ คือ จะเลือกลงทุนแบบไหน ลงทุนหุ้น หรือลงทุนตราสารหนี้
บัฟเฟตต์บอกว่าเขาเป็นคนลงทุนระยะยาว
เมื่อจะลงทุนต้องถามตัวเองว่า ลงทุนยาว หรือ ลงทุนสั้น ?
การลงทุนระยะยาวดีกว่าลงทุนระยะสั้นเสมอ
ส่วนตัวซื้อ tmb set 50 ตอนนั้นขายออกเมื่อ 18 ปีก่อน ซื้อไป 140 ล้านบาท
และขึ้นรวดเร็วมาก ดัชนีต่ำมาก หลังต้มยำกุ้งใหม่ๆ ขึ้นจาก 10 เป็น 17 บาท
ถ้าหากเก็บไว้วันนี้จะเป็นเงิน 1400 กว่าล้านบาท
ไม่ว่าจะลงทุนแบบไหน เพื่อนที่ดีที่สุดคือเวลา
ต้องถามตัวเองว่าคุณะรับความเสี่ยงได้แค่ไหน
การลงทุนต้องเลือกตัวที่มีค่าธรรมเนียมต่ำ
เช่น tmb set 50 0.5%, voo ลงทุน s&p ที่อเมริกา 0.04%
จะมีเงินมากน้อยไม่สำคัญ อยู่ที่จะมีความสุขหรือเปล่า
เคยคุยกับคนหนึ่งบอกว่าจีนปีหน้าจะน่ากลัวมาก
ลงทุนโครงสร้างพื้นฐานมากเกินไป เช่น รถไฟความเร็วสูงไปธิเบต จะมีคนใช้มากแค่ไหน?
อย่างในไทย ถ้ารถไฟฟ้าวิ่งจากบางใหญ่เข้าเมืองจ่าย 200 บาท
คนไม่มีเงินก็หนีไปขึ้นรถตู้แทน
ดร.สมจินต์
ถ้ามองย้อนหนึ่งปีที่ผ่านมา ในภาพการลงทุนในโลก
• อัตราดอกเบี้ยอเมริกาที่ปรับขึ้นมาเป็นปัจจัยสำคัญสุด
ควบคู่กับเศรษฐกิจอเมริกาที่ดีขึ้น ดอลลาร์ที่แข็งขึ้น
ทำให้เงินทุนไหลออกจาก emerging market ไปที่อเมริกามากขึ้น
ทำให้ผลตอบแทน emerging market สู้ไม่ได้
• desychronization growth คือ เศรษฐกิจในโลกเติบโตได้แตกต่างกันมาก
คือ อเมริกาโตเยอะ แต่ญี่ปุ่น ยุโรป โตน้อย
แต่ปีหน้าจะเปลี่ยนไป
กราฟข้อมูลจาก CIO East spring
เส้น US Dollar ขยับขึ้นไปพร้อมกับ เส้น MSCI emerging market ลดลงอย่างมาก
สิ่งที่คาดคือ จะเห็นดอกเบี้ย US สูงสุดแล้ว จะทำให้เกิด resychronization
คือ ดอลลาร์เริ่มเสถียรขึ้น และอาจจะมีเงินที่ไหลกลับมาที่ emerging market มากขึ้น
สิ่งที่รู้ว่าจะเกิดขึ้นแน่ๆคือความผันผวน
ซึ่งแม้จะมีการพยากรณ์สิ่งที่จะเกิดตลอดเวลา แต่ไม่สามารถรู้จริงๆได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น
FED Chairman เริ่มเปลี่ยนมาบอกว่าดอกเบี้ยขึ้นมาพอสมควร
เริ่มเข้าสู่จุดสมดุล ซึ่งปีหน้าอาจเป็นจุดสูงสุดของดอกเบี้ยอเมริกา
ส่วนของไทย ที่เพิ่งปรับขึ้นดอกเบี้ยไป ส่วนตัวมองว่าธปท.บริหารอย่างมีเหตุมีผล
ท่านผู้ว่าฯได้บอกว่าไม่ได้ตั้งธงว่าดอกเบี้ยต้องขึ้นไปที่ไหน แต่พิจารณาไปตามข้อมูล
สิ่งที่เราทำได้คือ
จัดทัพลงทุนให้มีน้ำหนักที่มีสัดส่วนหุ้น
ซึ่งมีโอกาสได้ผลตอบแทนมากหน่อย ในช่วงที่เศรษฐกิจดี มีติดลบบ้างในบางช่วงเวลา
แต่เฉลี่ยแล้วได้ผลตอบแทนที่ดีกว่าการฝากธนาคาร
จากข้อมูลผลตอบแทน 2017>>2018>>2019(F)
จีนอัตราผลอตอบแทน 6.9% >> 6.6% >> 6.2%
emerging 4.7%>>4.7%>>4.7%
อเมริกา 2.2%>> 2.9%>>2.5%
ภาพข้างหน้าอัตราเศรษฐกิจโลกน่าจะเติบโตใกล้เคียงมากขึ้น ในระดับที่ต่ำลง
ผลกระทบจาก Trade war ที่อเมริกากับจีนเป็นตัวหลัก
เวลาที่มองถึงเศรษฐกิจไทยที่ดีในปีก่อนหน้าส่วนหนึ่งมาจากการท่องที่ยว
ซึ่งนักท่องเที่ยวจากจีนน้อยลง เราก็คิดว่ามาจากการดูแลความปลอดภัยไม่ดี
หรือมีพูดกระทบหมางใจกัน แต่ที่จริงแล้วปัจจัยอาจมาจากภายในประเทศจีนเอง
ที่มีอารมณ์อยากกินอยากเที่ยวลดน้อยลง
หากปัจจัยข้างต้นเหล่านี้ทำให้เกิดความผันผวนและไม่รู้ว่าจะนานแค่ไหน
ผลกระทบจะดีหรือแย่ก็อาจประเมินไม่ได้
สิ่งที่ทำได้คือ เตรียมใจและเตรียมตัว
มี portfolio ที่รับสภาพความผันผวนนี้ได้
หากขายออกไปแล้วรอ ถ้าหากตลาดปรับขึ้นต่อเนื่องจะทำอย่างไร
ดังนั้น แนวคิดอย่าง อ.สุวรรณ ได้เล่าไว้นั้นสำคัญ
คือ “ลงทุนอย่างไร” สำคัญกว่า “ลงทุนอะไร”
ปัญหาความไม่แน่นอนคือเป็นสิ่งที่เราไม่เคยเจอด้วย
ดังนั้น การมองตลาด ต้องมองแบบยอมรับว่าเราเห็นควาไม่แน่นอนทั้งหมดไม่ได้
ถัดมาคือ มองตัวเอง โดยให้มองแบบจัดทัพฟุตบอล
กองหน้า ทำประตูเพื่อชัยชนะ
กองหลัง รักษาประตูไม่ให้พ่ายแพ้
กองกลาง เสริมหน้าเมื่อได้เปรียบ ลงหลังเมื่อเพลี่ยงพล้ำ
ในการลงทุนก็สามารถแบ่งเงินตามหน้าที่ได้
เรามีวัตถุประสงค์การลงทุน 3 หน้าที่ใหญ่ๆ
1. กองหน้า สร้างความมั่งคั่ง มีบ้าน มีรถ มีเงินเกษียณ ส่งลูกไปลงทุนที่ดีๆ
เงินก้อนนี้ควรเป็นกองหน้า สร้างผลตอบแทนสูงๆในระยะยาว
ความเป็นจริงเครื่องมือที่ให้ผลตอบแทนสูงระหว่างทางจะผันผวนมาก
เป็นทรัพย์สินที่ high risk high return คือ หุ้น
ที่สำคัญต้องเป็นเงินทุน ลงทุนได้ยาว อย่างน้อย 7 ปีขึ้นไป
เป็นหนึ่งวงจรเศรษฐกิจตามตำรา
หากเข้ามาในช่วงตลาดดีมาก จะแพง หากออกไปในช่วงตลาดไม่ดี จะขาดทุนได้สูง
2. กองหลัง รักษาเงินต้น เอาไว้ใช้มีสภาพคล่อง
อาจเป็นเงินฝากที่มีระยะเวลา หรือ กองทุนรวมตราสารตลาดเงิน,
กองทุนรวมตราสารระยะสั้นหรือระยะกลางที่ไม่ผันผวนมาก
3. กองกลาง พันธบัตร,ตราสารหนี้
แต่ระยะหลังเมื่อมี hamburger crisis
การลงทุนในพันธบัตรได้ผลตอบแทนน้อยและยังมีความเสี่ยงจากความผันผวนด้วย
จึงมีทางเลือกของทรัพย์สินอีกประเภทคือ income asset
ได้แก่ กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์, REIT,
กองทุนโครงสร้างพื้นฐานที่ลงทุนในสาธารณูปโภคต่างๆ
เครื่องมือกลุ่มนี้อาจมีความผันผวนบ้าง แต่ก็อยู่ระหว่าง หุ้น และเงินฝาก
ในสถานการณ์ที่หากเงินกองหลังใช้หมดลง เราก็อาจเอากองกลางขายมาใช้ได้
ในทางกลับกัน ถ้าสภาพตลาดมีโอกาสเกิดขึ้น
ก็สามารถเปลี่ยนกองกลางมาเป็นกองหน้าในการลงทุนได้
เรียกว่า การจัดทัพลงทุนโดยมุ่งวัตถุประสงค์
คำสัญ คือ "สอดล้องวัตถุประสงค์"
ต้องรู้เรารู้เขา รู้ว่าเงินของเรามีวัตถุประสงค์อย่างไร
รับความเสี่ยงได้แค่ไหน เครื่องมือที่จะหยิบมาใช้
มี risk return profile อย่างไร มีผลตอบแทน ความผันผวนอย่างไร
การที่จัดเงินไปกองหน้า อย่าให้มีความเสี่ยงกระจุกตัว concentration risk
เช่น เลือกหุ้นตัวเดียวที่ดีสุด และหวังจะรวยจากตัวนี้ ซึ่งเราอาจจะถูกหรือผิดก็ได้
ประสบการณ์พบว่าความผิดพลาดสำคัญเกิดจากความเชื่อมั่นมากเกิดไป
ทำให้เกิดความเสียหายมากๆ ต้องกระจายความเสี่ยงอย่างเหมาะสม
ซึ่งหากกระจายความเสี่ยงเองไม่ได้
การลงทุนในกองทุนรวมก็เป็นทางเลือกที่เหมาะสมสำหรับคนส่วนใหญ่
โค้ชหนุ่ม
ถ้าถามปีหน้าจะลงทุนอะไร จะถามกลับว่า
1.ลงทุนทำไม ?
2.รู้จักเครื่องมืออะไรบ้าง?
3.รับความเสี่ยงได้แค่ไหน ?
ถ้าเอาตราสารหนี้ไปวางแผนเกษียณก็เสี่ยงนะ
ถ้าอายุน้อยๆลงทุนเกษียณด้วยตราสารหนี้ก็อาจไปไม่ถึง
ถ้าจะจัดการเงิน เงินที่เรามีควรจัดไว้สามส่วน
1.ป้องกันเหตุไม่คาดฝัน อย่างน้อยก็ 6-12 เท่าของรายจ่ายต่อเดือน
ลงทุนในทรัพย์สินมีสภาพคล่องคล้ายๆที่อ.สมจินต์บอก
2.เก็บเงินไว้สำหรับลงทุนระยะยาว เช่น กองทุนดัชนี เริ่มต้นเท่าที่ไหวก่อน
3.สร้างอัตราเร่ง คือ เกษียณได้เร็วขึ้น
ส่วนตัวสร้างความมั่งคั่งจากอสังหาริมทรัพย์จึงอยากแชร์ในส่วนนี้
ช่วงที่ผ่านมามีการหลอกลวงในอสังหาริมทรัพย์มากขึ้น
เด็กสมัยนี้ต้องการความเร็ว อยากมั่งคั่งตอนอายุน้อยๆ
มีเคสน้องคนหนึ่งลงทุนคอนโด 4 ห้องพร้อมกัน และมีการรับประกันว่าจะมีคนเช่า
ปรากฏซื้อจริงไม่มีคนเช่า ไม่มีเงินคืนให้
เมื่อหุ้นซึมๆก็จะมีคนหันไปหาช่องทางอื่น
ซึ่งอสังหาริมทรัพย์ก็ซึมๆเหมือนกัน
ข้อดี/ข้อเสีย อสังหาฯ
1. จับต้องได้ ถ้าลงทุนในหุ้นจะเห็นตัวอักษรไม่กี่ตัว
2. ใช้ leverage ได้ ซึ่งก็เป็นความเสี่ยงด้วย
3. มีอำนาจในการควบคุมมากกว่า
อสังหาบางพื้นที่ก็ยังลงทุนได้ อย่างไปเชียงใหม่ตอนนี้ก็เจอคนจีนเต็มเลย
หรือ แถวสุขุมวิท แต่ละซอยก็แทบไม่เหมือนกัน
บางซอยเป็นญี่ปุ่น บางซอยเป็นคนต่างชาติมาทำงาน
อสังหาริมทรัพย์เราสามารถเลือก สามารถปรับแต่งให้เหมาะกับลูกค้า
4. สภาพคล่องต่ำ ถ้าอย่างหุ้นยังซื้อเช้าขายบ่ายได้
แต่ซื้ออสังหาฯเหมือนแต่งงาน ไม่ได้ซื้อขายแล้วจบง่ายๆ
อสังหาฯลงทุนอะไรดี
คนส่วนใหญ่ก็คงคิดจะเล่นเก็งกำไรเหมือนหุ้น แต่น้อยคนจะมองเพื่อเก็บค่าเช่า
ช่วงนี้จะเก็งกำไรคงยากมาก เทียบกับสองปีก่อนจองไม่นานประกาศขายก็ทำกำไรได้
จะมีอสังหาฯกลุ่มที่ลงทุนเก็งกำไรได้ คือ กลุ่มตลาดบน
ราคาสิบล้านขึ้นไป หรือ รองลงมาราคาห้าล้านขึ้นไปก็พอได้
แต่ถ้าคอนโดราคาสองสามล้านบาทจะเหงาหน่อย
การลงทุนเน้นค่าเช่า ทำได้บางที่
ถ้าเจอทรัพย์ร้อยชิ้นคงมีสักยี่สิบชิ้นที่ทำกำไรได้
ซึ่ง yield ที่จะลงทุนได้คืออัตราดอกเบี้ย +2%
ปัญหาคือ เวลาจะลงทุนจริงได้ yield กี่ %
วิธีคิด คอนโด 5 ล้าน ปล่อยเช่า 4 หมื่น x 12 เดือน ได้ yield 9.6%
แต่นั่นคือ ผลตอบแทนค่าเช่า แต่ยังไม่ได้หักค่าใช้จ่าย
และถ้าหากซื้อด้วยเงินกู้ ผลตอบแทนก็จะเปลี่ยนไปอีก
นี่เป็นสิ่งที่อันตรายของการลงทุน ต้องศึกษารายละเอียด
ผลตอบแทนจากอสังหาริมทรัพย์
1.ถือครองไว้และจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้น
เช่น ซื้อบ้าน อยู่อาศัยไปเรื่อยๆ อยู่ไป อีก 20-30 ปี ราคาก็เพิ่ม
สิ่งที่ทำให้ผลตอบแทนเพิ่มคือ เงินเฟ้อ, ระยะเวลาถือครอง,
ความเจริญเติบโตของพื้นที่ ต้องดูว่าที่บริเวณนั้นทำให้ดำรงชีวิตได้ไหม
มีที่กินข้าว มีโรงพยาบาล ถ้ามีสิ่งเหล่านี้ประกอบก็จะอยู่ได้
, Supply หากที่ตรงนั้นจะสร้างใหม่ไม่ค่อยได้แล้ว ก็จะยากที่ราคาจะตกลงไป
2. ให้กระแสเงินสด กลุ่มที่คิดว่าน่าจะทำผลตอบแทนได้
คือ ตลาดบนเช่น ชาวต่างชาติมาเช่า ซึ่งจะทำราคาได้สูง
3. ค่าเช่า ส่วนหนึ่งไปตัดหนี้หรือเงินต้น (equity build up)
อีกส่วนหนึ่งไปตัดดอกเบี้ย ใช้เป็นสิทธิประโยชน์ทางภาษีได้
ในการลงทุนมักได้ยินข้อมูลที่ผิดเพี้ยน
เช่น คอนโดแนวรถไฟฟ้าลงทุนได้ >> ไม่จริง ไม่ได้ลงทุนได้ทั้งหมด
สำคัญคือ ต้องอยู่ใกล้จุดขึ้นลง
และต้องมีความคึกคักทางเศรษฐกิจด้วย อย่างเช่น สายสีม่วง
เทียบกับแถวตลาดหลักทรัพย์ต่างกัน
ความรู้ต้องแยกให้ได้ ว่าอะไรคือข้อคิดเห็น อะไรคือข้อเท็จจริง
บางแห่งตึกยังไม่มีเลย มีห้องตัวอย่าง แต่บอกได้หมดว่าจะได้ค่าเช่า ผลตอบแทนเท่าไร
ฟังแล้วอย่าเพิ่งเชื่อ ต้องพิสูจน์ ไปดูพื้นที่จริง ไปดูตึกใกล้เคียง
ว่าขายได้เท่าไร ให้เช่าได้เท่าไร
ในช่วงปี 2008 เคยได้ประโยชน์จากวิกฤติ
ขายอสังหาฯได้ 10 ห้อง นำเงินไปลงทุนช่วงที่หุ้นตกพอดี
ได้เข้าซื้อหุ้นโรงพยาบาลชื่อดังแห่งหนึ่ง
ราคา 19.5 ซื้อไปสองปี ขึ้นไป 58 บาท ก็ขายหมด
ปรากฏขึ้นไปต่อก็ต้องกลับมาซื้อใหม่
พอรอบหลังกลับไปซื้อร้อยกว่าบาทหุ้นขึ้นก็ไม่ขายปรากฏราคาลง
การลงทุนยากทั้งซื้อและขาย อสังหาฯก็ยากเช่นกัน
เร่มตั้งแต่ดูว่าอสังหาฯดีไม่ดีดูอย่างไร การหาเงินกู้ ค่าธรรมเนียม
การถือครองทำอย่างไรให้เพิ่มมูลค่า ลดค่าใช้จ่าย
เมื่อมีคนมาขอซื้อจะขายอย่างไร หรือคนอื่นประกาศขายกันเราจะขายไหม
ประเด็นคือ รู้ไหมลงทุนทำไม และรู้จริงไหม
high understanding high return
ขอคำแนะนำในการลงทุน ปี 62 ?
ดร.สุวรรณ
สิ่งสำคัญคือ ต้องอ่าน ต้องดูข่าวให้มาก
บัฟเฟตต์อ่านหนังสือวันละ สามร้อยหน้าทุกวัน
ส่วนตัวทุกวันนี้อ่านสามสิบหน้าทุกวัน ได้สิบเปอร์เซ็นต์
ปี 62 อยากลงทุนในสิ่งที่ผลตอบแทนสูงแต่มีสภาพคล่อง
หุ้นที่ชอบปันผลสูง ,ยอดขาย/กระแสเงินสดดี,กรรมการบริษัทดี
ทรัพย์สินส่วนตัวที่ลงทุนคือ อสังหาฯที่อยู่อาศัยปัจจุบัน ซื้อ 150 ล้านเป็น 800 ล้านบาท
,กองทุนอสังหา,ทองคำในช่วงสิบปีที่ผ่านมาหยุดซื้อไป ปันผลดอกเบี้ยก็ไม่มี
ทุกวันนี้อาจจะขาดทุน คนที่น่าซื้อมีอยู่คนเดียวคือคนที่จะไปหมั้นสาว,
ตราสารหนี้ก็หยุดซื้อไปสิบกว่าปี,
หุ้นกู้ซื้อครั้งสุดท้าย 12 ปีก่อน ของ ปตท. เป็น step up 5% และปรับขึ้นทุก 5 ปี
ตอนนี้ดอกเบี้ย 6.2% เหลืออีก 5 ปีสุดท้าย
คิดว่าวิชาที่ดีตอนนี้คือ วิชาจิตวิทยา และ behavior science
เหมือนสตีฟ จ็อบที่ออกไอโฟน
อย่างที่ไปเรียน havard เรียน 9 เดือนเมื่อ 50 ปีที่แล้ว
แต่ตัวที่ทำให้เก่งคือประสบการณ์ทำงาน
หลายท่านมีเงินทุกวันนี้ใช้จนตายชาติหน้าก็ไม่หมด
แต่ได้ความสุขท้าทายลงทุนแล้วชนะ หลายสิ่งเงินซื้อไม่ได้
ดร.สมจินต์
ในเรื่องการลงทุนควรขึ้นถึง Core Investment เงินลงทุนที่เป็นแกน
และมี Satelite investment ส่วนเสริมเพื่อเพิ่มกำไร
เงินลงทุนที่เป็นแกน เช่น tmb set 50 การลงทุนแค่ในไทยทุกวันนี้อาจแคบเกินไป
ในทุกวันนี้เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา และความผันผวนในโลก
จะมั่นใจได้อย่างไร ว่าสิ่งที่ลงทุนวันนี้จะดีได้อีกในหลายสิบปีข้างหน้า
ดังนั้นการเลือกหาผู้จัดการกองทุนที่ดี เลือกหุ้นที่สมสมัย
มีกองทุนที่ดีแห่งหนึ่งคือ global quality growth
จะเลือกบริษัทที่ดี ขายของดี ได้ราคา คุมต้นทุนได้ดี เก็บเงินได้
วัด cash flow margin เป็น ตัววัดคุณภาพบริษัท ซึ่งต้องมาควบคู่การเติบโต
ถ้าหากราคาแพงไปก็ไม่เหมาะกับการลงทุน
และต้อง fair กับนักลงทุน มีกำไรก็แบ่งปันในรูปแบบเงินผันผล หรือ ซื้อหุ้นคืน
การลงทุนในอสังหาฯ ความเสี่ยงคือสภาพคล่อง
ทางเลือกอีกแบบคือลงทุนในกองทุนรวมที่ลงทุนในกองทุนอสังหาฯหลากหลาย
ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ คือ Property income plus
จ่ายปันผลไปแล้ว 15 ครั้ง กองทุนประเภทนี้การันตีเงินปันผลไม่ได้
แต่สินทรัพย์มักให้กระแสเงินสดค่อนข้างสเถียร
สิ่งสำคัญ ต้องมีการเตรียมใจและเตรียมตัว
มองเห็นการลงทุนภาพระยะยาวจะทำให้ผ่านปี 62 ไปได้
โค้ชหนุ่ม
การลงทุนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต
เมื่อใช้ชีวิตเจอเรื่องดีก็มีกำลังใจ
เจอเรื่องร้ายก็ปลอบใจเดินหน้าต่อ
เครื่องมือที่เลือกลงทุนแต่ละพอร์ต กลยุทธ์สนับสนุนคืออะไร
เมื่อเกิดเหตุไม่คาดฝัน มีวิธีจัดการอย่างไร
อย่างน้อยจะได้ไม่ตัดสินใจทำอะไรแปลกๆ
เมื่อตั้งกติกาได้ดีก็อยู่ได้ จนกระทั่งจุดตัดสินใจที่จะลงมือทำ
การที่รู้ว่าจะตัดสินใจอย่างไร ในแต่ละพอร์ตจะทำให้เราอยู่ได้
เชื่อว่าข้างหน้าจะมีความผันผวน
ทุกครั้งที่ผิดพลาดน่าสนใจที่หันกลับมาหาสาเหตุ และพัฒนาความรู้ในการลงทุน
ถ้าเดินไปถามกูรูว่าหุ้นตัวนี้น่าลงทุนไหม กลับมาเจออีกทีเขาขายไปแล้ว
หากเราไม่สามารถตัดสินใจได้เองก็ไม่เกิดประโยชน์
การลงทุนช่วงแรกเราไม่รู้จักมันดี พออยู่นานขึ้นเริ่มเห็นธรรมชาติ
เมื่อรู้ตัว ตัดสินใจได้เอง ทำให้เราอยู่กับการลงทุนได้มีความสุข
ยุคนี้อย่างไรก็ต้องอยู่กับการลงทุน และต้องอยู่แบบรู้
ไม่ใช่หุ้นขึ้นก็งง ลงงงกว่า ลงทุนแล้วกินไม่อิ่มนอนไม่หลับเป็นความทุกข์
ต้องเข้าใจธรรมชาติ
การลงทุนเป็นสิ่งที่ต้องลงทุนไปตลอดชีวิต
ขอให้มีความสุขกับการลงทุน
อ.สมจินต์
อย่างที่ดร.สุวรรณบอก ว่า เงินมีเท่าไรไม่สำคัญ สำคัญว่าเรามีความสุขกับมันไหม
ปีนี้หนังสือเล่มใหม่ที่จะออกชื่อ happy money ฉลาดใช้มีความสุข
เวลาที่มีความสุขนอกจากเห็นเงินคือ เวลาแห่งการใช้เงิน
กลยุทธ์ระหว่างของกับประสบการณ์ ประสบการณ์ให้ความสุขที่ยาวนานกว่า
เมื่อนึกถึงประสบการณ์ที่ใช้เงินแล้วมีความสุข
ระหว่าง การซื้อรถป้ายแดง หรือ การนั่งทานข้าวกับครอบครัวหรือไปเที่ยวด้วยกัน ?
การที่ไปซื้อกาแฟลาเต้ วันแรกหอมหวลชื่นใจ หลังจากนั้นที่ดื่มทุกวันความหอมมันหายไป
สิ่งที่จะเรียกความสุขนั้นกลับมาได้คือ สร้างลาเต้เดย์ขึ้นมา แล้ววันอื่นไม่ต้องซื้อ
ทำให้เกิดการรอคอยและความตื่นเต้นจะเพิ่มขึ้น
การทำให้พิเศษขึ้นมามันมีรางวัลกับชีวิต
บางครั้งสิ่งที่ทำให้เป็นของตายจะหมดคุณค่าไป
เหมือนคู่ชีวิตที่แต่งงานกันไปห้าปีเจอทุกวันความตื่นเต้นมันหายไป
กลยุทธ์คือ หาเวลาแห่งสองเราสัปดาห์ละครั้ง เพื่อมาเจอหรือใช้ชีวิตร่วมกัน
สิ่งที่จะชี้ให้เห็นคือ การมีเงินพอสมควรเป็นสิ่งสำคัญ
สิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือความชาญฉลาดในการใช้เงิน
ถ้ารู้จักใช้เงินให้กับคนที่รักและห่วงใย เสริมความผูกพัน
ไม่ได้ใช้ในแบบที่เห็นแก่ตัว มันจะมีคุณค่า และไม่ได้ใช้เงินเยอะเกินไป
พอใช้อย่างชาญฉลาด จะเหลือเงินออมมากขึ้นด้วย
Merry christmas
ช่วงที่ 2 ทางพี่อมรจะเป็นผู้สรุปให้นะครับ
ขอบคุณไว้ที่นี้ด้วยครับ
Moneytalk@SET ครั้งถัดไป 12 ม.ค. 62
ช่วง หนึ่ง เศรษฐกิจโลก เศรษฐกิจไทย และแนวโน้มหุ้น ดร.ศุภวุฒิ
อ.นิเวศน์ อ.ไพบูลย์ดำเนินรายการ
ช่วง สอง กลยุทธ์ลงทุนและหุ้นเด่น ดร.ก้องเกียรติ,คุณนลินทร์,คุณมนตรี,ดร.นิเวศน์
อ.เสน่ห์, อ.ไพบูลย์ดำเนินรายการ
ขอบพระคุณ อ.ไพบูลย์ อ.นิเวศน์ อ.เสน่ห์ ทีมงาน Moneytalk และแขกรับเชิญ
ทุกๆท่านที่ร่วมในการจัดงานสัมมนาให้ความรู้และแนวทางการลงทุนที่ดี
หากมีความผิดพลาดอย่างไรขออภัยไว้ที่นี้ด้วยครับ
สามารถติดตามสัมมนาฉบับเต็มได้ทาง Facebook live/Youtube Moneytalk ครับ
วันอาทิตย์ที่ 23 ธันวาคม 2561
ช่วงที่ 1 “ลงทุนอะไรดีปี 62?”
1) ดร.สุวรรณ วลัยเสถียร
2) ดร.สมจินต์ ศรไพศาล
3) คุณ จักรพงษ์ เมษพันธุ์
ดร.ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา และ อ.เสน่ห์ ศรีสุวรรณ ดำเนินรายการ
_____________________
ลงทุนอะไรดีปี 62?
ดร.สุวรรณ
สมัยก่อนถ้าลงทุนหุ้น ถือไว้จะ side way up โตขึ้นไปเรื่อยๆ
แต่ตอนนี้คงลงทุนแบบขี้เกียจไม่ได้
ปีนี้ตลาดหลักทรัพย์ลงไปกว่า 7-8%
ระยะหลังติดตามดูตลาดนิวยอร์ค ก็ปรับตัวลดลงอย่างน่ากลัว
โดยที่จริงไม่ได้มีอะไรมาก สิ่งที่เกิดขึ้นคือ
1.ผลประกอบการออกมาก็ค่อนข้างดี ไม่ได้มีวิกฤติแบบ hambergur crisis, subprime
2.บริษัทหลายแห่งก็ยังมีเงินสดเหลือจำนวนมาก
เช่น apple, google, microsoft, คุณปูบัฟเฟตต์ ก็มีเงินกันเป็นแสนล้านเหรียญ
3.ทรัมป์ลดภาษ๊นิติบุคคลทำให้บริษัทจดทะเบียนอัตรากำไรดีขึ้น
4.อัตราคนว่างงานลดลงเหลือ 3% กว่า
จากข้อมูลในอดีต ถ้าลงทุนระยะยาวในหุ้น
ผลตอบแทนเฉลี่ยจะโตเร็วกว่าฝากแบงค์ 8.06%
แต่ต้องพยายามจัดการความผันผวน ต้องตั้งสติให้ดี
หลายคนเข้าออกผิดเวลา ถ้าหากซื้อหุ้นอยู่นิ่งๆ 20 ปี ได้ผลตอบแทนเฉลี่ย 8.2%
แต่หลายคนเข้าๆออกๆ ผลตอบแทนเฉลี่ยเหลือเพียง 4.7%
ธรรมชาติคนทั่วไปเมื่อซื้อหุ้นวันแรกก็เก็งว่าหุ้นจะขึ้น (optimism)
แต่เมื่อหุ้นขึ้นมาดีใจ (elation)
พอหุ้นตกลงก็กระวนกระวายใจ (nervous)
พอตกลงไปอีกก็กลัว (fear) ทำให้หนีออกจากตลาด
ซึ่งหากอยู่ต่อไปหุ้นดีๆก็จะกลับขึ้นมาใหม่สูงกว่าเดิม
อย่างเช่น บัฟเฟตต์ที่ไม่เคยขายโคคาโคล่า
ดังนั้นต้องถามตัวเองว่า อยากเป็นนักลงทุน ก็ต้องถือยาว
หรือ เป็นนักค้า ก็ต้องถือสั้น
ในช่วงที่เกิดวิกฤติ หุ้นจะตกลงอย่างมาก ต้องเข้าใจธรรมชาติที่เคยเกิดในอดีต
ในการลงทุนมีบางสิ่งบางอย่างที่ควบคุมได้ และควบคุมไม่ได้
สิ่งที่ควบคุมไม่ได้คือ ความผันผวนตลาด, อัตราดอกเบี้ย, เงินเฟ้อ
แต่สิ่งที่ควบคุมได้ คือ จะเลือกลงทุนแบบไหน ลงทุนหุ้น หรือลงทุนตราสารหนี้
บัฟเฟตต์บอกว่าเขาเป็นคนลงทุนระยะยาว
เมื่อจะลงทุนต้องถามตัวเองว่า ลงทุนยาว หรือ ลงทุนสั้น ?
การลงทุนระยะยาวดีกว่าลงทุนระยะสั้นเสมอ
ส่วนตัวซื้อ tmb set 50 ตอนนั้นขายออกเมื่อ 18 ปีก่อน ซื้อไป 140 ล้านบาท
และขึ้นรวดเร็วมาก ดัชนีต่ำมาก หลังต้มยำกุ้งใหม่ๆ ขึ้นจาก 10 เป็น 17 บาท
ถ้าหากเก็บไว้วันนี้จะเป็นเงิน 1400 กว่าล้านบาท
ไม่ว่าจะลงทุนแบบไหน เพื่อนที่ดีที่สุดคือเวลา
ต้องถามตัวเองว่าคุณะรับความเสี่ยงได้แค่ไหน
การลงทุนต้องเลือกตัวที่มีค่าธรรมเนียมต่ำ
เช่น tmb set 50 0.5%, voo ลงทุน s&p ที่อเมริกา 0.04%
จะมีเงินมากน้อยไม่สำคัญ อยู่ที่จะมีความสุขหรือเปล่า
เคยคุยกับคนหนึ่งบอกว่าจีนปีหน้าจะน่ากลัวมาก
ลงทุนโครงสร้างพื้นฐานมากเกินไป เช่น รถไฟความเร็วสูงไปธิเบต จะมีคนใช้มากแค่ไหน?
อย่างในไทย ถ้ารถไฟฟ้าวิ่งจากบางใหญ่เข้าเมืองจ่าย 200 บาท
คนไม่มีเงินก็หนีไปขึ้นรถตู้แทน
ดร.สมจินต์
ถ้ามองย้อนหนึ่งปีที่ผ่านมา ในภาพการลงทุนในโลก
• อัตราดอกเบี้ยอเมริกาที่ปรับขึ้นมาเป็นปัจจัยสำคัญสุด
ควบคู่กับเศรษฐกิจอเมริกาที่ดีขึ้น ดอลลาร์ที่แข็งขึ้น
ทำให้เงินทุนไหลออกจาก emerging market ไปที่อเมริกามากขึ้น
ทำให้ผลตอบแทน emerging market สู้ไม่ได้
• desychronization growth คือ เศรษฐกิจในโลกเติบโตได้แตกต่างกันมาก
คือ อเมริกาโตเยอะ แต่ญี่ปุ่น ยุโรป โตน้อย
แต่ปีหน้าจะเปลี่ยนไป
กราฟข้อมูลจาก CIO East spring
เส้น US Dollar ขยับขึ้นไปพร้อมกับ เส้น MSCI emerging market ลดลงอย่างมาก
สิ่งที่คาดคือ จะเห็นดอกเบี้ย US สูงสุดแล้ว จะทำให้เกิด resychronization
คือ ดอลลาร์เริ่มเสถียรขึ้น และอาจจะมีเงินที่ไหลกลับมาที่ emerging market มากขึ้น
สิ่งที่รู้ว่าจะเกิดขึ้นแน่ๆคือความผันผวน
ซึ่งแม้จะมีการพยากรณ์สิ่งที่จะเกิดตลอดเวลา แต่ไม่สามารถรู้จริงๆได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น
FED Chairman เริ่มเปลี่ยนมาบอกว่าดอกเบี้ยขึ้นมาพอสมควร
เริ่มเข้าสู่จุดสมดุล ซึ่งปีหน้าอาจเป็นจุดสูงสุดของดอกเบี้ยอเมริกา
ส่วนของไทย ที่เพิ่งปรับขึ้นดอกเบี้ยไป ส่วนตัวมองว่าธปท.บริหารอย่างมีเหตุมีผล
ท่านผู้ว่าฯได้บอกว่าไม่ได้ตั้งธงว่าดอกเบี้ยต้องขึ้นไปที่ไหน แต่พิจารณาไปตามข้อมูล
สิ่งที่เราทำได้คือ
จัดทัพลงทุนให้มีน้ำหนักที่มีสัดส่วนหุ้น
ซึ่งมีโอกาสได้ผลตอบแทนมากหน่อย ในช่วงที่เศรษฐกิจดี มีติดลบบ้างในบางช่วงเวลา
แต่เฉลี่ยแล้วได้ผลตอบแทนที่ดีกว่าการฝากธนาคาร
จากข้อมูลผลตอบแทน 2017>>2018>>2019(F)
จีนอัตราผลอตอบแทน 6.9% >> 6.6% >> 6.2%
emerging 4.7%>>4.7%>>4.7%
อเมริกา 2.2%>> 2.9%>>2.5%
ภาพข้างหน้าอัตราเศรษฐกิจโลกน่าจะเติบโตใกล้เคียงมากขึ้น ในระดับที่ต่ำลง
ผลกระทบจาก Trade war ที่อเมริกากับจีนเป็นตัวหลัก
เวลาที่มองถึงเศรษฐกิจไทยที่ดีในปีก่อนหน้าส่วนหนึ่งมาจากการท่องที่ยว
ซึ่งนักท่องเที่ยวจากจีนน้อยลง เราก็คิดว่ามาจากการดูแลความปลอดภัยไม่ดี
หรือมีพูดกระทบหมางใจกัน แต่ที่จริงแล้วปัจจัยอาจมาจากภายในประเทศจีนเอง
ที่มีอารมณ์อยากกินอยากเที่ยวลดน้อยลง
หากปัจจัยข้างต้นเหล่านี้ทำให้เกิดความผันผวนและไม่รู้ว่าจะนานแค่ไหน
ผลกระทบจะดีหรือแย่ก็อาจประเมินไม่ได้
สิ่งที่ทำได้คือ เตรียมใจและเตรียมตัว
มี portfolio ที่รับสภาพความผันผวนนี้ได้
หากขายออกไปแล้วรอ ถ้าหากตลาดปรับขึ้นต่อเนื่องจะทำอย่างไร
ดังนั้น แนวคิดอย่าง อ.สุวรรณ ได้เล่าไว้นั้นสำคัญ
คือ “ลงทุนอย่างไร” สำคัญกว่า “ลงทุนอะไร”
ปัญหาความไม่แน่นอนคือเป็นสิ่งที่เราไม่เคยเจอด้วย
ดังนั้น การมองตลาด ต้องมองแบบยอมรับว่าเราเห็นควาไม่แน่นอนทั้งหมดไม่ได้
ถัดมาคือ มองตัวเอง โดยให้มองแบบจัดทัพฟุตบอล
กองหน้า ทำประตูเพื่อชัยชนะ
กองหลัง รักษาประตูไม่ให้พ่ายแพ้
กองกลาง เสริมหน้าเมื่อได้เปรียบ ลงหลังเมื่อเพลี่ยงพล้ำ
ในการลงทุนก็สามารถแบ่งเงินตามหน้าที่ได้
เรามีวัตถุประสงค์การลงทุน 3 หน้าที่ใหญ่ๆ
1. กองหน้า สร้างความมั่งคั่ง มีบ้าน มีรถ มีเงินเกษียณ ส่งลูกไปลงทุนที่ดีๆ
เงินก้อนนี้ควรเป็นกองหน้า สร้างผลตอบแทนสูงๆในระยะยาว
ความเป็นจริงเครื่องมือที่ให้ผลตอบแทนสูงระหว่างทางจะผันผวนมาก
เป็นทรัพย์สินที่ high risk high return คือ หุ้น
ที่สำคัญต้องเป็นเงินทุน ลงทุนได้ยาว อย่างน้อย 7 ปีขึ้นไป
เป็นหนึ่งวงจรเศรษฐกิจตามตำรา
หากเข้ามาในช่วงตลาดดีมาก จะแพง หากออกไปในช่วงตลาดไม่ดี จะขาดทุนได้สูง
2. กองหลัง รักษาเงินต้น เอาไว้ใช้มีสภาพคล่อง
อาจเป็นเงินฝากที่มีระยะเวลา หรือ กองทุนรวมตราสารตลาดเงิน,
กองทุนรวมตราสารระยะสั้นหรือระยะกลางที่ไม่ผันผวนมาก
3. กองกลาง พันธบัตร,ตราสารหนี้
แต่ระยะหลังเมื่อมี hamburger crisis
การลงทุนในพันธบัตรได้ผลตอบแทนน้อยและยังมีความเสี่ยงจากความผันผวนด้วย
จึงมีทางเลือกของทรัพย์สินอีกประเภทคือ income asset
ได้แก่ กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์, REIT,
กองทุนโครงสร้างพื้นฐานที่ลงทุนในสาธารณูปโภคต่างๆ
เครื่องมือกลุ่มนี้อาจมีความผันผวนบ้าง แต่ก็อยู่ระหว่าง หุ้น และเงินฝาก
ในสถานการณ์ที่หากเงินกองหลังใช้หมดลง เราก็อาจเอากองกลางขายมาใช้ได้
ในทางกลับกัน ถ้าสภาพตลาดมีโอกาสเกิดขึ้น
ก็สามารถเปลี่ยนกองกลางมาเป็นกองหน้าในการลงทุนได้
เรียกว่า การจัดทัพลงทุนโดยมุ่งวัตถุประสงค์
คำสัญ คือ "สอดล้องวัตถุประสงค์"
ต้องรู้เรารู้เขา รู้ว่าเงินของเรามีวัตถุประสงค์อย่างไร
รับความเสี่ยงได้แค่ไหน เครื่องมือที่จะหยิบมาใช้
มี risk return profile อย่างไร มีผลตอบแทน ความผันผวนอย่างไร
การที่จัดเงินไปกองหน้า อย่าให้มีความเสี่ยงกระจุกตัว concentration risk
เช่น เลือกหุ้นตัวเดียวที่ดีสุด และหวังจะรวยจากตัวนี้ ซึ่งเราอาจจะถูกหรือผิดก็ได้
ประสบการณ์พบว่าความผิดพลาดสำคัญเกิดจากความเชื่อมั่นมากเกิดไป
ทำให้เกิดความเสียหายมากๆ ต้องกระจายความเสี่ยงอย่างเหมาะสม
ซึ่งหากกระจายความเสี่ยงเองไม่ได้
การลงทุนในกองทุนรวมก็เป็นทางเลือกที่เหมาะสมสำหรับคนส่วนใหญ่
โค้ชหนุ่ม
ถ้าถามปีหน้าจะลงทุนอะไร จะถามกลับว่า
1.ลงทุนทำไม ?
2.รู้จักเครื่องมืออะไรบ้าง?
3.รับความเสี่ยงได้แค่ไหน ?
ถ้าเอาตราสารหนี้ไปวางแผนเกษียณก็เสี่ยงนะ
ถ้าอายุน้อยๆลงทุนเกษียณด้วยตราสารหนี้ก็อาจไปไม่ถึง
ถ้าจะจัดการเงิน เงินที่เรามีควรจัดไว้สามส่วน
1.ป้องกันเหตุไม่คาดฝัน อย่างน้อยก็ 6-12 เท่าของรายจ่ายต่อเดือน
ลงทุนในทรัพย์สินมีสภาพคล่องคล้ายๆที่อ.สมจินต์บอก
2.เก็บเงินไว้สำหรับลงทุนระยะยาว เช่น กองทุนดัชนี เริ่มต้นเท่าที่ไหวก่อน
3.สร้างอัตราเร่ง คือ เกษียณได้เร็วขึ้น
ส่วนตัวสร้างความมั่งคั่งจากอสังหาริมทรัพย์จึงอยากแชร์ในส่วนนี้
ช่วงที่ผ่านมามีการหลอกลวงในอสังหาริมทรัพย์มากขึ้น
เด็กสมัยนี้ต้องการความเร็ว อยากมั่งคั่งตอนอายุน้อยๆ
มีเคสน้องคนหนึ่งลงทุนคอนโด 4 ห้องพร้อมกัน และมีการรับประกันว่าจะมีคนเช่า
ปรากฏซื้อจริงไม่มีคนเช่า ไม่มีเงินคืนให้
เมื่อหุ้นซึมๆก็จะมีคนหันไปหาช่องทางอื่น
ซึ่งอสังหาริมทรัพย์ก็ซึมๆเหมือนกัน
ข้อดี/ข้อเสีย อสังหาฯ
1. จับต้องได้ ถ้าลงทุนในหุ้นจะเห็นตัวอักษรไม่กี่ตัว
2. ใช้ leverage ได้ ซึ่งก็เป็นความเสี่ยงด้วย
3. มีอำนาจในการควบคุมมากกว่า
อสังหาบางพื้นที่ก็ยังลงทุนได้ อย่างไปเชียงใหม่ตอนนี้ก็เจอคนจีนเต็มเลย
หรือ แถวสุขุมวิท แต่ละซอยก็แทบไม่เหมือนกัน
บางซอยเป็นญี่ปุ่น บางซอยเป็นคนต่างชาติมาทำงาน
อสังหาริมทรัพย์เราสามารถเลือก สามารถปรับแต่งให้เหมาะกับลูกค้า
4. สภาพคล่องต่ำ ถ้าอย่างหุ้นยังซื้อเช้าขายบ่ายได้
แต่ซื้ออสังหาฯเหมือนแต่งงาน ไม่ได้ซื้อขายแล้วจบง่ายๆ
อสังหาฯลงทุนอะไรดี
คนส่วนใหญ่ก็คงคิดจะเล่นเก็งกำไรเหมือนหุ้น แต่น้อยคนจะมองเพื่อเก็บค่าเช่า
ช่วงนี้จะเก็งกำไรคงยากมาก เทียบกับสองปีก่อนจองไม่นานประกาศขายก็ทำกำไรได้
จะมีอสังหาฯกลุ่มที่ลงทุนเก็งกำไรได้ คือ กลุ่มตลาดบน
ราคาสิบล้านขึ้นไป หรือ รองลงมาราคาห้าล้านขึ้นไปก็พอได้
แต่ถ้าคอนโดราคาสองสามล้านบาทจะเหงาหน่อย
การลงทุนเน้นค่าเช่า ทำได้บางที่
ถ้าเจอทรัพย์ร้อยชิ้นคงมีสักยี่สิบชิ้นที่ทำกำไรได้
ซึ่ง yield ที่จะลงทุนได้คืออัตราดอกเบี้ย +2%
ปัญหาคือ เวลาจะลงทุนจริงได้ yield กี่ %
วิธีคิด คอนโด 5 ล้าน ปล่อยเช่า 4 หมื่น x 12 เดือน ได้ yield 9.6%
แต่นั่นคือ ผลตอบแทนค่าเช่า แต่ยังไม่ได้หักค่าใช้จ่าย
และถ้าหากซื้อด้วยเงินกู้ ผลตอบแทนก็จะเปลี่ยนไปอีก
นี่เป็นสิ่งที่อันตรายของการลงทุน ต้องศึกษารายละเอียด
ผลตอบแทนจากอสังหาริมทรัพย์
1.ถือครองไว้และจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้น
เช่น ซื้อบ้าน อยู่อาศัยไปเรื่อยๆ อยู่ไป อีก 20-30 ปี ราคาก็เพิ่ม
สิ่งที่ทำให้ผลตอบแทนเพิ่มคือ เงินเฟ้อ, ระยะเวลาถือครอง,
ความเจริญเติบโตของพื้นที่ ต้องดูว่าที่บริเวณนั้นทำให้ดำรงชีวิตได้ไหม
มีที่กินข้าว มีโรงพยาบาล ถ้ามีสิ่งเหล่านี้ประกอบก็จะอยู่ได้
, Supply หากที่ตรงนั้นจะสร้างใหม่ไม่ค่อยได้แล้ว ก็จะยากที่ราคาจะตกลงไป
2. ให้กระแสเงินสด กลุ่มที่คิดว่าน่าจะทำผลตอบแทนได้
คือ ตลาดบนเช่น ชาวต่างชาติมาเช่า ซึ่งจะทำราคาได้สูง
3. ค่าเช่า ส่วนหนึ่งไปตัดหนี้หรือเงินต้น (equity build up)
อีกส่วนหนึ่งไปตัดดอกเบี้ย ใช้เป็นสิทธิประโยชน์ทางภาษีได้
ในการลงทุนมักได้ยินข้อมูลที่ผิดเพี้ยน
เช่น คอนโดแนวรถไฟฟ้าลงทุนได้ >> ไม่จริง ไม่ได้ลงทุนได้ทั้งหมด
สำคัญคือ ต้องอยู่ใกล้จุดขึ้นลง
และต้องมีความคึกคักทางเศรษฐกิจด้วย อย่างเช่น สายสีม่วง
เทียบกับแถวตลาดหลักทรัพย์ต่างกัน
ความรู้ต้องแยกให้ได้ ว่าอะไรคือข้อคิดเห็น อะไรคือข้อเท็จจริง
บางแห่งตึกยังไม่มีเลย มีห้องตัวอย่าง แต่บอกได้หมดว่าจะได้ค่าเช่า ผลตอบแทนเท่าไร
ฟังแล้วอย่าเพิ่งเชื่อ ต้องพิสูจน์ ไปดูพื้นที่จริง ไปดูตึกใกล้เคียง
ว่าขายได้เท่าไร ให้เช่าได้เท่าไร
ในช่วงปี 2008 เคยได้ประโยชน์จากวิกฤติ
ขายอสังหาฯได้ 10 ห้อง นำเงินไปลงทุนช่วงที่หุ้นตกพอดี
ได้เข้าซื้อหุ้นโรงพยาบาลชื่อดังแห่งหนึ่ง
ราคา 19.5 ซื้อไปสองปี ขึ้นไป 58 บาท ก็ขายหมด
ปรากฏขึ้นไปต่อก็ต้องกลับมาซื้อใหม่
พอรอบหลังกลับไปซื้อร้อยกว่าบาทหุ้นขึ้นก็ไม่ขายปรากฏราคาลง
การลงทุนยากทั้งซื้อและขาย อสังหาฯก็ยากเช่นกัน
เร่มตั้งแต่ดูว่าอสังหาฯดีไม่ดีดูอย่างไร การหาเงินกู้ ค่าธรรมเนียม
การถือครองทำอย่างไรให้เพิ่มมูลค่า ลดค่าใช้จ่าย
เมื่อมีคนมาขอซื้อจะขายอย่างไร หรือคนอื่นประกาศขายกันเราจะขายไหม
ประเด็นคือ รู้ไหมลงทุนทำไม และรู้จริงไหม
high understanding high return
ขอคำแนะนำในการลงทุน ปี 62 ?
ดร.สุวรรณ
สิ่งสำคัญคือ ต้องอ่าน ต้องดูข่าวให้มาก
บัฟเฟตต์อ่านหนังสือวันละ สามร้อยหน้าทุกวัน
ส่วนตัวทุกวันนี้อ่านสามสิบหน้าทุกวัน ได้สิบเปอร์เซ็นต์
ปี 62 อยากลงทุนในสิ่งที่ผลตอบแทนสูงแต่มีสภาพคล่อง
หุ้นที่ชอบปันผลสูง ,ยอดขาย/กระแสเงินสดดี,กรรมการบริษัทดี
ทรัพย์สินส่วนตัวที่ลงทุนคือ อสังหาฯที่อยู่อาศัยปัจจุบัน ซื้อ 150 ล้านเป็น 800 ล้านบาท
,กองทุนอสังหา,ทองคำในช่วงสิบปีที่ผ่านมาหยุดซื้อไป ปันผลดอกเบี้ยก็ไม่มี
ทุกวันนี้อาจจะขาดทุน คนที่น่าซื้อมีอยู่คนเดียวคือคนที่จะไปหมั้นสาว,
ตราสารหนี้ก็หยุดซื้อไปสิบกว่าปี,
หุ้นกู้ซื้อครั้งสุดท้าย 12 ปีก่อน ของ ปตท. เป็น step up 5% และปรับขึ้นทุก 5 ปี
ตอนนี้ดอกเบี้ย 6.2% เหลืออีก 5 ปีสุดท้าย
คิดว่าวิชาที่ดีตอนนี้คือ วิชาจิตวิทยา และ behavior science
เหมือนสตีฟ จ็อบที่ออกไอโฟน
อย่างที่ไปเรียน havard เรียน 9 เดือนเมื่อ 50 ปีที่แล้ว
แต่ตัวที่ทำให้เก่งคือประสบการณ์ทำงาน
หลายท่านมีเงินทุกวันนี้ใช้จนตายชาติหน้าก็ไม่หมด
แต่ได้ความสุขท้าทายลงทุนแล้วชนะ หลายสิ่งเงินซื้อไม่ได้
ดร.สมจินต์
ในเรื่องการลงทุนควรขึ้นถึง Core Investment เงินลงทุนที่เป็นแกน
และมี Satelite investment ส่วนเสริมเพื่อเพิ่มกำไร
เงินลงทุนที่เป็นแกน เช่น tmb set 50 การลงทุนแค่ในไทยทุกวันนี้อาจแคบเกินไป
ในทุกวันนี้เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา และความผันผวนในโลก
จะมั่นใจได้อย่างไร ว่าสิ่งที่ลงทุนวันนี้จะดีได้อีกในหลายสิบปีข้างหน้า
ดังนั้นการเลือกหาผู้จัดการกองทุนที่ดี เลือกหุ้นที่สมสมัย
มีกองทุนที่ดีแห่งหนึ่งคือ global quality growth
จะเลือกบริษัทที่ดี ขายของดี ได้ราคา คุมต้นทุนได้ดี เก็บเงินได้
วัด cash flow margin เป็น ตัววัดคุณภาพบริษัท ซึ่งต้องมาควบคู่การเติบโต
ถ้าหากราคาแพงไปก็ไม่เหมาะกับการลงทุน
และต้อง fair กับนักลงทุน มีกำไรก็แบ่งปันในรูปแบบเงินผันผล หรือ ซื้อหุ้นคืน
การลงทุนในอสังหาฯ ความเสี่ยงคือสภาพคล่อง
ทางเลือกอีกแบบคือลงทุนในกองทุนรวมที่ลงทุนในกองทุนอสังหาฯหลากหลาย
ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ คือ Property income plus
จ่ายปันผลไปแล้ว 15 ครั้ง กองทุนประเภทนี้การันตีเงินปันผลไม่ได้
แต่สินทรัพย์มักให้กระแสเงินสดค่อนข้างสเถียร
สิ่งสำคัญ ต้องมีการเตรียมใจและเตรียมตัว
มองเห็นการลงทุนภาพระยะยาวจะทำให้ผ่านปี 62 ไปได้
โค้ชหนุ่ม
การลงทุนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต
เมื่อใช้ชีวิตเจอเรื่องดีก็มีกำลังใจ
เจอเรื่องร้ายก็ปลอบใจเดินหน้าต่อ
เครื่องมือที่เลือกลงทุนแต่ละพอร์ต กลยุทธ์สนับสนุนคืออะไร
เมื่อเกิดเหตุไม่คาดฝัน มีวิธีจัดการอย่างไร
อย่างน้อยจะได้ไม่ตัดสินใจทำอะไรแปลกๆ
เมื่อตั้งกติกาได้ดีก็อยู่ได้ จนกระทั่งจุดตัดสินใจที่จะลงมือทำ
การที่รู้ว่าจะตัดสินใจอย่างไร ในแต่ละพอร์ตจะทำให้เราอยู่ได้
เชื่อว่าข้างหน้าจะมีความผันผวน
ทุกครั้งที่ผิดพลาดน่าสนใจที่หันกลับมาหาสาเหตุ และพัฒนาความรู้ในการลงทุน
ถ้าเดินไปถามกูรูว่าหุ้นตัวนี้น่าลงทุนไหม กลับมาเจออีกทีเขาขายไปแล้ว
หากเราไม่สามารถตัดสินใจได้เองก็ไม่เกิดประโยชน์
การลงทุนช่วงแรกเราไม่รู้จักมันดี พออยู่นานขึ้นเริ่มเห็นธรรมชาติ
เมื่อรู้ตัว ตัดสินใจได้เอง ทำให้เราอยู่กับการลงทุนได้มีความสุข
ยุคนี้อย่างไรก็ต้องอยู่กับการลงทุน และต้องอยู่แบบรู้
ไม่ใช่หุ้นขึ้นก็งง ลงงงกว่า ลงทุนแล้วกินไม่อิ่มนอนไม่หลับเป็นความทุกข์
ต้องเข้าใจธรรมชาติ
การลงทุนเป็นสิ่งที่ต้องลงทุนไปตลอดชีวิต
ขอให้มีความสุขกับการลงทุน
อ.สมจินต์
อย่างที่ดร.สุวรรณบอก ว่า เงินมีเท่าไรไม่สำคัญ สำคัญว่าเรามีความสุขกับมันไหม
ปีนี้หนังสือเล่มใหม่ที่จะออกชื่อ happy money ฉลาดใช้มีความสุข
เวลาที่มีความสุขนอกจากเห็นเงินคือ เวลาแห่งการใช้เงิน
กลยุทธ์ระหว่างของกับประสบการณ์ ประสบการณ์ให้ความสุขที่ยาวนานกว่า
เมื่อนึกถึงประสบการณ์ที่ใช้เงินแล้วมีความสุข
ระหว่าง การซื้อรถป้ายแดง หรือ การนั่งทานข้าวกับครอบครัวหรือไปเที่ยวด้วยกัน ?
การที่ไปซื้อกาแฟลาเต้ วันแรกหอมหวลชื่นใจ หลังจากนั้นที่ดื่มทุกวันความหอมมันหายไป
สิ่งที่จะเรียกความสุขนั้นกลับมาได้คือ สร้างลาเต้เดย์ขึ้นมา แล้ววันอื่นไม่ต้องซื้อ
ทำให้เกิดการรอคอยและความตื่นเต้นจะเพิ่มขึ้น
การทำให้พิเศษขึ้นมามันมีรางวัลกับชีวิต
บางครั้งสิ่งที่ทำให้เป็นของตายจะหมดคุณค่าไป
เหมือนคู่ชีวิตที่แต่งงานกันไปห้าปีเจอทุกวันความตื่นเต้นมันหายไป
กลยุทธ์คือ หาเวลาแห่งสองเราสัปดาห์ละครั้ง เพื่อมาเจอหรือใช้ชีวิตร่วมกัน
สิ่งที่จะชี้ให้เห็นคือ การมีเงินพอสมควรเป็นสิ่งสำคัญ
สิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือความชาญฉลาดในการใช้เงิน
ถ้ารู้จักใช้เงินให้กับคนที่รักและห่วงใย เสริมความผูกพัน
ไม่ได้ใช้ในแบบที่เห็นแก่ตัว มันจะมีคุณค่า และไม่ได้ใช้เงินเยอะเกินไป
พอใช้อย่างชาญฉลาด จะเหลือเงินออมมากขึ้นด้วย
Merry christmas
ช่วงที่ 2 ทางพี่อมรจะเป็นผู้สรุปให้นะครับ
ขอบคุณไว้ที่นี้ด้วยครับ
Moneytalk@SET ครั้งถัดไป 12 ม.ค. 62
ช่วง หนึ่ง เศรษฐกิจโลก เศรษฐกิจไทย และแนวโน้มหุ้น ดร.ศุภวุฒิ
อ.นิเวศน์ อ.ไพบูลย์ดำเนินรายการ
ช่วง สอง กลยุทธ์ลงทุนและหุ้นเด่น ดร.ก้องเกียรติ,คุณนลินทร์,คุณมนตรี,ดร.นิเวศน์
อ.เสน่ห์, อ.ไพบูลย์ดำเนินรายการ
ขอบพระคุณ อ.ไพบูลย์ อ.นิเวศน์ อ.เสน่ห์ ทีมงาน Moneytalk และแขกรับเชิญ
ทุกๆท่านที่ร่วมในการจัดงานสัมมนาให้ความรู้และแนวทางการลงทุนที่ดี
หากมีความผิดพลาดอย่างไรขออภัยไว้ที่นี้ด้วยครับ
สามารถติดตามสัมมนาฉบับเต็มได้ทาง Facebook live/Youtube Moneytalk ครับ